เพื่อนกันวันสุดท้าย
เธอ...สาวทอมมาดหลุดผู้สับสนทางเพศ
เขา...คนที่เป็นเพศอะไรก็ได้เพื่อเธอ
และ
เธอ...เพื่อนสนิทคิด(ไม่)ซื่อ
เขา...เพื่อนชายนายแสนซื่อ(บื้อ)
Tags: เพื่อนกันวันสุดท้าย เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ เพื่อนสนิท รักเพื่อน เพื่อนรัก วินธัย ภัทรนรินทร์ ต้นน้ำ ศวิตา

ตอน: 1. เงื่อนไข

ปริ๊นซ์ก๊อปจากเว็บเดิมมาให้แล้วนะคะ
----------------------------------------------------


ฝากนิยายอีกเรื่องด้วยนะคะ
เรื่องนี้แต่งแบบไม่เบียดเบียนเวลาของจลาจลรักเลยค่ะ
เพราะปริ๊นซ์จะเอาจลาจลรักมาก่อนเมื่อมีเวลา
แต่บางทีมันไม่ได้ feel เขียนๆ ลบๆ อ่ะนะ
เลยเอามาลงกับไอ้เรื่องนี้แทน

ใครได้ลองอ่านหรือถ้าได้อ่านทั้งสองเรื่องก็ฝากติชมหน่อยนะคะ
ปริ๊นซ์เขียนคนละสไตล์(ในความรู้สึกอ่ะนะคะ)
อยากรู้ว่าคุณผู้อ่านชอบแบบไหนมากกว่า
ส่วนระยะเวลาในการลงไม่แน่นอนเข้าขั้นวิกฤตค่ะ
เพราะอย่างที่บอกคือจลาจลรักมาก่อนเสมอ
ขอโทษคุณผู้อ่านมาล่วงหน้าถ้าทำให้ต้องรอนานและ...

ขอบคุณมา ณ ที่นี้ค่ะ
เจ้าชายน้อย


------------------------------------------------------------

1.

‘ภัทรขา ชิมนี่สิของโปรดภัทรนี่นา” สาวตัวเล็กท่าทางจิ้มลิ้มยื่นไอศกรีมรสโปรดมาจ่อที่ปาก แขนเล็กๆ เกาะจนข้างๆ ไว้ราวอย่างออดอ้อน ‘อ้ำ...’

‘เชอร์รี่’ เสียงนุ่มเอ่ยขัดเบาๆ ก่อนจะขืนตัวออกมาจากแฟนสาวคนล่าสุดที่กำลังมองคนหน้าหวานตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจในการกระทำ แล้วเอ่ยเสียงกระเง้ากระงอดที่ครั้งหนึ่งเคยดูน่ารัก ‘ภัทรรู้มั้ยว่าตัวเองเปลี่ยนไป’

‘ภัทรว่าเราเลิกกันเถอะ’

‘อะไรนะ!’ สาวร่างเล็กลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เรียกสายตาของคนในร้านให้จับจ้องมาที่หญิงสาวตัวเล็กกับหนุ่มหน้าหวาน

‘ทำไม เชอร์รี่ไม่ดีตรงไหน ภัทรบอกมาสิเชอร์รี่จะได้ปรับปรุงตัว เชอร์รี่รักภัทรมากนะ’ หญิงสาวเอ่ยน้ำตาคลอ

‘ใจเย็นๆ เชอร์รี่ มันไม่ใช่อย่างนั้น’

‘แล้วมันอย่างไหนกันล่ะ ภัทรบอกมาเลยดีกว่าว่าภัทรเองที่มีคนใหม่ใช่มั้ยล่ะ’ สาวเจ้าถามวัดใจ ทำเอาอีกคนถอนหายใจเบาๆ แล้วตอบว่า

‘ถ้ามันจะทำให้เชอร์รี่ตัดใจจากคนอย่างภัทรได้ ภัทรก็จะตอบว่าใช่’

เพี๊ยะ!!!





