Recall...อดีตรักรอยหัวใจ
เพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ ‘ปณาลี’ สูญเสียความทรงจำไปบางส่วน
ภายใต้ความฝันที่คอยหลอกหลอนทุกชั่วคืน หล่อนได้พบกับ ‘พี่กฤต’ จิตรกรหนุ่มคู่รัก เจ้าของแววตาสีนิลอ่อนโยนที่ตราตรึงในหัวใจไม่เคยจาง
หากในยามตื่น หล่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเข้าไปพัวพันกับเบื้องหลังการเสียชีวิตของบิดา โดยมี ‘รชานนท์’ หนุ่มนักธุรกิจผู้แสนเย็นชา ที่แม้เขาจะก้าวเข้ามาในชีวิตปณาลีฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ของบริษัท หากทุกครั้งยามที่หล่อนหมดที่พึ่งพิงกลับมีเขาเท่านั้นที่คอยปกป้องดูแล ก่อเกิดสายใยความผูกพันลึกซึ้งขึ้นในหัวใจอย่างน่าประหลาด จนบางครั้งหล่อนเริ่มรู้สึกว่าเขาอาจไม่ใช่นายรชานนท์ที่หล่อนรู้จัก
เมื่อหนึ่งหญิงสาวมีรักที่ผูกพันต่อสองชาย
หนึ่งนั้นคือรักในฝัน ที่อาจไม่มีตัวตน อีกหนึ่งนั้นคือรักเคียงข้าง ที่อาจไม่เป็นจริง แล้วรักใดคือรักแท้ในหัวใจ หรือแท้จริงแล้ว...รักนั้นคือความหลอกลวง
ภายใต้ความฝันที่คอยหลอกหลอนทุกชั่วคืน หล่อนได้พบกับ ‘พี่กฤต’ จิตรกรหนุ่มคู่รัก เจ้าของแววตาสีนิลอ่อนโยนที่ตราตรึงในหัวใจไม่เคยจาง
หากในยามตื่น หล่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเข้าไปพัวพันกับเบื้องหลังการเสียชีวิตของบิดา โดยมี ‘รชานนท์’ หนุ่มนักธุรกิจผู้แสนเย็นชา ที่แม้เขาจะก้าวเข้ามาในชีวิตปณาลีฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ของบริษัท หากทุกครั้งยามที่หล่อนหมดที่พึ่งพิงกลับมีเขาเท่านั้นที่คอยปกป้องดูแล ก่อเกิดสายใยความผูกพันลึกซึ้งขึ้นในหัวใจอย่างน่าประหลาด จนบางครั้งหล่อนเริ่มรู้สึกว่าเขาอาจไม่ใช่นายรชานนท์ที่หล่อนรู้จัก
เมื่อหนึ่งหญิงสาวมีรักที่ผูกพันต่อสองชาย
หนึ่งนั้นคือรักในฝัน ที่อาจไม่มีตัวตน อีกหนึ่งนั้นคือรักเคียงข้าง ที่อาจไม่เป็นจริง แล้วรักใดคือรักแท้ในหัวใจ หรือแท้จริงแล้ว...รักนั้นคือความหลอกลวง
Tags: สรัน ริบบิ้นสีเหลือง อบอุ่น ธุรกิจ จิตรกร ซึ้ง ซ่อนเงื่อน
ตอน: บทที่ 8
บทที่ 8
โต๊ะอาหารที่มนต์นภาจัดให้รชานนท์และปณาลีอยู่ภายในสวนอาหารบนระเบียงไม้ชั้นสอง ด้วยความที่ด้านบนเปิดโล่งไร้หลังคาบวกกับท้องฟ้ามีเมฆปกคลุมเอื้อต่อคนนั่ง ทำให้บรรยากาศภายในร้านร่มรื่นและสบายหูกว่าคราวก่อนมาก
“จานสุดท้ายมาแล้วค่ะ”
มนต์นภาเสียงใสมาแต่ไกล หลีกทางให้บริกรของหล่อนวางอาหารจานนั้นลงโต๊ะ ส่วนตัวหล่อนพอทำหน้าที่เป็นเจ้าของร้านที่ดีเสร็จเรียบร้อยจึงทรุดตัวลงนั่งตรงหัวโต๊ะ โดยมีปณาลีและรชานนท์นั่งฝั่งซ้ายและขวา ติดระเบียงร้าน
“อาหารเยอะไปรึเปล่ามนต์ เราทานกันแค่สามคนเอง”
ปณาลีโอดครวญเมื่อเห็นว่าบนโต๊ะตระการตาไปด้วยอาหารหลากหลายประเภททั้งที่รู้จักและไม่รู้จักปะปนกันไป เห็นจะมีแค่ยำสามกรอบจานโปรดของหล่อน ผัดผักคะน้า และปลาอบวุ้นเส้นที่คุ้นลิ้น ส่วนสลัดผลไม้ที่วางรวมอยู่ด้วยหล่อนคิดว่าไม่ค่อยเข้ากับอาหารคาวบนโต๊ะเสียเท่าไหร่
“นี่อะไรเหรอมนต์”
ปณาลีชี้ไปยังจานที่มีแต่ผักใบเขียวกับไข่แห้งๆ วางแผ่บนผักอีกที
“ไข่ตุ๋นผักโขมจ้ะ อร่อยนะ” มนต์นภาว่าก่อนตักไข่ที่โรยหน้าด้วยกุ้งแห้งกับผักโขมบางส่วนให้เพื่อนสาว “พอคุณนนท์โทร.มาบอกว่าลีจะมาด้วย มนต์ก็รีบสั่งเด็กให้ทำอาหารเพิ่มสำหรับลีโดยเฉพาะเลยล่ะ”
“สำหรับเรา ?”
“ใช่จ้ะ ทั้งปลาอบวุ้นเส้นเอย ผักม้วน ผัดผักคะน้า และก็สลัดผลไม้ อาหารพวกนี้มีแคลเซียม แมกนีเซียม และธาตุเหล็กช่วยบรรเทาอาการปวดหัวของลีทั้งนั้น ลีต้องรู้จักทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายบ้างรู้มั้ย จะได้ไม่เป็นลมเป็นแล้งไปเหมือนเมื่อวันก่อน”
ปณาลีมองอาหารแต่ละจานตามรายชื่อที่เพื่อนไล่เรียงมา แล้วก็ต้องยิ้มเหยเก “สลัดผลไม้ด้วยเหรอมนต์ เรา...เราว่ามันไม่น่า...”
