เพื่อนกันวันสุดท้าย
เธอ...สาวทอมมาดหลุดผู้สับสนทางเพศ
เขา...คนที่เป็นเพศอะไรก็ได้เพื่อเธอ
และ
เธอ...เพื่อนสนิทคิด(ไม่)ซื่อ
เขา...เพื่อนชายนายแสนซื่อ(บื้อ)
Tags: เพื่อนกันวันสุดท้าย เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ เพื่อนสนิท รักเพื่อน เพื่อนรัก วินธัย ภัทรนรินทร์ ต้นน้ำ ศวิตา

ตอน: 2. คนที่เมา

2.

“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ”

วินธัยมองคนพูดที่สวมเสื้อเชิ้ตสีม่วงตัดกับผิวขาวพ่วงด้วยกางเกงสแลคใส่ทำงานที่นั่งขมวดคิ้วบนโต๊ะทำงานเขาด้วยท่าทางปลงตก เพราะดูยังไงสาวมาดทอมอย่างภัทรนรินทร์ก็ไม่มีแววจะทำตามข้อเสนอของต้นน้ำได้เลย

“งั้นก็ปล่อยมันไป”

“จะบ้าหรอ” ภัทรนรินทร์แย้ง ตอนแรกเธอก็ว่าจะแกล้งปล่อยไอ้เรื่องไร้สาระงี่เง่านี่ทิ้งไปเสีย แต่เหมือนต้นน้ำจะรู้แกว มันเลยเที่ยวไปโพทะนาให้ชาวบ้านรู้ว่าถ้าเธอแพ้พนันมันจะกลายเป็นไอ้ลูกหมา “มันได้เรียกฉันเป็นไอ้ลูกหมาไปตลอดชีวิตน่ะสิ บ้าเอ็ย! วันนั้นไม่น่าไปหลงกลมันเลย ซวยฉิบ...ทำไงดีวะ เสียศักดิ์ศรีตายชักโดนมันล้อแบบนี้”

“ศักดิ์ศรีกินไม่ได้”

“แต่เป็นสิ่งสำคัญของคน โดยเฉพาะลูกผู้ชาย”

วินธัยมองคนที่บอกว่าตัวเองเป็นลูกผู้ชายได้หน้าตาเฉยแล้วนึกถึงข้อเสนอของต้นน้ำที่ภัทรนรินทร์เล่าให้เขาฟังเมื่อครู่

...ถ้าเป็นมวยก็เรียกได้ว่ารู้ทางกันมาอย่างดีเลยทีเดียว

ชายหนุ่มพูดขึ้น “งั้นก็ตามใจ”

“ตามใจอะไร?”

“ทำตัวเป็นผู้หญิงแล้วหาแฟนเป็นผู้ชายสักเดือน” เขาพูดโดยที่ก้มหน้าอ่านเอกสาร “...เพื่อรักษาศักดิ์ศรีลูกผู้ชายเอาไว้”

แทนที่จะโกรธที่วินธัยเอากลับมาล้อเธอเสียได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการคุยกับคนพูดน้อยที่ชอบปล่อยหมัดเด็ดเล่นเอาจุกไปหลายครั้งก็ทำให้เธอเห็นแสงสว่างรำไรเช่นกัน

“มันก็คุ้มนะ...” หญิงสาวว่า ดึงสายตาของคนขยันขึ้นมาสบยิ้มๆ “ตบตาไอ้ต้นสักเดือนก็สนุกดี”

“ตบตา?”

“ใช่! เดือนเดียวที่ไม่ต้องทำตัวเป็นผู้หญิงจ๋า แต่แค่มีแฟนเป็นผู้ชายสักคน” หล่อนทวนคำพูดของต้นน้ำในคืนนั้นด้วยน้ำเสียงเข่นเขี้ยว

ภัทรนรินทร์กระเด้งลงจากโต๊ะทำงานมันปลาบแล้วคว้ากระเป๋าคู่ใจกับโน้ตบุ๊คคู่กายมาไว้ในมือ ปากอิ่มคลี่ยิ้มชวนให้วินธัยคิดมาก ก่อนที่มือหนักจะตบลงบนบ่าเขาเหมือนจะฝากฝังบางอย่าง

“เพราะงั้น...แฟนผู้ชายคนแรกและคนเดียวของฉัน” หญิงสาวพูดค้างก่อนจะเดินไปที่ประตู แล้วหันมาทำสายตาเจ้าเล่ห์แกมเจ้าชู้

