ไร่แห้วไม่จำกัดรัก
น้ำ ลมและดอยต่างก็เป็นเด็กำพร้าที่อาศัยอยู่ในไร่แห้ว พวกเขากำลังจะได้พบกับความรักที่หลากหลาย และอาจได้ค้นพบหัวใจของตัวเอง
Tags: รัก แห้ว

ตอน: 10มีใจ?

ไร่แห้ว...ไม่จำกัดรัก ตอนที่ 10 มีใจ?

กว่าเขาจะได้กลับมาก็เย็นมากแล้ว จึงแวะพักทานอาหารร่วมกับเธอและครอบครัวเหมือนที่เคยทำมาก่อน ทุกอย่างผ่อนคลายจนกระทั่งต่างแยกย้ายกันเข้าห้อง

อรรณชวนเขาเข้าไปคุยในห้องเธอ “ไปคุยในห้องของน้ำดีกว่า สะดวกกว่าเยอะ”

“ถึงขั้นชวนเข้าห้อง คิดอะไรกับพี่หรือเปล่าเนี่ย” ศิขาผ่อนคลายลงมาก จึงมีอารมณ์พูดเล่นตีรสนเหมือนเดิม

“คิดสิ คิดหลอกไปฆ่าในห้อง” อรรณก็มีอารมณ์ผ่อนคลายเช่นกัน เธอลุกเดินไปในห้องก่อนเปิดเครื่องปรับอากาศ เพราะต้องการให้ห้องเป็นแบบปิด และกลบเสียงพูดคุยกันได้ด้วยจะได้ไม่ต้องกังวล

ศิขามองห้องนอนเธอที่ดูเหมือนห้องชุดเล็กๆ ที่มีอุปกรณ์ทันสมัย คอมพิวเตอร์สามตัวกับเตียงนอนขนาดใหญ่ ถึงจะเป็นพื้นใหม่ แต่ก็ยกสูงกว่าห้องอื่น ฝาบ้านก็บุหนา ก่อนจะนำไม้สักมาบุเป็นผนังขัดมันสวยหรู ห้องกว้างขวางมีเก้าอี้โซฟาเล็กสองตัวพอให้นั่งรับแขกได้สบาย

“เอาน้ำดื่มหรือเครื่องดื่มไหมคะ” อรรณถามก่อนจะนั่งลง

“ไม่ดีกว่า ขืนกินน้ำมากกว่านี้สงสัยจะเข้าห้องน้ำถี่ๆ แล้วล่ะ” ศิขานั่งลงอย่างสบายใจ

“นี่เป็นห้องของน้ำ คอมพิวเตอร์ก็เอาไว้ดูเรื่องการลงทุนที่เมืองนอกของน้ำ เมื่อกลางวันน้ำติดใจเรื่องที่น้ำถูกสงสัย พี่คิดว่าน้ำน่าสงสัยอย่างนั้นเลยเหรอ” อรรณถามเข้าประเด็นเมื่อมีโอกาสทันที

“ก็เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบล่ะนะ แต่ก็จบแล้วนี่ น้ำบริสุทธิ์ทุกข้อกล่าวหาเลย พี่สงสัยเรื่องหนึ่ง ทำไมลูคัสถึงเรียกน้ำว่าแอนนาล่ะ” ศิขาสงสัยมานานแค่ไม่มีโอกาสถาม

“ชื่อจริงน้ำ ออ-รอหัน-นอเณร อ่านว่า อันนะ ภาษาอังกฤษก็สะกดด้วย เอ-เอ็น-เอ็น-เอ ก็อ่านว่าแอนนานั่นแหละค่ะ ลุ๊คติดมาตั้งแต่สมัยเจอกันที่ฮาร์วาร์ด ลุ๊คเขาไม่ได้เรียนที่เดียวกันหรอกนะคะ เขาเรียนโรงเรียนกฎหมาย แต่รู้จักกับอาจารย์ก็เลยมาขอเข้าเรียนวิชาอาชญกรรมทางการเงินค่ะ” อรรณเล่าความตามจริง เมื่อไม่มีอะไรต้องปิด

“อ๋อ เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่เรื่องราชการพี่บอกไม่ได้หรกนะ บอกเท่าที่ลูคัสบอกได้นั่นแหละ” ศิขาบอกตามตรง แต่เขาโล่งใจที่เธอไม่ถูกลากเข้าไปข้องเกี่ยว

“น้ำมีเรื่องต้องคอยระวังไหมคะ” อรรณถามให้แน่ใจอีกครั้ง

“ต้องระวังไปจนกว่านายคนนี้จะออกไปจากประเทศเรา ยิ่งเขาเงียบหายไปจากชีวิตน้ำเท่าไรก็ถึงจะปลอดภัย” ศิขาพูดจริงจัง แทนที่จะพูดเล่น เพราะเป็นเรื่องของความปลอดภัยของเธอ

“ที่ลุ๊คบอกนั่นจริงเหรอคะ ที่เขาชอบอุ้มผู้หญิงที่เขาชอบน่ะ” อรรณไม่แน่ใจว่าลูคัสเพียงขู่หรือเปล่า

“เรื่องนี้พี่ไม่แน่ใจ แต่เมื่อเขาเตือนมา เราก็ควรระวัง พี่ไม่แนะนำให้น้ำไปไหนมาไหนตามลำพัง ถ้าจะไปให้หาคนที่มีความสามารถด้วยการป้องกันตัวไปด้วยจะดีกว่า” ศิขาพูดตามใจคิด เขากังวลเรื่องนี้ไม่แพ้กัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะระดับเจ้าพ่อค้ายาแถวหน้าอย่างนั้น

“งั้นก็ดีค่ะ น้ำจะได้จ้างบอดี้การ์ดไว้สักคน” อรรณตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เพราะเธอก็เกรงว่าอันตรายจะมาถึงตัวเหมือนกัน แล้วที่สำคัญอาจมาถึงครอบครัวเธอด้วย เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้

“พี่เห็นด้วย ถึงยังไงพี่ก็ไม่คิดว่าลมจะช่วยปกป้องน้ำได้ตลอดเวลา น้ำมีใครไว้ในใจหรือยัง” ศิขาไม่กล้าเสนอตัวเอง เพราะเขามีหน้าที่และราชการที่ต้องทำ

