Recall...อดีตรักรอยหัวใจ
เพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ ‘ปณาลี’ สูญเสียความทรงจำไปบางส่วน
ภายใต้ความฝันที่คอยหลอกหลอนทุกชั่วคืน หล่อนได้พบกับ ‘พี่กฤต’ จิตรกรหนุ่มคู่รัก เจ้าของแววตาสีนิลอ่อนโยนที่ตราตรึงในหัวใจไม่เคยจาง
หากในยามตื่น หล่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเข้าไปพัวพันกับเบื้องหลังการเสียชีวิตของบิดา โดยมี ‘รชานนท์’ หนุ่มนักธุรกิจผู้แสนเย็นชา ที่แม้เขาจะก้าวเข้ามาในชีวิตปณาลีฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ของบริษัท หากทุกครั้งยามที่หล่อนหมดที่พึ่งพิงกลับมีเขาเท่านั้นที่คอยปกป้องดูแล ก่อเกิดสายใยความผูกพันลึกซึ้งขึ้นในหัวใจอย่างน่าประหลาด จนบางครั้งหล่อนเริ่มรู้สึกว่าเขาอาจไม่ใช่นายรชานนท์ที่หล่อนรู้จัก
เมื่อหนึ่งหญิงสาวมีรักที่ผูกพันต่อสองชาย
หนึ่งนั้นคือรักในฝัน ที่อาจไม่มีตัวตน อีกหนึ่งนั้นคือรักเคียงข้าง ที่อาจไม่เป็นจริง แล้วรักใดคือรักแท้ในหัวใจ หรือแท้จริงแล้ว...รักนั้นคือความหลอกลวง
ภายใต้ความฝันที่คอยหลอกหลอนทุกชั่วคืน หล่อนได้พบกับ ‘พี่กฤต’ จิตรกรหนุ่มคู่รัก เจ้าของแววตาสีนิลอ่อนโยนที่ตราตรึงในหัวใจไม่เคยจาง
หากในยามตื่น หล่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเข้าไปพัวพันกับเบื้องหลังการเสียชีวิตของบิดา โดยมี ‘รชานนท์’ หนุ่มนักธุรกิจผู้แสนเย็นชา ที่แม้เขาจะก้าวเข้ามาในชีวิตปณาลีฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ของบริษัท หากทุกครั้งยามที่หล่อนหมดที่พึ่งพิงกลับมีเขาเท่านั้นที่คอยปกป้องดูแล ก่อเกิดสายใยความผูกพันลึกซึ้งขึ้นในหัวใจอย่างน่าประหลาด จนบางครั้งหล่อนเริ่มรู้สึกว่าเขาอาจไม่ใช่นายรชานนท์ที่หล่อนรู้จัก
เมื่อหนึ่งหญิงสาวมีรักที่ผูกพันต่อสองชาย
หนึ่งนั้นคือรักในฝัน ที่อาจไม่มีตัวตน อีกหนึ่งนั้นคือรักเคียงข้าง ที่อาจไม่เป็นจริง แล้วรักใดคือรักแท้ในหัวใจ หรือแท้จริงแล้ว...รักนั้นคือความหลอกลวง
Tags: สรัน ริบบิ้นสีเหลือง อบอุ่น ธุรกิจ จิตรกร ซึ้ง ซ่อนเงื่อน
ตอน: บทที่ 9
บทที่ 9
“คุณจะพาฉันไปไหน”
ปณาลีถามชายหนุ่มที่เอาแต่มองตรงไปยังถนนเบื้องหน้า เสียงถามยังปนสะอื้นอยู่จางๆ เพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
ตั้งแต่รชานนท์ลากหล่อนขึ้นรถของเขา พุ่งทะยานออกจากบริษัทมา ปณาลีก็เอาแต่ทุบตีและก่นด่าคนข้างกายคล้ายกับต้องการโยนความทุกข์ทั้งหมดใส่ผู้ชายเย็นชาที่ไม่ว่าคำพูดของหล่อนจะเชือดเฉือนเขามากแค่ไหน เขายังคงนั่งเฉย เป็นที่รองรับอารมณ์ให้หล่อนมาตลอดทาง
“สงบสติอารมณ์ได้แล้วเหรอคุณ”
ปณาลีหันขวับมาทางคนขับ มองเขาอย่างเอาเรื่อง “นี่คุณไม่โกรธฉันบ้างเลยรึไง”
“คุณไม่สมควรโดนโกรธหรอกนะปณาลี คนที่สมควรคือพนักงานสองคนนั้นต่างหาก”
“คุณ...คุณได้ยิน”
“คุณยอมให้พนักงานพวกนั้นนินทาอยู่ได้ยังไง ทำไมถึงไม่ด่าว่าพวกเขาอย่างที่คุณทำกับผมเมื่อกี้”
แม้อีกฝ่ายจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับทำให้ปณาลีไม่กล้าที่จะเอ่ยค้าน หล่อนเพียงแต่ก้มหน้ามองพื้นรถอย่างเด็กที่เพิ่งถูกผู้ใหญ่ดุ
“ผมกำลังจะพาคุณไปในที่ที่หนึ่งที่จะทำให้คุณสบายใจขึ้น” เขากลับมาตอบคำถามแรกที่หล่อนถาม
ปณาลีมองแปลกมาที่ชายหนุ่ม ขนาดหล่อนเองยังไม่รู้เลยว่าที่ไหนจะช่วยให้หล่อนรู้สึกดีกว่านี้ได้อีกนอกจากความตาย แล้วนับประสาอะไรกับคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันอย่างเขา
ใช้เวลาไม่นานรชานนท์ก็ขับรถมาถึงสถานที่แปลกตาแห่งหนึ่ง ปณาลีอ่านป้ายชื่อด้านหน้าสถานที่แห่งนั้นแล้วถึงกับมองซ้ำอีกรอบสลับกับมองหน้าคนขับอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง สถานเด็กกำพร้าเนี่ยนะที่เขาว่าจะทำให้หล่อนสบายใจขึ้น
“พี่นนท์ !”
เด็กหลายสิบคนต่างวิ่งกรูเข้ามาหาชายหนุ่มที่เพิ่งก้าวลงจากรถ
เด็กผู้หญิงวัยหกขวบหน้าตาลูกครึ่งตะวันตกคนหนึ่งในชุดกระโปรงสีชมพูหวานวิ่งเข้ามาเกาะขา รชานนท์จึงจับอุ้มลอยเหนือพื้น กอดไว้ในอ้อมแขน “เรียนเสร็จแล้วเหรอคะ”
“ค่ะ พวกเรากำลังเล่นวิ่งไล่จับกันอยู่ พี่นนท์มาเล่นกับพวกเรานะคะ”
“ได้สิคะ แต่วันนี้พี่นนท์ไม่ได้มาคนเดียวนะ พี่นนท์พาพี่สาวคนหนึ่งมาเล่นกับพวกเราด้วย” ว่าแล้วเขาก็หันมาหา ‘พี่สาว’ ด้านหลังที่ยังมองค้างอยู่ตรงประตูรถ
การได้มาอยู่ในสถานที่แปลกใหม่ทำให้ปณาลีทำตัวไม่ถูก ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่อย่างนั้น รชานนท์จึงเป็นฝ่ายเรียกหล่อนทั้งที่ยังมีเด็กยืนรายล้อมเขาอยู่เต็มไปหมด
“มาหาเด็กๆ สิคุณ”
“หา? ฉะ...ฉันเหรอคะ ?” ปณาลีชี้ตัวเองอย่างงงๆ แล้วต้องปิดประตูรถ แทรกตัวผ่านกลุ่มเด็กๆ เหล่านั้นเข้ามายืนขนาบข้างเขา
“นี่พี่ปณาลี เพื่อนของพี่นนท์เองครับ วันนี้เธอจะมาเล่นกับพวกเราด้วย”
เล่น ! ปณาลีเบิ่งตาโตมองมาที่คนพูด ปากงุบงิบกระซิบบอกเขาไปตรงๆ ว่า “ทำไมคุณไม่บอกฉันก่อนว่าจะพามาเล่นกับเด็กๆ พวกนี้”
“ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกคุณ แต่ไหนๆ คุณก็หลวมตัวมากับผมแล้ว ตอบรับให้พวกแกชื่นใจหน่อยแล้วกัน คุณไม่สงสารเด็กพวกนี้รึไง”
“แต่ฉันเล่นกับเด็กไม่เป็น”
“ไม่เป็นไรปณาลี ผมไม่ใจร้ายทิ้งคุณให้อยู่กับพวกแกตามลำพังหรอก” รชานนท์ตัดบท ก่อนละสายตาจากหญิงสาวไปยังเด็กๆ ใสซื่อตรงหน้า “อ้าว ! ใครอยากได้ขนมบ้างตามพี่นนท์มาเร็ว”
คนพูดกวักมือเรียกพลางเดินไปเปิดกระโปรงท้ายรถ หยิบขนมหลายสิบถุงแจกจ่ายให้เด็กๆ เหมือนเป็นเรื่องเคยชินสำหรับเขา และดูเหมือนเด็กๆ จะเชื่อฟัง ‘พี่นนท์’ ของพวกเขาเสียเหลือเกินถึงได้เดินตามก้นเขาไปเป็นขบวน
ริมฝีปากบางผุดรอยยิ้มเล็กๆ ขึ้นโดยไม่รู้ตัวยามมองภาพตรงหน้า
ท่าทางอ่อนโยนบวกกับเสียงอ่อนเสียงหวานขอรชานนท์ยามพูดกับเด็กๆ ด้วยความเอ็นดู ทำให้ปณาลีพลอยรู้สึกอบอุ่นไปด้วย ไม่น่าเชื่อว่านายเย็นชาตรงหน้าจะรักเด็กเป็นกับเขาด้วย
“นนท์...”
