ลวงสิเน่หา
มันคือเดิมพันรักครั้งสุดท้าย ที่เขาจะต้องไม่แพ้
ทุกกลวิธีจึงถูกงัดมาใช้เพื่อครอบครอง ลวง ก็เพื่อ...รัก แล้วกักตัวเธอไว้ในหัวใจของเขาตลอดกาล
ภาคต่อของ "บ่วงไฟ" ค่ะ
Tags: ลวงสิเน่หา

ตอน: ตอน 1 คู่ตุนาหงัน (1/1)

ตอน 1
คู่ตุนาหงัน

จากหน้าต่างบานใหญ่ ล้อมกรอบด้วยไม้สีเข้มน้ำตาลอมเขียวไข่กา หันเข้าหาทิศเหนือจึงเป็นช่องกว้างๆ ให้แสงเช้าของวันลอดส่องเข้ามาอย่างเต็มที่ แสงอุ่นเป็นดั่งนาฬิกาปลุกที่ไม่ต้องตั้งเวลา ทำหน้าที่แยงตาเจ้าของห้องสาวจนเปลือกตาสีอ่อนอมชมพูบนดวงหน้านวลเนียนขยับน้อยๆ ตามด้วยผิวอ่อนบางกระตุกยิบ ก่อนปรือขึ้นอวดดวงตากลมโตที่ซุกซ่อนตาดำสนิทขนาดใหญ่ไว้

แพขนตาหนางอนขยับ พร้อมกับการตื่นเต็มตาของคนร่างเล็กในชุดนอนแบบกระโปรง ยาวเลยหัวเข่าสีฟ้าอ่อน วาดฝันบิดตัว ทั้งที่ยังนั่งจุ้มปุ๊กบนเตียงเดี่ยวขนาดสามฟุตครึ่ง หย่อนปลายเท้าลงเหยียบพื้นลามิเนตลายไม้อย่างอ้อยอิ่งแล้วจึงเหลียวกลับไปมองนาฬิกาแขวนผนังลายป๊อบอาร์ททรงกลม ก่อนจะฮึดยืนขึ้นทรงตัว เร่งสลัดไล่ความงัวเงียออกไปเสีย
ตาคมกระจ่างสวยด้วยรอยระยับเมื่อสู้แสงจากช่องหน้าต่าง แดดจัดเสียจนต้องป้องมือแล้วหลุบตาหลบทีเดียว

เป็นเวลาเช้าตรู่ที่หญิงสาวตื่นก่อนใครในบ้าน นอกจาก คุณลุงปรเมศ ผู้ที่ตื่นเช้าเป็นนิจ ได้เวลาสาวร่างบางก็ขยับตัว ออกจากห้องนอนหลังทำแค่ลูบหน้าลูบตาด้วยน้ำเย็น เช็ดหน้าแล้ววิ่งตึงๆ ลงไปชั้นล่างเพื่อใส่บาตรพระในทุกเช้า

วาดฝันมองว่าเวลาเช้าที่ยังไม่มีใครตื่น เป็นเวลาเหมาะที่สุดที่จะพบหน้าผู้เป็นลุง ปรึกษาปัญหาจิปาถะของเธอโดยไม่ต้องอยู่ในสายตาของ คุณป้าพิศพรรณ ผู้เป็นภรรยา เวลานี้...เห็นจะมีผู้อาวุโสผู้นี้ผู้เดียวเป็นที่ปรึกษา รักใคร่เอาใส่ใจ นั่นเพราะคุณพ่อปรมินทร์กับคุณลุงปรเมศเป็นพี่น้องคลานตามกันมาที่รักกันมาก คุณลุงเป็นพี่ชายคนเดียวของคุณพ่อซึ่งจากไปพร้อมมารดา ด้วยอุบัติเหตุตอนเดินทางไปต่างประเทศเมื่อหลายปีก่อน

เด็กสาวกำพร้าในวัยไม่ถึงสิบขวบอย่างวาดฝันจึงต้องอยู่ในความดูแลของคุณลุงซึ่งมีเมตตาต่อเธอมากที่สุด วันนั้นจนถึงวันนี้วาดฝันจึงย้ายเข้ามาอาศัยที่บ้านหลังนี้ ที่พำนักที่มีคุณป้าพิศพรรณกับลูกชายของนางด้วยอีกคน

มิใช่วาดฝันไม่มีความสุขหรือเข้ากับครอบครัวคุณลุงปรเมศไม่ได้ หากแต่เธอไม่ได้รับการยอมรับจากผู้เป็นป้า มองเด็กสาวตัวน้อยว่ามาแย่งความรักเอาใจใส่จากสามี เป็นส่วนเกินและภาระ ทั้งที่วาดฝันมิได้มาแต่ตัวการจากไปอย่างกะทันหันของบุพการีทิ้งเงินจากบริษัทประกันชีวิตไว้มากโข มากพอที่วาดฝันจะประทังชีวิตตลอดรอดฝั่ง จวบจนเล่าเรียนได้ถึงขั้นปริญญาเอกด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นแหละอาจเป็นเรื่องถูกชะตากันหรือไม่มากกว่า

แต่วาดฝันก็ไม่คิดนำปมด้อยจากการเป็นกำพร้ามาสร้างปัญหาให้ตัวเองมากไปกว่านี้ ในเมื่อเธอยังมีคุณลุงที่รักและเอ็นดู มีเจ้าน้องชายจอมเซี้ยวอย่าง เปรมชล ซึ่งสนิทชิดเชื้อกันมาแต่เล็กแต่น้อย มีคุณป้าผู้รักกฏระเบียบและชอบปรายมองแค่หางตาเพียงคนเดียว จึงไม่อยู่ในวิสัยที่เธอต้องเก็บมาคิดมาก

“ขอหว้าใส่บาตรด้วยคนนะคะ คุณลุง ป่านนี้...คุณพ่อคุณแม่รอทานอาหารของหว้าแล้วแน่ๆ”

เจ้าหล่อนทักทายผู้เป็นลุงที่ยืนอยู่ก่อนด้วยรอยยิ้มใส อารมณ์ดีถึงขั้นเอ่ยปากเย้าไปถึงคนบนสวรรค์ “มาสิลูก มา”

ชายวัยห้าสิบปลายๆ หมุนตัวกลับมา อวดบ่ากว้างกับความสูงสง่า หลังวางโถใส่ข้าวสวยเม็ดรีสีขาวขุ่น ซึ่งยังกรุ่นไอร้อนจนเกิดหยดใสๆ ที่ขอบโถ พลางยื่นมือออกมารับร่างบอบบางของหลานสาวมายืนคู่กัน ไม่นานก็เห็นภิกษุห้ารูปเดินเรียงแถวเป็นระเบียบด้วยอาการสำรวมมาหยุดตรงหน้าเมื่อเขาพนมมือแล้วบอกนิมนต์

ปรเมศกับวาดฝันใช้รั้วสูงใหญ่สีตุ่น ตระหง่านผ่านร้อนผ่านหนาวพอๆ กับบ้านที่อยู่ข้างหลังมากว่ายี่สิบปี ปักหลักกางโต๊ะพับที่วางถาดสแตนเลสซึ่งมีของคาวหวาน น้ำและดอกไม้ทั้งหมดสิบชุด ทั้งสองลำเลียงใส่ลงไประหว่างช่องที่เผยอฝาบาตรจนครบองค์ ลุงหลานชวนกันนั่งยองๆ พนมมือรับศีลรับพรจากพระ ก่อนจะประคองกันลุกขึ้นด้วยใบหน้าเบิกบาน ผ่องใส

วาดฝันรวบถาดกับโถทั้งหมดมาอุ้มไว้ เตรียมกลับเข้าบ้าน มือของปรเมศวางลงบนบ่าของหลานสาว มองด้วยแววตาเอ็นดูดุจลูกสาวคนหนึ่งก็ไม่ปาน

“วันนี้ไปพร้อมลุงเลยไหม ลุงมีประชุมเช้า หว้าจะได้ไม่ต้องโหนรถเมล์ให้เมื่อยไงลูก”

ผมยาวยุ่งถูกขมวดไว้เหนือศีรษะทุยรวกๆ ถูกยีเบาๆ เจ้าตัวนิ่งคิดไม่นานก็พยักหน้า

“ดีค่ะ หว้ามีเรื่องจะปรึกษาคุณลุงด้วย อีกสามเดือนหว้าจะเรียนจบแล้ว คือ...หว้าอยากคุยเรื่องนั้นค่ะ”

คำว่า เรื่องนั้น ทำให้ตายาวใหญ่ของปรเมศหม่นลงเล็กน้อย เนื่องจากรู้ว่าหลานสาวจะพูดเรื่องอะไรและนั่นเป็นเรื่องที่เขาลำบากใจที่สุด

ปรเมศชักชวนวาดฝันไปมหาวิทยาลัยพร้อมกัน เพราะเขาทำหน้าที่เป็นอาจารย์อาวุโส สอนอยู่ที่คณะแพทย์ศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยแห่งเดียวกัน ชายสูงวัยปรายมองหญิงสาววัยละอ่อนอย่างเอ็นดู ก่อนสบตาหล่อนอีกครั้งแล้วถอนใจ...