“ฮ่าๆๆ แล้วนี่ก็คือรอยฝ่ามือพิฆาตของยัยเชอร์รี่นั่นใช่มั้ยวะ” ต้นน้ำหัวเราะก่อนจะยื่นมือเข้าไปหมายจะจับหน้าเพื่อนให้เห็นชัดๆ แต่โดนปัดออกมาซะก่อน “วะ! แค่นี้ทำเป็นหวง”

“ก็ลองเป็นแกโดนบ้างสิ” ตัวต้นเรื่องว่า

“ทำไม? แกจะขอดูหรอ”

“ขอถีบซ้ำต่างหาก!”

“ไอ้เวร! ผู้หญิงบ้าอะไรวะปากไม่มีหูรูด”

“ปากบ้านแกมีหูรูดหรือไง ไอ้โง่!” คนมีแผลย้อน

สงครามย่อยๆ เกือบจะเกิดในคอนโดของต้นน้ำเสียแล้ว ถ้าไม่เพราะเสียงแหวของสาวเปรี้ยวขัดขึ้นมาเสียก่อน “พอแล้ว แกสองคนนั่นแหละ ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ไปได้” ศวิตาว่า

“ก็วีต้าดูสิ ไอ้ต้นมันว่าภัทรอ่ะ”

“แล้วแกทำตัวแบบนี้เองไม่ใช่หรือไง สมน้ำหน้าแล้ว” ต้นน้ำพูดพลางหลบมือของศวิตาที่ตีมาบนหน้าขา ก่อนจะพูดต่อ

“หญิงก็ไม่ใช่ ชายก็ไม่เชิง ไส้เดือนป่าววะ อุ้บ!”

ปุ้บ!

หมอนอิงใบเขื่องปาอัดหน้าเต็มเปาโดยฝีมือของคนที่เป็น ‘ผู้หญิงก็ไม่ใช่ ผู้ชายก็ไม่เชิง’

ศวิตาขำกลิ้ง ก่อนจะรีบดึงแขนของคนที่เพิ่งปาหมอนระบายอารมณ์ “จะไปไหนน่ะภัทร”

“ไปให้พ้นหน้ามัน”

“แต่นี่มันคอนโดไอ้ต้นมันนะ แล้วภัทรจะไปไหน ไม่เอาน่าอย่างอนนะ เดี๋ยวเป็นผู้หญิงล่ะก็ไม่รู้ด้วย”

“วีต้า!”

ภัทรนรินทร์แทบกรี๊ดกับคำเย้าของเพื่อนสาวคนสวย จริงอยู่ที่เธอจะเป็นผู้หญิงก็ไม่ใช่ ผู้ชายก็ไม่เชิง แต่ก็ไม่ชินที่มีใครมาล้ออย่างนี้ทุกที ร่างสูงโปร่งกับเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกางเกงยีนส์ทะมัดทะแมงพร้อมผมซอยรากไทรนั่นทำให้เจ้าตัวดูเหมือนชายหนุ่มร่างบอบบางอย่างไม่ต้องสงสัย

ติดอยู่แค่วงหน้ากับดวงตาเรียวสวยเป็นประกาย จมูกโด่งที่ได้สัดส่วนรับกับริมฝีปากอวบอิ่มที่ทำให้ภัทรนรินทร์คล้ายหนุ่ม ‘หน้าหวาน’ อย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ

“โอ๋ๆๆ วีต้าขอโทษค่ะที่รัก อย่าโกรธน้า” ศวิตาเอ่ยยิ้มๆ ใบหน้าสวยดีกรีดาวคณะซบลงบนไหล่บางของเพื่อนสนิท ก่อนจะมองเครื่องหน้าของภัทรนรินทร์ “แต่จะว่าไปวีต้าก็อิจฉาภัทรนะเนี่ย คนอะไรเป็นผู้ชายก็ดูดี เป็นผู้หญิงก็คงจะสวยไม่หยอก”

“ตาถั่ว” ต้นน้ำเอ่ยแทรก ก่อนจะได้รับค้อนของทั้งสองสาว “ก็รู้ว่าไอ้ภัทรมันหน้าตาดี แต่จะให้จินตนาการว่ามันแต่งสวยเนี่ยบอกคำเดียว...สยอง”