เสียงแปลกหูของใครบางคนดังมาจากด้านหลังปณาลี ฝ่ายรชานนท์นั้นคงรู้จักดีเพราะทันทีที่เห็นหญิงมีอายุปรากฏกายขึ้นตรงหน้า เขาก็วางมือจากขนมพวกนั้น ตรงไปหาคนที่ยืนกอดอกอยู่หน้าอาคารทรงเหลี่ยมสูงสองชั้นซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นสำนักงานของสถานเด็กกำพร้า
ปณาลีได้แต่มองตามหลังรชานนท์ไป คล้อยหลังทั้งสองเดินหายเข้าไปในตึก ปณาลีจำต้องเข้ามาทำหน้าที่แจกขนมเด็กๆ แทน
“พี่ปณาลีคะ”
เด็กหญิงหน้าตาลูกครึ่งคนเดิมดึงชายเสื้อปณาลีเบาๆ มือข้างหนึ่งยังคงกอดตุ๊กตาหมีตัวโตไว้ไม่ห่างกาย ส่วนอีกมือถือขนมถุงที่หล่อนเพิ่งแจกให้ เด็กคนอื่นๆ นั้นวิ่งหายไปที่สนามเด็กเล่นแล้ว ปณาลีจึงย่อตัวลงเสมอระดับเดียวกับหนูน้อยตรงหน้า อดยิ้มน้อยๆ ด้วยความเอ็นดูให้ไม่ได้ในแววตาใสซื่อคู่นั้น
“เรียกพี่ว่าพี่ลีก็ได้ค่ะ”
“ค่ะพี่ลี พี่ลีเป็นแฟนพี่นนท์เหรอคะ”
คำถามนั้นเล่นเอาคนถูกถามแทบสำลักความเอ็นดูเมื่อครู่เสียดื้อๆ ร้องปฏิเสธลิ้นพัน “ปละ...เปล่าค่ะ พี่ลีไม่ได้เป็นแฟนกับพี่นนท์ ทำไมถึงคิดแบบนั้นละคะ”
“พี่นนท์บอกพวกเราว่ามีแฟนแล้ว” เด็กผู้ชายจากไหนไม่รู้วิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าหล่อน ร่วมวงสนทนาด้วย
“บ่ายเมื่อวานพี่นนท์สัญญาไว้ว่าจะพาแฟนมาแนะนำให้พวกเรารู้จักวันนี้ฮะ และคุณก็เป็นคนเดียวที่พี่นนท์พามา”
บ่ายเมื่อวาน ? แฟน ?
สายตาของเด็กทั้งสองที่เว้าวอนต้องการคำตอบนั้นให้ได้ทำให้ปณาลีเริ่ม ร้อนๆ หนาวๆ พิกล ไหนนายรชานนท์บอกว่าจะไม่ทิ้งหล่อนไปไง แล้วนี่ทำไมหล่อนต้องมานั่งตอบคำถามไร้สาระพวกนี้อยู่คนเดียวด้วยเนี่ย
พอตอบไม่ได้เลยพาเปลี่ยนเรื่อง “เอ...คุยกันมาตั้งนานแล้วพี่ลียังไม่รู้จักชื่อหนูสองคนเลย บอกพี่ลีได้มั้ยคะว่าชื่ออะไรกันบ้าง”
“หนูชื่อเชอร์รี่ค่ะ / ผมชื่อแบทแมนฮะ” เด็กทั้งสองต่างยืดอกแนะนำตัวอย่างภาคภูมิ ปณาลีจึงขยี้ศีรษะเด็กทั้งสองด้วยความหมั่นเขี้ยว “ดูแล้วพวกเราสนิทกับพี่นนท์มากเลย สงสัยพี่นนท์คงมาหาพวกเราบ่อยน่าดูเลยใช่มั้ยคะ”
“ฮะ พี่นนท์มาเล่นกับพวกเราทุกอาทิตย์ แต่ถ้าวันไหนพวกเราติดเรียนพี่นนท์ก็จะเข้าไปเยี่ยมคุณครูที่ตึกแทนฮะ” แบทแมนตอบเสียงเจื้อยแจ้วพลางชี้ไปยังอาคารสถานเด็กกำพร้าที่รชานนท์เพิ่งหายเข้าไปกับหญิงมีอายุ
“พี่นนท์เป็นพี่ของพวกเราค่ะ คุณครูสายใจเคยบอกว่าพี่นนท์เป็นลูกศิษย์คนโปรดของครูสายและอยากให้พวกเราเป็นเด็กดีอย่างพี่นนท์ด้วยค่ะ”
“ศิษย์โปรดของครูสาย ?”
ปณาลีพยายามปะติดปะต่อสิ่งที่เด็กเล่าแต่สมองนั้นมึนงงเกินกว่าจะคิดอะไรออก บางทีหล่อนคงต้องทำตัวให้ผ่อนคลาย เลิกสงสัย เลิกระแวงอย่างที่นายรชานนท์ว่าเสียแล้ว เผื่ออาการปวดหัวจะดีขึ้น
“ไปเล่นกับเชอร์รี่ดีกว่าค่ะพี่ลี เชอร์รี่อยากได้เพื่อนเล่นตุ๊กตากับเชอร์รี่มานานแล้ว แบทแมนเขาเล่นตุ๊กตากับเชอร์รี่ไม่ได้เรื่องสักที”
“อ้าว ! ทำไมมาว่าเราแบบนี้ล่ะเชอร์รี่ เราอุตส่าห์มาเล่นกับเชอร์รี่นะ ระวังเถอะ วันหลังจะไม่มีเพื่อนเล่น”
“เชอะ เชอร์รี่ไม่แคร์หรอก แบทแมนจะไปไหนก็ไปเลย”
“เชอร์รี่ !”
“พอได้แล้วจ้ะเด็กๆ” พอเห็นเด็กสองคนต่อว่ากันอยู่นั่นเองแนวโน้มจะเกิดศึกน้ำลายขนาดย่อม ร้อนถึงคนกลางต้องเลิกครุ่นคิดเรื่อง ‘พี่นนท์’ ชั่วขณะร้องห้าม “ไม่ต้องทะเลาะกันค่ะ เดี๋ยวพี่จะไปเล่นกับเชอร์รี่เอง”
“จริงนะคะ” คนที่หน้าบูดบึ้งยิ้มกว้างขึ้นมาทันที
“จริงค่ะ แต่เมื่อกี้เชอร์รี่ผิดนะคะ เชอร์รี่ต้องขอโทษแบทแมนก่อนนะไม่งั้นพี่ลีไม่เล่นด้วย”
“ค่ะพี่ลี” เชอร์รี่ตอบเสียงอ่อย ว่าง่ายยอมหันไปมองเด็กผู้ชายข้างกายเอ่ยขอโทษอย่างไม่สบอารมณ์
ปณาลีหัวเราะน้อยๆ ให้กับเสียงห้วนๆ นั้น นิสัยของเชอร์รี่ทำให้หล่อนนึกถึงตัวเองตอนที่เป็นเด็กดื้อของพี่กฤตขึ้นมา ก่อนยอมให้เด็กๆ จูงมือพาไปเล่นด้วยกันในสนามเด็กเล่น ไม่ได้สังเกตหรอกว่ามีแววตาแฝงความพอใจภายใต้นัยน์ตาสีนิลคู่สวยลอบมองผ่านบานหน้าต่างบนตึกลงมา
*************************
ตลอดบ่ายปณาลีเดินเล่นอยู่ในสวนเพียงลำพัง มองดูความร่มรื่นของเงาไม้ที่ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณขนาบทางเดินเท้าทั้งสองข้าง นอกจากอาคารส่วนกลางที่เห็นในวินาทีแรกที่มาถึงแล้ว ยังมีอาคารแยกย่อยไปอีกหลายอาคารรายรอบบริเวณสถานเด็กกำพร้า
แต่ละอาคารมีผู้รับผิดชอบดูแลในส่วนที่ต่างกัน อย่างอาคารกลางจะมีเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับ ให้ข้อมูลแก่ผู้คนที่มาเยือน และขายของที่ระลึกซึ่งมาจากฝีมือเด็กๆ ในสถานเด็กกำพร้าแห่งนี้
อาคารฝั่งขวาเป็นส่วนรับประทานอาหารของเด็กๆ และมีห้องเรียนห้องเล็กๆ ไม่กี่ห้องถูกสร้างขึ้นเป็นห้องเดี่ยวแยกกันไปตามแต่ละวิชาที่จัดสอน ส่วนอาคารฝั่งซ้ายเป็นที่พักนอนของเด็ก รวมถึงสตรีที่เป็นมารดาแต่ประสบปัญหาชีวิตจากหลายสาเหตุด้วยกันก็ได้รับการดูแลอยู่ในสถานที่แห่งนี้ด้วย
“เด็กๆ ไปไหนหมดแล้วล่ะปณาลี”
ปณาลีเหลือบมองเจ้าของเสียงทุ้มที่ดังมาจากด้านหลังเพียงนิด รชานนท์นั่นเองที่ตามหลังหล่อนมา
“เด็กๆ ไปเรียนกันหมดแล้วค่ะ คุณครูของพวกแกเพิ่งมาตามไปเมื่อกี้”
รชานนท์ครางรับในลำคอเป็นการรับรู้ ก้าวไม่กี่ก้าวก็เข้ามาตีเสมอหญิงสาวได้สบาย “ผมดีใจนะที่คุณชอบที่นี่”
ปณาลีอมยิ้มให้กับเสียงระรื่นจนน่าหมั่นไส้ของชายหนุ่มข้างกาย หยุดเดินดื้อๆ “คุณไม่ต้องมาดีใจกับฉันหรอกค่ะ บอกมาดีกว่าว่าหายไปไหนมาตั้งนานสองนาน ไหนบอกว่าจะไม่ใจร้ายทิ้งฉันไปไงคะ”