“อย่าเพิ่งค้านสิลี ลองทานดูก่อน รับรองว่าลีต้องชอบ”
ปณาลียังคงมองชามใบโตที่มีทั้งสตรอเบอร์รี่ มะละกอ แอปเปิ้ลซึ่งถูกหั่นเป็นชิ้นเล็ก และกล้วยเป็นชิ้นๆ ในชามด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ดูยังไงก็ไม่เห็นถึงความอร่อย
“น้ำเย็นๆ สดชื่นถึงใจค่ะ”
บริกรสาวคนที่เคยมารับหน้าปณาลีเสิร์ฟน้ำสีใสเย็นฉ่ำในแก้วทรงกระบอกสูงพร้อมหลอดวางลงตรงหน้ารชานนท์และมนต์นภา ตามด้วยปณาลี หากรายหลังกลับหน้าเหยเกทันที เพราะของคนอื่นเป็นน้ำมะนาวเย็นสดชื่น แถมแก้วยังมีประดับมะนาวซีกเล็กตรงปากแก้วแลดูสวยน่าทาน ตัวแก้วยังมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะพราว แต่ดูของหล่อนสิ มีแค่น้ำสีเหลืองๆ กับน้ำแข็งไม่กี่ก้อน
“นี่มันอะไรกันมนต์ มนต์ก็รู้ว่าเราไม่ชอบน้ำเก๊กฮวย”
“เพื่อสุขภาพจ้ะ” มนต์นภาตอบกลับมาหน้าตาเฉย “ลีปวดหัวบ่อยแบบนี้ควรดื่มรู้มั้ย มันมีสารช่วยป้องกันโรคไมเกรน”
“แต่มนต์...”
“ไม่มีแต่ค่ะคุณปณาลี ถ้ายังรักตัวเองก็จงทานของพวกนี้ให้หมด อ้อ ! และห้ามบ่นด้วย มันจะเป็นมลพิษบนโต๊ะอาหารนะเจ้าคะ”
“โธ่มนต์” พอเถียงเพื่อนไม่ได้ ปณาลีเลยกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ทำเสียงเว้าวอนพลางมองอาหารและเครื่องดื่มตรงหน้าด้วยความขมขื่น
หล่อนไม่ได้สังเกตเห็นหรอกว่านัยน์ตาสีนิลของใครบางคนกำลังยิ้มขันในสีหน้าของหล่อนอยู่กรายๆ ขืนให้สาวเจ้าเห็นคงโดนแหวเข้าให้อีกคน
ใช้เวลาไม่นานอาหารบนโต๊ะก็ถูกจัดการเรียบ จานแรกที่หมดก่อนจานอื่นๆ คือสลัดผลไม้ และคนที่รับประทานหมดเกลี้ยงไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นคนที่บ่นโอดครวญแต่แรกนั่นแหละ ตามมาด้วยยำสามกรอบจานโปรด ปลาอบวุ้นเส้น ก่อนจบลงด้วยน้ำเก๊กฮวยแก้วที่สาม !
มนต์นภาหัวเราะให้กับท่าทางของเพื่อนสาวที่นั่งหลังตรงยืดคอสุดฤทธิ์ เห็นแล้วอดกระเซ้าแหย่ไม่ได้ “อิ่มรึยังลี เอาอีกจานมั้ย”
“พอเลยมนต์ เห็นอยู่ว่าเราอิ่มจะแย่อยู่แล้ว”
“ก็ลีเล่นทานคนเดียวเกือบหมดโต๊ะเลยนี่ แถมยังดื่มน้ำเก๊กฮวยไปตั้งหลายแก้ว ไม่อิ่มก็แย่แล้ว จริงมั้ยคะคุณนนท์”
รชานนท์เพียงยิ้มๆ แสร้งดื่มน้ำมะนาวกลบเกลื่อน
“ก็...ก็บนโต๊ะมันมีน้ำอะไรให้เราดื่มอีกล่ะนอกจากน้ำเหลืองๆ นี่ แล้วเรายังทานอาหารไปเยอะด้วย ก็ต้องติดคอเป็นธรรมดา”
“ติดคอหรือติดใจกันแน่จ๊ะแม่หัวดื้อ”
ปณาลีย่นจมูกใส่เพื่อนหมั่นไส้ที่บังอาจรู้ทัน เป็นมนต์นภาที่ยิ้มขันแอบดีใจลึกๆ ที่เพื่อนกวาดอาหารเรียบเกินคาด ครานั้นเองเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ถามหุ้นส่วนถึงรสชาติอาหารบนโต๊ะเลย
“อาหารของมนต์เป็นยังไงบ้างคะคุณนนท์ หวังว่าคุณคงทานทันลีเขานะคะ คนอะไรก็ไม่รู้ทานอาหารเร็วอย่างกับจรวด ไม่รู้ว่าอดอยากมาจากไหน”
“ก็เราไม่ได้ทานอาหารอร่อยๆ แบบนี้มาหลายวันแล้วนะมนต์”
ได้ยินเพื่อนแซวไม่เลิกเลยอดไม่ได้แทรกขึ้นมา แต่แล้วปณาลีต้องเม้มปาก สงบปากสงบคำทันใดเมื่อถูกเพื่อนหรี่ตามองมาเป็นเชิงตำหนิที่ไปขัดจังหวะเวลางานของหล่อน
“ผมว่าผมคงไม่ต้องวิจารณ์แล้วมั้งครับคุณมนต์ ดูจากพฤติกรรมของเพื่อนคุณก็น่าจะเป็นคำตอบได้แล้ว”
คนสงบปากสงบคำจ้องเขม็งมาที่รชานนท์ทันควัน เขามีสิทธิอะไรมาวิจารณ์พฤติกรรมการทานอาหารของหล่อน
“งั้นแสดงว่าคุณชอบอาหารร้านมนต์ใช่มั้ยคะ”
“คุณมนต์มีความรู้เรื่องอาหารมากครับ เอาเป็นว่าผมยกหน้าที่คัดสรรอาหารเพื่อนำลงเมนูสำหรับร้านใหม่ในห้างสรรพสินค้าของคุณลีให้คุณเป็นคนตัดสินใจเองแล้วกัน แต่ขอเน้นที่อาหารทานเล่นกับของว่างเป็นหลักนะครับ ส่วนหน้าที่ส่วนอื่นผมจะช่วยคุณเอง”
“ขอบคุณค่ะคุณนนท์ แล้วมนต์จะส่งรายการอาหารไปให้คุณดูที่บริษัทเองค่ะ”
เมื่อตกลงกันเรียบร้อย รชานนท์ก็ลุกขึ้นเป็นคนแรก
“เผอิญผมมีธุระต่อ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อน”
บอกลาแค่นั้นชายหนุ่มตรงหน้าก็สาวเท้ายาวผ่านหน้าสาวบนโต๊ะอาหารตรงดิ่งไปยังบันไดภายในร้านเพื่อลงไปยังชั้นล่าง เล่นเอาปณาลีจากกำลังมองหาเรื่องเขาปรับโหมดแทบไม่ทัน หล่อนตั้งใจไว้ว่าทานอาหารเสร็จเมื่อไหร่จะถามเขาเรื่องเมื่อคืนให้กระจ่างกว่านี้ เพราะตอนพบกันที่สวนหย่อมเขาไม่ได้ให้คำตอบหล่อนสักข้อ นอกจากเปลี่ยนประเด็นไปเรื่อย
ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกลับเร็วขนาดนี้จึงรีบร้องเรียกรั้งเขาไว้
“เดี๋ยวก่อนคุณนนท์ ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ...เราไปก่อนนะมนต์”
ประโยคท้ายปณาลีบอกลาเพื่อนสาวเช่นกัน รายนั้นแม้มีสีหน้าฉงนแต่ก็ปล่อยให้เพื่อนวิ่งหน้าตั้งตามรชานนท์ลงบันไดไปยังชั้นล่าง
“เดี๋ยวค่ะคุณนนท์ คุณนนท์คะ”
ปณาลีตะโกนเรียกเขาฝ่าเสียงจอแจของลูกค้าในสวนอาหาร แต่รายนั้นเล่นเดินเร็วราวเหาะ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่ารชานนท์จะรีบไปไหน เลขาหน้าห้องบอกว่าวันนี้เขาไม่เข้าบริษัทไม่ใช่เหรอ แล้วเขายังจะมีธุระที่ไหนอีกเนี่ย
ด้วยความที่ลูกค้านั่งอยู่เต็มไปหมด อีกทั้งบริกรยังเดินขวักไขว่กันให้วุ่นทำให้ยากต่อการไล่ตามเขาให้ทัน เสียงเรียกของหล่อนคงถูกกลืนหายไปกับเสียงสนทนาของผู้คนในร้าน ไม่แปลกที่พอปณาลีออกมาด้านนอกก็ไร้ซึ่งเงาของรชานนท์แล้ว
**********************
สายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างหนักไม่ได้ทำให้หญิงสาวชะลอความเร็วของรถลงเลย หล่อนพยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะทั้งหมดเพ่งมองไปยังถนนว่างเปล่าเบื้องหน้าผ่านม่านน้ำตาที่ยังคงไหลรินไม่ขาดสาย
แสงไฟสองข้างทางแม้จะสว่างเพียงใดแต่มันกลับดูสลัวและพร่ามัวมากในสายตาของหล่อน
‘ปณาลี !’ ชื่อของหล่อนที่ถูกเรียกด้วยเสียงทุ้มที่แข็งกร้าวนั้น ยังดังก้องอยู่ในหัวไม่ต่างจากยามที่วิ่งจากเขามา
ปณาลีปาดน้ำตาออกจากแก้ม ก่อนกำพวงมาลัยแน่นราวกับจะให้มันหักคามือเสียเดี๋ยวนั้น
‘ทำไมเราถึงดื้อนัก เราคิดว่าที่พี่มาหาในยามวิกาลแบบนี้ก็เพื่อจะมาโกหกเรารึไง’
‘นั่นสิคะ ลีก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าพี่ยอมละทิ้งเวลาอันมีค่าของพี่จากงานศิลป์พวกนั้นมาหาลีได้ยังไง’
‘พอได้แล้วลี เราจะแต่งงานกันอยู่แล้วนะ เลิกประชดประชันพี่ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้เสียที พี่รู้ตัวว่าพี่ผิดที่มัวแต่สนใจงานจนไม่ได้ใส่ใจดูแลเราเท่าที่ควร แต่เราก็ต้องเข้าใจพี่บ้างว่าพี่จำเป็น...มันคืองานของพี่นะลี’
‘งานๆๆ เอะอะอะไรพี่ก็เอางานมาอ้างกับลีอยู่เรื่อย ถ้างานมันสำคัญกับพี่นัก ก็ไปอยู่กับงานเลยไป ไม่ต้องมาสนใจลี’
‘ปณาลี !’ เขาเรียกชื่อหล่อนอีกครั้งแต่คราวนี้แข็งกร้าวจนหญิงสาวใจหาย หล่อนจะเดินหนีหากถูกเขารั้งไว้
‘เราจะโกรธจะเกลียดพี่ พี่ไม่ว่า แต่อย่าไล่พี่ไปได้มั้ย ตอนนี้เรายังไม่ปลอดภัย พี่ไม่อยากทิ้งเรา’
‘ลีไม่ปลอดภัยแน่ค่ะถ้าอยู่กับพี่กฤต !’
‘อย่าดื้อสิลี พี่บอกเรากี่ครั้งแล้วว่าการตายของคุณคมไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่มันเป็นฝีมือของคุณลิน’
‘พอสักที ลีไม่อยากฟังเรื่องเพ้อเจ้อของพี่อีกแล้ว การตายของคุณพ่อลีเป็นแค่อุบัติเหตุ เข้าใจมั้ยคะว่าอุบัติเหตุ ไม่ใช่การฆาตกรรมอย่างที่พี่เข้าใจ’
ปณาลีสลัดแขนสุดแรง ร่างบางวิ่งฝ่าสายฝนที่เทกระหน่ำออกจากบ้านมาพร้อมน้ำตาที่ไหลพราก ไม่...แม้แต่จะหันกลับมามองคนที่ตะโกนเรียกอยู่ด้านหลัง
หญิงสาวกรอกตาขึ้นฟ้า หวังจะให้น้ำตานั้นไหลย้อนกลับคืน
ภาพของชลาคมที่นอนจมกองเลือดในคืนวันนั้น ยังคงมีสีแดงฉานติดตาหล่อนไม่ต่างจากวันนี้ มันทำให้ปณาลีหวนนึกถึงคำเตือนของชายหนุ่มอีกครั้ง...ภาพของพ่อกับปืนพกในมือท่าน มันฟ้องอยู่ทนโท่ว่าบิดาของหล่อนอ่อนแอเกินกว่าจะต่อสู้ความโหดร้ายที่รุมเร้าเข้ามาได้
แต่แล้ว !! แสงไฟจ้าจากเบื้องหน้าทำให้ปณาลีสลัดความคิดเมื่อครู่พลัน
รถขับเคลื่อนสี่ล้อจากทิศใดไม่รู้พุ่งทะยานออกมาตัดหน้ารถของหล่อน คราเดียวกับที่หล่อนพยายามเหยียบเบรกสุดแรง หากดวงตาเรียวต้องเบิกโพลงเมื่ออยู่ดีๆ เบรกใช้การไม่ได้
หนทางเดียวคือต้องหักพวงมาลัยขับเลี้ยวหลบไปอีกเลนส์ แต่ด้วยความเร็วบวกกับฝนที่เทลงมาไม่ขาดสาย ทำให้คนขับไม่สามารถบังคับรถให้อยู่ในการควบคุมได้
รถกลับเลี้ยวตลบเก้าสิบองศาออกนอกเส้นทาง พุ่งเข้าชนต้นไม้ใหญ่ ศีรษะของหญิงสาวกระแทกพวงมาลัยอย่างแรง !