“เชื่อสายตาคนแต่งหน้าอย่างฉันสิ เห็นก็รู้แล้วว่ามันลงตัว”

“ลงไปกองมากกว่า”

“นั่นมันแก!”ไม่ทันจบคำ ร่างสูงของหนุ่มแว่นก็แทบหลบไม่ทัน เมื่อหมัดสวยๆ ที่เขามั่นใจว่าหนักหนาเอาการพุ่งเข้ามาอย่างไม่รอช้า ต้นน้ำหลับตาปี๋รับชะตากรรมเพราะรู้ดีว่าหลบไม่ทันแน่ๆ

...ไม่น่าไปแหย่มันตอนโกรธเลยวุ้ย...

“สวัสดี”

เสียงทุ้มนุ่มของผู้มาใหม่ชะงักเหตุการณ์ที่กำลังจะชุลมุน ศวิตายิ้มออกมาอย่างโล่งใจไม่ต่างกับต้นน้ำที่รู้สึกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงก็วันนี้

ร่างสูงใหญ่ของ ‘วินธัย’ ก้าวเข้ามาในโซนห้องนั่งเล่น แต่สายตาคมยังไม่ละไปจากภาพตรงหน้าที่มีต้นน้ำนอนอยู่บนโซฟาใต้ต่อร่างของภัทรนรินทร์ที่ใบหน้าบ่งบอกว่าหงุดหงิดเต็มที่

ดูเหมือนว่าต้นน้ำจะรู้สึกตัวก่อน ชายหนุ่มกำลังจะผลักหัวเพื่อนสนิทออกไป แต่ทว่าร่างของภัทรนรินทร์กลับถูกดึงออกไปเสียก่อน

“เอ้อ...นายมาก็ดีแล้ววิน” ต้นน้ำพูดพลางขยับเสื้อ “ไอ้ภัทรกำลังจะแปลงร่างเป็นหมาบ้าขย้ำฉันอยู่พอดี”

“ไอ้!” ภัทรนรินทร์เกือบถลาเข้าไปอีกครั้ง ติดที่ข้อมือถูกตรึงไว้อย่างแน่นหนา ผู้มาใหม่หันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรกัน แต่เธอคร้านที่จะต้องเล่าให้อีกครั้ง หญิงสาวปลดมือวินธัยทิ้งก่อนจะหมุนตัวเดินหนี

“ปล่อย คนกำลังอารมณ์ไม่ดี” ภัทรนรินทร์บอก

“หน้าไปโดนอะไรมา” เขาไม่ตอบแถมถามกลับ มือใหญ่เกือบจะยกขึ้นมาแตะ แต่หยุดไว้ทันเพราะสายตาเอาเรื่องของคนตรงหน้า “เอาน้ำแข็งประคบซะ ก่อนที่มันจะบวมไปมากกว่านี้”

วินธัยมองตามคนที่ก้าวฉับๆ ผ่านไป แล้วจึงหันมาถามเพื่อนอีกสองคน “เป็นอะไรของเขา”

“เลิกกับสาวน่ะวิน” ศวิตาตอบ ก่อนที่ต้นน้ำจะแทรก

“ไปบอกเลิกเขา เลยโดนตบกลับมาหน้าหัน โอ๊ย! หยิกฉันทำไมน่ะวีต้า” ต้นน้ำโอด

“ก็เรื่องนี้วีต้าเห็นด้วยกับภัทร ยัยเชอร์รี่นั่นไม่เห็นจะดีตรงไหน คิดว่าตัวเองสวย ความจริงก็ทำเป็นอยู่หน้าเดียว แอ๊บแบ๊วของหล่อนนั่นแหละ”

“เธออิจฉาเขาใช่มั้ยล่ะ”

“ปัญญาอ่อนแล้วค่อยคิด” ศวิตาสวน ก่อนจะหันไปอธิบายให้วินธัยที่ยืนจับใจความสำคัญฟัง “วีต้าก็กำลังจะถามเหมือนกันแหละว่าทำไมภัทรถึงบอกเลิกกับยัยนั่น ทั้งที่เพิ่งคบกันไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ แต่ก็นะ...ต้นมันชวนภัทรทะเลาะก่อนน่ะสิ”