เป็นเวลาสิบกว่าปีมาแล้วที่เขารับหน้าที่ดูแลวาดฝัน ตามสัญญาที่ได้รับปากน้องชายกับภรรยา ถ้าหากพวกเขาจากไปก่อนเวลาอันควร

เหมือนเป็นลางสังหรณ์อย่างไรมิทราบ หลังจากปรมินทร์ฝากฝังลูกสาวไม่นาน ทั้งสองก็จากวาดฝันไปอย่างไม่มีวันกลับ เด็กหญิงจึงอยู่ในความดูแลของเขาตั้งแต่นั้น จนเมื่อถึงเวลาที่เจ้าหล่อนเติบโต บรรลุนิติภาวะและสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี มีวิชาชีพทำมาหากินติดตัวจึงหมดหน้าที่ของเขา

ปรเมศลืมวันลืมเวลาที่ว่านั้นไปเลยทั้งที่วันเหล่านั้นใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว เขาก็เหมือนพ่อคนหนึ่งส่วนวาดฝันเปรียบเหมือนลูกสาวอีกคนจึงไม่อยากปล่อยไปอยู่ไกลอกเพราะห่วง ทว่าเขาก็ค้านได้ไม่เต็มปากเต็มคำเมื่อคำสั่งเสียของปรมินทร์กับดวงลดา บอกความจำนงไว้เพียงเท่านี้

อีกทั้งวาดฝันเองก็ไม่สะดวกใจที่จะอยู่ต่อ ทั้งที่หล่อนอยู่มาเกือบสิบสองปีแล้วก็ตาม นั่นจึงหมายความว่าหลานสาวที่เขาห่วงหวงจะรีบติดปีก เพื่อบินออกไปให้ไกลจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด เหตุเพราะทนความอึดอัดจากการอยู่ร่วมบ้านกับภรรยาของเขาไม่ไหวอีกต่อไป

ไม่รู้ทำไมพิศพรรณถึงไม่ถูกชะตากับหลานสาวคนนี้นักน่ะสิ ทั้งที่วาดฝันก็เป็นเด็กน่ารัก นอบน้อมและเข้าหาผู้ใหญ่

“เราไปคุยกันต่อตอนนั่งรถไปมหาวิทยาลัยก็แล้วกัน ประเดี๋ยวป้าเขาก็ตื่นแล้ว ตาเปรมอีกคนคงเอ็ดตะโรยกใหญ่ที่รู้ว่าลูกหว้าจะไปจากบ้านหลังนี้”

“คุณลุงก็รู้นี่คะว่าหว้าจำเป็น...” บอกเสียงอ่อน นัยน์ตาฉายแววอ้อนที่พาคนมองใจอ่อนเสียทุกครั้ง

“หว้าอยากให้บ้านสงบ คุณลุงกับนายเปรมเองจะได้อยู่อย่างสบายใจ คุณป้าก็จะได้อารมณ์ดีๆ หว้าไม่ได้ไปไหนไกลเลยค่ะ ก็แค่ย้ายไปอยู่บ้านเก่าของพ่อกับแม่ บ้านที่เป็นของหว้าเอง” วาดฝันบอก แววตาของเธอมาดมั่น ไม่ว่อกแว่กเลยตอนยืนยันถึงการตัดสินใจ

ปรเมศรับรู้ ผงกศีรษะปกคลุมด้วยผมสั้นแซมสีดอกเลาข้างขมับ เรียวตายาวใหญ่จ้องมองหลานสาวแสนรัก รู้ว่าหล่อนทำได้ รู้ว่าหล่อนเข้มแข็งและกล้าหาญ สุดท้าย...ผู้ชราก็ถอนใจยอมแพ้

“เอาก็เอา วันเสาร์ที่จะถึงนี้ลุงจะพาไปหว้าไปบ้านริมน้ำไปดูสภาพเสียหน่อยเพราะทิ้งร้างไว้หลายปี แต่ตอนนี้หนูไปอาบน้ำอาบท่าแล้วลงมาทานข้าวเช้าเถอะ เดี๋ยวจะได้ไปมหาวิทยาลัยกัน”

“ได้เลยค่ะ หว้าก็หิวแล้วเหมือนกัน”

มืออุ่นส่งร่างแบบบางในชุดนอน ผลักเบาๆ ไปข้างหน้า สาวน้อยไม่ขัดเพราะตอนนี้ใกล้แปดนาฬิกา เธอแทบจะก้าวเร็วๆ แทนการวิ่งเข้าห้องนอน ทำธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็วแล้วกลับลงมาชั้นล่างในชุดนักศึกษา ตอนนั้นเป็นเวลาที่แม่บ้านอย่างคุณป้าพิศพรรณกับเปรมชลนั่งร่วมโต๊ะด้วย

เป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วที่บทสนทนาบนโต๊ะอาหารจะพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ อย่างรสชาติของอาหาร มื้อเย็นจะทานอะไร อะไรแพงอะไรขาดตลาด หรือไม่ก็พวกเหตุการณ์บ้านเมืองที่ตอนนี้เน้นเรื่องภูมิอากาศเสียส่วนใหญ่ ด้วยผู้คนตื่นตัวเรื่องน้ำท่วมเพราะเคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อปีกรายสร้างความเสียหาย หวาดผวามาถึงปีนี้

แต่แล้วหัวข้อสนทนาที่หลุดจากริมฝีปากอวบอิ่มของผู้เป็นป้ากลับไม่ใช่! นางพิศพรรณเบือนหน้าอวบอูมเพราะความเจ้าเนื้อ มาทางวาดฝัน มองตรงๆ อย่างที่ปกติเคยมองแค่หางตา แปลก!!