“ผมไปหาผู้มีพระคุณมา”
เขาตอบแค่นั้น มองตรงไปข้างหน้า เป็นฝ่ายเดินนำออกไปร้อนถึงหล่อนที่ต้องเดินตามเขาให้ทัน
“คุณเดินชมที่นี่ทั่วรึยัง”
“ฉันเดินวนหลายรอบจนจะหลับตาเดินได้อยู่แล้วค่ะ คุณอย่ามาเปลี่ยนเรื่องหน่อยเลย เห็นเด็กๆ บอกฉันว่าคุณเป็นลูกศิษย์ของครูสายใจ มันหมายความว่ายังไงคะ ฉันต้องการคำอธิบาย”
“ก็อย่างที่คุณเข้าใจนั่นแหละ”
คำตอบไม่ต่างจากกำปั้นทุบดินกลับมาไม่ได้ช่วยให้หญิงสาวกระจ่างสักนิด ปณาลีจึงขมวดคิ้วมองเขาเป็นเชิงคาดคั้น เมื่อสาวเจ้ามีสีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนั่นแหละคนตัวโตถึงได้รู้ตัว
เขาถอนใจออกมา “ตกลงคุณอยากจะรู้เรื่องผมให้ได้ใช่มั้ยปณาลี”
“ค่ะ ในเมื่อคุณรู้เรื่องของฉันมามากแล้ว ฉันก็น่าจะได้รู้เรื่องของคุณบ้าง มันถึงจะเท่าเทียมกัน”
“ผมไม่ยักรู้นะว่าคุณเป็นพวกผดุงความยุติธรรม” รชานนท์แซวยิ้มๆ แกล้งแหย่หญิงสาวเล่นพอหอมปากหอมคอเท่านั้น ก่อนปรับน้ำเสียงเป็นราบเรียบตามเคย “คุณสังเกตมั้ยว่าเด็กๆ ที่คุณเห็น ส่วนใหญ่หน้าตาออกไปทางลูกครึ่ง ไม่ใช่ไทยแท้เสียทีเดียว”
ปณาลีกอดอกนึกตามที่เขาว่า จริงอย่างที่รชานนท์บอก เด็กแต่ละคนที่เข้ามาเล่นกับหล่อนเมื่อครู่รวมถึงเชอร์รี่และแบทแมน ส่วนมากหน้าตาออกไปทางคนตะวันตกทั้งนั้น บางคนมีดวงตาสีฟ้าใสสวย จัดว่าหน้าตาดีทีเดียว
หล่อนมองมายังคนพูด ดูไปดูมาเขาก็มีหน้าตาออกไปทางลูกครึ่งไทย-อเมริกันคล้ายเด็กแบทแมนเหมือนกัน
“เด็กพวกนี้ส่วนมากจะเกิดมาจากแม่ที่มีอาชีพขายบริการทางเพศ หรือไม่ก็แม่ที่ถูกกระทำชำเรา แม่ของพวกเขาส่วนมากเป็นเหยื่อของพวกชาวต่างชาติที่แค่เข้ามาเมืองไทยเพื่อมาหาความสนุกชั่วคราวเท่านั้น”
พอฟังเขาอธิบายถึงความเป็นมาของเด็กๆ เหล่านั้น ปณาลีกลับรู้สึกหดหู่ขึ้นมา ความสดใสเมือครู่เหือดหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่หล่อนก็ไม่ทันรู้ตัว
“เด็กพวกนี้น่าสงสารมากนะปณาลี พวกเขาต้องเกิดมาจากความไม่ตั้งใจของพ่อแม่ และแม่ของพวกเขามักจะไม่ยอมรับเด็กพวกนี้ว่าเป็นลูกของตัวเอง”
“น่าสงสารที่สุดเลยค่ะ” ปณาลีต่อได้แค่นั้น
“ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“คะ ?” หล่อนเผลอร้องเสียงสูงออกมา “คะ...คุณหมายความว่ายังไง”
รชานนท์หัวเราะให้กับเสียงตะกุกตะกักของเจ้าหล่อน แม้เห็นสีหน้าเหรอหราของหญิงสาวอยู่หลายครั้งแล้วก็ตามแต่ก็ยังไม่ชินสักที “ผมเติบโตมาจากที่นี่ ครูสายใจคือผู้ที่มีพระคุณของผม”
“ครูสายใจ ? คือคนที่มาเรียกคุณที่หน้าตึกใช่มั้ยคะ”
รชานนท์พยักหน้า “ครูสายใจเป็นทั้งแม่และครูของผม ท่านให้ความรู้และความรักอย่างที่ผมไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน กระทั่งครอบครัวจักรภพรับผมมาเลี้ยงดู แต่มันก็แค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น...พวกท่านเสียชีวิตระหว่างนั่งเครื่องบินไปต่างประเทศ จึงเหลือลุงภูเบศวร์และป้าจูเลียที่อุปการะผมต่อมา”
ปณาลีได้แต่มองหน้าชายหนุ่ม พอได้รู้ชีวิตของรชานนท์ขึ้นมาจริงๆ หล่อนเองกลับพูดอะไรไม่ออก
“ทีนี้คุณก็รู้เรื่องของผมหมดแล้ว ยังมีเรื่องอะไรสงสัยอยากจะถามผมอีกมั้ย”
ปณาลีเพียงยิ้มๆ มองตรงไปยังทางเดินเบื้องหน้าอย่างที่ชายหนุ่มชอบทำยามไม่ต้องการสบตาคนข้างกาย ไม่น่าเชื่อว่าหลานชายเจ้าของบริษัทเงินทุนยักษ์ใหญ่ จะมีเบื้องหลังชีวิตที่ขมขื่นถึงเพียงนี้
“ถึงฉันจะไม่ได้มีชีวิตอย่างคุณหรือเด็กๆ พวกนี้ แต่คุณทำให้ฉันได้เห็นโลกกว้างขึ้นเยอะเลยละค่ะ อย่างน้อย...ในโลกใบนี้ฉันก็ไม่ได้ทุกข์อยู่คนเดียว ยังมีทั้งคุณและเด็กๆ พวกนี้ที่เป็นเพื่อนฉัน”
คราวนี้หญิงสาวหันมาสบดวงตาคู่สวยของชายหนุ่มตรงๆ ก่อนผุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากให้เขา
“ขอบคุณนะคะคุณนนท์ที่พาฉันมาที่นี่วันนี้” หล่อนสูดเอาอากาศบริสุทธิ์รอบกายเข้ามาหล่อเลี้ยงหัวใจตัวเอง ”ตอนนี้ฉันรู้สึกสดชื่นและก็สดใสขึ้นเยอะเลยละค่ะ”
“แล้วสดชื่นพอจะกลับกันได้รึยัง หรือว่าติดใจอยากนอนค้างที่นี่สักคืน”
“อยากนอนเหมือนกันค่ะ แต่เผอิญไม่ได้เก็บเสื้อผ้ามาด้วย เสียดายจัง” หล่อนแกล้งตอบรับเขาเล่น รู้สึกแปลกเหมือนกันที่ได้พูดคุยหยอกล้อกับเขา ถ้าชายหนุ่มข้างกายเป็นแบบนี้ได้ทุกวันก็คงดีสินะ
***********************
กว่ารชานนท์จะขับรถมาส่งปณาลีถึงบ้านธรรมนิตย์ก็เย็นมากแล้ว ด้วยความที่ออกจากสถานเด็กกำพร้ากันช่วงบ่ายแก่ อีกทั้งปณาลีไม่มีความจำเป็นต้องกลับไปที่บริษัทอีก เขาจึงชวนไปทานอาหารเย็นด้วยกันที่ร้านอาหารปรับอากาศแถวนั้นก่อนพาหล่อนมาส่งที่บ้านธรรมนิตย์ในเวลาถัดมา
“หายไปไหนมาล่ะเรา”
ปณาลีซึ่งเพิ่งก้าวขึ้นบันไดบ้านมายังห้องโถงชะงักฝีเท้า แต่แล้วต้องตกใจไม่น้อยที่เห็นชายคู่หมั้นยืนหลบอยู่หลังประตูบ้าน
ชนะชลค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้ ขณะที่ปณาลีกลับเดินถอยห่างอัตโนมัติ น้ำเสียงของชายหนุ่มแม้จะฟังดูราบเรียบแต่นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นฉายชัดถึงความไม่พอใจ
“พะ...พี่ชลมาถึงนานแล้วเหรอคะ”
“นานพอที่จะเห็นเราคุยกระหนุงกระหนิงกับนายรชานนท์นั่นแล้วล่ะ”
“ถ้าพี่ชลมาเพื่อมาหาเรื่องลี ลีว่าพี่กลับไปก่อนเถอะค่ะ” ได้ยินเขาแขวะกลับมาแบบนั้นปณาลีเลยหมดอารมณ์ที่จะพูดกับเขา จะเดินผ่านหน้าเขาไปดื้อๆ ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายไวกว่าคว้าแขนหล่อนไว้ทัน