ปณาลีกรีดร้องสุดเสียง ราวกับมีแรงมหาศาลผลักหล่อนให้หลุดจากภาพที่คอยหลอกหลอนอยู่ชั่วคืน ผวาลุกขึ้นจากเตียงทันควัน สิ่งแรกที่รับรู้คือความเงียบสนิทท่ามกลางความมืดมิดภายในห้องนอน
“พี่กฤต...คุณพ่อ...” ปณาลีงึมงำกับตัวเองด้วยเสียงแหบพร่า
ภาพหนุ่มสาวทะเลาะกันในห้องโถงบ้านธรรมนิตย์กลางดึก ภาพรถขับเคลื่อนสี่ล้อพุ่งชนต้นไม้ข้างทาง...ชัดเจนจนยากที่หล่อนจะทำใจให้เชื่อได้ว่าเป็นเพียงฝันร้าย
ปณาลีสลัดผ้าห่มให้พ้นกายพลางปาดเหงื่อที่ผุดพราวบนใบหน้า
ณ ตอนนี้ หัวใจของหล่อนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หากอีกใจหนึ่งหล่อนอยากพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าหล่อนไม่ได้ละเมอเพ้อฝันไปเองอย่างที่ทุกคนกล่าวหาอีกต่อไป และคนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุด...คือกุศลิน
*************************
“วันนี้คุณลีลงมาเร็วนะคะ”
กุศลินเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน ขณะที่ปณาลีเพียงยิ้มๆ เขี่ยข้าวในจานไปมา
วันนี้หล่อนลงมารับประทานอาหารเช้าเร็วกว่าทุกวัน ตั้งใจไว้ว่าจะมาดักรอกุศลินเพื่อถามความค้างคาใจทั้งหมดกับแม่เลี้ยงสาว แต่พออีกฝ่าย ปรากฎตัวขึ้นปณาลีกลับทำอะไรไม่ถูกนอกจากก้มหน้าก้มตาตักอาหารในจานเข้าปาก มีบ้างที่เหลือบมองคนหัวโต๊ะเป็นระยะ ทุกครั้งที่สบตา ปณาลีเป็นต้องผลุบสายตาหนี มองเม็ดข้าวในจานเสียอย่างนั้น
กุศลินซึ่งมักลงมาทานอาหารเช้าพร้อมไปทำงานเป็นคนแรกในทุกวันคงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของลูกสาวจึงถามขึ้น “หรือว่ามีธุระด่วนที่บริษัทคะคุณลี ทำไมดิฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ปละ...เปล่าหรอกค่ะคุณลิน คือ...เมื่อคืน...ลีฝันร้ายอีกแล้วน่ะค่ะ”
อีกฝ่ายเงียบไปในทันใด ปณาลีสังเกตเห็นคิ้วเรียวที่ถูกแต่งจนได้รูปโค้งสวยเลิกขึ้นเล็กน้อย
“คุณลินรู้จักผู้ชายที่ชื่อกฤตมั้ยคะ”
คราวนี้ไม่เพียงแต่คิ้วสวยที่เลิกสูง ริมฝีปากสีจัดยังยิ้มเหยียด “ใครกันคะชื่อกฤต ชื่อแปลกจังค่ะ”
คำตอบของสาวตรงหน้าทำให้ปณาลีละสายตาจากอาหาร สบตาอีกฝ่ายตรงๆ “คุณลินอย่าปิดบังลีอีกเลยค่ะ ลีรู้ว่าภาพในฝันของลีมันเป็นความจริง คุณลินบอกลีมาเถอะนะคะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในคืนวันที่ลีประสบอุบัติเหตุ และวันที่คุณพ่อของลีเสีย มันเป็นยังไงกันแน่”
“ดิฉันบอกคุณลีไปหมดแล้วนะคะว่าวันที่คุณคมเสีย ดิฉันออกไปทำธุระกับชนะชลที่ต่างจังหวัด ส่วนวันที่คุณประสบอุบัติเหตุก็มาจากความที่คุณเสียใจเรื่องที่คุณคมเสียกะทันหัน”
“แต่ในฝันลีเห็นว่าลีทะเลาะกับพี่กฤตและวิ่งฝ่าฝนออกไป ละ...แล้วลียัง...”