“ไม่มีใครเหมาะสมมากไปกว่าแกอีกแล้ว...วินธัย พิพัฒน์กำธร”





ร่างสูงของภัทรนรินทร์หายลับไปจากห้องแล้ว เหลือไว้แต่เพียงเสียงหัวใจที่เต้นรัวของเจ้าของห้องหนุ่ม

ร่างโปร่งก้าวไวๆ ไปยังห้องประธานบริษัท แต่ระหว่างทางยังไม่วายปรายตาให้ทั้งสาวน้อยสาวใหญ่

“เป็นไง โปรยเสน่ห์ใส่พนักงานป๋าไปกี่คนแล้ว” เสียงทักของคุณพจน์ดังขึ้นตั้งแต่เธอผลักประตูเข้าไป

ภัทรนรินทร์ยิ้มผู้เป็นพ่อ เผื่อแผ่ไปถึงเลขาวัยกลางคนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ ท่าน “ขอแค่คุณสุดาสนใจภัทรบ้างก็พอแล้ว”

“แหมคุณภัทร” เลขาสาวใหญ่โบกมือ “เห็นกันแต่อ้อนแต่ออก ตอนเด็กๆ ยังใส่กระโปรงวิ่งเล่นกันอยู่เลยนะคะ”

“โถ่...อย่าพูดถึงอะไรแบบนั้นได้มั้ยคุณสุดา ฟังแล้วยอกชอบกล”

เธอว่าก่อนที่คุณสุดาจะหัวเราะคิก แล้วขอตัวออกไปทำงานต่อ “อันนี้ที่ป๋าให้ภัทรไปโคกับโรงแรมที่จะจัดงาน เอาข้อมูลมาเสนอคร่าวๆ ค่ะ”

คุณพจน์รับแฟ้มมา อมยิ้มกับคำลงท้ายสมเป็นลูกสาว จริงอยู่ที่เขากับภรรยาไม่เคยว่าเรื่องที่ลูกสาวดูจะชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะลึกๆ ยังเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งถ้าภัทรนรินทร์เจอคนที่ใช่คงจะเป็นผู้หญิงได้อย่างเต็มตัว แต่สิ่งที่ทั้งสองสอนลูกสาวมาตั้งแต่เด็กๆ คือคำว่าคะขา ต้องมีหางเสียงโดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่กับผู้ใหญ่ ไม่อย่างนั้นใครเขาจะหาว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน

“เดอะรอยัล? เกินงบหรือเปล่าใช้โรงแรมหรูขนาดนั้น” เขาถามหลังจากกวาดสายตาดูคร่าวๆ ชื่อโรงแรมระดับห้าดาวกลางใจเมืองทำให้พอจะเดาราคาได้ ถึงแม้ไม่ใช่บริษัทเล็กๆ แต่ก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้สถานที่ที่หรูหราขนาดนี้

“นี่มันโรงแรมวินไงพ่อ จำได้มั้ย วินธัยเพื่อนภัทรสมัยมหาลัยน่ะ”

“เอ้อ! ไอ้คนที่หล่อๆ เงียบๆ นั้นน่ะหรอ”

“ใช่พ่อ คนที่เงียบๆ นั่นแหละ ส่วนคนพูดมากนั่นไอ้ต้น ส่วนคนสวยๆ ก็วีต้า”

“แหม...หนูวีต้านี่พ่อจำได้อยู่แล้ว”

“แน่ะ ภัทรจะฟ้องหม่าม้า” ลูกสาวขู่

“วะ! หมายถึงจำได้เพราะว่านึกว่าเป็นแฟนแกไง” คุณพจน์แก้ “ป๋ากับหม่าม้าเราน่ะจำได้หมดนะจะบอกให้ว่าลูกตัวเองมีแฟนกี่คนแล้ว”

“กี่คนคะ ไม่เคยนับสักที”

“รวมคนที่เพิ่งเลิกไปเมื่อวานซืนก็ 14 ยังไม่รวมเดอะกิ๊กนะ” คนเป็นพ่อใช้ภาษาวัยรุ่น “มีแต่ผู้หญิง ไม่มีผู้ชายหลงมาสักคน ตกลงไม่ชอบใช่มั้ยผู้ชายน่ะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นป๋า” ลูกสาวพูดยิ้มๆ ก่อนเดินไปกอดประจบ “ภัทรยังไม่เจอใคร แล้วคนที่เข้ามาก็เป็นผู้หญิงทั้งนั้น”

“แน่ใจ?”