ชนะชลกำลังโกรธ...หล่อนจับความรู้สึกนั้นได้ น้ำหนักมือที่เขากดลงมาที่ต้นแขนของหล่อนหนักไม่ต่างจากบีบแขนหล่อนไว้ทั้งมือจนเจ็บ “ปล่อยนะพี่ชล ลีเจ็บ”
“พี่ไปหาเราที่บริษัทเมื่อตอนเที่ยงแต่ไม่พบ นายรชานนท์พาเราไปไหนมาทั้งวัน”
“เขาพาลีไปสงบสติอารมณ์ที่สถานเด็กกำพร้ามาค่ะ”
คำตอบนั้นสร้างความแปลกใจให้คนโมโห เผลอคลายมือออกจากการเกาะกุมนั้น
ปณาลีลูบแขนตัวเองไปมา เห็นรอยแดงนิ้วมือเขาปรากฏชัดเจนบนเนื้อเนียน “แค่นี้ใช่มั้ยคะที่พี่ชลอยากรู้ ลีจะได้ไปนอน”
ชนะชลคว้าแขนหญิงสาวไว้อีกครั้งแต่ยังดีที่คราวนี้เบามือกว่าครั้งแรกมาก คนตรงหน้าอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จนปณาลีเริ่มกลัว “ทำไมเขาต้องพาเราไปสงบสติอารมณ์ด้วย หรือว่าเกิดอะไรขึ้น ใครทำอะไรเรา”
“มะ...ไม่มีอะไรค่ะพี่ชล ลี...ลีแค่ปวดหัวนิดหน่อยเขาเลยพาลีไปเล่นกับเด็กๆ ให้หายเครียดน่ะค่ะ”
“แล้วทำไมเราไม่บอกพี่”
“ก็พี่ชลเคยฟังลีด้วยเหรอคะ ทุกครั้งที่ลีปวดหัวพี่ชลก็หาว่าลีคิดมากบ้างล่ะ ฟุ้งซ่านแต่งเรื่องเพ้อเจ้อขึ้นมาเองบ้างล่ะ ถ้าลีบอกว่าลีไม่ได้แต่งเรื่องเพ้อเจ้ออย่างที่พี่ชลกล่าวหา แต่เรื่องที่ลีฝันคือเรื่องจริง พี่ชลจะเชื่อลีมั้ย”
“โธ่ลี พี่ไม่ได้คิดอย่างนั้น พี่ก็แค่เป็นห่วงไม่อยากให้ลีคิดมาก”
“พี่ชลเลิกพูดว่าเป็นห่วงลีเสียทีเถอะค่ะ ลีตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กับพี่อีก พี่จะได้ไม่ต้องทนรับฟังเรื่องเพ้อเจ้อของลี พอใจมั้ยคะ” ว่าแล้วปณาลีก็สลัดมือเขาออกจากการเกาะกุม เดินจ้ำอ้าวขึ้นบันไดไป ร้อนถึงชนะชลที่ต้องสาวเท้าตามขึ้นมารั้งหล่อนไว้เหมือนเคย
“แต่ก่อนเราไม่เคยเดินหนีพี่แบบนี้”
ปณาลีเบือนหน้าไปทางอื่น ทุกครั้งที่ชนะชลรั้งแฟนสาวไว้ไม่ได้เขามักจะทำแววตาละห้อยขอความเห็นใจอยู่เรื่อย และหล่อนก็เบื่อเต็มทนกับท่าทางแบบนี้ของเขา “พี่ชลกลับไปก่อนเถอะค่ะ เอาไว้เราทั้งคู่อารมณ์ดีกว่านี้แล้วค่อยคุยกัน”
“เป็นเพราะไอ้รชานนท์นั่นใช่มั้ยที่ทำให้ลีไม่อยากแต่งงานกับพี่ !”
“พี่ชล !” ปณาลีขึ้นเสียงบ้าง แต่แล้วทันทีที่หล่อนหันกลับมาเผชิญหน้าชนะชล หล่อนกลับเห็นรอยยิ้มแสยะปรากฎขึ้นที่มุมปากของเขา...ไม่ผิดเพี้ยนจากที่พี่สาวของเขาทำกับหล่อนเมื่อเช้า
“ปากก็บอกว่าไม่พร้อม เอาเหตุผลเรื่องความฝันบ้าๆ บอๆ นั่นมาปฏิเสธ ที่แท้ลีต้องการถ่วงเวลาเพื่อได้ใกล้ชิดกับไอ้หมอนั่น !”
“พี่ชล !” ปณาลีตบหน้าชนะชลเต็มแรง
อีกฝ่ายแทนที่จะหยุด กลับกระชากหล่อนมากอดรัดทั้งตัว “ทำไมลี พี่มันไม่ดีตรงไหน อ๋อ หรือว่ามันมีดีตรงลีลา รู้จักกันแค่ไม่กี่วันถึงขนาดไปรับไปส่งกันได้ อยากรู้นักว่าระหว่างพี่กับมันใครจะมัดใจลีได้มากกว่ากัน !”
ริมฝีปากแห้งผากบดขยี้ลงบนริมฝีปากบาง เขาใช้ลิ้นสกปรกของเขาลามเลียไปทั่วผิวแก้มที่ร้อนผ่าวเพราะความโกรธของหญิงสาว ตามด้วยไซ้ซอกคอของหล่อนด้วยความต้องการแรงกล้าอย่างที่เขาไม่เคยทำมาก่อน
ปณาลีดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของเขา เบนหน้าหนีทั้งที่รู้ว่าไม่พ้น “ปล่อยลีนะพี่ชล นี่มันบ้านของลี ! ถ้าพี่ชลยังไม่หยุดทำพฤติกรรมป่าเถื่อน ลีจะตะโกนเรียกให้คนของลีมาช่วย”
“ไม่ต้องมาขู่พี่” ชนะชลยังคงสนุกกับการได้ซุกซอกคอขาวเนียนของหล่อน ปากก็พร่ำไม่เป็นภาษา
“ยังไงพี่มันก็เลวในสายตาของเราอยู่แล้ว เราไม่รู้หรอกว่าวันที่เราปฏิเสธพี่วันนั้น พี่กลับมาคิดทบทวนถึงความบกพร่องของพี่เองทุกคืนและพี่ก็พบว่าพี่คงรักเราไม่มากพอ แต่วันนี้ ! พอพี่เห็นเราลงจากรถของหมอนั่น ! พี่รู้ทันทีว่าที่จริงแล้วลีมีคนอื่น”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ !”
เวลานั้นเองมีเสียงตะโกนดังมาจากระเบียงบันไดชั้นบน
ปณาลีจากพยายามผลักชนะชลออกห่างกลับนิ่งงัน ชนะชลเองพอได้ยินเสียงพี่สาวถึงกับชะงัก
กุศลินซอยเท้าลงบันไดมายังชั้นล่าง ขณะที่ชนะชลถ้าไม่มีเสียงพี่สาวดังมาจากชั้นบนคงไม่ยอมหยุดง่ายๆ หญิงสาวในอ้อมแขนเงียบไปเลยถอนริมฝีปากอย่างเสียมิได้ ยามนั้นเองชนะชลถึงเห็นดวงตาคู่สวยของหญิงสาวในอ้อมกอดบัดนี้แดงก่ำและมีน้ำใสๆ คลอคลองอยู่บริเวณขอบตา เรียกสติชนะชลกลับคืนทันใด ยอมคลายอ้อมแขน
“ลี พี่...พี่ขอ...”
ปณาลีฟาดหน้าเขาเต็มแรง แววตาของหล่อนมีแต่ความเย็นชา
ความเก็บกดทั้งหมดของชนะชลที่ระบายออกมาด้วยการกระทำไร้ความเป็นสุภาพบุรุษนั้น ทำให้ความรู้สึกทั้งขยะแขยงและรังเกียจในตัวผู้ชายตรงหน้าก่อขึ้นในหัวใจ
ปณาลีกระชากแหวนหมั้นออกจากนิ้ว ปาใส่แผ่นอกของเขา
“แต่ก่อนลีเคยคิดว่าพี่ชลเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในชีวิตของลี อย่างน้อยพี่ชลก็รักและห่วงใยลี ทำให้ผู้หญิงสมองเสื่อมอย่างลีเชื่อว่าตัวเองหายเป็นปกติ แต่เวลานี้...พี่ชลรู้มั้ยคะว่าลีรู้สึกยังไง”
“ลี...”
“ลีรู้สึกขยะแขยงพี่มาก ! พี่มันก็แค่ผู้ชายเลวๆ คนหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของลี เข้ามาเพื่อเหยียบย่ำซ้ำเติมคนสมองเสื่อมอย่างลีให้จมดิ่งลงไปในฝันร้ายนั้นอีกครั้ง ที่จริงแล้ว พี่ไม่เคยรักลีเลยด้วยซ้ำ พี่มันก็แค่ผู้ชายเห็นแก่ตัว”
“คุณลี ชล !”
ต่อให้ปณาลีไม่เงยหน้าขึ้นมามองก็รู้ว่ากุศลินพี่สาวของผู้ชายน่ารังเกียจตรงหน้ากำลังเดินเข้ามาหา หากภาพรอยยิ้มแสยะบนโต๊ะอาหารเมื่อเช้ายังชัดเจนในความทรงจำ และนั่นทำให้ปณาลีไม่อาจทนรับรู้ภาพน่ารังเกียจพวกนี้ได้อีกต่อไป
“จะไปไหนคะคุณลี”
“ไปไหนก็ได้ค่ะที่ไม่ใช่บ้านที่เต็มไปด้วยคนหลอกลวงอย่างที่นี่ !”