จู่ๆ กุศลินก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทำเอาคนที่กำลังสาธยายถึงความฝันสะดุ้ง
แม่เลี้ยงสาวเล่นรวบช้อนส้อมเก็บเรียบร้อย แสดงให้เห็นชัดเจนว่าอิ่มท้องและไม่ต้องการฟังเรื่องเพ้อเจ้อของหล่อนอีก “อย่าคิดมากสิคะคุณลี ความฝันของคุณอาจเป็นแค่เรื่องที่คุณจินตนาการขึ้นมาปะปนกับเหตุการณ์จริงที่ยังฝังใจอยู่บางส่วนก็ได้ ดิฉันขอตัวไปรอคุณในรถนะคะ”
กุศลินตัดบทเดินหนีออกจากห้องอาหารไป ไม่แม้แต่จะรับฟัง
วันนั้นทั้งวันปณาลีไม่มีสมาธิทำงานแม้แต่น้อย ในหัวสมองหล่อนครุ่นคิดแต่เรื่องราวในความฝัน หากสายตาของกุศลินเมื่อบนโต๊ะอาหารที่มีแต่ความเย้ยหยันและเย็นชา...ยังจำได้ติดตา
สุดท้ายปณาลีกลับปิดแฟ้มเอกสาร เคาะขมับตัวเองรู้สึกได้ถึงอาการปวดหัวที่กำเริบหนักจนไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีก
หล่อนคว้ากระเป๋าสะพายมาวางไว้บนตัก ตั้งท่าจะหยิบยาแก้ปวดหัวมาทานเหมือนทุกคราว แต่แล้วกลับชะงักเมื่อมีเสียงทุ้มของชายหนุ่มในห้วงคำนึงดังขัดขึ้นมา
‘ผมอยากให้คุณเลิกทานยาจะได้มั้ย’
ปณาลียังจำแววตาของรชานนท์ยามมองหล่อนในวันนั้นได้ขึ้นใจ นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นไม่ได้มองมาอย่างตำหนิหรือคิดว่าตัวเองเหนือกว่าแต่อย่างใด หากเขา...กำลังขอร้องผู้หญิงแสนดื้อคนนี้อยู่ต่างหาก
ปณาลีมองขวดยาแก้ปวดหัวที่วางนอนรอให้หล่อนหยิบมันขึ้นมาอยู่อย่างนั้น แล้วต้องตัดใจปิดกระเป๋าสะพายเก็บไว้ที่เดิม เปลี่ยนใจลุกไปหาเครื่องดื่มอุ่นๆ สักแก้วเพื่อหวังว่าความร้อนของของเหลวคงช่วยให้อาการปวดหัวทุเลาลงได้บ้าง
“นี่เธอ รู้เรื่องที่คุณสรรมาพบคุณลีที่ห้องทำงานวันก่อนรึยัง”
เสียงของใครบางคนในห้องพักพนักงานทำให้หญิงสาวที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องทำงานชะงักฝีเท้า ถ้าได้ยินไม่ผิด มีชื่อของหล่อนอยู่ในหัวข้อสนทนานั้นด้วย
“รู้สิจ๊ะเธอ เขาลือกันให้ทั่วว่าคุณสรรกำลังทำตัวเป็นพ่อสื่อพ่อชักอยู่”
“ใช่ๆ และดูท่าจะมีลุ้นแหละเธอ เพราะเมื่อวันก่อนฉันเห็นคุณลีออกไปข้างนอกกับคุณรชานนท์ เห็นเขาว่าถูกคุณสรรบังคับให้พาไปดูทำเลทำธุรกิจใหม่อะไรนี่แหละ แต่ฉันว่าหายไปทั้งวันด้วยกันแบบนั้น สงสัยคงจะไปสวีทหวานกันมากกว่า”
“พูดเป็นเล่นไปน่ะ เดี๋ยวใครเข้ามาได้ยินเข้าคุณลีจะเสียหาย”
“อ้าว ! เธอก็รู้ว่าบริษัทเราติดหนี้คุณรชานนท์ไม่น้อย บางทีคุณสรรอาจอยากชดใช้หนี้ด้วยการประเคนลูกสาวของเพื่อนให้ก็ได้ ใช้หนี้ง่ายกว่าทำงานงกๆ อย่างทุกวันนี้ตั้งเยอะ”
“นั่นสินะ ดูอย่างตอนที่คุณลีเข้าโรงพยาบาลสิ คุณสรรไปเยี่ยมกี่ครั้งกันเชียว แหม...แต่พอคุณลีกลับมาทำงานได้เป็นปกติ ก็ทำมาเป็นห่วงเป็นใย จ้ำจี้จำไชกับคุณลินเรื่องคุณลีเช้าเย็น”
“แหม เธอก็พูดเกินไป คุณสรรเขาอยากเป็นประธานบริษัทนี้จนตัวสั่น แกคงคิดว่าทำดีกับคุณลีแล้วเผื่อคุณลีจะเห็นความสำคัญ ยกตำแหน่งประธานบริษัทนี้ให้ก็ได้ จริงมั้ย”
สองสาวนินทากันสนุกปาก ไม่ได้รู้ตัวหรอกว่ามีบุคคลที่พวกหล่อนกำลังนินทายืนร่วมอยู่ด้วย
หากปณาลีนั้นเพียงแต่ยืนนิ่งงัน หล่อนได้ยินสิ่งที่พนักงานสาวทั้งสองคนพูดชัดเจนทุกถ้อยคำ หากตอนนี้หัวสมองของหล่อนหนักอึ้ง หูอื้ออึงเพราะความโกรธที่วิ่งพล่านไปทั่วร่างจนพูดไม่ออก หล่อนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังแบกความเครียดไว้ทั้งชีวิต นำพาเอาความสับสน มึนงงถาโถมเข้ามาในจิตใจ ดวงหน้าซีดเผือด พิงร่างที่อ่อนระโหยกับกำแพง
นะ...นี่มันอะไรกัน ชีวิตหล่อน...กำลังเผชิญอยู่กับสิ่งใดกันแน่ ทั้งเรื่องเสกสรร ทั้งเรื่องบิดา
ปณาลีรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา ภาพความฝันย้อนกลับเข้ามาในหัวสมองพลัน
เสียงพี่กฤตที่พร่ำบอกหล่อนถึงการจากไปของบิดา เสียงหล่อนที่ด่าทอต่อว่าเขา...ดังก้องจนหล่อนต้องปิดหูตัวเอง และแล้วความทุกข์เหล่านั้นก็ระเบิดออกมาเป็นคลื่นสะอื้นลูกใหญ่ พัดพาเอาน้ำตาจากไหนไม่รู้ไหลอาบแก้ม ไม่สนใจแล้วว่าจะมีใครมาเห็นความอ่อนแอของหล่อน ยามนี้ความอ่อนล้าในใจลามไปทั่วร่างกายเกินกว่าที่หล่อนจะอดกลั้นไว้ได้อีกต่อไป
“ปณาลี...”
เสียงทุ้มที่ดังมาจากไม่ไกลนักทำให้หญิงสาวที่กำลังร้องไห้กับตัวเองหันหาเจ้าของเสียงนั้น และต้องพบว่าเป็นรชานนท์ที่ยืนอยู่ด้านหลังหล่อน
ปณาลีรีบปาดน้ำตาทิ้ง คำนินทาของพนักงานเมื่อครู่ยังแจ่มชัดในความทรงจำพาลไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าเขาด้วยซ้ำ จึงหันหลังให้เขาเดินหนีไปทางอื่นดื้อๆ แต่ไม่ไวเท่ารชานนท์ที่ก้าวไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวหล่อน ดึงร่างที่อ่อนแรงให้เดินตามเขาออกไปจากตรงนั้น !