“เธอก็เข้าข้างไอ้ภัทรทุกที” ต้นน้ำบ่น “นี่ถ้าฉันไม่รู้คงคิดว่าเธอแอบชอบมันอยู่แน่ๆ”

วินธัยถอนหายใจ เขาก็อยากจะฟังเรื่องทั้งหมดนั่นหรอกถ้าต้นน้ำกับศวิตาจะไม่ทะเลาะกันเสียก่อน แต่พลันที่เสียงน้ำแข็งตกดังมาจากห้องครัวเรียกมุมปากของเขายกขึ้น ก่อนที่ร่างสูงจะวางกระเป๋าแล้วเดินเข้าห้องครัวไป





โอ๊ย! หงุดหงิดๆๆๆๆ

ภัทรนรินทร์บ่นเป็นรอบที่ล้านแปด ขณะกำลังสาละวนกับการเก็บก้อนน้ำแข็งที่ทำตกลงบนผ้าขนหนูนุ่ม ไม่รู้วันนี้มันวันซวยอะไรของเธอนักหนา เกิดมายี่สิบกว่าปีเพิ่งจะเคยโดนผู้หญิงตบหน้า แถมเธอยังมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ผิดอะไรอีกต่างหาก ก็ในเมื่อมั่นใจว่าคบกันไปก็ไม่รอด สู้บอกไปเลยจะดีกว่า

หรือไม่แน่ก็อาจจะเหมือนที่เชอร์รี่ว่า...มีบางอย่างที่เปลี่ยนไป

แต่ก็นั่นแหละ เธอไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร รู้แต่ว่าพอเรียนจบแล้วเริ่มทำงาน ช่วงเวลาว่างก็เริ่มจะหมดไป วันๆ หมกตัวที่ทำงาน กลับบ้านมาก็อยากทานกับข้าวฝีมือคุณนม แล้วล้มตัวลงนอนให้มันหายล้า

จะให้เอาเวลาไปเทคแคร์ใครเหมือนสมัยเรียนแทบไม่มี แถมยังเหนื่อยเกินกว่าจะทำเสียอีก

มือเรียวปล่อยน้ำแข็ง เมื่อมือสะอาดสะอ้านของคนที่รู้ว่าใครดึงผ้าไปจากมือ และเก็บน้ำแข็งแทนเธอ

“ไปหาที่นั่งสงบสติอารมณ์ตัวเองซะ ฉันเก็บเอง”

หญิงสาวปล่อยมือแล้วทำตามอย่างว่าง่าย ร่างโปร่งยืนพิงเคาน์เตอร์ก่อนจะเขย่งปลายเท้าดันตัวเองขึ้นไปนั่ง มือเรียวท้าวเคาน์เตอร์ สายตามองไปรอบๆ ห้องครัวซึ่งเป็นสวนหนึ่งของห้องชุดของต้นน้ำที่ทางบ้านซื้อให้ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่กรุงเทพติด

ห้องชุดนี่เป็นแหล่งพำนักของเธอและเพื่อนๆ เวลาที่ต้องนั่งทำรายงานกันจนดึกดื่น เป็นสถานที่ที่มีความทรงจำดีๆ มากมาย แต่เวลาสี่ปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ทั้งสี่คนเรียนจบมหาวิทยาลัยสองเดือนกว่าแล้ว และก็ต้องมีเส้นทางเดินของตัวเอง โอกาสที่จะได้มาเจอกันมีไม่มากนัก

ความเย็นปะทะที่ผิวแก้มเรียกสติที่กำลังโบยบินให้กลับมา มือเรียวทำท่าจะคว้าห่อผ้าประคบน้ำแข็งนั่นมาถือเอง

“ทำไมถึงเลิก” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นเรียบๆ ทำให้หญิงสาวทิ้งมือลงข้างลำตัวถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

“เหนื่อย” ภัทรนรินทร์ตอบสั้นๆ

“งานหนักมากหรือ?”