“ยัยหว้า ได้ยินว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะเรียนจบแล้วใช่ไหม คิดการณ์อะไรไว้บ้างล่ะอย่างจะขยับขยายที่อยู่เมื่อไหร่หรือจะทำงานเลี้ยงตัวเองด้วยอะไร คิดไว้หรือยัง?” ผู้ร่วมโต๊ะอาหารทุกคนแปร่งหูและสะอึกกับประโยคยาวๆ นั้น โดยเฉพาะปรเมศที่ถือช้อนค้าง

“จะถามอะไรตอนนี้ล่ะคุณ เช้าๆ อย่างนี้รถติดมากนะ ผมไม่อยากไปสาย” สามีเอ่ยขัดเนิบๆ แต่มิได้เปลี่ยนใจภรรยาเพราะนางยังซักต่อ คราวนี้หันมาทางหลานสาวทั้งตัว

“เอ๊ะ! คุณเมศนี่ ฉันจะคุยกับหลาน อย่าขัดกันได้ไหม”

พิศพรรณเอ็ดสามีจนอึงห้อง น้อยครั้งที่นางจะเรียกวาดฝันว่า 'หลาน' จำได้ว่าปกติแล้ว...เธอเป็นผู้อาศัยคำนั้นจึงทวีความแปร่งหูขึ้นอีก

“จริงใช่ไหมล่ะยัยหว้า ที่ใกล้จะเรียนจบแล้วน่ะ แล้วเราน่ะมีแฟนกับเขาหรือยัง บอกป้ามาสิ”

ถึงแม้ว่าพิศพรรณไม่เคยไยดีหลานสาวคนนี้ของสามีเลยนางกลับรู้ว่าวาดฝันกำลังจะสำเร็จปริญญาตรีในเร็ววันนี้ ไม่ทราบว่านางมีเหตุอะไรในการซักไซ้ไล่เรียง แต่ที่แน่ๆ ทำให้ข้าวต้มกุ้งรสชาติกร่อยลงทันทีทันใด เหมือนน้ำข้าวต้มคือน้ำเปล่าที่วาดฝันไม่อยากกลืนกิน หญิงสาวนิ่งค้างแล้วจึงค่อยๆ วางช้อนซุปในถ้วยเซรามิค เงยหน้าขึ้นสบตาผู้อาวุโสด้วยสายตาว่างเปล่า

“เอ้อ” วาดฝันอึ้งไปเล็กน้อย บอกตามตรงไม่คิดว่าจะถูกถามตรงๆ อย่างนี้ คุณป้าของเธอซื่อตรงต่อความคิดของตนเองอย่างที่สุด

อย่างแรกเลย หญิงสาวรู้ว่าผู้เป็นป้าต้องการให้เธอออกจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด นางเคยบอกว่าขาดความเป็นส่วนตัว ครอบครัวไม่เป็นครอบครัวเพราะเคยมีกันสามคนพ่อแม่ลูก ซ้ำยังเคยบอกเพื่อนบ้านว่าวาดฝันไม่ต่างจาก กาฝาก นางไม่อยากให้อยู่ร่วมบ้าน แต่ติดที่สามีต้องการอุปการะหลานสาวกำพร้า แต่ไม่คิดเลยว่านางจะอยากผลักไสไปให้ไกลๆ เร็วปานนี้

“อีกหลายเดือนค่ะ หว้ากำลังมองหาที่สมัครงาน อาจารย์ที่คณะฯ ก็ช่วยๆ ดูอยู่ แต่หว้ายังไม่ทราบหรอกนะคะว่าจะได้งานเร็วๆ นี้ไหม”

เรื่องเดียวที่วาดฝันไม่ขอตอบก็คือเรื่องแฟน พูดจบก็มองไปที่ชามข้าวต้มตรงหน้าแทนใบหน้าอูมๆ ของป้าสะใภ้ สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงตบโต๊ะเพี๊ยะหนึ่งของนาง

“นั่นล่ะประเด็น ป้ากำลังจะบอกอยู่นี่ไงว่างานสมัยนี้หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร กลับกัน...ถ้าเราได้รู้จักผู้ชายดีๆ เลิศๆ แล้วแต่งการแต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราวไปเสีย มีสามีรวยๆ เรารึจะได้นั่งๆ นอนๆ ไม่เหนื่อยเลย ป้ามีลูกชายเพื่อนๆ อยู่หลายคนจะแนะนำ พวกเขาสนใจหนูอยู่เหมือนกันนะลูกหว้า” บอกเสียงประเหลาะประโลม

เสียงกระแอมกระไอในคอดังจากหัวโต๊ะที่นั่งของประมุขของบ้าน ปรเมศไม่เห็นด้วยที่ภรรยาพยายามผลักไสวาดฝันไปเป็นภรรยาใครก็ไม่รู้ เขาปรายมองหลานสาวที ภรรยาที

“คุณพรรณ ผมว่านี่ไม่ใช่เวลาของการนำเสนอผู้ชายให้หลานที่ยังเป็นสาวเป็นแส้ ที่ว่าใกล้จะเรียนจบที่จริงก็อีกหลายเดือน เด็กสมัยนี้ใครเขารีบร้อนจะแต่งงาน พวกเขามีอนาคต มีโลกส่วนตัวและผมเชื่อว่าหลานของเราหาเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาลำแข้งผู้ชายพวกนั้น ลูกหว้าเรียนออกแบบภายใน เป็นมัณฑนากรรายได้น้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ”

“ถ้าหางานได้เร็วๆ ก็นะ แล้วถ้าต้องเดินเตะฝุ่นเหมือนคนนับแสนพวกนั้นจะทำอย่างไร ข้าวน้ำสมัยนี้แพงนะคะคุณ” ประชดแล้วค้อนน้อยๆ วาดฝันเม้มปากแน่นเบื่อหน่ายต่อการปะทะคารมของคุณป้ากับคุณลุงโดยมีเธอเป็นสาเหตุ หญิงสาวกลอกตาไปยังผ้าปูโต๊ะอึดอัดเต็มที

“เป็นผมจะไม่รีบ ยิ่งเก่งๆ สวยๆ อย่างพี่หว้านะ เล่นตัวไปเลย” เปรมชลสนับสนุนคำพูดของบิดา ร้อนถึงหูตานางพิศพรรณร้อนฉ่าแล้วค้อนปะหลับปะเหลือกใส่ลูกชาย
พอแล้ว พอเสียทีเถิด... วาดฝันภาวนาในใจ

“เงียบเลยตาเปรม อย่ายุ่งเรื่องผู้ใหญ่ เรื่องของเราน่ะไปถึงไหน จะสอบจะเรียนอะไรต่อยังคุยกับแม่ไม่จบเลยนะ” มารดาวกมาเข้าเรื่องลูกชาย เด็กหนุ่มเบ้หน้ากลอกตาเหลือกขึ้นอย่างเอือมระอา วาดฝันเข้าใจนะเปรมชลเป็นหนุ่มในวัยสิบแปดปี เป็นบุตรโทนของคุณลุงคุณป้าที่ทำตัวเสมือนน้องชายแท้ๆ ของเธอ เขาทั้งรัก ทั้งปกป้องพี่สาวอย่างที่บิดาสอนไว้ตั้งแต่เด็ก เปรมชลส่ายหัวดิกกับคำพูดของมารดา

“ถามพี่หว้าก่อนไหมฮะว่าอยากมี ฝาละมี หรือเปล่า เดี๋ยวคุณแม่หาเสียเที่ยวเปล่าๆ นะ แล้วพวกลูกเพื่อนคุณแม่น่ะฮะ หน้าตาเป็นยังไง ตาตี่ วิสัยทัศน์สั้น ทำงานอะไรหรือเกาะพ่อแม่กิน ที่สำคัญเก่งเท่าพี่หว้าไหมฮะ” เด็กหนุ่มซักไซ้แทนพี่สาวจนบิดาอดยิ้มอย่างภูมิใจในเรียวตามิได้

“ตาเปรม หยุด! เดี๋ยวเถอะนะ” มารดาชี้หน้ากวนๆ ของเขาคาดโทษ

หนุ่มน้อยหน้ามนทิ้งระเบิดลูกใหญ่แล้วลุกพรวดทั้งชุดนักเรียนแบบมัธยมปลาย กางเกงขาสั้นสีน้ำเงินกับเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้น เด็กหนุ่มขยิบตาเป็นการให้กำลังใจญาติผู้พี่แล้วปรี่ไปที่ประตู ก่อนจะถูกมารดาปาอะไรไล่หลัง

“ผมอิ่มแล้ว ไปรอที่รถนะฮะคุณพ่อ” เสียงของเขาผ่านไปไวเหมือนตัว เหลือก็แต่สองลุงหลานที่นั่งหน้าเหลอหลา สบตากัน

“ปากดีจริง ลูกใครยะเนี่ย” ค่อนขอดแล้วหันขวับมาทางวาดฝัน ปักหมุดดอกใหญ่ลงบนหน้าเท้าของเธอด้วยสายตาที่ทั้งจิก ทั้งทึ้งจนร่างบางไม่กล้าขยับตัวตามเปรมชลไป

“เอ้อ คือว่า...หว้า”

“ไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้ แต่ต้องเก็บเรื่องที่ป้าบอกไปคิด เพราะเสาร์นี้ป้านัดได้คนหนึ่ง เดี๋ยวจะได้ไปทำความรู้จักกับพี่เขา”

พิศพรรณรวบรัดพลางวางช้อน ไม่เปิดโอกาสให้วาดฝันได้ปฏิเสธ ร่างท้วมสมบูรณ์ผลุบผลับลุกขึ้นแล้วก้าวฉับๆ ออกจากห้องรับประทานอาหารซึ่งติดกับห้องรับแขกโอ่โถงของตัวบ้าน หญิงสาวคนเดียวในโต๊ะยังตกอยู่ในอาการงงงันหน้าเบลอๆ เมื่อเรียงเรียงความคิดได้ก็หน้าเหวอ...!!