“ก็...” ภัทรนรินทร์ทำท่าคิด “ผู้ชายที่เข้ามามันหมาหยอกไก่อ่ะป๋า ใครจะไปจริงจังกับมันลง เพื่อนๆ กันทั้งนั้น”

“ผู้ชายมันก็อย่างนี้แหละลูก ลองถ้าเข้ามาแบบจริงจังลูกป๋าคงเป็นลมล้มตึงไปเลยเชียว” ชายสูงวัยหัวเราะจนสั่นเทิ้ม ไม่ไยต่อสายตาดุๆ ของคนเป็นลูก

“ภัทรน่ะไม่ล้มหรอกป๋า ป๋านั่นแหละระวังให้ดี เพราะภัทรกำลังจะบอกว่ามีแฟนแล้ว แล้วมันก็เป็นผู้ชายด้วย!”

สิ้นคำลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน คนเป็นพ่อก็แทบล้มตึง จะเรียกมันกลับมาถามไถ่เอาความก็เห็นจะไม่ทันเพราะเจ้าตัวดีคว้าของแล้วเดินออกไปเสียแล้ว อารามตกใจเลยต้องกดโทรศัพท์ต่อสายถึงภรรยาสุดที่รัก ว่าอาจจะต้องฉลองและไปแก้บนกันเป็นการใหญ่





ภัทรนรินทร์ลงจากรถคู่ใจคันเก่าที่สุดของบ้าน ที่ถึงแม้บิดาจะซื้อคันใหม่ให้เธอก็ไม่เอา

...ก็คันเก่ามันทนมือทนไม้ เอ๊ย! คุ้นมือนี่...

ร่างโปร่งถลกแขนเสื้อขึ้นอย่างลวกๆ มือเรียวเสยผมซอยที่บัดนี้เริ่มยาวขึ้นเพราะหลังจากเรียนจบก็ยังหาเวลาว่างเข้าร้านซอยผมไม่ได้เสียที

“ภัทร...กลับมาแล้วหรอลูก”

“ค่ะหม่าม้า” เธอรับร่างเล็กของมารดาเข้ามากอด หอมแก้มซ้ายทีขวาทีจนคนเป็นแม่หัวเราะร่วน

“ทำไมวันนี้กลับค่ำเชียวลูก เห็นป๋าบอกว่าออกมาตั้งแต่บ่ายๆ รถติดหรือจ๊ะ”

“เปล่าค่ะ ภัทรแวะไปรับวีต้าไปสปาด้วยกัน”

ใช่! วันนี้เธอถูกศวิตาลากไปสปาโดยไม่ทันตั้งตัว จากที่แค่ผ่านไปเลยแวะทักทาย กลับกลายเป็นโดนหางเลขต้องไปนอนให้มันหวิวๆ ชอบกล

“จริงหรือเปล่า?” คุณรินฤดีถามเสียงสูงตาโต สังเกตดูและได้กลิ่นหอมๆ มาจากตัวลูกสาว หรือว่าเรื่องสามีโทรมาบอกจะไม่ใช่แค่แกล้งหยอกกัน “งั้นก็จริงอย่างที่ป๋าบอกล่ะซี”

“ขา?”

“ที่ว่าหนูจะเป็นสาวแล้ว” นางพูด “โอย หม่าม้าล่ะดีใจ รู้มั้ยเดี๋ยวต้องนัดอาซิ่มข้างบ้านไปรำแก้บนที่ศาล แล้วเอาหัวหมูไปถวายเจ้าพ่อเสียที นี่ก็บนมานานจนนึกว่าท่านลืมไปแล้วเสียอีก อ่า...สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง”

“หม่าม้า...” ลูกสาวเรียกเสียงอ่อย กลอกตาขึ้นฟ้า แอบโกรธตัวเองนิดๆ ที่หลุดปากบอกบิดาไป

“เออจริงด้วยแล้วใครกันนะชายหนุ่มผู้โชคดีคนนั้น หม่าม้ารู้จักหรือเปล่า ลูกเต้าเหล่าใคร มีเชื้อจีนมั้ย...เออเรื่องจีนหม่าม้าเฉยๆ นะหนูไม่ต้องเป็นห่วง”

“เอ้อ...”