อรรณกลับหัวเราะ เมื่อเขาพูดถึงน้องสาว ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วแล้วถามขึ้น

“มีอะไรน่าตลกล่ะ เห็นปกติไปไหนก็เอาลมไปด้วย นึกว่าลมมีความสามารถพิเศษเตะต่อยคนได้ซะอีก” ศิขาเห็นเธอหัวเราะก็ออกจะงอนเล็กน้อย

“ลมน่ะ มวยวัดพอได้ค่ะ แต่มวยจริงๆ เห็นจะต้องรีบหลบ พี่ไม่มีใครที่รู้จักแล้วอยากจะรับงานแบบนี้บ้างเหรอคะ ขอเป็นผู้หญิงนะคะ จ้างรายปีไปเลยสะดวกดีค่ะ” อรรณคิดเสร็จเรียบร้อย เพราะไม่อยากให้มีปัญหา

“เอางั้นเลยเหรอ ก็พอมีรุ่นน้องที่รู้จักกัน แต่นิสัยไม่ค่อยยอมคนเท่าไร ก็เลยไปกับราชการไม่ได้ ตอนนี้เป็นครูสอนคาราเต้อยู่ แต่ก็อาจจะสนใจ พี่จะลองถามให้” ศิขาคิดถึงรุ่นน้องสาวที่แก่นแก้ว ชอบมีเรื่องทะเลาะกับผู้บังคับบัญชา จนสุดท้ายก็ลาออกไปทำงานอิสระแทน

“ดีค่ะ จะได้ไม่มีปัญหา ยิ่งพี่รับรอง” อรรณค่อยคลายใจ ก่อนมองนาฬิกา

“เชื่อพี่มากกว่าเพื่อนอีกเหรอ ไม่น่าเชื่อนะ เห็นสนิทกันออกอย่างนั้น ถึงกับกอดกันแน่นเชียว” ศิขาได้ทีก็เลียบเคียงถาม แม้จะเริ่มนึกขวางแต่ก็ไม่มีสิทธิหึง

“อ๋อ คนเราพอจากกันไปนานก็ต้องมีเปลี่ยนไปบ้าง วิธีคิดของคนเราพัฒนาไปตามประสบการณ์ น้ำเคยทำงานกับพวกนักธุรกิจ เคยอ่านท่าทางของคน ถึงลุ๊คจะไม่แสดงออก แต่ก็พอรู้ว่ามีลับลมคมในเยอะพอควร น้ำไม่โทษเขา แต่น้ำก็ไม่สามารถเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงด้วยการช่วยเหลือ ให้คนที่เขามีความสามารถดีกว่า น้ำมียายกับป้าที่ต้องดูแลค่ะ” อรรณอธิบาย

พักหลังเธอให้ความสนิทสนมกับเขามากขึ้น ด้วยความคุ้นเคยที่บ่มเพาะตามกาลเวลา และเขาเองก็ดูมีความสุขที่ได้มาที่นี่เหมือนได้พบหน้าญาติ เธอจึงผ่อนคลายท่าทีลง อีกทั้งเขาไม่ตั้งแง่ราวกับเธอแป็นคนร้ายอีก ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี

ศิขาถอนหายใจอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเธอมองนาฬิกา เขาก็เห็นสมควรกลับได้แล้ว “งั้นพี่กลับก่อนนะ”

“ดึกมากแล้ว แถมเป็นถนนในสวนอีก อันตรายนะคะ ยังไงก็ค้างที่นี่ก็ได้ หรือพี่มีธุระต้องกลับไปทำ” อรรณมองนาฬิกาแล้วรู้สึกกัวแทน

“อะไรกัน พี่น่ะตำรวจนะ จะมากลัวเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอก ยังไงก็เสี่ยงทุกวันอยู่แล้วล่ะ” ศิขาพูดอย่างไม่จริงจังนัก แต่ก็รู้สึกดีที่เธอคอยเป็นห่วง

“ตำรวจก็คนไม่ใช่เครื่องจักรที่ไหน ถ้ามีอันตรายอะไรขึ้นมา แถมยังเอารถจักรยานยนต์แทนที่จะเอารถยนต์มาอีก โอกาสถูกดักทำร้ายก็มีสูง ตำรวจก็มีศัตรูได้ไม่ใช่เหรอคะ เดี๋ยวน้ำจัดที่นอนให้ค่ะ” อรรณสรุปแบบมัดมือชก

เธอโตพอจะตัดสินใจได้ว่าควรไว้ใจไม่ไว้ใจใคร

“พูดแบบนี้ พี่อาจจะแอบหวังว่าน้ำมีใจให้พี่แล้วก็ได้นะ” ศิขาพูดทีเล่นทีจริง

อรรณหัวเราะอย่างไม่ถือสา เพราะไม่คิดว่าเขาจะพูดจริงจัง คาดว่าคงล้อเล่นเหมือนเมื่อก่อนอีกนั่นแหละ เธฮล้วงเอาที่นอนเสริมจากใต้เตียงออกมา แล้วปูที่นอนให้เขา ก่อนหันไปมองเขานั่งเฉย

“พี่ไม่ไปอาบน้ำรึไง” อรรณขมวดคิ้วถาม

ศิขามองซ้ายมองขวา “อาบก็ได้แต่จะให้ใส่อะไร จะเอาอะไรเช็ดตัวล่ะ”

“ก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเอง แล้วก็จัดการกับตัวเองสิคะ ห้องน้ำก็รู้ว่าอยู่ตรงไหน แล้วไม่ต้องกลัวอุ๊ยหรอกนะคะ อุ๊ยน่ะอยากได้พี่เป็นหลานเขยจะตาย” อรรณพูดอย่างไม่จริงจังนัก

“จริงเหรอ แล้วน้ำล่ะ คงกลัวลนลานเลยล่ะสิ ก็พี่มันปากเสียนี่นะ” ศิขาพูดหยั่งเชิงทีเล่นทีจริง