โต๊ะอาหารที่มนต์นภาจัดให้รชานนท์และปณาลีอยู่ภายในสวนอาหารบนระเบียงไม้ชั้นสอง ด้วยความที่ด้านบนเปิดโล่งไร้หลังคาบวกกับท้องฟ้ามีเมฆปกคลุมเอื้อต่อคนนั่ง ทำให้บรรยากาศภายในร้านร่มรื่นและสบายหูกว่าคราวก่อนมาก
“จานสุดท้ายมาแล้วค่ะ”
มนต์นภาเสียงใสมาแต่ไกล หลีกทางให้บริกรของหล่อนวางอาหารจานนั้นลงโต๊ะ ส่วนตัวหล่อนพอทำหน้าที่เป็นเจ้าของร้านที่ดีเสร็จเรียบร้อยจึงทรุดตัวลงนั่งตรงหัวโต๊ะ โดยมีปณาลีและรชานนท์นั่งฝั่งซ้ายและขวา ติดระเบียงร้าน
“อาหารเยอะไปรึเปล่ามนต์ เราทานกันแค่สามคนเอง”
ปณาลีโอดครวญเมื่อเห็นว่าบนโต๊ะตระการตาไปด้วยอาหารหลากหลายประเภททั้งที่รู้จักและไม่รู้จักปะปนกันไป เห็นจะมีแค่ยำสามกรอบจานโปรดของหล่อน ผัดผักคะน้า และปลาอบวุ้นเส้นที่คุ้นลิ้น ส่วนสลัดผลไม้ที่วางรวมอยู่ด้วยหล่อนคิดว่าไม่ค่อยเข้ากับอาหารคาวบนโต๊ะเสียเท่าไหร่
“นี่อะไรเหรอมนต์”
ปณาลีชี้ไปยังจานที่มีแต่ผักใบเขียวกับไข่แห้งๆ วางแผ่บนผักอีกที
“ไข่ตุ๋นผักโขมจ้ะ อร่อยนะ” มนต์นภาว่าก่อนตักไข่ที่โรยหน้าด้วยกุ้งแห้งกับผักโขมบางส่วนให้เพื่อนสาว “พอคุณนนท์โทร.มาบอกว่าลีจะมาด้วย มนต์ก็รีบสั่งเด็กให้ทำอาหารเพิ่มสำหรับลีโดยเฉพาะเลยล่ะ”
“สำหรับเรา ?”
“ใช่จ้ะ ทั้งปลาอบวุ้นเส้นเอย ผักม้วน ผัดผักคะน้า และก็สลัดผลไม้ อาหารพวกนี้มีแคลเซียม แมกนีเซียม และธาตุเหล็กช่วยบรรเทาอาการปวดหัวของลีทั้งนั้น ลีต้องรู้จักทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายบ้างรู้มั้ย จะได้ไม่เป็นลมเป็นแล้งไปเหมือนเมื่อวันก่อน”
ปณาลีมองอาหารแต่ละจานตามรายชื่อที่เพื่อนไล่เรียงมา แล้วก็ต้องยิ้มเหยเก “สลัดผลไม้ด้วยเหรอมนต์ เรา...เราว่ามันไม่น่า...”
“อย่าเพิ่งค้านสิลี ลองทานดูก่อน รับรองว่าลีต้องชอบ”
ปณาลียังคงมองชามใบโตที่มีทั้งสตรอเบอร์รี่ มะละกอ แอปเปิ้ลซึ่งถูกหั่นเป็นชิ้นเล็ก และกล้วยเป็นชิ้นๆ ในชามด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ดูยังไงก็ไม่เห็นถึงความอร่อย
“น้ำเย็นๆ สดชื่นถึงใจค่ะ”
บริกรสาวคนที่เคยมารับหน้าปณาลีเสิร์ฟน้ำสีใสเย็นฉ่ำในแก้วทรงกระบอกสูงพร้อมหลอดวางลงตรงหน้ารชานนท์และมนต์นภา ตามด้วยปณาลี หากรายหลังกลับหน้าเหยเกทันที เพราะของคนอื่นเป็นน้ำมะนาวเย็นสดชื่น แถมแก้วยังมีประดับมะนาวซีกเล็กตรงปากแก้วแลดูสวยน่าทาน ตัวแก้วยังมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะพราว แต่ดูของหล่อนสิ มีแค่น้ำสีเหลืองๆ กับน้ำแข็งไม่กี่ก้อน
“นี่มันอะไรกันมนต์ มนต์ก็รู้ว่าเราไม่ชอบน้ำเก๊กฮวย”
“เพื่อสุขภาพจ้ะ” มนต์นภาตอบกลับมาหน้าตาเฉย “ลีปวดหัวบ่อยแบบนี้ควรดื่มรู้มั้ย มันมีสารช่วยป้องกันโรคไมเกรน”
“แต่มนต์...”
“ไม่มีแต่ค่ะคุณปณาลี ถ้ายังรักตัวเองก็จงทานของพวกนี้ให้หมด อ้อ ! และห้ามบ่นด้วย มันจะเป็นมลพิษบนโต๊ะอาหารนะเจ้าคะ”
“โธ่มนต์” พอเถียงเพื่อนไม่ได้ ปณาลีเลยกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ทำเสียงเว้าวอนพลางมองอาหารและเครื่องดื่มตรงหน้าด้วยความขมขื่น
หล่อนไม่ได้สังเกตเห็นหรอกว่านัยน์ตาสีนิลของใครบางคนกำลังยิ้มขันในสีหน้าของหล่อนอยู่กรายๆ ขืนให้สาวเจ้าเห็นคงโดนแหวเข้าให้อีกคน
ใช้เวลาไม่นานอาหารบนโต๊ะก็ถูกจัดการเรียบ จานแรกที่หมดก่อนจานอื่นๆ คือสลัดผลไม้ และคนที่รับประทานหมดเกลี้ยงไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นคนที่บ่นโอดครวญแต่แรกนั่นแหละ ตามมาด้วยยำสามกรอบจานโปรด ปลาอบวุ้นเส้น ก่อนจบลงด้วยน้ำเก๊กฮวยแก้วที่สาม !