หะ หา! นี่เธอต้องไปดูตัวทั้งที่ยังเรียนไม่จบน่ะนะ


นับว่าไม่แปลกอะไรเลยเมื่อบุคคลที่สอดตัวเข้ามานั่งภายในรถซีดานสีบรอนซ์ทอง ยี่ห้อเมอซีเดสเบนซ์ ต่างพากันโยกศีรษะจนคลอนแล้วถอนหายใจออกมาแทบจะพร้อมกัน เป็นความน่าขันปนระเหี่ยใจ ที่ทุกคนพร้อมใจกันมีต่อพฤติกรรมของนางพิศพรรณ ที่โดยปกติแล้วจะพยายามเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียมากกว่า โดยเฉพาะผู้เป็นสามีแต่กับเรื่องนี้ทำให้เขาขุ่นใจจนนึกตำหนิที่ภรรยาไม่เก็บอาการเรื่องไม่รักใคร่ไยดีหลานสาวของเขาเอาเสียเลย

ส่วนเปรมชลมีตำแหน่งพิทักษ์พี่สาวจากหนุ่มๆ อยู่แล้ว จึงไม่เห็นด้วยที่มารดาจะส่งวาดฝันไปดูตัว จะต่างอะไรจากการเร่ขายชิ้นเนื้อสดๆ คุณภาพดีให้สุนัขป่าหื่นกระหายพวกนั้น ซึ่งเขานี่แหละจะค้านสุดตัว

ภายในห้องโดยสารเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศเริ่มคงที่ ปรเมศนั่งอยู่ในตำแหน่งผู้ขับ หลานสาวหน้าตาจิ้มลิ้มนั่งทางฝั่งซ้ายมือของเขาส่วนลูกชาย...เปรมชลแทรกร่างสูงโปร่งเกินมาตรฐานชายไทยผ่านกองเอกสารของบิดาเข้าไปนั่งจุ้มปุ๊กที่เบาะหลัง เคลือบแว็กซ์จนเงามันของเบาะหนังสีดำสนิท

“ออกรถเลยสิฮะ เดี๋ยวคุณแม่ตามออกมาจะได้เรื่อง” เปรมชลร้องเตือน เมื่อเห็นว่าบิดาแค่สตาร์ทรถมิได้ขับออกไปจากบริเวณบ้านเสียที

ความหวังดีของบุตรชายถูกสนองด้วยการที่ปรเมศผงกศีรษะน้อยๆ วางเท้าภายใต้รองเท้าหนังสีดำงามเงาบนคันเร่ง กดน้ำหนักลงไป พาพาหนะคู่ใจที่ได้มาเมื่อหนึ่งปีก่อนออกตัวแรง แล่นผ่านรั้วอัลลอยด์สีขาวซิลเวอร์ที่บังคับเปิดด้วยรีโมท พ้นมาได้เด็กหนุ่มก็บ่นขึ้นว่า...

“เกือบไปแล้วนะพี่หว้า หูชาเลยไหม คุณแม่นะคุณแม่นึกยังไงจะส่งพี่หว้าใส่พานไปประเคนลูกเพื่อนตัวเอง เหอะ” ค่อนขอด ออกท่าออกทางเข่นเขี้ยวให้เห็นทางกระจกมองหลัง วาดฝันยิ้มเฝื่อนๆ ยังขนลุกไม่หายจนต้องลูบขนแขนของตน

“ขอบใจนะเปรม พี่เกือบเอาตัวไม่รอด เฮ้อ...” หล่อนถอนใจว่าโล่งอกจริงๆ ที่รอดพ้นสถานการณ์นั้นมาได้

“ไม่เป็นไรฮะ” หนุ่มคนน้องยิ้มกว้าง อวดฟันเรียบเรียงสวยสีขาวสะอาดวับ ฝ่ายวาดฝันคิดอะไรได้ก็รีบบ่ายหน้าไปทางขวา

“คุณลุงช่วยหว้าด้วยนะคะ หว้าไม่ไปดูตัวกับลูกเพื่อนคุณป้านะคะ” หล่อนออดอ้อน ชายผู้ทำหน้าที่สารถีเหลือบมองอย่างปรานี เห็นใจหลานสาวไม่น้อย ทว่าก็ไม่อยากขัดภรรยาให้เกิดกลียุคในบ้านอีก เขาครุ่นคิดจนแถบคิ้วหนาๆ สีเข้มอมน้ำตาลขมวดเข้าหากันก่อนจะถอนใจเบาบางที่เต็มไปด้วยความหนักหนาในใจ และสัญญาณแบบนี้ไม่ดีเลยสำหรับหญิงสาว

“ลูกหว้า...ครั้งนี้ครั้งเดียวตามใจป้าเขาหน่อยก็แล้วกันลูก แล้วลุงสัญญาว่าจะหาทางช่วยหนูเอง”

“ช่วย? คุณลุงจะช่วยหว้ายังไงคะถ้าหว้าต้องไปนั่งอยู่ต่อหน้าพวกเขา เหมือนหมูขึ้นเขียง หว้าจะหนีออกมาได้ยังไง ไม่เอาล่ะค่ะ หว้าไม่อยากเสียเวลาไปเจอหน้าคนที่หว้าไม่รู้จัก ขอหว้าไม่ไปนะคะคุณลุง” หลานสาวเสียงแข็งกว่าเรื่องไหน ปกติหล่อนไม่ดื้อกับผู้เป็นลุงเลย ปรเมศชั่งใจ ในนัยน์ตาเครียดขึ้งขึ้น

“นะลูก ถือเสียว่าลุงขอสักครั้ง ขอร้อง”

ล แล้วกัน! ไหงลงอีหรอบนี้ไปได้ล่ะ

“อ้าว! คุณพ่อ ไหงกลับไปเข้าข้างคุณแม่ล่ะฮะ พี่ลูกหว้าไม่อยากไปก็อย่าบังคับกันสิ”

วาดฝันไม่เข้าใจผู้เป็นลุงพอๆ กับเปรมชลไม่เข้าใจพ่อ เขารู้ว่าบิดาเป็นที่พึ่งเดียวที่คอยช่วยเหลือวาดฝันแต่วันนี้ทำไมแปรพรรคไปอยู่ข้างมารดาที่มิได้เอ็นดูพี่สาวของเขาเลย แต่กว่าที่เขาหรือวาดฝันจะได้รู้ความตั้งใจที่แยบยลนั้น...ก็เป็นวันที่เจ้าหล่อนต้องไปเผชิญหน้ากับเพื่อนคุณป้าพิศพรรณกับลูกชายของนางนั่นล่ะ

ไม่มีปาฏิหาริย์ใดเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น แม้ว่าวาดฝันจะภาวนาเท่าไรก็ตาม และเป็นธรรมดาที่หลานสาวคนโปรดซึ่งไม่เคยถูกขัดใจ คราวนี้มิได้ถือเป็นครั้งแรกแต่ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดสำหรับวาดฝัน ความผิดหวังจึงสั่งสมขึ้นในหัวใจพร้อมคำตัดพ้อที่มิได้ปริปาก หญิงสาวในชุดนักศึกษาจึงนั่งเงียบๆ แล้วไม่พูดขอร้องคุณลุงให้ท่านลำบากใจอีก

ถัดจากนั้นสิบห้านาที...