“น้ำยังไม่คิดเรื่องมีครอบครัวหรอกค่ะ ตอนนี้เราก็เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนไปก่อน ให้เกียรติกันและกัน แล้วก็หยุดหาเรื่องน้ำก่อนก็พอ” อรรณเตือนเขาอีกที เพราะก่อนหน้านี้เขาหาเรื่องเธอไว้มาก เหตุเพราะเธอเป็นผู้หญิงหน้าตาดีก็เท่านั้น

“ไม่ได้ ยังไงพี่ก็จะหาเรื่อง” ศิขาพูดอย่างมุ่งมั่น แล้วก็ยิ้มให้เธออย่างกวนประสาท

“งั้นก็ออกไปนอนให้ยุงหามเลย” อรรณออกปากไล่ แต่ก็รู้ว่าเขาพูดเล่น

“ผู้หญิงสวยใจร้ายอย่างนี้ทุกคนเลยนะเนี่ย” ศิขาก็หาเรื่องต่อปากต่อคำ

“อีกแล้ว ชอบหาว่าน้ำใจร้าย ทีพี่ยังใจร้ายพูดดีๆ กับน้ำก็ไม่ได้” อรรณเห็นเขาทำท่าทางงอนๆ ก็แย้งขึ้น

“พูดดีด้วย ก็ทำร้ายจิตใจพี่นี่” ศิขาก็แกล้งตัดพ้อ

“ไปอาบน้ำให้ใจเย็นเถอะค่ะ ไม่งั้นจะได้นอนกันไหม” อรรณส่ายหน้าช้าๆ คงยากจะให้เขาพูดดีๆ ได้ไม่มีทีท่าเง้างอนหรือหาความเธออีก

“ก็ได้ๆ พองอนก็หาว่าใจร้อน ผู้หญิงนี่เข้าใจยากจริงๆ” พูดจบแล้วเขาก็ผิวปากดูมีความสุขที่ได้พูดหยอกล้อเล่นกับเธอ

อรรณได้ยินเขาผิวปากก็รู้ว่าเขาล้อเล่น ได้แต่ถอนหายใจเพราะดูเหมือนปมในใจเขาจะแก้ยากไปแล้ว และเมื่อไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้เธอมากนัก ก็ได้แต่ปล่อยผ่านไป

เมื่อเขากลับมา เธอก็จัดที่นอนหน้าเตียงไว้เสร็จแล้ว เปิดแต่ไฟหัวเตียงเธอเท่านั้น เขาก็ตากผ้าขนหนูไว้ที่ตากเดียวกับเธอ ก่อนจะล้มลงนอน

นึกแปลกใจที่เธอมีเสื้อผ้าที่ผู้ชายใส่ได้ หากเขาไม่คิดถามให้ปวดใจเล่น ถ้าเธอบอกว่าเป็นของคนอื่นที่ไม่ใช่น้องชายเธอ เขาคงได้แต่ทำใจเท่านั้น

“เสื้อใส่ได้พอดีเลยเหรอคะ ดีจริงๆ อาทิตย์ที่แล้วไปกรุงเทพ แล้วก็เลยไปซื้อของกับลม ซื้อเสื้อยืดกางเกงมาหลายตัว ให้ดอยด้วยค่ะ ก็เลยคิดว่าจะซื้อไปฝากพี่ด้วย ใส่ได้แบบนี้ก็ดีนะคะ พรุ่งนี้เอาไปด้วยล่ะ” อรรณบอกตามตรง

“แหม จะซื้อของฝากทั้งทีก็ไม่เอาไปให้นะ” ศิขาก็แกล้งพูดหยอก

“ตลก! พี่อยู่ที่ไหน โทรไปก็ไม่รับสาย ถามอ้ายชีพถึงรู้ว่าไปราชการ ก็ต้องรอให้กลับมาก่อน พอจะกลับมาก็พาเพื่อนมาด้วย จะเอาโอกาสที่ไหนไปให้ของกันล่ะคะ” อรรณชินกับการตีรวนของเขาแล้ว บางทีก็นึกเหงาเวลาเขาไปราชการนานๆ

“แหม ก็พี่เป็นตำรวจนี่นะ ไม่ให้ไปราชการจะไปที่ไหนได้ล่ะ แต่ไม่เป็นไร รู้ว่าตั้งใจซื้อให้พี่ ก็ดีใจมากแล้ว กลัวก็แต่ซื้อให้คนอื่นแล้วจำเป็นต้องให้พี่ก็เท่านั้น” ศิขาก็หันหลังแล้วอมยิ้ม พอใจที่เธอตั้งใจซื้อให้เขา

“ถ้าซื้อให้คนอื่นจะให้พี่ใส่ทำไมล่ะ นี่ยังดีนะที่ซักแล้ว วันก่อนลมมันเอาไปซัก มันนึกว่าของดอย พอคลี่ออกดู คนละไซด์ ดอยใส่ไม่ได้ วันนี้พี่ถึงได้ใส่แบบไม่คันไง” อรรณบอกแล้วก็ได้ยิ้ม จากนั้นก็นึกขึ้น “นอนเถอะค่ะ ขืนคุยกันไปเรื่อยๆ พรุ่งนี้พี่ไม่ต้องไปทำงานพอดี”

ศิขาได้ยิ้มในความมืด เมื่อน้ำเสียงเธอเจื่อปนด้วยความห่วงใย “ฝันดีนะ ฝันถึงพี่บ้างแล้วกัน”

อรรณเพียงหัวเราะเท่านั้น บอกไม่ถูกว่าหัวเราะชอบใจหรือหัวเราะขำไม่จริงจัง พักหลังถึงเขาจะตีรวนบ้าง แต่ก็ทำพอไม่ให้รำคาญใจเหมือนตอนแรก ถ้าเป็นเหมือนตอนแรกๆ เธอคงคิดหนักมากกว่านี้

เพราะไม่แค่ตีรวน...ยังรู้สึกเหมือนเขาทำกับเธอเป็นศัตรูไปด้วย

******************************************


สายตาเธอมองดอกไม้ในกระถางสำหรับขาย แล้วขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิดว่าจะซื้อต้นไหนดี จึงจะเหมาะกับบริเวณบ้าน เธออยากตกแต่งบริเวณให้สดชื่นกว่าเดิม หลังจากความวุ่นวายหลังฤดูเก็บเกี่ยว