“เอาอย่างงี้ๆ” คุณรินฤดีไม่มีทีท่าจะหยุดฟังลูกสาวพูด เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “พรุ่งนี้นัดเขามากินข้าวที่บ้านเรามั้ยล่ะลูกจะได้ทำความรู้จักกันไว้”

“หม่าม้า...”

“หรือว่ายังไง...ให้หม่าม้าโทรจองภัตตาคารไว้ เชิญพ่อแม่ฝ่ายนู้นไปกินพร้อมกันเลยดีมั้ย?”

ภัทรนรินทร์ยิ้มบางๆ ให้ท่าทางลิงโลดของมารดา อยากจะขัดคอก็ทำไม่ลง ได้แต่ยิ้มรับแทน ‘ชายหนุ่มผู้โชคดี’ แล้วบอกไปว่า

“พรุ่งนี้มันไม่ว่าง เอาเป็นวันศุกร์ได้มั้ยคะหม่าม้า”

หลบจากมารดาขึ้นมาแล้ว เพราะไม่อยากถูกซักไซร้จนความแตก อย่างน้อยการที่เห็นมารดากับบิดามีความสุขขนาดนี้ก็ทำให้เธอพลอยอมยิ้มตามไปด้วย แม้ว่ามันจะแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่เธอก็คงจะตามน้ำ อีกอย่างวินธัยก็เพื่อนสนิทกันมา คงไม่แปลกนักถ้าจะหลอกคนอื่นว่าเป็นแฟนกัน ส่วนบทสุดท้ายก็คงต้องบอกว่าเพื่อนสนิทไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับชีวิตเธอ เพื่อป้องกันไม่ให้วินธัยถูกบิดากับมารดาเหม็นขี้หน้าโทษฐานหักอกลูกสาวสุดที่รัก

หญิงสาวถอดปลดเสื้อผ้าออก อากาศเมืองไทยมันร้อนดีจริงๆ ทั้งที่ใกล้จะเข้าหน้าฝนแล้วแท้ๆ มือเรียวผูกสายชุดคลุมไว้หลวมๆ ก่อนจะค้นมือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วพบว่ามันแบตหมด

หลังจากที่เสียบชาร์ตและเปิดเครื่องก็เกือบหลุดหัวเราะออกมา เมื่อเบอร์ของ ‘ชายหนุ่มผู้โชคดี’ โชว์หลาว่าไม่ได้รับเกือบห้าสาย

“อยู่ไหน?” คำถามแรกจากการรอสายไม่กี่วินาที “ทำไมโทรไปไม่รับมีอะไรหรือเปล่า”

เธอหัวเราะเบาๆ กับคำถามที่ไม่ต่างจากพ่อคนหนึ่ง “แบตหมด โทรมามีไร”

ปลายสายไม่ตอบกลับ แต่ภัทรนรินทร์พอจะเดาได้ “อย่าบอกนะว่าจะเปลี่ยนใจเรื่องนั้น ไม่มีทางแล้วล่ะ นายรับปากฉันไว้แล้วนะ”

“เมื่อไหร่”

“สามวิหลังถาม ไม่ตอบถือว่ารับปาก” คนเจ้าเล่ห์สรุป แล้วกระเซ้า “เออน่า ไอ้ชายหนุ่มผู้โชคดี ศุกร์นี้ว่างหรือเปล่า?”

“ศุกร์นี้?” ปลายสายทวนแล้วเงียบไปนิด คงกำลังเปิดสมุดออแกไนซ์ตัวเองอยู่ “คิดว่าว่าง ทำไม?”

“หม่าม้าชวนมากินข้าว” เธอไม่ได้บอกว่าในฐานะอะไร “...แล้วเผื่อจะคุยกับป๋าด้วยเรื่องจัดอิเว้นต์ที่โรงแรมนายน่ะ”

“ได้”

“แล้วนี่กลับบ้านหรือยัง” หล่อนถาม พลางเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาสองทุ่มกว่า...ไม่น่าถาม ป่านนี้มันก็ต้องอยู่บ้านแล้วสิ “เปลี่ยนคำถามใหม่ กินข้าวยัง?”