หญิงสาวยิ้มบางๆ พลางส่ายหน้า ข้อเสียของวินธัยคือพูดน้อย แต่ข้อดีของชายหนุ่มก็คือพูดน้อยเช่นเดียวกัน แต่เพราะเป็นแบบนี้นี่แหละถึงทำให้คนพูดน้อยอย่างวินธัยอยู่ในกลุ่มได้โดยแทบไม่ต้องทะเลาะกับใคร

“แล้ววันนี้ว่างหรือไง?” คราวนี้เธอถามกลับ เพราะวินธัยมีกิจการทางบ้านที่รอเขาไปรับช่วงต่อ และเจ้าตัวก็เรียนรู้งานตั้งแต่เป็นนักศึกษา “เห็นวีต้าบอกว่าพักนี้นายยุ่งๆ”

“นิดหน่อย” เขาตอบ แต่มือยังบรรจงประคบห่อน้ำแข็งให้จนแทบจะไม่รู้สึกว่ามันสัมผัสแก้มเลย จนเธอทนไม่ได้ต้องดึงมันออกจากมือเขาแล้วทำเอง

“โอ๊ย! ซี๊ด”

สาวห้าวมาดหลุดร้องเมื่อลืมตัวไปว่ารอยตบคงกำลังบวมและตัวเองก็ไม่ใช่คนมือเบาใจเย็นเหมือนวินธัย

วินธัยดึงห่อน้ำแข็งกลับไปพลางส่ายหน้าอย่างระอา ชายหนุ่มค่อยๆ ประคบต่อด้วยความอ่อนโยน แล้วถามว่า “บอกเขาไปหรือยัง”

“บอกอะไร?”

“เหตุผลที่เลิกกับเขา”

“เหอะ! ฉันยังไม่ทันได้อ้าปากบอกเลย เจ้าหล่อนก็ฟาดโครม ผู้หญิงอะไรมือหนักเป็นบ้า”

ชายหนุ่มกลั้นยิ้ม “นั่นสิ มือหนักเป็นบ้า”

“รู้งี้ฉันไม่บอกเลิกหรอก” เธอตอบ เขาเลิกคิ้วน้อยๆ เป็นเชิงถาม ภัทรนรินทร์เลยพูดต่อ “...ทำตัวไม่มีเวลา เดี๋ยวเขาก็ไปเองนั่นแหละ”

ชายหนุ่มส่ายหัวกับความคิดนั้น ก่อนบอกเสียงเรียบเป็นเอกลักษณ์ “คนรักกันเขาไม่ทำกันอย่างนี้หรอก”

“พูดแบบนี้ นายเคยมีคนรักหรือไง?” เพื่อนสนิทเย้า เพราะจำได้ว่าคนพูดน้อยไม่เคยจีบใครก่อนเสียที แถมเวลามีคนมาคุยก็ถามคำตอบคำจนสาวๆ ไม่รู้จะรุกอย่างไร “ฮั่นแน่...แอบไปรักใครอ่ะ บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”

“แล้วไม่รักเขาหรือไง?” เขาไม่ตอบแต่ย้อนกลับ

“คิดว่าไม่”

“แล้วคบทำไม”

“เขาเสนอ”

“เลยสนอง?” ชายหนุ่มสวน

“ไม่งั้นก็ไม่ใช่ฉันสิ” เธอพูดขำๆ ก่อนจะคว้าห่อน้ำแข็งมาไว้ที่ตัวเองอีกครั้ง แล้วยันตัวลงจากเคาน์เตอร์ตรงไปที่ซิงค์น้ำเพื่อซักผ้าขนหนูคืนเจ้าของห้อง ปากยังคงระบายความในใจต่อไป “ตอนนี้มันเหนื่อยหลายเรื่องน่ะ ป๋าโยนโปรเจ็คใหม่ลงมาให้ แถมพักนี้หม่าม้ายังชอบหิ้วฉันไปออกงานด้วยอีก ดีหน่อยที่ให้ใส่เชิ๊ต ขืนต้องไปใส่ราตรีกรอมเท้าอย่างนั้นฉันคงผูกคอตายใต้ต้นผักชีแน่ๆ”