เมื่อมือเธอเอื้อมไปจับดอกไม้ อีกมือหนึ่งก็เข้ามาจับด้วย เพียงแต่ตั้งใจจับมือเธอมากกว่า เธอจึงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นหนุ่มลาตินยิ้มและมองเธอลอดแว่นตากันแดด

“ไง ไม่คิดว่าจะต้องเจอฉันที่นี่ใช่ไหมล่ะ” ซานโตสยิ้มอารมณ์ดีแล้วทักทายเธออย่างมีเสน่ห์

“ค่ะ ปล่อยมือฉันด้วยค่ะ” อรรณพยายามเอามือคืน แต่เขาก็จับมือเธอไว้แน่นเหลือเกิน

“เธอชื่อนามใช่ไหมล่ะ พัดบอกฉัน” ซานโตสไม่ยอมปล่อยมือเธอง่ายๆ และชวนคุยเหมือนไม่รู้เรื่อง

“เฮ้อ เรียกฉันว่าแอนนาก็แล้วกัน ปล่อยมือฉันสักที ฉันไม่ชอบ” อรรณพยายามสะบัดมือให้แรงขึ้น จนเขาต้องปล่อย

“แอนนา” เขาทวนคำแล้วยิ้ม ก่อนถาม “ทำไมฉันส่งอะไรไปให้ เธอก็ส่งคืนมาหมด ทำไมไม่รับน้ำใจจากฉันล่ะ”

“ของบางอย่างก็เกินความจำเป็น ฉันถึงไม่รับ และตอนนี้ฉันก็มีทุกอย่างพร้อม จึงไม่เห็นว่ามีความจำเป็นอะไรต้องรับของจากคุณ ฉันจึงขอบคุณและส่งคืนให้” อรรณอธิบายอย่างใจเย็น แม้จะรู้สึกเกรงๆ ไปบ้าง โดยเฉพาะในยามที่มีเธอเพียงลำพังกับผู้ชายคนนี้และพวกของเขา

“เหรอ ของที่ฉันให้ไม่สวยยังไง ของสวยๆ ก็เป็นสิ่งของจำเป็นสำหรับผู้หญิงสวยๆ ทั้งนั้น ไม่เห็นมีผู้หญิงคนไหนไม่ชอบเครื่องประดับหรือน้ำหอมสักคน” ซานโตสยังคงใจเย็นพูดจาโต้ตอบกับเธอได้อย่างสบายใจ

ยิ่งเธอเฉยชาก็ยิ่งท้าทาย เพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่คิดฉกฉวยเธอมาง่ายๆ ไม่รู้เพราะอะไร...เขารู้สึกว่าเธอแตกต่างจากครั้งก่อนๆ ถึงจะพาเข้าฮาเร็มได้ยากกว่า แต่คิดว่าสุดท้ายก็คงไม่พ้นมือเขา ส่วนเรื่องจะนำมาเป็นเมียแต่งคงยาก เพราะแม่เขาอยากได้สะใภ้สาวลาตินมากกว่า เพียงผู้หญิงคนนี้เก็บไว้ดูเล่นและใช้งานก็พอ

“ฉันเป็นชาวไร่ชาวสวนไม่มีความจำเป็นต้องแต่งตัวสวยๆ หรอกค่ะ จึงไม่เห็นว่าควรเก็บไว้ อีกอย่างสิ่งของมีค่าไม่ว่าใครให้มา คนให้ไม่ได้ให้ด้วยน้ำใจเพียงเท่านั้น โดยมากมักหวังผลตอบแทนเสมอ ฉันจึงไม่รับของมีราคาจากใครโดยไม่จำเป็นค่ะ” อรรณมีหลักการของตัวเอง เธอผ่านเรื่องทำนองนี้มาพอสมควร เมื่อครั้งใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดน

ซานโตสยิ้มพอใจ เพราะรู้ว่าเธอฉลาด เพียงแต่ไม่คิดว่าเธอจะพูดตามตรงแบบนี้

“ฉันขอตัวก่อน หวังว่าคุณจะพบคนที่เขาเต็มใจรับของของคุณนะคะ” อรรณเปลี่ยนใจไม่ซื้อของ เริ่มรู้สึกห่วงความปลอดภัยของตัวเองมาขึ้นมาทันที

ส่วนศิขาก็หายไปเรื่องราชการ ยังไม่ติดต่อเรื่องบอดี้การ์ดที่เธออยากได้ เธอชักหวั่นไหวกลัวอันตรายขึ้นมาแล้ว โดยเฉพาะซานโตสขวางทางเธอในขณะนี้

“ฉันอยากให้เธอเต็มใจรับของของฉันมากเสียด้วยสิ” ซานโตสยิ่งรู้สึกท้าทาย ดีที่ช่วยนี้งานไม่มีปัญหามาก เขาจึงมีเวลาว่างหยอกล้อ แต่ถ้าหมดเวลาเมื่อไร บางทีเขาคงไม่ต้องเสียเวลาอย่างนี้

“ขอตัวก่อนนะคะ” อรรณพยายามตัดบท แม้จะมีชาวต่างชาติร่างสูงล้อมวงให้แคบขึ้น

“แอนนา” เสียงชายหนุ่มอีกคนช่วยเธอเอาไว้พอดี

“ลุ๊ค” อรรณรีบแหวกคนออกมาทันที แล้วเข้าไปหาเพื่อนหนุ่มที่ยืนอยู่

“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ” ลูคัสพูดสุภาพ แต่มองอีกฝ่ายยักไหล่แล้วยิ้มเดินจากไป คิดว่าเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ แน่นอน เขาได้แต่เป็นห่วงกังวล เกรงว่าเพื่อนสาวจะได้รับอันตราย “เป็นอะไรหรือเปล่า แอนนา”

“ไม่หรอก แต่โดนยืนล้อมแบบนั้น ฉันก็ใจเสียได้เหมือนกันนะ ไม่คิดว่าจะมาเจอกันที่นี่” อรรณถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่เหตุการณ์ผ่านไปได้ด้วยดี