ปณาลีตะโกนตอบกลับไปพลางเดินออกมาจากบ้านไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองคนด้านหลัง นั่นเองจึงมีเสียงตะโกนเรียกไล่ตามหลังมาแต่มันเป็นเพียงลมพัดผ่านหูปณาลีเท่านั้น หล่อนไม่อยากหลงเชื่อคำของสองพี่น้องคู่นี้อีก บัดนี้ ! ขีดความอดทนของหล่อนได้หมดลงแล้ว
-----------------------------------------------------------
รันขอฝากอีบุ๊คเรื่องแรกของรันด้วยนะคะ >< http://www.ebooks.in.th/ebook/8398/Recall...อดีตรักรอยหัวใจ/
“คุณจะพาฉันไปไหน”
ปณาลีถามชายหนุ่มที่เอาแต่มองตรงไปยังถนนเบื้องหน้า เสียงถามยังปนสะอื้นอยู่จางๆ เพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
ตั้งแต่รชานนท์ลากหล่อนขึ้นรถของเขา พุ่งทะยานออกจากบริษัทมา ปณาลีก็เอาแต่ทุบตีและก่นด่าคนข้างกายคล้ายกับต้องการโยนความทุกข์ทั้งหมดใส่ผู้ชายเย็นชาที่ไม่ว่าคำพูดของหล่อนจะเชือดเฉือนเขามากแค่ไหน เขายังคงนั่งเฉย เป็นที่รองรับอารมณ์ให้หล่อนมาตลอดทาง
“สงบสติอารมณ์ได้แล้วเหรอคุณ”
ปณาลีหันขวับมาทางคนขับ มองเขาอย่างเอาเรื่อง “นี่คุณไม่โกรธฉันบ้างเลยรึไง”
“คุณไม่สมควรโดนโกรธหรอกนะปณาลี คนที่สมควรคือพนักงานสองคนนั้นต่างหาก”
“คุณ...คุณได้ยิน”
“คุณยอมให้พนักงานพวกนั้นนินทาอยู่ได้ยังไง ทำไมถึงไม่ด่าว่าพวกเขาอย่างที่คุณทำกับผมเมื่อกี้”
แม้อีกฝ่ายจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับทำให้ปณาลีไม่กล้าที่จะเอ่ยค้าน หล่อนเพียงแต่ก้มหน้ามองพื้นรถอย่างเด็กที่เพิ่งถูกผู้ใหญ่ดุ
“ผมกำลังจะพาคุณไปในที่ที่หนึ่งที่จะทำให้คุณสบายใจขึ้น” เขากลับมาตอบคำถามแรกที่หล่อนถาม
ปณาลีมองแปลกมาที่ชายหนุ่ม ขนาดหล่อนเองยังไม่รู้เลยว่าที่ไหนจะช่วยให้หล่อนรู้สึกดีกว่านี้ได้อีกนอกจากความตาย แล้วนับประสาอะไรกับคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันอย่างเขา
ใช้เวลาไม่นานรชานนท์ก็ขับรถมาถึงสถานที่แปลกตาแห่งหนึ่ง ปณาลีอ่านป้ายชื่อด้านหน้าสถานที่แห่งนั้นแล้วถึงกับมองซ้ำอีกรอบสลับกับมองหน้าคนขับอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง สถานเด็กกำพร้าเนี่ยนะที่เขาว่าจะทำให้หล่อนสบายใจขึ้น
“พี่นนท์ !”
เด็กหลายสิบคนต่างวิ่งกรูเข้ามาหาชายหนุ่มที่เพิ่งก้าวลงจากรถ
เด็กผู้หญิงวัยหกขวบหน้าตาลูกครึ่งตะวันตกคนหนึ่งในชุดกระโปรงสีชมพูหวานวิ่งเข้ามาเกาะขา รชานนท์จึงจับอุ้มลอยเหนือพื้น กอดไว้ในอ้อมแขน “เรียนเสร็จแล้วเหรอคะ”
“ค่ะ พวกเรากำลังเล่นวิ่งไล่จับกันอยู่ พี่นนท์มาเล่นกับพวกเรานะคะ”
“ได้สิคะ แต่วันนี้พี่นนท์ไม่ได้มาคนเดียวนะ พี่นนท์พาพี่สาวคนหนึ่งมาเล่นกับพวกเราด้วย” ว่าแล้วเขาก็หันมาหา ‘พี่สาว’ ด้านหลังที่ยังมองค้างอยู่ตรงประตูรถ
การได้มาอยู่ในสถานที่แปลกใหม่ทำให้ปณาลีทำตัวไม่ถูก ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่อย่างนั้น รชานนท์จึงเป็นฝ่ายเรียกหล่อนทั้งที่ยังมีเด็กยืนรายล้อมเขาอยู่เต็มไปหมด
“มาหาเด็กๆ สิคุณ”
“หา? ฉะ...ฉันเหรอคะ ?” ปณาลีชี้ตัวเองอย่างงงๆ แล้วต้องปิดประตูรถ แทรกตัวผ่านกลุ่มเด็กๆ เหล่านั้นเข้ามายืนขนาบข้างเขา
“นี่พี่ปณาลี เพื่อนของพี่นนท์เองครับ วันนี้เธอจะมาเล่นกับพวกเราด้วย”
เล่น ! ปณาลีเบิ่งตาโตมองมาที่คนพูด ปากงุบงิบกระซิบบอกเขาไปตรงๆ ว่า “ทำไมคุณไม่บอกฉันก่อนว่าจะพามาเล่นกับเด็กๆ พวกนี้”
“ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกคุณ แต่ไหนๆ คุณก็หลวมตัวมากับผมแล้ว ตอบรับให้พวกแกชื่นใจหน่อยแล้วกัน คุณไม่สงสารเด็กพวกนี้รึไง”
“แต่ฉันเล่นกับเด็กไม่เป็น”
“ไม่เป็นไรปณาลี ผมไม่ใจร้ายทิ้งคุณให้อยู่กับพวกแกตามลำพังหรอก” รชานนท์ตัดบท ก่อนละสายตาจากหญิงสาวไปยังเด็กๆ ใสซื่อตรงหน้า “อ้าว ! ใครอยากได้ขนมบ้างตามพี่นนท์มาเร็ว”
คนพูดกวักมือเรียกพลางเดินไปเปิดกระโปรงท้ายรถ หยิบขนมหลายสิบถุงแจกจ่ายให้เด็กๆ เหมือนเป็นเรื่องเคยชินสำหรับเขา และดูเหมือนเด็กๆ จะเชื่อฟัง ‘พี่นนท์’ ของพวกเขาเสียเหลือเกินถึงได้เดินตามก้นเขาไปเป็นขบวน
ริมฝีปากบางผุดรอยยิ้มเล็กๆ ขึ้นโดยไม่รู้ตัวยามมองภาพตรงหน้า
ท่าทางอ่อนโยนบวกกับเสียงอ่อนเสียงหวานขอรชานนท์ยามพูดกับเด็กๆ ด้วยความเอ็นดู ทำให้ปณาลีพลอยรู้สึกอบอุ่นไปด้วย ไม่น่าเชื่อว่านายเย็นชาตรงหน้าจะรักเด็กเป็นกับเขาด้วย
“นนท์...”
เสียงแปลกหูของใครบางคนดังมาจากด้านหลังปณาลี ฝ่ายรชานนท์นั้นคงรู้จักดีเพราะทันทีที่เห็นหญิงมีอายุปรากฏกายขึ้นตรงหน้า เขาก็วางมือจากขนมพวกนั้น ตรงไปหาคนที่ยืนกอดอกอยู่หน้าอาคารทรงเหลี่ยมสูงสองชั้นซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นสำนักงานของสถานเด็กกำพร้า
ปณาลีได้แต่มองตามหลังรชานนท์ไป คล้อยหลังทั้งสองเดินหายเข้าไปในตึก ปณาลีจำต้องเข้ามาทำหน้าที่แจกขนมเด็กๆ แทน
“พี่ปณาลีคะ”
เด็กหญิงหน้าตาลูกครึ่งคนเดิมดึงชายเสื้อปณาลีเบาๆ มือข้างหนึ่งยังคงกอดตุ๊กตาหมีตัวโตไว้ไม่ห่างกาย ส่วนอีกมือถือขนมถุงที่หล่อนเพิ่งแจกให้ เด็กคนอื่นๆ นั้นวิ่งหายไปที่สนามเด็กเล่นแล้ว ปณาลีจึงย่อตัวลงเสมอระดับเดียวกับหนูน้อยตรงหน้า อดยิ้มน้อยๆ ด้วยความเอ็นดูให้ไม่ได้ในแววตาใสซื่อคู่นั้น
“เรียกพี่ว่าพี่ลีก็ได้ค่ะ”
“ค่ะพี่ลี พี่ลีเป็นแฟนพี่นนท์เหรอคะ”
คำถามนั้นเล่นเอาคนถูกถามแทบสำลักความเอ็นดูเมื่อครู่เสียดื้อๆ ร้องปฏิเสธลิ้นพัน “ปละ...เปล่าค่ะ พี่ลีไม่ได้เป็นแฟนกับพี่นนท์ ทำไมถึงคิดแบบนั้นละคะ”
“พี่นนท์บอกพวกเราว่ามีแฟนแล้ว” เด็กผู้ชายจากไหนไม่รู้วิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าหล่อน ร่วมวงสนทนาด้วย
“บ่ายเมื่อวานพี่นนท์สัญญาไว้ว่าจะพาแฟนมาแนะนำให้พวกเรารู้จักวันนี้ฮะ และคุณก็เป็นคนเดียวที่พี่นนท์พามา”
บ่ายเมื่อวาน ? แฟน ?