“ไม่ทั้งสองอย่าง”

“เฮ้ย! แล้วทำไรอยู่ อย่าบอกนะว่ายังอยู่บริษัท”

“อืม”

ภัทรนรินทร์สวดคนบ้างานอยู่ในใจ วินธัยนี่มันไม่เหมือนต้นน้ำ รายนั้นนับเวลาตรงราวเข็มวินาทีเชียว

“งานมันไม่หนีไปไหนหรอก หัดหาเวลารีแล๊กซ์ซะบ้างเดี๋ยวได้กลายเป็นหุ่นยนต์เดินได้พอดี แกนะแก”

“ขี้เกียจกลับไปกินข้าวบ้าน” ปลายสายตอบ ซึ่งเธอเองก็พอจะเข้าใจถึงสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อของบ้านชายหนุ่ม เลยเสนอตัวด้วยความเป็นห่วง

“เอางี้ แกออกจากบริษัทมารับฉันเดี๋ยวนี้ได้ยินมั้ย แล้วเราไปกินข้าวกัน โอเค๊?”

ปลายสายรับคำเบาๆ ก่อนจะบอกว่าไม่เกินสิบห้านาที เพราะบริษัทวินธัยมีทางลัดตรงทะลุเข้าซอยบ้านเธอ

มือเรียวกวักน้ำล้างหน้าลวกๆ ก่อนจะซับให้แห้งแล้วจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่เป็นเสื้อยืดและกางเกงยีนส์ดูลดความเป็นทางการแต่ไม่ได้ลดความดูดีของเจ้าตัวแม้แต่น้อย ก่อนจะวิ่งตึงตังลงไปขออนุญาตบิดาและมารดาไปกินข้าวเป็นเพื่อนเพื่อน





“ทำไมไม่รอในบ้าน?”

ชายหนุ่มเจ้าของรถคันงามถามเมื่อภัทรนรินทร์ขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว วินธัยมองพวกจิ๊กโก๋แถวบ้านเพื่อนสนิทอย่างไม่ชอบใจนัก

คนถูกถามปรายตามองมองเพื่อนสนิทก่อนจะส่ายหัว “ไอ้พวกนั้นมันไม่รู้หรอกน่าว่าฉันเป็นผู้หญิง”

“เคยบอกมันหรือไง” คนพูดน้อยย้อน

“ไอ้บ้า! ดูก็รู้ แวบแรกที่เห็น แกคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงหรือไงคุณวินธัย”

คนขับไม่ได้ตอบ ใบหน้าคมคายมองตรงไปข้างหน้า แต่สมองคิดถึงเรื่องคนข้างๆ

ทำไมเขาถึงจะไม่รู้ว่าภัทรนรินทร์เป็นผู้หญิง ในเมื่อในสายตาเขา หล่อนไม่เคยเป็นผู้ชายหรือทอมบอยเลยแม้แต่นิด!

“กินที่ไหนอ่ะ”

“แล้วแต่”

“งั้นร้านเดิม”

ภัทรนรินทร์บอก สารถีหนุ่มหล่อก็ขับตามอย่างรู้ใจ เพราะร้านเดิมที่ภัทรนรินทร์ว่าคือร้านอาหารไทยที่เขา คนข้างๆ ต้นน้ำและศวิตาชอบมากินกันบ่อยๆ

การเดินทางเวลาใช้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ดีที่ภัทรนรินทร์โทรมาจองไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีที่ให้นั่งกินแน่ๆ

“เสียดายที่ไอ้ต้นกับวีต้าไม่ได้มากินด้วยกัน” เธอว่า

“ไม่ว่างหรือ?”

“เปล่า ไม่ได้ชวน” เธอเอ่ยแล้วตอบคำถามในดวงตาสีเข้ม “ลองชวนสิ กว่าวีต้าจะแต่งตัวกว่าไอ้ต้นจะขับรถมาจากคอนโดมัน รถติดแบบนี้ กระเพาะแกคงทะลุไปก่อนแน่ อีกอย่างพวกนั้นกินกันแล้วแหละป่านนี้”

ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ยื่นเมนูให้เพื่อนสนิทที่ส่ายหน้าปฏิเสธบอกว่ามานั่งเป็นเพื่อนเฉยๆ วินธัยพยักหน้ารับรู้ก่อนจะสั่งอาหารจานเดียวและทับทิมกรอบของหวานขึ้นชื่อของทางร้านให้เธอ

“รู้ใจ” ภัทรนรินทร์ชมสั้นๆ เมื่อของโปรดมาเสิร์ฟถึงที่ยั่วน้ำลายแม้ว่าจะอิ่มมาจากที่บ้านแล้วก็ตาม “แต่ฉันก็จำได้นะ แกกินข้าวผัดตลอดเลยเวลาไม่มีอะไรกิน”