“ฉันไม่อยากขู่เธอ แต่เขาทำจริงๆ อย่างที่ฉันบอก ฉันกลัวว่าเธอจะอยู่ในอันตราย จริงๆ แล้วฉันกับผู้กองอลันตามซานโตสมา แต่ไม่คิดว่าเขาจะตามเธอ ก็เลยต้องหาจังหวะออกมาช่วยเธอน่ะ” ลูคัสพูดด้วยความเป็นห่วง

เขาไม่เคยลืมว่าครั้งหนึ่งเขาเคยรักผู้หญิงคนนี้ แต่เพราะเหตุผลทางวัฒนธรรม ทำให้มุมมองของเขาและเธอกลายเป็นแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว

“ผู้กองอลัน? คู่หูเหรอ” อรรณถามอย่างงุนงง

“ก็ใช่ ผู้กองอลัน ก็คนที่พาฉันไปหาเธอไง ตำรวจไทยคนนั้นน่ะ” ลูคัสขมวดคิ้วที่เธอไม่รู้จัก

“อ๋อ ปกติไม่เคยเรียกเขาแบบนั้น ว่าแต่ทำไมเป็นอลันได้ล่ะ” อรรณเบาใจได้มากและรู้สึกปลอดภัยขึ้น จึงถามไถ่ไปตามเรื่อง

“นามสกุลเขายาว ก็เลยขอเรียกสั้นๆ ว่าผู้กองอลัน” ลูคัสอธิบายขณะเดินไปเป็นเพื่อนเธอ

“แล้วนี่เธอไม่ต้องกลับไปทำงานต่อเหรอ แล้วนี่ผู้กองอลันเขาอยู่ไหนแล้วล่ะ” อรรณถามขึ้นเมื่อสังเกตว่าเขาเดินไปคนละทางกับซานโตส

“ผู้กองอลันตามกลุ่มของซานโตสไป แต่ฉันมาส่งเธอที่รถก่อน ค่อยตามไปสมทบทีหลัง นั่นพี่น้องของเธอใช่ไหม ฉันไปก่อนนะ ไว้จะโทรหา แต่เธอไม่ต้องเป็นฝ่ายโทรหาฉันหรอก เพราะคงติดต่อยากน่าดู” ลูคัสพูดแล้วก็หัวเราะในตอนท้าย

เขารู้สึกเหมือนความรู้สึกบางอย่างก็ยากจะตัดรอนได้ง่าย ถึงจะได้เห็นเธอในแง่มุมใหม่ๆ แต่เธอก็ยังเป็นเธอที่เรียบง่าย และพยายามกันตัวเองออกไปจากความวุ่นวายมากกว่า

อรรณได้แต่กล่าวขอบคุณก่อนนึกขึ้นได้ “ถ้าเจอผู้กองอลัน ฝากบอกด้วยว่าให้โทรหาฉันเมื่อมีโอกาสนะ ฉันมีเรื่องจะคุยกับเขา”

“ได้สิ” ลูคัสรู้สึกผิดหูไปบ้าง แต่ฟังจากคำบอกเล่าของศิขาก็รู้ว่า ทั้งสองเป็นแฟนกันแต่เพียงในนามเท่านั้น เพื่อกลบคำนินทาของคนมากกว่า

ยามนี้เขาเริ่มไม่แน่ใจคำบอกเล่า เพราะสิ่งที่สังเกตได้ อรรณดูให้ความสำคัญกับศิขามากเสียจนถามถึง และวันนั้นก็มีการนัดกันไปพบอีกในตอนเย็น แสดงว่าสนิทสนมกันในระดับไม่ธรรมดา ทว่ายามนี้เขาจะทำอะไรได้นอกจากเป็นเพื่อนธรรมดาของเธอเท่านั้น

******************************************


เมื่อถึงเวลาค่ำ คนบ้านนอกต่างก็แยกย้ายกันเข้าห้อง แต่มีเสียงจักรยานยนต์คันใหญ่ดังลั่นเข้ามาในความเงียบ จนอรรณที่ห้องอยู่เกือบหน้าบ้าน ต้องชะโงกหน้าออกมาดู จึงขมวดคิ้วแปลกใจ ก่อนมีสายเข้า

อรรณเห็นเป็นเบอร์เขาค่อยแน่ใจ จึงกดรับ “สวัสดีค่ะ นั่นพี่ขี่รถเข้ามาใช่ไหมคะ”

“ใช่แล้วล่ะ เปิดประตูให้หน่อยสิ ขอโทษทีที่มาเสียดึก เพิ่งทำรายงานเสร็จน่ะ” ศิขาทำเสียงเหนื่อยอ่อน ก่อนตัดสายแลล้วรอเธอมาเปิดประตู เขามองเธอขมวดคิ้วทำหน้าสงสัย “อะไร”

“เข้ามาก่อนค่ะ ว่าแต่ทำไมมาเอาเสียดึก” อรรณถามอย่างแปลกใจ ก่อนมองเขาทรุดลงที่เก้าอี้ตัวแรกที่เห็น

“ก็มีเรื่องอยากพูดกับพี่ไม่ใช่เหรอ พี่เลิกงานก็มาเลย” ศิขาบอกอย่างไม่ใส่ใจนัก สายตามองไปทั่วมากกว่า

“นั่นมันเมื่อสองวันก่อนนะคะ จริงๆ โทรมาก็ได้ แล้วนั่นมองหาอะไรคะ” อรรณมองเขาดูนั่นดูนี่อยู่นาน

“พี่หิวน่ะ มีอะไรให้กินบ้างไหม” ศิขาถามขึ้น เพราะยังไม่ได้ทานอะไรก็รีบมาที่นี่เสียก่อน

“อ๋อ ไม่มีหรอกค่ะ ไม่อยากเก็บของกินไว้บนบ้านเดี๋ยวมดขึ้น” อรรณมองเขาทำหน้าผิดหวังก็ได้ยิ้ม “หิวมากเหรอคะ ไม่หาอะไรทานมาก่อนนี่”

“ก็รีบมาเลยนะ เพราะพี่จะลาราชการสองอาทิตย์ เดี๋ยวจะไม่ได้เจอน้ำไง” ศิขาพูดตามตรง รู้สึกหิวจัดมากจริงๆ