เสียงหัวเราะเบาๆ จากด้านหลังทำให้รู้ว่าวินธัยยังไม่ไปไหน คนอารมณ์เริ่มดีจึงเล่าต่อตามประสาคนพูดมากและไม่ได้เจอเพื่อนนาน

“อย่างเชอร์รี่นี่ก็เจอในงาน ตอนแรกฉันก็นึกสนุกเพราะในงานมันน่าเบื่อ เขาก็ไม่รู้ว่าฉันเป็นทอม ก็ยังคิดอยู่ว่าถ้าเจ้าหล่อนรู้ขึ้นมาฉันคงโดนฉีกอกแหงๆ” เธอเล่ากลั้วหัวเราะ “...แต่ที่ไหนได้แจ๊คพอต หล่อนบอกหญิงก็ได้ชายก็โอ ฉันเลยตกกระไดพลอยโจนน่ะสิ”

“สนุกจนได้เรื่อง” เสียงทุ้มเอ็ดไม่จริงจังนัก

“ก็มันเบื่อ เรียนจบแล้ว เพื่อนฝูงไม่ค่อยได้เจอ ค่ายก็ไม่มีให้ออก ก็รู้กันอยู่ว่าสังคมคนทำงานมันไม่เหมือนตอนเราเรียนเสียหน่อย”

ภัทรนรินทร์หันกลับมา มือเปียกเช็ดกับยีนส์สีซีดลวกๆ ก่อนพยักหน้าเป็นเชิงชวนให้ออกไปข้างนอก





สงครามข้างนอกของต้นน้ำกับศวิตายังไม่จบลง เพราะสองคนเปลี่ยนมาเถียงกันเรื่องรายการทีวีที่อยากดู ภัทรนรินทร์หัวเราะเพราะชินเสียแล้ว แต่ก็ทำให้นึกถึงศวิตาตอนเจอกันครั้งแรกไม่ได้ ตอนนั้นเจ้าหล่อนเป็นดาวคณะ แล้วเธอเองก็ป๊อบใช่ย่อย เพื่อนๆ เลยยุให้เธอจีบศวิตาซึ่งก็ดูจะสนใจเธอไม่น้อย

แต่ที่ไหนได้พอลองได้พูดคุยแล้วขอเป็นแฟน ดาวคณะคนสวยอัธยาศัยดีกลับตอบมาว่า

‘วีต้าชอบภัทรเกินกว่าจะเป็นแฟนที่ไม่รู้จะเลิกกันเมื่อไหร่ ถ้าภัทรไม่รังเกียจเราเป็นเพื่อนกันตลอดไปได้หรือเปล่า’

“ภัทร...” ศวิตาวิ่งมาเกาะแขนเพื่อนสนิทท่าทางออดอ้อน “ดูสิไอ้ต้นมันไม่ให้วีต้าดูอ่ะ”

“ก็ฉันไม่ชอบดูซีรี่เกาหลีนี่หว่า” ต้นน้ำบ่น ก่อนกวักมือเรียกวินธัย “มาเว้ยไอ้วิน ดูบอลดีกว่า นัดนี้เขาว่ามันหยด”

ภัทรนรินทร์อมยิ้มกับท่าทางกวนส้นของต้นน้ำกับท่าทางอยากถลาไปบีบคอมันของศวิตา มือเรียวอ้อมไปโอบเอวคอดกิ่วของดาวคณะเข้ามาใกล้ ซึ่งอีกฝ่ายก็ให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี สาวเปรี้ยวกอดเอวมองตาภัทรนรินทร์ขำๆ เพราะอยากรู้ว่าเธอจะมีแผนอะไรมางัดข้อกับไอ้คุณเจ้าของห้องได้

“วีต้า...” ภัทรนรินทร์เรียกเสียงนุ่มอย่างที่ใช้ประจำกับสาวๆ ในสังกัด มือเรียวเชยคางมนขึ้นมาแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างรู้ว่าจงใจ “มันไม่ให้ก็ช่างมันเถอะ ภัทรว่าเราไปหาอะไรสนุกๆ ทำในห้องกันดีกว่า”

โครม!