“เปรมไปนะฮะคุณพ่อ พี่หว้า ตอนเย็นพบกัน” เด็กหนุ่มลงจากรถไปก่อน ปรเมศชะลอแล้วจอดเทียบฟุตบาทด้านหน้าทางเข้าไปในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่เปรมชลจะต้องเดินลงไปขึ้นรถเพื่อไปโรงเรียนอีกทอดหนึ่ง ส่วนวาดฝันยังคงร่วมทางไปมหาวิทยาลัยพร้อมปรเมศ เมื่อไปถึงก็ขอลงที่หน้าตึกคณะมัณฑนศิลป์ ทว่ายังไม่ทันขึ้นตึกก็พบชชรินทร์กับเพื่อนอีกสองสามคน พวกเขาช่วยกันโบกมือเรียกวาดฝันจึงเข้าไปหา

“ยัยหว้า ทางนี้ๆ”

โต๊ะหินอ่อนทรงกลมกับม้านั่งสีขาว พร้อยไปด้วยลายหินแตกๆ ตั้งกระจายเป็นหย่อมๆ เป็นจุดที่นักศึกษาใช้นั่งเล่น พูดคุยและนัดเจอกัน วาดฝันเดินเนือยๆ เข้าไปถึงตัวเพื่อนๆ ที่มีชชรินทร์ จุลภัค ศิริมาศและทิพย์ศุรี ซึ่งวันนี้พร้อมใจกันมาเช้ากว่าเธอ

แก้มขาวๆ ของหญิงสาวระเรื่อแดงเหมือนคนออกแดด แท้ที่จริงแล้วสืบเนื่องมาจากที่บ้านและเหตุการณ์ในรถ เจ้าหล่อนหย่อนกายลงนั่งข้างๆ ชชรินทร์ ทักทายจนครบแล้วยิ้มให้เพื่อนหนุ่มราวกับว่า...ไม่มีเรื่องราวกระอักกระอ่วนใจเกิดขึ้นเมื่อวาน

“มานานกันหรือยัง หว้ามาพร้อมคุณลุงเลยแวะไปส่งนายเปรมก่อน ขายูเทรนกลับรถติดมาก” เจ้าหล่อนเล่าเรื่อยๆ อย่างปกติ

“เพิ่งมาถึงนี่ล่ะจ๊ะ ยังแปลกใจกันเลยว่าวันนี้หว้ามาช้ากว่านายภัค ที่ปกติเป็นที่โหล่ได้ยังไง”

ทิพย์ศุรี เพื่อนสาวผู้ที่อายุแก่เดือนกว่าทุกคนกลับทำให้หล่อนแตกต่างเรื่องความคิดความอ่าน การพูดจาเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในกลุ่มก็ว่าได้ ต่างจาก ศิริมาศ มากทีเดียว เพราะรายนั้นขี้เล่น ชอบกระเซ้าเย้าแหย่ทุกคน แต่บทจะจริงจังหล่อนก็จริงจังได้โล่

“พร้อมเรียนนะหว้า หน้าแดงๆ เป็นไข้หรือเปล่าแล้วนั่นตาก็แดงๆ ด้วยนี่” ศิริมาศซึ่งนั่งฝั่งตรงข้ามชี้มาที่พวงแก้มปลั่ง วาดฝันกะพริบตา สีหน้าเหลอหลาแล้วคว้ามือไปลูบแก้มป้อยๆ เก้อๆ

“จ จริงเหรอ?” ชชรินทร์ผงกศีรษะว่า ใช่

“หว้าสบายดีนะ สงสัยจะรีบเดิน แดดก็แร้งแรงหน้าก็เลยแดงมั้ง” ตั้งสติได้ก็บุ้ยใบ้บอกออกไป

“เร้อ? ก็นึกว่าไม่สบาย พอมาสายอย่างนี้ทำเอาไอ้ชัชชะเง้อคอยืดเป็นจิงโจ้ ดีที่มันไม่มีกระเป๋าข้างหน้า ไม่งั้นคงห่วงหว้าจนพกติดตัวไปไหนมาไหนตลอดแน่”

อ้าวเฮ้ย! คนถูกพาดพิงอย่างชชรินทร์หน้าเจื่อน ร้อนวาบๆ ขึ้นมาที่โหนกแก้มซ้ายขวา

ก่อนหน้านี้เป็นเสียงแซวของ จุลภัค ชายหนุ่มขึ้นชื่อเรื่องสนิทกับชชรินทร์มากเพราะเป็นผู้ชายสองคนในกลุ่ม รายนี้เข้าใจหัวอกคนแอบรักเขาข้างเดียว อาสาเป็นที่ปรึกษานมนาน จนไม่นานมานี้จุลภัคยุส่งให้เพื่อนหนุ่มบอกความในใจวาดฝันไปเสีย จะได้โล่งๆ เพราะอีกไม่นานก็จะแยกย้ายกันไปแล้ว เขาจึงกล้าแซวเพื่อนๆ แบบนี้

“พูดเล่นพูดจริงเนี่ย นายภัค บอกมาเดี๋ยวนี้นะยะ” ศิริมาศคาดคั้น ขณะที่ชชรินทร์ส่ายหน้าดิกแล้วหันไปคาดโทษคนปากเปราะถลึงตาดุ

“ไร้สาระว่ะไอ้ภัค เงียบๆ ไปเลย” ได้รับการยืนยัน ทิพย์ศุรีก็หันไปทางจุลภัค

“เวอร์ได้อีกนะนายภัค หว้าไม่ใช่สิ่งของที่นายชัชจะกระเตงไปไหนต่อไหน จะมาแอ๊บสนิททำเกินเพื่อนไม่ได้นะยะ เอ๊ หรือว่าพวกเธอสองคนมีอะไรที่ไม่ได้บอกพวกเราจ๊ะ ลูกหว้า” ทิพย์ศุรีทำตาโตได้น่ากลัวมากเพราะดวงตาของหล่อนโตอยู่แล้ว วาดฝันส่ายหน้าทั้งที่อมยิ้ม หน้านิ่งๆ ที่เองที่ใช้สยบข่าวลือชะงัด พลางขยิบตาบอกชชรินทร์ว่าเธอจัดการเอง
“ไม่มีซัมติงพรองอะไรทั้งนั้นจ๊ะมาศ ทิพย์ แล้วก็นายภัค จริงไหมชัช?” เจ้าหล่อนหันไปหาคู่กรณีแล้วยิ้มหวาน

คนที่งงที่สุดก็คือ จุลภัค เขาเกาหัวแกรกๆ เพราะเข้าใจว่าชชรินทร์สารภาพความในใจไปแล้ว จึงบ่นพึมพำอย่างขัดใจ

“อะไรกันว้า คู่นี้ ไอ้ชัชนี่ก็ไม่ได้เรื่องเล้ย ช้าเป็นเต่าคลานไปได้”

“ก็อย่างที่หว้าบอกนั่นแหละ ไม่มี” ชชรินทร์สำทับคำพูดของเพื่อนสาว จู่ๆ จะป่าวประกาศว่ารักเพื่อนกลางวงก็ใช่ที่ ถึงแม้ว่าจะสนิทสนมกันมานานสี่ปีก็เถอะ เขาอายเป็นและวาดฝันไม่อยากซ้ำเติมว่าหล่อนปฏิเสธเพื่อนรักอย่างชชรินทร์จึงบอกออกไปอย่างนั้น ซึ่งก็ดีแล้ว

วาดฝันดูอาการทุกคนแล้วค่อนมาทางเชื่อถือคำพูดของเธอ พูดจบก็วางมือแล้วตบปุที่บ่าแกร่งของชชรินทร์ ลุกขึ้นยืนกระฉับกระเฉง

“เข้าเรียนเถอะ” ทุกคนลุกตามแล้วเดินนำไปก่อนทั้งสามคน วาดฝันรีๆ รอๆ ตอนยืนขึ้น ก่อนออกเดินพร้อมกับชชรินทร์ เพื่อนหนุ่มเบือนมาสบตาเป็นการ ‘ขอบใจ’ พลางโน้มตัวลงมาเล็กน้อย เกือบชิดบ่าบางของเธอ

“หว้า แน่ใจหรือว่าไม่เป็นอะไร?” คนช่างสังเกตไม่วายถาม หญิงสาวปัดดวงหน้านิ่งๆ แต่ฉายแววตากังวลกลับมาสบ...