“งั้นไปในครัวกันค่ะ อาหารเหลือๆ ทั้งนั้นเลย” อรรณชวนเขาเข้าไปในครัวเล็ก ซึ่งเป็นครัวเดิม แต่ตอนนี้มีไว้เก็บของกินเท่าที่จำเป็นเท่านั้น แต่ก็มีอุปกรณ์ครัวสำหรับอุ่นอาหารเล็กน้อย

“มาก็หลายครั้ง ครัวเล็กก็อยู่ทางนี้ไงคะ เดี๋ยวอุ่นให้หน่อยก็ทานได้แล้วค่ะ” อรรณบอก ก่อนมองน้องสาวยื่นหน้าออกมาดู

“ดี พี่ผู้กอง” อภิรมย์ถือเครื่องเล่นเกมค้างไว้อยู่

“ไง ลม เล่นเกมเหรอ” ศิขาถามด้วยน้ำเสียงดใส แม้จะเหนื่ออยเต็มที

“อ่ะแน่นอน จะเหลือเรอะ ตามสบายนะ พี่” อภิรมย์กลับเข้าห้อง แล้วเล่นเกมมต่อ

อรรณเดินเข้าครัวเตรียมอาหารให้เขา ก่อนจะให้เขายกไปที่ห้องเธอแทน จะได้ไม่ต้องทำเสียงดังให้คนอื่นรำคาญใจ กับเสียงพูดคุยของคนนอกห้อง

ศิขาตั้งใจกินอย่างรวดเร็ว ไม่พูดไม่จาอะไรทั้งสิ้น ขณะที่อรรณก็เดินไปที่คอมพิวเตอร์ของเธอ พิมพ์นั่นนี่ ดูข้อมูลหักฐานเกี่ยวกับการลงทุน ก่อนจะถูกเขาเรียก

“อิ่มแล้ว คุยได้หรือยัง” ศิขาถามแล้วผึ่งพุงอย่างสบายใจ

“ได้ค่ะ น้ำจะตามเรื่องรุ่นน้องพี่น่ะ ตกลงได้ไหม” อรรณเข้าเรื่องตรงประเด็น เพราะเธอเพียงวิเคราะห์ข้อมูลที่ค้างไว้สักครู่ และยังไม่ถึงเวลาที่จะตัดสินใจเรื่องการลงทุน จึงหันกลับมาคุยได้

“ก็ยังไม่ได้คุยเต็มที่ ตอนแรกพี่นึกว่านายซานโตสเลิกยุ่งกับน้ำไปแล้ว แต่วันนั้นยังไม่เลิกราก็เห็นจะต้องตามเรื่องให้อีกทีล่ะ” ศิขาพูดไม่ให้เธอกังวล แม้ในใจเขาจะเป็นห่วงเธออยู่มาก

“ตอนแรกน้ำก็คิดเหมือนที่พี่คิดนั่นแหละค่ะ แต่วันนั้นนะ น้ำต้องคิดมากกว่าเดิมแล้วค่ะ ช่วงนี้ลมกับยายก็เลยไม่ให้ออกไปไหน กลัวจะเป็นอันตราย แต่พอดีนัดไปถ่ายรูปลงนิตยสาร ก็เลยต้องไป เรื่องที่จะคุยกับพี่ก็เรื่องบอดี้การ์ดเนี่ยแหละค่ะ” อรรณอธิบายแล้วก็รู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก

ยิ่งที่บ้านนี้แล้ว ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ให้เธอออกไปไหนเลยก็ว่าได้ เป็นเรื่องอันตรายที่เธอกลายเป็นเป้าหมายของผู้ชายที่มีอาการทางจิตแบบนี้ ซ้ำยังเป็นเจ้าพ่อค้ายา ก็ยิ่งไม่น่าเข้าไปยุ่งด้วยอีก

“ลงกรุงเทพเหรอ พอดีเลย พี่ก็ว่าจะกลับบ้านเหมือนกัน ว่าแต่น้ำจะไปเมื่อไรล่ะ” ศิขาถอนหายใจยาว เพราะอึดอัดแน่นท้องไปหมด ด้วยความที่เขาหิวมาก จึงกินไปเสียเยอะ

“ก็วันพฤหัสแล้วล่ะค่ะ ไปกับลม ขึ้นเครื่องไป ไม่อยากให้ลมขับรถเท่าไร อันตรายด้วย ขึ้นเครื่องไปโอกาสจะเกิดเรื่องก็น้อยลง น้ำจองโรงแรมเอาแล้ว ไปอาทิตย์หนึ่งค่อยกลับ ตอนนี้ที่ไร่ก็เพียงเตรียมดินไว้ปลูกแห้วครั้งต่อไปค่ะ” อรรณอธิบายให้เขาเข้าใจได้ง่ายๆ

“อ๋อ อีกสามวันดีแล้วที่ไปเครื่อง แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องนายซานโตสหรอกนะ เห็นว่าเดินทางออกนอกประเทศแล้ว แต่ก็ทิ้งลูกน้องไว้บางส่วน ทางตำรวจก็จับตาดูอยู่นะ เพื่อความไม่ประมาท พี่จะคอยดูแลไปก่อน ถ้ารุ่นน้องพี่มันกลับจากเที่ยว ก็คงให้คำตอบได้ พี่จะคอยอยู่เป็นเพื่อนไปก่อน คิดว่าไม่น่ากลัวเท่าไร” ศิขาสรุปตามนั้น

“รับทราบค่ะ ผู้กองอลัน” อรรณนึกขึ้นได้จึงเรียกเขาแบบที่เพื่อนเธอเรียกบ้าง

“อะไร! อย่าเรียกแบบนั้นได้ไหม พี่น่ะนามสกุลอรัญศรีคีรี ลูคัสเขาว่าเรียกอลันง่ายกว่านี่นะ พี่ก็เลยตามเลย” ศิขายิ้มนิดๆ ที่เห็นรอยยิ้มของเธอ

“หรือว่าเรียกผู้กองหินดีนะ อืม คนอะไรชื่อเยอะจริงๆ” อรรณได้ทีก็ล้อเขาอย่างไม่จริงจังนัก