“ฉันชอบ”

“ก็แปลกดี นึกว่าจะเป็นคนขี้เบื่อเสียอีกตอนแรก”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่อีกฝ่ายไม่ตอบเพราะกำลังเคี้ยวทับทิมกรอบตุ้ยๆ

“เหมือนฉันไง ฉันไม่ชอบอะไรซ้ำซากจำเจ ผู้หญิงก็คบคนเดิมไม่ได้นานเปลี่ยนบ้างอะไรบ้าง” คนขี้คุยถือโอกาส

“แต่ยังชอบกินทับทิมกรอบเหมือนเดิม”

“ก็นั่นมันของกิน” หล่อนเถียง “ไม่เห็นจะเหมือนกัน”

“บางทีอะไรที่อยู่ใกล้ไปก็กลายเป็นชีวิตประจำวัน”

คราวนี้เธอเป็นฝ่ายขมวดคิ้ว แต่คนพูดน้อยก็ไม่ยอมไขข้อข้องใจเสียที จนต้องปล่อยเลยตามเลย และเข้าใจว่ามันคงทำงานหนักจนเพ้อไปแล้ว!





แสงไฟหลากสีจากสถานบันเทิงส่องเข้ามาในลายสายตา ภัทรนรินทร์ยิ้มอย่างพอใจ นานๆ ทีจะได้มีโอกาสมาเที่ยวแบบนี้

“ไม่ต้องมาทำตาดุ” เธอว่าไอ้เพื่อนที่เพิ่งลงจากรถ วินธัยถอนหายใจเล็กๆ เขาไม่น่าตามใจพาเธอมาเลย

หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ ภัทรนรินทร์ก็บอกว่าอยากยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย เจ้าตัววานให้เขาโทรไปบอกบิดาและมารดาเธอให้หายห่วง และวานให้ขับรถมาส่ง แต่บอกว่าไม่ต้องรอจะกลับเอง

แล้วเขาทำอย่างนั้นได้เสียที่ไหน?!?

วินธัยอดส่งสายตาดุไปให้ไม่ได้ แต่ดูภัทรนรินทร์จะไม่สะทกสะท้าน มิหนำซ้ำยังโปรยเสน่ห์ไปทั่วตั้งแต่ก้าวเข้ามาในผับแห่งนี้

หญิงสาวมากมายต่างพากันส่งสายตามีความหมายให้เขาและภัทรนรินทร์โดยหารู้ไม่ว่าคนข้างๆ เขาเป็นผู้หญิงหาใช่ผู้ชาย แต่ก็ยังดีที่ผู้ชายหลายคนอาจไม่ทันสังเกตเห็น

วินธัยถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ นึกห่วงแทนคนที่ไม่รู้จักห่วงตัวเอง เป็นสาวเป็นนาง ถึงจะเป็นทอมก็เถอะ ใช่ว่าจะสู้แรงผู้ชายไหว

“แล้วจะกลับกี่โมง”

“อะไรนะ!” ภัทรนรินทร์เอ่ยขอตัวกับหญิงสาวที่เดินเข้ามาชนแก้วแล้วเขยิบมาใกล้เขา เสียงดนตรีดังกระหึ่มทำให้ต้องเอียงหูฟังไปโดยปริยาย ภาพตรงหน้าเลยไม่ต่างกับชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งชิดตัวติดกันชวนเข้าใจผิด “แกว่าอะไรนะ ฉันไม่ได้ยิน”

“จะกลับกี่โมง”

“ตลกเหอะ เพิ่งหย่อนก้นนั่งก็จะกลับแล้วหรอ อย่าบอกนะว่ากลัวเมา” เธอแซว ก่อนจะตบไหล่เขาเบาๆ แล้วบอกว่า

“เอาน่า สักห้าหกเพลงเดี๋ยวค่อยกลับ รับรองไม่เมา”

ชายหนุ่มมองเพื่อนสนิทที่เดินไปชนแก้วกับสาวน้อยหน้าแฉล้มคนเดิมอย่างไม่สบอารมณ์นัก ยิ่งเมื่อคนอ่อนวัยกว่าค่อยๆ ไล้นิ้วไปบนไหล่บอบบางของภัทรนรินทร์ และเจ้าตัวดูเหมือนจะไม่ปฏิเสธเด็กวัยกระเตาะตรงหน้า มือเรียวเอื้อมไปโอบเอวบางไว้แล้วหัวร่อต่อกระซิกกันใกล้ชิด