มนต์นภาหัวเราะให้กับท่าทางของเพื่อนสาวที่นั่งหลังตรงยืดคอสุดฤทธิ์ เห็นแล้วอดกระเซ้าแหย่ไม่ได้ “อิ่มรึยังลี เอาอีกจานมั้ย”
“พอเลยมนต์ เห็นอยู่ว่าเราอิ่มจะแย่อยู่แล้ว”
“ก็ลีเล่นทานคนเดียวเกือบหมดโต๊ะเลยนี่ แถมยังดื่มน้ำเก๊กฮวยไปตั้งหลายแก้ว ไม่อิ่มก็แย่แล้ว จริงมั้ยคะคุณนนท์”
รชานนท์เพียงยิ้มๆ แสร้งดื่มน้ำมะนาวกลบเกลื่อน
“ก็...ก็บนโต๊ะมันมีน้ำอะไรให้เราดื่มอีกล่ะนอกจากน้ำเหลืองๆ นี่ แล้วเรายังทานอาหารไปเยอะด้วย ก็ต้องติดคอเป็นธรรมดา”
“ติดคอหรือติดใจกันแน่จ๊ะแม่หัวดื้อ”
ปณาลีย่นจมูกใส่เพื่อนหมั่นไส้ที่บังอาจรู้ทัน เป็นมนต์นภาที่ยิ้มขันแอบดีใจลึกๆ ที่เพื่อนกวาดอาหารเรียบเกินคาด ครานั้นเองเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ถามหุ้นส่วนถึงรสชาติอาหารบนโต๊ะเลย
“อาหารของมนต์เป็นยังไงบ้างคะคุณนนท์ หวังว่าคุณคงทานทันลีเขานะคะ คนอะไรก็ไม่รู้ทานอาหารเร็วอย่างกับจรวด ไม่รู้ว่าอดอยากมาจากไหน”
“ก็เราไม่ได้ทานอาหารอร่อยๆ แบบนี้มาหลายวันแล้วนะมนต์”
ได้ยินเพื่อนแซวไม่เลิกเลยอดไม่ได้แทรกขึ้นมา แต่แล้วปณาลีต้องเม้มปาก สงบปากสงบคำทันใดเมื่อถูกเพื่อนหรี่ตามองมาเป็นเชิงตำหนิที่ไปขัดจังหวะเวลางานของหล่อน
“ผมว่าผมคงไม่ต้องวิจารณ์แล้วมั้งครับคุณมนต์ ดูจากพฤติกรรมของเพื่อนคุณก็น่าจะเป็นคำตอบได้แล้ว”
คนสงบปากสงบคำจ้องเขม็งมาที่รชานนท์ทันควัน เขามีสิทธิอะไรมาวิจารณ์พฤติกรรมการทานอาหารของหล่อน
“งั้นแสดงว่าคุณชอบอาหารร้านมนต์ใช่มั้ยคะ”
“คุณมนต์มีความรู้เรื่องอาหารมากครับ เอาเป็นว่าผมยกหน้าที่คัดสรรอาหารเพื่อนำลงเมนูสำหรับร้านใหม่ในห้างสรรพสินค้าของคุณลีให้คุณเป็นคนตัดสินใจเองแล้วกัน แต่ขอเน้นที่อาหารทานเล่นกับของว่างเป็นหลักนะครับ ส่วนหน้าที่ส่วนอื่นผมจะช่วยคุณเอง”
“ขอบคุณค่ะคุณนนท์ แล้วมนต์จะส่งรายการอาหารไปให้คุณดูที่บริษัทเองค่ะ”
เมื่อตกลงกันเรียบร้อย รชานนท์ก็ลุกขึ้นเป็นคนแรก
“เผอิญผมมีธุระต่อ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อน”
บอกลาแค่นั้นชายหนุ่มตรงหน้าก็สาวเท้ายาวผ่านหน้าสาวบนโต๊ะอาหารตรงดิ่งไปยังบันไดภายในร้านเพื่อลงไปยังชั้นล่าง เล่นเอาปณาลีจากกำลังมองหาเรื่องเขาปรับโหมดแทบไม่ทัน หล่อนตั้งใจไว้ว่าทานอาหารเสร็จเมื่อไหร่จะถามเขาเรื่องเมื่อคืนให้กระจ่างกว่านี้ เพราะตอนพบกันที่สวนหย่อมเขาไม่ได้ให้คำตอบหล่อนสักข้อ นอกจากเปลี่ยนประเด็นไปเรื่อย
ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกลับเร็วขนาดนี้จึงรีบร้องเรียกรั้งเขาไว้
“เดี๋ยวก่อนคุณนนท์ ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ...เราไปก่อนนะมนต์”
ประโยคท้ายปณาลีบอกลาเพื่อนสาวเช่นกัน รายนั้นแม้มีสีหน้าฉงนแต่ก็ปล่อยให้เพื่อนวิ่งหน้าตั้งตามรชานนท์ลงบันไดไปยังชั้นล่าง
“เดี๋ยวค่ะคุณนนท์ คุณนนท์คะ”
ปณาลีตะโกนเรียกเขาฝ่าเสียงจอแจของลูกค้าในสวนอาหาร แต่รายนั้นเล่นเดินเร็วราวเหาะ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่ารชานนท์จะรีบไปไหน เลขาหน้าห้องบอกว่าวันนี้เขาไม่เข้าบริษัทไม่ใช่เหรอ แล้วเขายังจะมีธุระที่ไหนอีกเนี่ย
ด้วยความที่ลูกค้านั่งอยู่เต็มไปหมด อีกทั้งบริกรยังเดินขวักไขว่กันให้วุ่นทำให้ยากต่อการไล่ตามเขาให้ทัน เสียงเรียกของหล่อนคงถูกกลืนหายไปกับเสียงสนทนาของผู้คนในร้าน ไม่แปลกที่พอปณาลีออกมาด้านนอกก็ไร้ซึ่งเงาของรชานนท์แล้ว
**********************
สายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างหนักไม่ได้ทำให้หญิงสาวชะลอความเร็วของรถลงเลย หล่อนพยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะทั้งหมดเพ่งมองไปยังถนนว่างเปล่าเบื้องหน้าผ่านม่านน้ำตาที่ยังคงไหลรินไม่ขาดสาย
แสงไฟสองข้างทางแม้จะสว่างเพียงใดแต่มันกลับดูสลัวและพร่ามัวมากในสายตาของหล่อน
‘ปณาลี !’ ชื่อของหล่อนที่ถูกเรียกด้วยเสียงทุ้มที่แข็งกร้าวนั้น ยังดังก้องอยู่ในหัวไม่ต่างจากยามที่วิ่งจากเขามา
ปณาลีปาดน้ำตาออกจากแก้ม ก่อนกำพวงมาลัยแน่นราวกับจะให้มันหักคามือเสียเดี๋ยวนั้น
‘ทำไมเราถึงดื้อนัก เราคิดว่าที่พี่มาหาในยามวิกาลแบบนี้ก็เพื่อจะมาโกหกเรารึไง’
‘นั่นสิคะ ลีก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าพี่ยอมละทิ้งเวลาอันมีค่าของพี่จากงานศิลป์พวกนั้นมาหาลีได้ยังไง’
‘พอได้แล้วลี เราจะแต่งงานกันอยู่แล้วนะ เลิกประชดประชันพี่ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้เสียที พี่รู้ตัวว่าพี่ผิดที่มัวแต่สนใจงานจนไม่ได้ใส่ใจดูแลเราเท่าที่ควร แต่เราก็ต้องเข้าใจพี่บ้างว่าพี่จำเป็น...มันคืองานของพี่นะลี’
‘งานๆๆ เอะอะอะไรพี่ก็เอางานมาอ้างกับลีอยู่เรื่อย ถ้างานมันสำคัญกับพี่นัก ก็ไปอยู่กับงานเลยไป ไม่ต้องมาสนใจลี’
‘ปณาลี !’ เขาเรียกชื่อหล่อนอีกครั้งแต่คราวนี้แข็งกร้าวจนหญิงสาวใจหาย หล่อนจะเดินหนีหากถูกเขารั้งไว้
‘เราจะโกรธจะเกลียดพี่ พี่ไม่ว่า แต่อย่าไล่พี่ไปได้มั้ย ตอนนี้เรายังไม่ปลอดภัย พี่ไม่อยากทิ้งเรา’
‘ลีไม่ปลอดภัยแน่ค่ะถ้าอยู่กับพี่กฤต !’