“ก็นะ เมื่อก่อนเพื่อนๆ ก็เรียกว่าหินนั่นแหละตามที่แม่ตั้งให้ ก็พี่ชื่อก้อนหิน น้องชายชื่อก้อนกรวด น้องสาวชื่อเม็ดทราย เพื่อนพี่มันทะลึ่ง เรียกพี่ว่าหนูหิ่นตามหนังสือขายหัวเราะ พี่ก็โดนล้อตลอดนั่นแหละ พอได้โอกาสเข้าทำงานก็เลยไม่บอกชื่อเล่น ให้เรียกว่าศิ จนสนิทกันนั่นแหละ พี่หมอถึงรู้ไง แต่ก็ไม่ค่อยติดปากน่ะ” ศิขาก็อธิบาย แต่เห็นเธอหัวเราะก็รีบห้าม “ห้ามเรียกพี่ว่าหนูหิ่นนะ”

“ค่ะๆ แล้วทำไมไม่ชื่อศิลา มาชื่อศิขาได้ล่ะคะ” อรรณถามแล้วก็เดินไปปิดคอมพิวเตอร์ เมื่อเห็นว่าได้เวลานอนแล้ว

“พระตั้งให้น่ะ ศิขาแปลว่าไฟ แล้วอรรณล่ะแปลว่าอะไร” ศิขาก็ถามขึ้นแล้วได้ทีก็เอนตัวบนโซฟาเล็กๆ ของเธอ

“ก็แปลว่าน้ำไงคะ” อรรณจัดที่นอนให้เขา แล้วมองเขาหาวหวอด “จะไม่ไปอาบน้ำหน่อยเหรอคะ”

“ไม่ได้เอาเสื้อผ้ามา เดี๋ยวงีบแล้วค่อยกลับ” ศิขาบอก แม้จะง่วงเต็มที

“ก็นอนค้างที่นี่ พรุ่งนี้ค่อยกลับก็ได้ เหมือนเดิมไงคะ” อรรณบอกก่อนเดินไปหยิบเสื้อผ้าออกมาจากตู้ เลือกอยู่พักหนึ่ง ก่อนมองเขาแล้วเสื้อผ้า จากนั้นก็ค้นเอาเสื้อสมัยอยู่ที่ฮาร์วาร์ดออกมา เพราะตัวใหญ่กว่าเสื้อผ้าที่ใช้อยู่มาก แล้วยื่นให้ “นี่ค่ะ”

“เสื้อใครน่ะ ถ้าเป็นเสื้อผู้ชายอื่น พี่ไม่ใส่หรอกนะ ใส่แล้วช้ำใจ” ศิขาพูดแหย่อีกครั้ง

จริงๆ เขานึกดีใจที่เธอถามถึงเขากับลูคัส อย่างน้อยเธอก็ให้ความพิเศษกับเขาบ้าง

“ช้ำใจอะไรคะ แหม พูดเหมือนน้ำเป็นแฟนพี่อย่างนั้นแหละ เสื้อนี่เพื่อนน้ำทิ้งไว้ ก่อนน้ำกลับเขาก็ไม่เอาไปด้วย เพื่อนน้ำเป็นผู้หญิงน่ะค่ะ แต่เขาตัวใหญ่มาก ก็เลยคิดว่าพี่น่าจะใส่ได้ ขนาดลมใส่ยังหลวมเลย พี่ใส่คิดว่าน่าจะหลวมเหมือนกัน” อรรณวางเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัวให้

ศิขากลับนิ่งไป เมื่อพิจารณาสิ่งที่เธอพูด เขาตัดสินใจเดี๋ยวนั้นที่จะพูดกับเธอให้รู้เรื่อง ดีกว่าคาราคาซังไม่แน่ชัดแบบนี้ “น้ำคิดกับพี่แบบไหนกันแน่ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อน หรือให้โอกาสพี่ได้เป็นแฟนบ้างไหม”

อรรณมองเขาอย่างแปลกใจ เธอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วมีสีหน้าลำบากใจมากขึ้น ก่อนจะถามเขากลับเช่นกัน “แล้วพี่อยากให้น้ำเป็นอะไรล่ะคะ น้ำจะได้ตัดสินใจถูก”

“ถ้าพี่อยากให้น้ำเป็นแฟนพี่ล่ะ” ศิขาตัดสินใจถามตามตรง

“พี่รักน้ำแบบแฟนหรือเปล่าคะ” อรรณก็ย้อนถามเขาอีก

“น้ำ ขืนถามไปถามมาแบบนี้ ก็ไม่ต้องตอบดีกว่า” ศิขาชักหงุดหงิด ก่อนจะหยิบข้าวของออกไปเข้าห้องน้ำ

“เดี๋ยวสิคะ ก็น้ำไม่รู้นี่ อยู่ๆ พี่บอกว่าอยากเป็นแฟน แต่พี่ไม่บอกว่ารักน้ำแบบแฟนหรือเปล่า น้ำจะรู้ได้ยังไง” อรรณให้เหตุผลที่เธอถาม ขมวดคิ้วมีสีหน้าจริงจังในสิ่งที่ถาม

ศิขาถอนหายใจยาว บอกไม่ถูกว่าควรพูดอะไร เขายังไม่แน่ใจ แต่กลับถามเธอออกไปแบบนั้น ฟังจากที่เธออธิบาย ก็ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกอีก

ทุกอย่างจึงอยู่ในความอึดอัด...

“ช่างเถอะ ถือว่าพี่ไม่ได้พูดก็แล้วกัน” ศิขาตัดบททำลายความอึดอัด

น่าปวดหัวที่เขาก็ให้ข้อสรุปกับตัวเองไม่ได้...