ต้นน้ำปิดประตูเสียงดังลั่น สองสาวยิ้มให้กันโดยมีวินธัยส่ายหัวน้อยๆ กับความคิดพิเรนของภัทรนรินทร์ แต่มักจะได้ผลทุกครั้งไปเมื่อใช้กับต้นน้ำ สมแล้วที่สองคนนี้เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย

“ความจริงแกล้งมันนี่สนุกกว่าดูซีรี่เกาหลีอีกเนอะ” ศวิตาพูดปลางหัวเราะ แล้วปล่อยมือจากเอวเพื่อนเดินไปหยิบรีโมทมาครอบครองอย่างสบายใจเฉิบ

“มันคงโกรธ” วินธัยบอกเมื่อยืนอยู่ใกล้ๆ ร่างสูงโปร่ง

“ช่างปะไร ให้มันโกรธบ้างชีวิตจะได้มีสาระไม่ใช่เฮฮาไปวันๆ” คิดแล้วก็ขำกับปรัชญาชีวิตประหลาดของตัวเอง “เดี๋ยวมันก็หายน่า เชื่อสิมันคงกลัวว่าฉันกับวีต้าจะเข้าไปทำให้ห้องมันมีราคี ไอ้บ้านี่เสียแรงเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ม.ปลาย ดันมาคิดอกุศลกันซะได้ ...หวังว่าแกจะไม่บ้าไปกับมันหรอกนะวิน”

“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น”

ภัทรนรินทร์ร้องเหอะใส่คนสำบัดสำนวน ก่อนจะเกทับ “เขาว่าสิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ แต่ที่แน่ๆ มือแกคงไม่ได้คลำไปมากกว่าฉันชัวร์ๆ นายวิน!”

ภัทรนรินทร์เดินออกมาหลังจากเข้าไปอาบน้ำในห้องนอนอีกห้องของคอนโดเพื่อนสนิท เมื่อครู่เธอเพิ่งต่อสายไปถึงมารดาบอกท่านว่าจะมาค้างกับเพื่อนๆ ที่คอนโดต้นน้ำ ซึ่งมารดาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่กำชับว่าอย่าดื่มของมึนเมาให้มากนัก

เธอไม่อยากกลับบ้านตอนนี้ เพราะรอยฝ่ามือแดงๆ บนหน้าที่เชอร์รี่ทิ้งไว้ให้คงทำให้ท่านทั้งสองควันออกหูแน่ๆ ถึงจะห้าวหาญมาตั้งแต่เล็กไม่เหมือนผู้หญิงสักนิด แต่หัวอกคนเป็นพ่อแม่ที่ประคบประหงมลูกสาวคนเดียวชนิดยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมคงไม่ชอบใจนักถ้าผิวของลูกสาวจะแดงเถือกอย่างนี้

เพราะฉันนั้น ไม่กลับไปสักวันสองวันล่ะดีที่สุด





ร่างโปร่งกับชุดนอนตัวยาวของต้นน้ำที่เธอยืมใส่เป็นประจำเพราะส่วนสูงพอๆ กันเดินออกมานอกห้องที่เหลือเพียงไฟดวงกลาง ดวงตาเรียวเพ่งมองใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงระเบียงใหญ่

ไอ้ต้นมันมายืนเปลี่ยวอะไรของมันวะ?