“แล้วหว้าจะเล่าให้ฟังหลังเลิกเรียน”


เราชอบหว้า...

วาดฝันไม่ได้ดูแคลนความรู้สึกของเพื่อนหนุ่ม ที่ต้องปฏิเสธชชรินทร์ก็เพราะสี่ปีแห่งความสัมพันธ์บ่มเพาะไปในทางมิตรภาพ หาใช่รักไม่

อีกทั้งตัวเธอเองก็ไม่ได้รู้จักคำนี้ลึกซึ้ง นอกจากความรักระหว่างคนในครอบครัว รักเพื่อน แต่ความรักแบบหนุ่มสาว ประเภทจี๊ดๆ ที่หัวใจยังไม่เคยพบพาน จนเมื่อถูกขอเป็นแฟนกะทันหันจากคนใกล้ตัว จะตั้งตัวทันอย่างไรไหว แต่ถ้าปฏิเสธอย่างที่คนอื่นทำกันสถานการณ์คงอึมครึมกว่านี้หลายเท่า เธอคิดดีแล้วที่ใช้วาจาห้าวๆ อย่างเพื่อนนี่แหละตอบกลับไป อย่างน้อยชชรินทร์ก็ยังไหวตัวทันไม่ได้คาดคั้น เขายิ้มเฝื่อนๆ น่าสงสารแต่ก็ยังยิ้มเพื่อรักษามิตรภาพของเราไว้

แม้ว่าเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นวานผ่านไปแล้ว แต่วาดฝันก็ยังอดคิด อดได้ยินคำรำพันแว่วๆ จากชชรินทร์มิได้ ทำไมจู่ๆ ชายหนุ่มที่เป็นคนใกล้ตัวถึงได้คิดนอกลู่นอกทางไปได้ ทำไมไม่นึกอยากรักษามิตรภาพยั่งยืนแบบเพื่อนไว้ให้นานเท่านานกันเล่า...

ด้วยตลอดมาวาดฝันวาง ชัช ในฐานะเพื่อนสนิทมากที่สุด และเพราะเธอรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ กระมัง ที่เป็นตัวการเบรกรอยยิ้มกว้างๆ ของเขา แต่จะทำอย่างไรได้เล่า เธอไม่มีทางเลือกอื่นนะและถ้าจะให้เออออตอบรับส่งๆ ก็ไม่ใช่วิสัยของคนอย่างลูกหว้าเลย

วาดฝันรู้ดีว่าอย่างไรก็ทำไม่ได้โดยเฉพาะเรื่องที่ขัดต่อความรู้สึก หัวใจไม่ให้ความร่วมมือ หากต้องรักษาน้ำใจชชรินทร์ในวันนี้ สุดท้ายจะต้องเสียเพื่อนที่รักมากคนนี้ไป สู้เป็นคนใจร้ายวันนี้เสียดีกว่า และใช่ว่าเพื่อนสนิทชชรินทร์ไม่รู้นิสัยของวาดฝัน เพราะรู้จึงไหวตัวทัน ยอมถอยออกมาตั้งหลักแล้วรอไปอีกหนึ่งปีที่จะกลับมาถามคำถามนี้กับเธออีกครั้ง

'ชัช' นายจะรู้ไหมหนอ...

ว่าหว้าเป็นคนที่แบบ...คิดอย่างไรจะมั่นคงอยู่อย่างนั้น ต่อให้กี่ปีผ่านก็เถิดความรู้สึกจะยังคงเดิม คำตอบของวันนี้ในปีหน้าจึงยังเป็นคำตอบเดิม

แต่อย่างน้อยๆ วาดฝันก็พอใจที่ได้แสดงความจริงใจอย่างเป็นตัวเองต่อเขามากที่สุดแล้ว เวลาสี่ปีขาดไม่กี่เดือนได้ผ่านสร้างความสนิท ความไว้เนื้อเชื่อใจ และมิตรภาพขึ้นทีละนิดละน้อย มันคือกำแพงสูงใหญ่ แข็งแรงและสวยงามอย่างที่สุดในความคิดของวาดฝัน และเธอไม่มีวันทำลายหรือให้อะไรไปกัดเซาะ

วาดฝันจึงมั่นคงในคำตอบ ไม่สับสนแม้นต้องหักอกชชรินทร์ซึ่งก็มิได้สะบั้นความรู้สึกเพื่อนหนุ่มให้หักร้าวไป อย่างไร...แววตาของเขาก็ยังอยู่ที่เธอเสมอ และแน่นอนว่าเมื่อชชรินทร์รู้ว่าคุณป้าของวาดฝันคิดการณ์อะไร ด้วยเหตุผลอะไร ชายหนุ่มก็ตาขุ่นเขียว เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเพื่อนสาวทันที

น้ำเปล่าแก้วนั้นหมดลงอย่างรวดเร็วเพื่อดับไอร้อนที่โชยในอก พลางเบือนใบหน้าคมสัน ฉาบสีผิวออกเหลืองมาที่เธอมองอย่างเป็นห่วงเป็นใย

“แล้วหว้าจะไป...?” เขาเอียงศีรษะทุยที่เกาะของเส้นผมตัดสั้น เกือบเป็นสกรีนเฮด เจ้าหล่อนส่ายหน้าหงึกหงัก ดวงตาซ่อนแววหดหู่

“ไม่อยาก แต่ก็ต้องไป”

“อ้าว!” ชชรินทร์อุทาน

“...เพราะคุณลุงขอร้องน่ะ”

“เฮ้ย! ยังไง! ปกติอาจารย์ช่วยหว้าทุกครั้ง เกิดอะไรขึ้นล่ะนี่”

เขาพูดเหมือนเปรมชลเลย ครั้งนี้ผู้เป็นลุงพูดเรื่องที่ไม่คาดฝัน นั่นล่ะเหตุผลที่ทำให้หญิงสาวผิดหวังและรู้สึกอ้างว้างจู่ๆ ก็เหมือนกับว่าไม่เหลือใครสักคนในโลกนี้ขึ้นมาเสียเฉยๆ

“ไม่รู้...รู้แต่ต้องไป หว้าไปก็ได้แต่จะออกฤทธิ์ออกเดชให้ดู คุณป้าอับอายครั้งนี้แล้วก็คงไม่กล้ามีครั้งต่อไปอีก” บอกด้วยน้ำเสียงจริงจังที่ชชรินทร์รู้ว่าครั้งนี้วาดฝันเอาแน่ เจ้าหล่อนเป็นคนตรงๆ ห้าวห่ามเกินหญิงอยู่แล้ว

ออกฤทธิ์ออกเดชที่ว่า...จึงไม่กล้าประเมินว่าจะเละเทะปานไหน แล้วเขาก็คิดขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง “เดี๋ยวหว้า!”