เป็นภาพที่วินธัยต้องสั่งเครื่องดื่มมาแก้เซ็ง แต่ปฏิเสธที่จะมีเพื่อนดื่มไม่ว่ากรณีใดๆ

เสียงเพลงเร้าอารมณ์ชวนออกไปเต้นไม่ได้ทำให้เขาอยากไปเบียดเสียดกับคนอื่นมากนัก สายตาพยายามจับจ้องหาเพื่อนสนิทที่หายเข้าไปในฝูงชนนานแล้ว

นี่มันเกินสิบเพลงได้แล้วมั้ง

จู่ๆ แสงที่ส่องไปที่ฟลอร์ก็ทำให้เขาเห็นภัทรนรินทร์เข้า จนต้องวางแบงค์สีเงินบนโต๊ะแล้วรีบปรี่เข้าไปกลางวงด้วยความรีบเร่ง

“แกเป็นบ้าไรเนี่ย จู่ๆ ก็ลากฉันออกมาซะงั้น คนกำลังมันส์”

ภัทรนรินทร์บ่นอย่างหัวเสียใส่คนที่ลากเธอออกมา ยังอดเสียดายริมฝีปากนุ่มๆ ของเด็กสาวคนนั้นไม่ได้ คิดแล้วก็แอบเลียริมฝีปากเล็กๆ ประจวบกับที่คนฉุดเธอหันกลับมาพอดี

“ทำอย่างนั้นได้ยังไง รู้หรือเปล่าว่าตัวเองเป็นผู้หญิง”

วินธัยบ่น เขาเกือบช๊อคที่เห็นเธอกำลังแลกลิ้นกับแม่สาวรุ่นคนนั้น แถมยังต้องทนกับเสียงบ่นส่งท้ายของเด็กนั่น

‘ที่แท้ก็คู่เกย์ โถ่เอ๊ย! ไอ้วิปริต’

“ก็เพราะฉันเป็นผู้หญิงถึงทำได้น่ะสิ” คนเป็นผู้หญิงตอบลอยหน้าลอยตา อย่างที่เขาไม่รู้จะโกรธหรือขำดี “แกน่ะไม่ต้องมาอิจฉาหรอก ผู้ชายอย่างแกทำไปมีแต่ซวย เกิดเรื่องบานปลายก็ต้องรับผิดชอบ อนาคตคนโสดล้มครืน”

“ภัทร...”

“ไม่ต้องมาทำเสียงดุด้วย ลากฉันออกมาแล้วยังมาดุฉันอีกไอ้บ้า” หล่อนโต้ แต่ก็ยอมเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถแต่โดยดี

ความจริงเธอไม่ได้โกรธเพื่อนสนิทเลยสักนิดที่มันมาขัดจังหวะ แต่ก็อดยั่วให้อีกฝ่ายโกรธไม่ได้ ก็ใครจะปฏิเสธล่ะว่าคนหน้านิ่งอย่างมันเวลาโกรธนี่ก็ดูดีขึ้นมาอีกแบบเหมือนกัน

“แกเนี่ยน้า...ยิ่งกว่าเสือจำศีล”

“เมื่อไหร่จะเลือกเสียทีไอ้นิสัยอย่างนี้” วินธัยถาม

“อย่างนี้น่ะอย่างไหน เที่ยวผับ พูดขวานผ่าซาก หรือว่าเป็นทอม”

“ทุกอย่าง”

“ใครจะไปรู้ แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด แล้วอย่างนี้จะไปเคร่งกับชีวิตทำไม แกเองก็เหมือนกัน ทำงานงกๆๆ มีเงินเยอะแล้วมีความสุขไหมถ้าหาเมียไม่ได้น่ะ”

“อีกหลายชีวิตยังต้องกินต้องใช้” เขาหมายถึงพนักงานในบริษัท

ภัทรนรินทร์เถียงเพื่อนไม่ได้จริงๆ เพราะในขณะที่เธอทำงานในฐานะลูกน้องของป๋า แต่วินธัยกำลังจะเป็นนายคนที่ต้องดูแลปากท้องของลูกน้องหลายร้อย ความรับผิดชอบจึงเทียบกันไม่ได้เลย

นึกแล้วรู้สึกผิดที่เบียดบังเวลาพักผ่อนของวินธัยแบบนี้ “ขอโทษ”