เขากลัวที่จะรักผู้หญิงสวยรวยเสน่ห์อีกคนที่เข้ามาในชีวิตเขา เธออาจวิ่งหนีไปจากชีวิตเขาเหมือนผู้หญิงในอดีต และเธอก็เป็นผู้หญิงที่ผู้ชายหลายคนหมายปอง แม้จะมีข่าวลือว่าเป็นคนรักของเขาแล้วก็ตาม

“เมื่อพี่พูดแล้ว จะทำเหมือนไม่ได้ยิน คงไม่ได้หรอกค่ะ น้ำไม่รู้ว่าพี่ต้องการอะไรถึงพูดแบบนี้ แต่น้ำเชื่อว่าอย่างน้อยเราก็มีมิตรภาพที่ดีให้กัน และความไว้วางใจอย่างพี่อย่างน้อง น้ำไม่รู้ว่าน้ำจะรู้สึกอะไรมากไปกว่านี้ เพราะน้ำไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกหรือเปล่า แต่ถ้าพี่รักน้ำอย่างอื่น ขอให้พี่บอก น้ำจะได้สำรวจความรู้สึกของตัวเองให้มากกว่านี้” อรรณใช้ฝีปากกล้าและความสามารถในวิเคราะห์ได้ดีเช่นเคย

เธออาจไม่แน่ใจว่าเขาพูดไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ที่อาจหายไปในอนาคตหรือเปล่า แต่เธอไม่อยากให้สุดท้ายแล้วทุกอย่างจบลงด้วยการแยกจากกันอย่างเจ็บปวด

ความรักไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวที่สุดในความสัมพันธ์...แต่ความไม่เข้าใจจิตใจของตนเองจนหลงผิด คิดว่ารักต่างหากที่สร้างสรรค์ความเจ็บปวดขึ้นในความสัมพันธ์

ศิขาหันกลับมาเผชิญหน้ากับเธอ มองเธอให้มั่นใจ ก่อนพูดขึ้น “ให้โอกาสเราสองคนพิจารณาความรู้สึกแบบอื่นนอกจากพี่น้องและเพื่อนได้ไหม”

“แปลว่าพี่เองก็ไม่แน่ใจว่ารักน้ำแบบนั้นหรือเปล่าใช่ไหมคะ” อรรณสรุปได้ตรงประเด็นตามประสาคนชอบวิเคราะห์เหตุการณ์อยู่แล้ว

“ไม่มีใครแน่ใจกับความรักจริงๆ หรอกนะ น้ำ” ศิขาบอกตามประสบการณ์

“ก็ดีค่ะ ดีกว่าพี่บอกรักน้ำ ทั้งที่ใจจริงแล้วพี่อาจไม่รู้สึกแบบนั้นจริงๆ ก็ได้ น้ำแค่กลัวว่าพอน้ำรักพี่ในที่สุด พี่จะค้นพบว่า พี่ไม่ได้รักน้ำอย่างที่ตัวเองเข้าใจน่ะค่ะ น้ำไม่อยากให้สุดท้ายต้องมาอึดอัดกับความรับผิดชอบ และเสียโอกาสที่จะได้เจอคนอื่นที่ใช่มากกว่า” อรรณถอนหายใจยาว ก่อนจัดที่นอนให้เขา

ศิขามองเธอสรุปสุดท้าย และปล่อยผ่านเรื่องที่ยังไม่ต้องตัดสินใจในเวลานี้ แม้ในใจเขาจะยอมรับว่ามีความรู้สึกพิเศษซ้อนอยู่ แต่เขาก็กลัวว่าสาวสวยคนนี้จะทำลายหัวใจเขาเหมือนกับคนก่อนหน้านี้

อาจไม่ยุติธรรมที่เขาใช้ประสบการณ์ในอดีตมาตัดสิน...แต่มีใครบ้างล่ะที่ไม่กลัวความเจ็บปวด หากได้ลิ้มลองแล้วครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะครั้งที่ผ่านนั้นเจ็บสาหัส เสียจนเขาแทบคิดว่าคงไม่อาจรักใครได้มากอีก

ยิ่งอรรณดีกับเขามากเท่าไร...เขายิ่งรู้สึกว่าจะต้องเจ็บปวดเพราะรักอรรณมากกว่าโบว์แน่นอน

******************************************

พรุ่งนี้จะไปมีตติ้งนะคะ
ใครเจอก็อย่าทัก เดี๋ยวผิดหวัง ฮ่าๆๆๆ
ล้อเล่นค่ะ ทักทายได้นะคะ ดีเสียอีกจะได้ไม่เหงาค่า
พูดคุยกันชิลๆๆๆ นะคะ
เรื่องพี่หินนี่ เดี๋ยวจะแก้ไขให้นะคะ สงสัยต้องแก้ตอนที่ 8 โน้น
เขาสนิทกันตั้งแต่ตอนส่งข้าวส่งน้ำกันนั่นแหละค่ะ อิอิ
ขอบคุณที่ติดตามนิยายค่ะ
--------------------------------------------------------
ติดตามข่าวสารต่างๆ ได้ที่
www.facebook.com/plerngwaree เกี่ยวกับคนอยากเขียนค่ะ
www.facebook.com/koseybz เกี่ยวกับหนังสือทำมือของคนอยากเขียนค่ะ
--------------------------------------------------------



เพลิงวารี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ต.ค. 2555, 20:21:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ต.ค. 2555, 20:21:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 1823





<< 09เพชรในป่า   11 งอนยัยก้างชิ้นโต (ครึ่งแรก) ลบ >>
konhin 26 ต.ค. 2555, 20:37:52 น.
คนที่เจ็บปวดเพราะความรักเพราะใจเขามีความคาดหวังกับสิ่งต่างๆที่ต้องมาพร้อมกับความรัก พี่หินคิดมากอ่ะ


ใบบัวน่ารัก 26 ต.ค. 2555, 22:04:54 น.
เป็นพี่น้องนอนห้องเดียวกัน อุ๋ยและคนอื่นไม่ว่าเอาหรือ
อ่านๆๆพึ่งรู้ว่าผู้กองมีน้องด้วย นึกว่าลูกคนเดียว
มีแต่เรื่องเคลียสๆ หาเรื่องนุกๆมาบ้างดิ นินิ


MYsister 27 ต.ค. 2555, 00:04:26 น.


ตุ๊งแช่ 27 ต.ค. 2555, 08:38:56 น.
พระเอกเรื่องนี้ขี้น้อยใจ ขี้งอน จริงๆเลยยย


anOO 27 ต.ค. 2555, 12:01:33 น.
คนต่างต่างคาดหวัง และไม่อยากผิดหวังด้วยกันทั้งคู่


ป้าภา 29 ต.ค. 2555, 10:21:26 น.
ความรักทุกอยากได้ทั้งนั้น ความรักมีหนทางเสมอ แล้วแต่ว่าจะไปทางไหนนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account