“เอางี้ไหม เราช่วย” ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก “เดี๋ยวเราไปแสดงตัวเป็นแฟนหว้าให้เอง รายไหนรายนั้นกระเจิงแน่ถ้าดูตัวอยู่ดีๆ แล้วแฟนตัวจริงโผล่มา”

ความโผงผาง คิดเร็วทำเร็วเป็นนิสัยของชชรินทร์ วาดฝันชินแล้วแต่กำลังคิดว่าเหมาะไหมระหว่างการช่วยเหลือของเขา เมื่อเทียบกับการทำตัวแย่ๆ ในวันดูตัว ให้อีกฝ่ายปฏิเสธอย่างเด็ดขาดไปเลย แล้วก็คิดได้ว่าเธอต้องลองช่วยตัวเองก่อนที่จะพึ่งพาใคร

“ขอบใจนะชัช แต่ขอหว้าจัดการเองก่อนก็แล้วกัน ถ้าต้องการความช่วยเหลือแบบพิเศษ หว้าจะรีบโทรไป” ยิ้มกว้างแทนการบอกว่าดูแลตัวเองได้ เรื่องนี้เขาก็รู้อีกเหมือนกันลูกหว้าเป็นสาวเก่ง มั่นใจไม่ชอบพึ่งพาใครถ้าไม่เดือดร้อนจริงๆ แต่เขาอยากเป็นที่พึ่งอยากเป็นคนที่เจ้าหล่อนนึกถึงเป็นคนแรกนี่นา

ชชรินทร์เลิกแถบคิ้วหนาเป็นปื้นเหนือเรียวตาดุดำ นิ่งอยู่พักหนึ่งแล้วพยักพเยิดยอมรับการตัดสินใจของวาดฝัน

“เอางั้นเหรอ เสาร์นี้ใช่ไหม?”

“ใช่ วันเสาร์นี้” วาดฝันบอกเสียงขื่น นัยน์ตาคู่หวานเย็นชาจนรู้สึก

ถ้านี่เป็นความหวังดีของผู้หลักผู้ใหญ่ที่ปรารถนาให้หลานสาวเป็นฝั่งเป็นฝาทั่วไปเธอก็คงไม่รู้สึกแย่ปานนี้ แต่เพราะรู้แก่ใจว่าไม่ใช่ความใส่ใจแบบนั้น มันเป็นแค่ข้ออ้างที่จะผลักกาฝากอย่างเธอ ให้กระเด็นออกจากครอบครัวของคุณป้า วาดฝันรู้สึกขมขื่นกว่าครั้งไหนเมื่อคิดถึงมัน อีกท่วมท้นไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจเรื่องปรเมศ

บางที...คุณลุงของเธอก็อาจมีความคิดตามผู้เป็นป้าไปแล้วก็เป็นได้ คิดได้อย่างนั้นเกิดก้อนขื่นตีพุ่งจากอก ล้ำมาถึงคอหอย ขอบนัยน์ตาอ่อนบางเห่อร้อนแม้มิได้มีหยดใสไหลอวดสักหยด กลับรู้สึกเหมือน...กำลังร้องไห้ มือเล็กๆ บีบเข้าหากัน วางทิ้งบนตักนุ่มน้อยใจอยู่ลึกๆ ตัดพ้ออยู่แค่ในใจ โดยที่ดวงตาคู่เดิมยังเรียบเฉย

วาดฝันพร้อมที่จะออกจากบ้านหลังนั้น ไปให้ไกลโดยที่ไม่รับข้อเสนอของคุณป้าพิศพรรณ ซึ่งไม่ว่าเขา...ผู้โชคร้ายคนนั้นที่รับนัดดูตัวกับเธอจะเป็นใคร เขาคนนั้นจะต้องปฏิเสธจนคุณป้าหน้าแตกไม่รับเย็บ

หญิงสาวยกมุมปากหยักหยันขึ้นเล็กน้อยยามนึกปรามาส เขาทำให้เธอเป็นทุกข์เป็นร้อนและไม่สบายใจ ช่วยไม่ได้ที่เธอกับเขาจะถือเป็นศัตรูกันทั้งที่ยังไม่เคยเห็นหน้า


“ยัยหว้า! สายแล้วนะทำไมยังไม่ออกมาอีก เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะลูกหว้า”

“เปิด!”

ผู้เป็นป้าตะโกนโหวกเหวกอยู่ที่หน้าห้อง เสียงเคาะก๊อกๆ ที่หน้าประตูดังถี่ขึ้นทุกที บ่งบอกว่าคนที่อยู่ข้างนอกนั่นร้อนใจเพียงใดเมื่อวาดฝันยังนิ่งเงียบอยู่ภายในห้องนอน โดยใช้ประตูไม้กรอบสีเข้มอมเขียวไข่กาเป็นปราการแข็งขัน แน่นอนว่าอากัปอาการของคนในห้องแตกต่างด้วยหญิงสาวกำลังยืนนิ่งๆ ที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง สำรวจตัวเองอย่างพินิจ ดวงตาดำขลับจึงไม่ว่อกแว่กทว่าเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่ายยามที่เหลียวมองตามเสียง

นางพิศพรรณอยู่ในชุดพร้อมออกงาน ตัดเย็บด้วยผ้าไหมสีม่วงบานเย็น ทั้งตัวเสื้อและกระโปรงยาวคลุมเข่า คล้องท่อนแขนอวบสมบูรณ์ด้วยกระเป๋าถือหูสั้น แบรนด์ดัง ที่ต้องบากหน้ามาเรียกถึงห้องก็เพราะวันนี้นางต้องอาศัยวาดฝัน ต้องพาหล่อนไปดูตัวตามที่นัดคู่กรณีไว้

แต่ดูเถิด...เวลาที่งวดเข้ามามิได้ทำให้อีกฝ่ายเยี่ยมหน้าออกมาจากห้อง นางร้อนใจจนต้องมายืนกระทืบเท้าตึงๆ เรียกรัวอยู่ตรงนี้

ไม่รู้จักเวล่ำเวลาเอาเสียเลย เด็กอะไร้!

ก๊อกๆๆ

“ยัยหว้า อ้าว...!!”

เสียงเรียกที่แผดออกไปไม่ทันจบ จู่ๆ วาดฝันก็เปิดประตูออกมาในชุดที่ทำให้ดวงตาของผู้เป็นป้าตะลึงงัน แล้วถลึงกว้างเป็นกะพริบตาปริบๆ ประหลาดใจที่หลานสาวดูเป็นสาวหวานกว่าทุกวัน นานๆ ครั้งวาดฝันจะเลือกชุดกระโปรงในการแต่งไปรเวท ปกติน่ะหรือ ไม่กางเกงยีนก็กางเกงขาก๊วยกับเสื้อยืดใส่สบายนั่นล่ะ กะโบโลจนดูเป็นมอมแมมเสียมากกว่า

อืม...สวยดี นางพึมพำแต่ก็แค่ในลำคอ แววตาพอใจฉายชัด

“อุ้ยตาย! ไม่คิดว่าจะมีชุดอย่างนี้ด้วย แต่ก็ดีจ๊ะ สมกาลเทศะหน่อย คนที่เราจะไปเจอไม่ใช่ธรรมดาๆ นะดูดีใช้ได้ ไปไป้ ไปช้ากว่าเขาจะเสียมารยาท”

คุณป้าพิศพรรณชายตามองแล้วฉุดข้อมือเล็กให้ตามลงไปชั้นล่าง เหมือนถูกกระชากลากถูจนวาดฝันต้องเดินเร็วๆ ตามไป จะทำอย่างไรได้เล่าในเมื่อตกกระไดพลอยโจนไปแล้ว หญิงสาวเหลียวมองไปรอบๆ เมื่อเดินผ่านห้องนั่งเล่นไปที่ประตูทางออกก็ไม่เห็นใคร จริงด้วยซี...