“เรื่องอะไร” คนขับถามแต่ไม่ได้หันมา

“ฉันไม่น่ารบกวนเวลาพักผ่อนของแกเลย เอาแต่สนุกคนเดียวลืมไปว่าพรุ่งนี้แกต้องไปทำงานแต่เช้า”

วินธัยยิ้มที่มุมปากกับเสียงอ่อยๆ ของเพื่อนสนิท นัยน์ตาฉายแววอ่อนโยนอย่างที่น้อยคนนักจะได้เห็น และภัทรนรินทร์ก็ไม่มีโอกาสจะได้เห็นเพราะเขาไม่ได้หันมา ทำเพียงพูดเสียงนุ่ม

“นอนเถอะ ถึงแล้วจะปลุก”





เกือบตีสองแล้ว ร่างโปร่งหลับสนิทบนเบาะนุ่มโดยมีสารถีคนเดิมขับรถมาส่งถึงบ้าน

วินธัยจอดรถอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน คาดว่าอีกไม่ถึงห้านาทีคงมีคนมาเปิดประตู รู้ดีว่าภัทรนรินทร์ยังไม่กลับคงต้องมีคนอยู่รอ

เขาถอนหายใจมองเลยไปยังคนที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวเองเป็นผู้หญิง ดวงตาเรียวสวยหลับพริ้ม ปากอิ่มคลี่ยิ้มน้อยๆ คล้ายคนกำลังฝันดี

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปปัดปอยผมที่บัดนี้เริ่มยาวแล้วให้พ้นแก้มเนียน ความรู้สึกบางอย่างแล่นวูบเข้ากระแทกแรงพอๆ กับคำพูดของหญิงสาวเมื่อเช้า

‘เพราะงั้น...แฟนผู้ชายคนแรกและคนเดียวของฉัน ...ไม่มีใครเหมาะสมมากไปกว่าแกอีกแล้ว...วินธัย พิพัฒน์กำธร’

“อืม...” ภัทรนรินทร์ครางเบาๆ รับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าคงถึงบ้านแล้ว ดวงตาปรือขึ้นอย่างง่วงงุน แอลกอฮอล์ปริมาณน้อยแต่ผสมกับที่ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันทำให้เธอเผลอหลับไปอย่างง่ายดาย ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะนั่งคุยมาเป็นเพื่อนวินธัย

“ขอโทษทีนะวิน”

“ภัทร...”

ภัทรนรินทร์ขมวดคิ้ว สายตาพยายามปรับโฟกัส แต่ยังมองคนตรงหน้าไม่ชัด สัมผัสได้เพียงน้ำเสียงอ่อนโยนจนขนลุก พาลคิดไปว่าชายหนุ่มคงง่วงเต็มแก “แกง่วงมากหรอ”

เขาไม่ตอบแต่ถามไปอีกเรื่อง “เอาจริงหรือเปล่าเรื่องนั้น”

“เรื่องไหน น้องที่ผับน่ะหรอ”

“เรื่องเมื่อเช้า” เสียงนุ่มเปลี่ยนไปเรียบสนิทดังเดิม

“เมื่อเช้าๆๆ อ๋อ...จริงสิ” หล่อนขยี้ตา มือควานหากระเป๋า “ก็ต้องอย่างนั้นสิ แกไม่ช่วยฉันแล้วใครจะช่วย”

เสียงเคาะกระจกดังขึ้น ภัทรนรินทร์พยักหน้าให้สาวใช้เป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะหันมาหาเพื่อนสนิท “ไปแล้ว...ขับรถดีๆ ถึงแล้วยิงมาด้วย”

“อือ...” ปากรับแต่มือรั้งเธอไว้ วินธัยมองหน้าเธอนิ่งก่อนจะเอ่ยว่า “แล้วจะสอนให้ว่าเป็นผู้หญิงต้องทำตัวยังไง”

รถของวินธัยเคลื่อนออกไปแล้ว ทิ้งให้ภัทรนรินทร์มองตามงงๆ

มันพูดอะไรของมัน?

ตกลงคนกินเหล้านี่เธอหรือมันกันแน่เนี่ย?!?


----------------------------------------------------------------



เจ้าชายน้อย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 เม.ย. 2554, 10:35:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 เม.ย. 2554, 11:30:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 1832





<< 1. เงื่อนไข   3. บทเรียนแรก >>
AHA 14 ส.ค. 2554, 14:18:09 น.
ชอบ ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account