ขายาวสาวเข้าไปก่อนที่มือจะแตะลงบนบ่ากว้าง ต้นน้ำก็หันกลับมา ดวงตาที่บัดนี้ไม่มีเลนส์แว่นมาบดบังไม่ร่าเริงเหมือนอย่างเก่า

“เฮ้ย! ไปไหนคุยกันก่อน” ภัทรนรินทร์รั้งแขนเพื่อนไว้ เจ้าตัวหยุดเดินแต่ไม่หันกลับมามอง

เอ้า...โกรธกันจริงๆ หรอวะเนี่ย

“ฉันขอโทษไอ้ต้น แต่ก็ก็รู้นี่หว่าว่าฉันกับวีต้าเป็นแค่เพื่อนกัน”

เสียงถอนหายใจมาจากชายหนุ่ม คราวนี้มันหันกลับยืนพิงระเบียงสูงข้างๆ เธอ ใบหน้าแหงนมองท้องฟ้าตอนกลางคืน เป็นภาพที่น่าหมั่นไส้ที่สุดสำหรับภัทรนรินทร์

“ตกลงแกหายโกรธแล้วใช่มั้ยเนี่ย?”

“แล้วแกจะเล่นแบบนี้ไปอีกกี่ครั้งล่ะไอ้ภัทร”

“ก็เพื่อนกัน ขำๆ หรอก”

“เพราะเป็นเพื่อนกันไง แกถึงไม่ควรทำแบบนั้นกับวีต้าได้ยินมั้ยไอ้ภัทร? แกไม่ได้ชอบใครก็อย่าเที่ยวให้ความหวังเข้าใจรึเปล่า”

คนถูกถามอ้าปากค้าง ตกใจกับสิ่งที่เพื่อนคิดเป็นตุเป็นตะ เธอแน่ใจแน่ๆ ล่ะว่าระหว่างเธอกับศวิตาไม่มีอะไรเกินเลยไปจากคำว่าเพื่อนแน่ๆ มิตรภาพงอกงามเกินกว่าจะผันแปรไปเป็นสถานะที่บอบบางแบบนั้นได้ และไม่ว่าเธอหรือศวิตาก็ไม่ปรารถนาให้มันเกิดด้วย

“แล้วแกจะให้ฉันทำไง” ถามออกไปก็แอบเสียใจเล็กๆ ที่มันซึ่งเป็นเพื่อนกันมานานที่สุดกลับไม่รู้ใจกันเลย “บอกฉันมาเลยดีกว่า อย่างน้อยแกก็น่าจะรู้ว่าฉันไม่ใช่คนอ้อมค้อม” ปลายประโยคแอบประชด

“คำขอร้องของฉันมันสำคัญกับแกมากแค่ไหนวะภัทร”

“ไอ้ต้น” ภัทรนรินทร์กัดฟันกรอด มือเรียวกำราวระเบียงไว้แน่น กลัวอดใจไม่ไหวตะบันหน้าของเพื่อนเสียก่อน

“ว่าไง...สำคัญแค่ไหน”

“มากพอที่เพื่อนคนหนึ่งจะให้อีกคนหนึ่งได้ละกัน”

“แกสัญญาแล้วนะ”

“เออ” เธอตอบแล้วหันมาถลึงตาดุใส่เพื่อน “ถ้าแกไม่สั่งให้ฉันกระโดดลงไปตายตอนนี้น่ะนะ”

“ปัญญาอ่อนน่ะแก” ชายหนุ่มเย้า ต้นน้ำคนเดิมเริ่มกลับมา “ว่าแต่แกสัญญาแล้วนะ ถ้าผิดเป็นไอ้ลูกหมานะเว้ย”

“รู้แล้วน่า จะลีลาอีกมากมั้ย ไม่งั้นจะไปนอนแล้วนะเว้ย ง่วง!”

“เออๆๆ กำลังจะบอกอยู่นี่ไง”

“ว่ามา...” เธอว่าแล้วขัดใจกับท่าทางยื่นหน้าเข้ามากระซิบกระซาบของมัน ก่อนจะเบิกตาค้าง อ้าปากกว้างมองไอ้เพื่อนที่เดินฉิวผิวปากสบายใจเข้าห้องไปแล้ว

ไอ้...ไอ้...ไอ้เพื่อนเวร!!!



เจ้าชายน้อย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 เม.ย. 2554, 10:33:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 เม.ย. 2554, 11:30:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1993





   2. คนที่เมา >>
because 29 พ.ค. 2554, 21:48:30 น.
น่ารักดีจ้า ชอบจัง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account