บ้านเงียบกว่าทุกวันเพราะคุณลุงปรเมศไปสัมมนาต่างจังหวัดซึ่งทางมหาวิทยาลัยจัดให้ แทนอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งติดธุระกะทันหัน ส่วนเปรมชลไปเข้าค่ายอาสาฯ ซึ่งย้ำให้รู้ว่าไม่มีใครจะเป็นทัพหน้าช่วยเธอได้หากจวนตัว นอกจากชชรินทร์ที่นอนเฝ้าโทรศัพท์มือถืออยู่ที่หอพัก

“เดี๋ยวไปที่ร้านอาหารเลย ทางนู้นเขาขอเปลี่ยนจากโรงแรมกะทันหัน บอกว่าไม่อยากเป็นทางการมากเกินไป ที่ฉันเห็นดีด้วยก็เพราะไม่เปลืองมากหรอกนะ เผื่อชวดจะได้ไม่ต้องเสียค่าอาหาร ค่าน้ำชาแพงๆ ไงล่ะ”

“ค่ะ” วาดฝันรับรู้สั้นๆ อย่างไร้อารมณ์

“แล้วก็นะ แกจะเสียมารยาทกับแขกของฉัน เอ้อ ของป้าไม่ได้ เรียกให้ชินปากก่อนเดี๋ยวเขาจะคิดว่าฉันไม่สนิทกับแก เอ้ย หลานแล้วมาด้วยกันได้อย่างไร บ้านฝ่ายชายเขาเป็นผู้รากมากดี เป็นคนมีหน้ามีตาในวงสังคมเลยล่ะสามีเป็นอายุรแพทย์ ภรรยาเป็นแม่บ้านแต่ก็รวยล้นฟ้า ที่สำคัญเขาเป็นลูกชายคนโต มีสิทธิ์ในมรดกมากกว่าน้องชายแน่นอน”

วาดฝันอยากถามออกไปนักว่า...คุณป้ารู้ได้อย่างไรว่าระหว่างลูกชายคนโตกับคนเล็ก ใครได้สมบัติมากกว่า แต่ก็นะเธอไม่ได้ทำอย่างใจคิดหรอก หญิงสาวปล่อยให้ประโยคแล้วประโยคเล่า...ลอยเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา

วาดฝันนั่งเป็นหุ่นขี้ผึ้งเพราะรู้มาแต่ไหนแต่ไรว่าไม่เป็นที่โปรดของคุณป้า จึงสงบปากสงบคำมากกว่าจะเจรจาขานต่อ ตั้งแต่รู้ความติดจนเป็นนิสัยที่ต้องอยู่ห่างผู้อาวุโสไว้เป็นดี แต่ครั้งนี้ผู้เป็นป้ากลับต้องการสนทนากับเธอ

“ส่วนตัวลูกชายเองก็เดินสายอาชีพเดียวกับคุณพ่อของเขา แต่ไม่ได้เป็นหมอหรอกนะเห็นว่าไม่ชอบ” นางยังคงเล่าไปเรื่อยๆ แล้วปรายตามองตุ๊กตาขี้ผึ้งข้างตัว

“แกน่ะชอบแบบไหน พวกในเครื่องแบบ หมอ หรือว่าเจ้าของกิจการ จะว่าไปก็มีหมด พวกนักธุรกิจเล็กๆ ถลุงเงินพ่อแม่อาจดูจับจดไปบ้างแต่รวย คนนี้เป็นอาจารย์ ฉันคิดว่าเหมาะกับแกนะ”

อาจารย์เนี่ยนะ...

เฮ้อ... วาดฝันเม้มปากครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเหนื่อยหน่าย นึกอยากให้ถึงที่หมายเร็วๆ จะได้ไม่ต้องฟังไม่ต้องตอบคำถามสะอิดสะเอียนชวนคลื่นเหียนเหล่านี้ ยิ่งพูดก็ยิ่งเห็นภาพว่าป้าหลานคู่นี้เป็นพวกอยากมีสามีจนอดรนทนไม่ไหว นี่เธอต้องอยู่ในภาวะอย่างนั้นจริงๆ หรือนี่

แต่เมื่อหลบเลี่ยงไม่ได้ก็ยอมเงยหน้าขึ้น ตอบออกไปตรงๆ ซื่อๆ ว่า...

“หว้ายังไม่ได้คิดเรื่องนี้ค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าชอบแบบไหน” เจ้าหล่อนทอดเสียงเนือยๆ สร้างความรำคาญแก่หญิงสูงวัย เมื่อมิได้คำตอบที่ต้องการนางก็ส่ายหน้า แล้วตวัดเรียวตาคมกริบที่เสริมด้วยการทั้งดึง ทั้งกรีดอย่างหมั่นไส้หลานสาวตัวเอง

“ร้อยทั้งร้อยพูดแบบนี้ ทำติ๋มๆ ใส่ลุงแกเขาอาจเชื่อ แต่ฉันไม่เชื่อว่าแกไม่เคยมีแฟน ไปหลอกคนอื่นเถอะไป้”

นางพิศพรรณดูถูกได้ถี่ยิบทั้งปาก ทั้งตา วาดฝันก็ยังนั่งนิ่งทั้งที่หน้าตึงๆ คนที่ทนได้น่ะแปลกที่สุดแล้วและวาดฝันก็คือ...คนคนนั้น

วาดฝันเข้าใจคำว่า ‘อดทน’ ซึ่งท่องซ้ำๆ จนขึ้นใจทว่าวันนี้...วินาทีนี้ต้องใช้ความอดทนที่มากกว่า มือเล็กบนตักกำเข้าหากันแล้วบีบแน่น

“หว้าหมายความตามที่พูดจริงๆ ค่ะคุณป้า”

อันนี้ก็แล้วแต่จะคิด หลังๆ นี่เธอคิดในใจไม่ได้พ่นออกมาชวนทะเลาะ เพราะวาดฝันมีอย่างอื่นที่ต้องทำมากกว่า เพื่อเปิดแล้วปิดจบพิธีดูตัวครั้งแรกและครั้งสุดท้ายลงเสีย

“ถึงแล้วๆ ร้านนี้ไงล่ะ ใหญ่โตอยู่เหมือนกันนะ” ดีที่นางพิศพรรณเหลือบไปเห็นป้ายชื่อร้านเสียก่อน จึงจบบทสนทนาโดยปริยาย

สวนอาหารหรูแห่งนี้ตั้งตระหง่านอยู่บนถนนเลียบทางด่วนรามอินทราอาจณรงค์ นางจึงชะลอเข้าทางซ้ายแล้วเลี้ยวเข้าไปยังลานกว้างซึ่งเป็นที่จอดรถ คงเพราะเป็นช่วงเวลาเที่ยงวันลูกค้าไม่มากนักวาดฝันจึงเห็นรถทุกคันที่จอดอยู่ซึ่งเป็นกระบวนของรถขึ้นชื่อเรื่องแพง ไฮโซเซเลปขับขี่กันทั้งนั้น หญิงสาวเริ่มไม่มั่นใจว่าชายที่นัดดูตัวเป็นเจ้าของรถราคาแพงพวกนี้หรือไม่ ถ้าใช่ก็เรียกว่าระดับเศรษฐีย่อมๆ กระนั้นยังไม่ใช่เรื่องที่จูงใจให้สนใจผู้เป็นเจ้าของรถมากไปกว่านี้ เพราะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอเลย
“จองโต๊ะไว้แล้วนะยะ ชื่อคุณบัวบุศย์”

คุณบัวบุศย์...

ทันทีที่ดับเครื่องยนต์หญิงสาวซึ่งนั่งคู่ที่เบาะหน้าก็รีบก้าวลงจากรถ กระเป๋าหนังกลับแบบสะพายถูกจับพาดบ่าบางแล้วเดินลิ่วๆ นำหน้าผู้เป็นป้าไป บริกรหนุ่มนายหนึ่งออกมาต้อนรับพอบอกชื่อผู้จองโต๊ะไว้จึงรู้ว่าฝ่ายชายจัดการจองโต๊ะในทำเลที่ดีที่สุดไว้แล้ว ซึ่งก็คือเฉลียงด้านนอกที่มองลงมาเห็นลานจอด ที่ที่ปราศจากเครื่องปรับอากาศ มุมสวนสวยก็จริงแต่บริเวณนี้เปิดให้ลูกค้าสูบบุหรี่ได้

แหม...ตาคนนี้ช่างเลือกมุมได้เหมาะเจาะแก่พิธีดูตัวครั้งนี้มากจริงๆ วาดฝันนึกค่อน




นฎา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ต.ค. 2555, 13:51:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ต.ค. 2555, 13:51:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1337





<< บทนำ (1/1)   
mhengjhy 24 ต.ค. 2555, 18:46:28 น.
โอ๊ะ เปิดตัวเลยหรือเปล่าาาา


phakarat 24 ต.ค. 2555, 19:05:17 น.
จะเป็นคู่รักต่างวัยหรือเปล่านะ น่าติดตามค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account