สายตาของเด็กทั้งสองที่เว้าวอนต้องการคำตอบนั้นให้ได้ทำให้ปณาลีเริ่ม ร้อนๆ หนาวๆ พิกล ไหนนายรชานนท์บอกว่าจะไม่ทิ้งหล่อนไปไง แล้วนี่ทำไมหล่อนต้องมานั่งตอบคำถามไร้สาระพวกนี้อยู่คนเดียวด้วยเนี่ย
พอตอบไม่ได้เลยพาเปลี่ยนเรื่อง “เอ...คุยกันมาตั้งนานแล้วพี่ลียังไม่รู้จักชื่อหนูสองคนเลย บอกพี่ลีได้มั้ยคะว่าชื่ออะไรกันบ้าง”
“หนูชื่อเชอร์รี่ค่ะ / ผมชื่อแบทแมนฮะ” เด็กทั้งสองต่างยืดอกแนะนำตัวอย่างภาคภูมิ ปณาลีจึงขยี้ศีรษะเด็กทั้งสองด้วยความหมั่นเขี้ยว “ดูแล้วพวกเราสนิทกับพี่นนท์มากเลย สงสัยพี่นนท์คงมาหาพวกเราบ่อยน่าดูเลยใช่มั้ยคะ”
“ฮะ พี่นนท์มาเล่นกับพวกเราทุกอาทิตย์ แต่ถ้าวันไหนพวกเราติดเรียนพี่นนท์ก็จะเข้าไปเยี่ยมคุณครูที่ตึกแทนฮะ” แบทแมนตอบเสียงเจื้อยแจ้วพลางชี้ไปยังอาคารสถานเด็กกำพร้าที่รชานนท์เพิ่งหายเข้าไปกับหญิงมีอายุ
“พี่นนท์เป็นพี่ของพวกเราค่ะ คุณครูสายใจเคยบอกว่าพี่นนท์เป็นลูกศิษย์คนโปรดของครูสายและอยากให้พวกเราเป็นเด็กดีอย่างพี่นนท์ด้วยค่ะ”
“ศิษย์โปรดของครูสาย ?”
ปณาลีพยายามปะติดปะต่อสิ่งที่เด็กเล่าแต่สมองนั้นมึนงงเกินกว่าจะคิดอะไรออก บางทีหล่อนคงต้องทำตัวให้ผ่อนคลาย เลิกสงสัย เลิกระแวงอย่างที่นายรชานนท์ว่าเสียแล้ว เผื่ออาการปวดหัวจะดีขึ้น
“ไปเล่นกับเชอร์รี่ดีกว่าค่ะพี่ลี เชอร์รี่อยากได้เพื่อนเล่นตุ๊กตากับเชอร์รี่มานานแล้ว แบทแมนเขาเล่นตุ๊กตากับเชอร์รี่ไม่ได้เรื่องสักที”
“อ้าว ! ทำไมมาว่าเราแบบนี้ล่ะเชอร์รี่ เราอุตส่าห์มาเล่นกับเชอร์รี่นะ ระวังเถอะ วันหลังจะไม่มีเพื่อนเล่น”
“เชอะ เชอร์รี่ไม่แคร์หรอก แบทแมนจะไปไหนก็ไปเลย”
“เชอร์รี่ !”
“พอได้แล้วจ้ะเด็กๆ” พอเห็นเด็กสองคนต่อว่ากันอยู่นั่นเองแนวโน้มจะเกิดศึกน้ำลายขนาดย่อม ร้อนถึงคนกลางต้องเลิกครุ่นคิดเรื่อง ‘พี่นนท์’ ชั่วขณะร้องห้าม “ไม่ต้องทะเลาะกันค่ะ เดี๋ยวพี่จะไปเล่นกับเชอร์รี่เอง”
“จริงนะคะ” คนที่หน้าบูดบึ้งยิ้มกว้างขึ้นมาทันที
“จริงค่ะ แต่เมื่อกี้เชอร์รี่ผิดนะคะ เชอร์รี่ต้องขอโทษแบทแมนก่อนนะไม่งั้นพี่ลีไม่เล่นด้วย”
“ค่ะพี่ลี” เชอร์รี่ตอบเสียงอ่อย ว่าง่ายยอมหันไปมองเด็กผู้ชายข้างกายเอ่ยขอโทษอย่างไม่สบอารมณ์
ปณาลีหัวเราะน้อยๆ ให้กับเสียงห้วนๆ นั้น นิสัยของเชอร์รี่ทำให้หล่อนนึกถึงตัวเองตอนที่เป็นเด็กดื้อของพี่กฤตขึ้นมา ก่อนยอมให้เด็กๆ จูงมือพาไปเล่นด้วยกันในสนามเด็กเล่น ไม่ได้สังเกตหรอกว่ามีแววตาแฝงความพอใจภายใต้นัยน์ตาสีนิลคู่สวยลอบมองผ่านบานหน้าต่างบนตึกลงมา
*************************
ตลอดบ่ายปณาลีเดินเล่นอยู่ในสวนเพียงลำพัง มองดูความร่มรื่นของเงาไม้ที่ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณขนาบทางเดินเท้าทั้งสองข้าง นอกจากอาคารส่วนกลางที่เห็นในวินาทีแรกที่มาถึงแล้ว ยังมีอาคารแยกย่อยไปอีกหลายอาคารรายรอบบริเวณสถานเด็กกำพร้า
แต่ละอาคารมีผู้รับผิดชอบดูแลในส่วนที่ต่างกัน อย่างอาคารกลางจะมีเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับ ให้ข้อมูลแก่ผู้คนที่มาเยือน และขายของที่ระลึกซึ่งมาจากฝีมือเด็กๆ ในสถานเด็กกำพร้าแห่งนี้
อาคารฝั่งขวาเป็นส่วนรับประทานอาหารของเด็กๆ และมีห้องเรียนห้องเล็กๆ ไม่กี่ห้องถูกสร้างขึ้นเป็นห้องเดี่ยวแยกกันไปตามแต่ละวิชาที่จัดสอน ส่วนอาคารฝั่งซ้ายเป็นที่พักนอนของเด็ก รวมถึงสตรีที่เป็นมารดาแต่ประสบปัญหาชีวิตจากหลายสาเหตุด้วยกันก็ได้รับการดูแลอยู่ในสถานที่แห่งนี้ด้วย
“เด็กๆ ไปไหนหมดแล้วล่ะปณาลี”
ปณาลีเหลือบมองเจ้าของเสียงทุ้มที่ดังมาจากด้านหลังเพียงนิด รชานนท์นั่นเองที่ตามหลังหล่อนมา
“เด็กๆ ไปเรียนกันหมดแล้วค่ะ คุณครูของพวกแกเพิ่งมาตามไปเมื่อกี้”
รชานนท์ครางรับในลำคอเป็นการรับรู้ ก้าวไม่กี่ก้าวก็เข้ามาตีเสมอหญิงสาวได้สบาย “ผมดีใจนะที่คุณชอบที่นี่”
ปณาลีอมยิ้มให้กับเสียงระรื่นจนน่าหมั่นไส้ของชายหนุ่มข้างกาย หยุดเดินดื้อๆ “คุณไม่ต้องมาดีใจกับฉันหรอกค่ะ บอกมาดีกว่าว่าหายไปไหนมาตั้งนานสองนาน ไหนบอกว่าจะไม่ใจร้ายทิ้งฉันไปไงคะ”
“ผมไปหาผู้มีพระคุณมา”
เขาตอบแค่นั้น มองตรงไปข้างหน้า เป็นฝ่ายเดินนำออกไปร้อนถึงหล่อนที่ต้องเดินตามเขาให้ทัน
“คุณเดินชมที่นี่ทั่วรึยัง”
“ฉันเดินวนหลายรอบจนจะหลับตาเดินได้อยู่แล้วค่ะ คุณอย่ามาเปลี่ยนเรื่องหน่อยเลย เห็นเด็กๆ บอกฉันว่าคุณเป็นลูกศิษย์ของครูสายใจ มันหมายความว่ายังไงคะ ฉันต้องการคำอธิบาย”
“ก็อย่างที่คุณเข้าใจนั่นแหละ”
คำตอบไม่ต่างจากกำปั้นทุบดินกลับมาไม่ได้ช่วยให้หญิงสาวกระจ่างสักนิด ปณาลีจึงขมวดคิ้วมองเขาเป็นเชิงคาดคั้น เมื่อสาวเจ้ามีสีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนั่นแหละคนตัวโตถึงได้รู้ตัว
เขาถอนใจออกมา “ตกลงคุณอยากจะรู้เรื่องผมให้ได้ใช่มั้ยปณาลี”
“ค่ะ ในเมื่อคุณรู้เรื่องของฉันมามากแล้ว ฉันก็น่าจะได้รู้เรื่องของคุณบ้าง มันถึงจะเท่าเทียมกัน”
“ผมไม่ยักรู้นะว่าคุณเป็นพวกผดุงความยุติธรรม” รชานนท์แซวยิ้มๆ แกล้งแหย่หญิงสาวเล่นพอหอมปากหอมคอเท่านั้น ก่อนปรับน้ำเสียงเป็นราบเรียบตามเคย “คุณสังเกตมั้ยว่าเด็กๆ ที่คุณเห็น ส่วนใหญ่หน้าตาออกไปทางลูกครึ่ง ไม่ใช่ไทยแท้เสียทีเดียว”
ปณาลีกอดอกนึกตามที่เขาว่า จริงอย่างที่รชานนท์บอก เด็กแต่ละคนที่เข้ามาเล่นกับหล่อนเมื่อครู่รวมถึงเชอร์รี่และแบทแมน ส่วนมากหน้าตาออกไปทางคนตะวันตกทั้งนั้น บางคนมีดวงตาสีฟ้าใสสวย จัดว่าหน้าตาดีทีเดียว
หล่อนมองมายังคนพูด ดูไปดูมาเขาก็มีหน้าตาออกไปทางลูกครึ่งไทย-อเมริกันคล้ายเด็กแบทแมนเหมือนกัน
“เด็กพวกนี้ส่วนมากจะเกิดมาจากแม่ที่มีอาชีพขายบริการทางเพศ หรือไม่ก็แม่ที่ถูกกระทำชำเรา แม่ของพวกเขาส่วนมากเป็นเหยื่อของพวกชาวต่างชาติที่แค่เข้ามาเมืองไทยเพื่อมาหาความสนุกชั่วคราวเท่านั้น”
พอฟังเขาอธิบายถึงความเป็นมาของเด็กๆ เหล่านั้น ปณาลีกลับรู้สึกหดหู่ขึ้นมา ความสดใสเมือครู่เหือดหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่หล่อนก็ไม่ทันรู้ตัว
“เด็กพวกนี้น่าสงสารมากนะปณาลี พวกเขาต้องเกิดมาจากความไม่ตั้งใจของพ่อแม่ และแม่ของพวกเขามักจะไม่ยอมรับเด็กพวกนี้ว่าเป็นลูกของตัวเอง”
“น่าสงสารที่สุดเลยค่ะ” ปณาลีต่อได้แค่นั้น
“ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“คะ ?” หล่อนเผลอร้องเสียงสูงออกมา “คะ...คุณหมายความว่ายังไง”
รชานนท์หัวเราะให้กับเสียงตะกุกตะกักของเจ้าหล่อน แม้เห็นสีหน้าเหรอหราของหญิงสาวอยู่หลายครั้งแล้วก็ตามแต่ก็ยังไม่ชินสักที “ผมเติบโตมาจากที่นี่ ครูสายใจคือผู้ที่มีพระคุณของผม”
“ครูสายใจ ? คือคนที่มาเรียกคุณที่หน้าตึกใช่มั้ยคะ”
รชานนท์พยักหน้า “ครูสายใจเป็นทั้งแม่และครูของผม ท่านให้ความรู้และความรักอย่างที่ผมไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน กระทั่งครอบครัวจักรภพรับผมมาเลี้ยงดู แต่มันก็แค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น...พวกท่านเสียชีวิตระหว่างนั่งเครื่องบินไปต่างประเทศ จึงเหลือลุงภูเบศวร์และป้าจูเลียที่อุปการะผมต่อมา”
ปณาลีได้แต่มองหน้าชายหนุ่ม พอได้รู้ชีวิตของรชานนท์ขึ้นมาจริงๆ หล่อนเองกลับพูดอะไรไม่ออก
“ทีนี้คุณก็รู้เรื่องของผมหมดแล้ว ยังมีเรื่องอะไรสงสัยอยากจะถามผมอีกมั้ย”
ปณาลีเพียงยิ้มๆ มองตรงไปยังทางเดินเบื้องหน้าอย่างที่ชายหนุ่มชอบทำยามไม่ต้องการสบตาคนข้างกาย ไม่น่าเชื่อว่าหลานชายเจ้าของบริษัทเงินทุนยักษ์ใหญ่ จะมีเบื้องหลังชีวิตที่ขมขื่นถึงเพียงนี้
“ถึงฉันจะไม่ได้มีชีวิตอย่างคุณหรือเด็กๆ พวกนี้ แต่คุณทำให้ฉันได้เห็นโลกกว้างขึ้นเยอะเลยละค่ะ อย่างน้อย...ในโลกใบนี้ฉันก็ไม่ได้ทุกข์อยู่คนเดียว ยังมีทั้งคุณและเด็กๆ พวกนี้ที่เป็นเพื่อนฉัน”
คราวนี้หญิงสาวหันมาสบดวงตาคู่สวยของชายหนุ่มตรงๆ ก่อนผุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากให้เขา
“ขอบคุณนะคะคุณนนท์ที่พาฉันมาที่นี่วันนี้” หล่อนสูดเอาอากาศบริสุทธิ์รอบกายเข้ามาหล่อเลี้ยงหัวใจตัวเอง ”ตอนนี้ฉันรู้สึกสดชื่นและก็สดใสขึ้นเยอะเลยละค่ะ”
“แล้วสดชื่นพอจะกลับกันได้รึยัง หรือว่าติดใจอยากนอนค้างที่นี่สักคืน”
“อยากนอนเหมือนกันค่ะ แต่เผอิญไม่ได้เก็บเสื้อผ้ามาด้วย เสียดายจัง” หล่อนแกล้งตอบรับเขาเล่น รู้สึกแปลกเหมือนกันที่ได้พูดคุยหยอกล้อกับเขา ถ้าชายหนุ่มข้างกายเป็นแบบนี้ได้ทุกวันก็คงดีสินะ
***********************
กว่ารชานนท์จะขับรถมาส่งปณาลีถึงบ้านธรรมนิตย์ก็เย็นมากแล้ว ด้วยความที่ออกจากสถานเด็กกำพร้ากันช่วงบ่ายแก่ อีกทั้งปณาลีไม่มีความจำเป็นต้องกลับไปที่บริษัทอีก เขาจึงชวนไปทานอาหารเย็นด้วยกันที่ร้านอาหารปรับอากาศแถวนั้นก่อนพาหล่อนมาส่งที่บ้านธรรมนิตย์ในเวลาถัดมา
“หายไปไหนมาล่ะเรา”
ปณาลีซึ่งเพิ่งก้าวขึ้นบันไดบ้านมายังห้องโถงชะงักฝีเท้า แต่แล้วต้องตกใจไม่น้อยที่เห็นชายคู่หมั้นยืนหลบอยู่หลังประตูบ้าน
ชนะชลค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้ ขณะที่ปณาลีกลับเดินถอยห่างอัตโนมัติ น้ำเสียงของชายหนุ่มแม้จะฟังดูราบเรียบแต่นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นฉายชัดถึงความไม่พอใจ
“พะ...พี่ชลมาถึงนานแล้วเหรอคะ”
“นานพอที่จะเห็นเราคุยกระหนุงกระหนิงกับนายรชานนท์นั่นแล้วล่ะ”
“ถ้าพี่ชลมาเพื่อมาหาเรื่องลี ลีว่าพี่กลับไปก่อนเถอะค่ะ” ได้ยินเขาแขวะกลับมาแบบนั้นปณาลีเลยหมดอารมณ์ที่จะพูดกับเขา จะเดินผ่านหน้าเขาไปดื้อๆ ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายไวกว่าคว้าแขนหล่อนไว้ทัน
ชนะชลกำลังโกรธ...หล่อนจับความรู้สึกนั้นได้ น้ำหนักมือที่เขากดลงมาที่ต้นแขนของหล่อนหนักไม่ต่างจากบีบแขนหล่อนไว้ทั้งมือจนเจ็บ “ปล่อยนะพี่ชล ลีเจ็บ”
“พี่ไปหาเราที่บริษัทเมื่อตอนเที่ยงแต่ไม่พบ นายรชานนท์พาเราไปไหนมาทั้งวัน”
“เขาพาลีไปสงบสติอารมณ์ที่สถานเด็กกำพร้ามาค่ะ”
คำตอบนั้นสร้างความแปลกใจให้คนโมโห เผลอคลายมือออกจากการเกาะกุมนั้น
ปณาลีลูบแขนตัวเองไปมา เห็นรอยแดงนิ้วมือเขาปรากฏชัดเจนบนเนื้อเนียน “แค่นี้ใช่มั้ยคะที่พี่ชลอยากรู้ ลีจะได้ไปนอน”
ชนะชลคว้าแขนหญิงสาวไว้อีกครั้งแต่ยังดีที่คราวนี้เบามือกว่าครั้งแรกมาก คนตรงหน้าอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จนปณาลีเริ่มกลัว “ทำไมเขาต้องพาเราไปสงบสติอารมณ์ด้วย หรือว่าเกิดอะไรขึ้น ใครทำอะไรเรา”
“มะ...ไม่มีอะไรค่ะพี่ชล ลี...ลีแค่ปวดหัวนิดหน่อยเขาเลยพาลีไปเล่นกับเด็กๆ ให้หายเครียดน่ะค่ะ”
“แล้วทำไมเราไม่บอกพี่”
“ก็พี่ชลเคยฟังลีด้วยเหรอคะ ทุกครั้งที่ลีปวดหัวพี่ชลก็หาว่าลีคิดมากบ้างล่ะ ฟุ้งซ่านแต่งเรื่องเพ้อเจ้อขึ้นมาเองบ้างล่ะ ถ้าลีบอกว่าลีไม่ได้แต่งเรื่องเพ้อเจ้ออย่างที่พี่ชลกล่าวหา แต่เรื่องที่ลีฝันคือเรื่องจริง พี่ชลจะเชื่อลีมั้ย”
“โธ่ลี พี่ไม่ได้คิดอย่างนั้น พี่ก็แค่เป็นห่วงไม่อยากให้ลีคิดมาก”
“พี่ชลเลิกพูดว่าเป็นห่วงลีเสียทีเถอะค่ะ ลีตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กับพี่อีก พี่จะได้ไม่ต้องทนรับฟังเรื่องเพ้อเจ้อของลี พอใจมั้ยคะ” ว่าแล้วปณาลีก็สลัดมือเขาออกจากการเกาะกุม เดินจ้ำอ้าวขึ้นบันไดไป ร้อนถึงชนะชลที่ต้องสาวเท้าตามขึ้นมารั้งหล่อนไว้เหมือนเคย
“แต่ก่อนเราไม่เคยเดินหนีพี่แบบนี้”
ปณาลีเบือนหน้าไปทางอื่น ทุกครั้งที่ชนะชลรั้งแฟนสาวไว้ไม่ได้เขามักจะทำแววตาละห้อยขอความเห็นใจอยู่เรื่อย และหล่อนก็เบื่อเต็มทนกับท่าทางแบบนี้ของเขา “พี่ชลกลับไปก่อนเถอะค่ะ เอาไว้เราทั้งคู่อารมณ์ดีกว่านี้แล้วค่อยคุยกัน”
“เป็นเพราะไอ้รชานนท์นั่นใช่มั้ยที่ทำให้ลีไม่อยากแต่งงานกับพี่ !”
“พี่ชล !” ปณาลีขึ้นเสียงบ้าง แต่แล้วทันทีที่หล่อนหันกลับมาเผชิญหน้าชนะชล หล่อนกลับเห็นรอยยิ้มแสยะปรากฎขึ้นที่มุมปากของเขา...ไม่ผิดเพี้ยนจากที่พี่สาวของเขาทำกับหล่อนเมื่อเช้า
“ปากก็บอกว่าไม่พร้อม เอาเหตุผลเรื่องความฝันบ้าๆ บอๆ นั่นมาปฏิเสธ ที่แท้ลีต้องการถ่วงเวลาเพื่อได้ใกล้ชิดกับไอ้หมอนั่น !”
“พี่ชล !” ปณาลีตบหน้าชนะชลเต็มแรง
อีกฝ่ายแทนที่จะหยุด กลับกระชากหล่อนมากอดรัดทั้งตัว “ทำไมลี พี่มันไม่ดีตรงไหน อ๋อ หรือว่ามันมีดีตรงลีลา รู้จักกันแค่ไม่กี่วันถึงขนาดไปรับไปส่งกันได้ อยากรู้นักว่าระหว่างพี่กับมันใครจะมัดใจลีได้มากกว่ากัน !”
ริมฝีปากแห้งผากบดขยี้ลงบนริมฝีปากบาง เขาใช้ลิ้นสกปรกของเขาลามเลียไปทั่วผิวแก้มที่ร้อนผ่าวเพราะความโกรธของหญิงสาว ตามด้วยไซ้ซอกคอของหล่อนด้วยความต้องการแรงกล้าอย่างที่เขาไม่เคยทำมาก่อน
ปณาลีดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของเขา เบนหน้าหนีทั้งที่รู้ว่าไม่พ้น “ปล่อยลีนะพี่ชล นี่มันบ้านของลี ! ถ้าพี่ชลยังไม่หยุดทำพฤติกรรมป่าเถื่อน ลีจะตะโกนเรียกให้คนของลีมาช่วย”
“ไม่ต้องมาขู่พี่” ชนะชลยังคงสนุกกับการได้ซุกซอกคอขาวเนียนของหล่อน ปากก็พร่ำไม่เป็นภาษา
“ยังไงพี่มันก็เลวในสายตาของเราอยู่แล้ว เราไม่รู้หรอกว่าวันที่เราปฏิเสธพี่วันนั้น พี่กลับมาคิดทบทวนถึงความบกพร่องของพี่เองทุกคืนและพี่ก็พบว่าพี่คงรักเราไม่มากพอ แต่วันนี้ ! พอพี่เห็นเราลงจากรถของหมอนั่น ! พี่รู้ทันทีว่าที่จริงแล้วลีมีคนอื่น”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ !”
เวลานั้นเองมีเสียงตะโกนดังมาจากระเบียงบันไดชั้นบน
ปณาลีจากพยายามผลักชนะชลออกห่างกลับนิ่งงัน ชนะชลเองพอได้ยินเสียงพี่สาวถึงกับชะงัก
กุศลินซอยเท้าลงบันไดมายังชั้นล่าง ขณะที่ชนะชลถ้าไม่มีเสียงพี่สาวดังมาจากชั้นบนคงไม่ยอมหยุดง่ายๆ หญิงสาวในอ้อมแขนเงียบไปเลยถอนริมฝีปากอย่างเสียมิได้ ยามนั้นเองชนะชลถึงเห็นดวงตาคู่สวยของหญิงสาวในอ้อมกอดบัดนี้แดงก่ำและมีน้ำใสๆ คลอคลองอยู่บริเวณขอบตา เรียกสติชนะชลกลับคืนทันใด ยอมคลายอ้อมแขน
“ลี พี่...พี่ขอ...”
ปณาลีฟาดหน้าเขาเต็มแรง แววตาของหล่อนมีแต่ความเย็นชา
ความเก็บกดทั้งหมดของชนะชลที่ระบายออกมาด้วยการกระทำไร้ความเป็นสุภาพบุรุษนั้น ทำให้ความรู้สึกทั้งขยะแขยงและรังเกียจในตัวผู้ชายตรงหน้าก่อขึ้นในหัวใจ
ปณาลีกระชากแหวนหมั้นออกจากนิ้ว ปาใส่แผ่นอกของเขา
“แต่ก่อนลีเคยคิดว่าพี่ชลเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในชีวิตของลี อย่างน้อยพี่ชลก็รักและห่วงใยลี ทำให้ผู้หญิงสมองเสื่อมอย่างลีเชื่อว่าตัวเองหายเป็นปกติ แต่เวลานี้...พี่ชลรู้มั้ยคะว่าลีรู้สึกยังไง”
“ลี...”
“ลีรู้สึกขยะแขยงพี่มาก ! พี่มันก็แค่ผู้ชายเลวๆ คนหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของลี เข้ามาเพื่อเหยียบย่ำซ้ำเติมคนสมองเสื่อมอย่างลีให้จมดิ่งลงไปในฝันร้ายนั้นอีกครั้ง ที่จริงแล้ว พี่ไม่เคยรักลีเลยด้วยซ้ำ พี่มันก็แค่ผู้ชายเห็นแก่ตัว”
“คุณลี ชล !”
ต่อให้ปณาลีไม่เงยหน้าขึ้นมามองก็รู้ว่ากุศลินพี่สาวของผู้ชายน่ารังเกียจตรงหน้ากำลังเดินเข้ามาหา หากภาพรอยยิ้มแสยะบนโต๊ะอาหารเมื่อเช้ายังชัดเจนในความทรงจำ และนั่นทำให้ปณาลีไม่อาจทนรับรู้ภาพน่ารังเกียจพวกนี้ได้อีกต่อไป
“จะไปไหนคะคุณลี”
“ไปไหนก็ได้ค่ะที่ไม่ใช่บ้านที่เต็มไปด้วยคนหลอกลวงอย่างที่นี่ !”
ปณาลีตะโกนตอบกลับไปพลางเดินออกมาจากบ้านไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองคนด้านหลัง นั่นเองจึงมีเสียงตะโกนเรียกไล่ตามหลังมาแต่มันเป็นเพียงลมพัดผ่านหูปณาลีเท่านั้น หล่อนไม่อยากหลงเชื่อคำของสองพี่น้องคู่นี้อีก บัดนี้ ! ขีดความอดทนของหล่อนได้หมดลงแล้ว
-----------------------------------------------------------
รันขอฝากอีบุ๊คเรื่องแรกของรันด้วยนะคะ >< http://www.ebooks.in.th/ebook/8398/Recall...อดีตรักรอยหัวใจ/
สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ต.ค. 2555, 13:56:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ต.ค. 2555, 13:56:19 น.
จำนวนการเข้าชม : 1365
<< บทที่ 8 |
lovemuay 31 ต.ค. 2555, 19:15:21 น.
บางทีกฤตกับพี่นนท์เป็นคนเดียวกันรึป่าว?
ความฝันของนางเอกเป็นความจริง แต่ทุกคนรอบตัวต่างหากที่โกหก?
ที่จริงชลไม่ได้เป็นคู่หมั้น แต่อาศัยที่นางเอกความจำเสื่อมกุเรื่องขึ้นมา?
ใช่ป่าวหว่า? ตอนนี้เราคิดแบบนี้
บางทีกฤตกับพี่นนท์เป็นคนเดียวกันรึป่าว?
ความฝันของนางเอกเป็นความจริง แต่ทุกคนรอบตัวต่างหากที่โกหก?
ที่จริงชลไม่ได้เป็นคู่หมั้น แต่อาศัยที่นางเอกความจำเสื่อมกุเรื่องขึ้นมา?
ใช่ป่าวหว่า? ตอนนี้เราคิดแบบนี้
สรัน 31 ต.ค. 2555, 20:24:21 น.
5555555อันนี้ไม่รู๊ (เสียงสูง)
ขอบคุณlovemuayนะคะที่ยังติดตามนิยายรัน เขินๆ ><
5555555อันนี้ไม่รู๊ (เสียงสูง)
ขอบคุณlovemuayนะคะที่ยังติดตามนิยายรัน เขินๆ ><