‘อย่าดื้อสิลี พี่บอกเรากี่ครั้งแล้วว่าการตายของคุณคมไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่มันเป็นฝีมือของคุณลิน’
‘พอสักที ลีไม่อยากฟังเรื่องเพ้อเจ้อของพี่อีกแล้ว การตายของคุณพ่อลีเป็นแค่อุบัติเหตุ เข้าใจมั้ยคะว่าอุบัติเหตุ ไม่ใช่การฆาตกรรมอย่างที่พี่เข้าใจ’
ปณาลีสลัดแขนสุดแรง ร่างบางวิ่งฝ่าสายฝนที่เทกระหน่ำออกจากบ้านมาพร้อมน้ำตาที่ไหลพราก ไม่...แม้แต่จะหันกลับมามองคนที่ตะโกนเรียกอยู่ด้านหลัง
หญิงสาวกรอกตาขึ้นฟ้า หวังจะให้น้ำตานั้นไหลย้อนกลับคืน
ภาพของชลาคมที่นอนจมกองเลือดในคืนวันนั้น ยังคงมีสีแดงฉานติดตาหล่อนไม่ต่างจากวันนี้ มันทำให้ปณาลีหวนนึกถึงคำเตือนของชายหนุ่มอีกครั้ง...ภาพของพ่อกับปืนพกในมือท่าน มันฟ้องอยู่ทนโท่ว่าบิดาของหล่อนอ่อนแอเกินกว่าจะต่อสู้ความโหดร้ายที่รุมเร้าเข้ามาได้
แต่แล้ว !! แสงไฟจ้าจากเบื้องหน้าทำให้ปณาลีสลัดความคิดเมื่อครู่พลัน
รถขับเคลื่อนสี่ล้อจากทิศใดไม่รู้พุ่งทะยานออกมาตัดหน้ารถของหล่อน คราเดียวกับที่หล่อนพยายามเหยียบเบรกสุดแรง หากดวงตาเรียวต้องเบิกโพลงเมื่ออยู่ดีๆ เบรกใช้การไม่ได้
หนทางเดียวคือต้องหักพวงมาลัยขับเลี้ยวหลบไปอีกเลนส์ แต่ด้วยความเร็วบวกกับฝนที่เทลงมาไม่ขาดสาย ทำให้คนขับไม่สามารถบังคับรถให้อยู่ในการควบคุมได้
รถกลับเลี้ยวตลบเก้าสิบองศาออกนอกเส้นทาง พุ่งเข้าชนต้นไม้ใหญ่ ศีรษะของหญิงสาวกระแทกพวงมาลัยอย่างแรง !
ปณาลีกรีดร้องสุดเสียง ราวกับมีแรงมหาศาลผลักหล่อนให้หลุดจากภาพที่คอยหลอกหลอนอยู่ชั่วคืน ผวาลุกขึ้นจากเตียงทันควัน สิ่งแรกที่รับรู้คือความเงียบสนิทท่ามกลางความมืดมิดภายในห้องนอน
“พี่กฤต...คุณพ่อ...” ปณาลีงึมงำกับตัวเองด้วยเสียงแหบพร่า
ภาพหนุ่มสาวทะเลาะกันในห้องโถงบ้านธรรมนิตย์กลางดึก ภาพรถขับเคลื่อนสี่ล้อพุ่งชนต้นไม้ข้างทาง...ชัดเจนจนยากที่หล่อนจะทำใจให้เชื่อได้ว่าเป็นเพียงฝันร้าย
ปณาลีสลัดผ้าห่มให้พ้นกายพลางปาดเหงื่อที่ผุดพราวบนใบหน้า
ณ ตอนนี้ หัวใจของหล่อนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หากอีกใจหนึ่งหล่อนอยากพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าหล่อนไม่ได้ละเมอเพ้อฝันไปเองอย่างที่ทุกคนกล่าวหาอีกต่อไป และคนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุด...คือกุศลิน
*************************
“วันนี้คุณลีลงมาเร็วนะคะ”
กุศลินเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน ขณะที่ปณาลีเพียงยิ้มๆ เขี่ยข้าวในจานไปมา
วันนี้หล่อนลงมารับประทานอาหารเช้าเร็วกว่าทุกวัน ตั้งใจไว้ว่าจะมาดักรอกุศลินเพื่อถามความค้างคาใจทั้งหมดกับแม่เลี้ยงสาว แต่พออีกฝ่าย ปรากฎตัวขึ้นปณาลีกลับทำอะไรไม่ถูกนอกจากก้มหน้าก้มตาตักอาหารในจานเข้าปาก มีบ้างที่เหลือบมองคนหัวโต๊ะเป็นระยะ ทุกครั้งที่สบตา ปณาลีเป็นต้องผลุบสายตาหนี มองเม็ดข้าวในจานเสียอย่างนั้น
กุศลินซึ่งมักลงมาทานอาหารเช้าพร้อมไปทำงานเป็นคนแรกในทุกวันคงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของลูกสาวจึงถามขึ้น “หรือว่ามีธุระด่วนที่บริษัทคะคุณลี ทำไมดิฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ปละ...เปล่าหรอกค่ะคุณลิน คือ...เมื่อคืน...ลีฝันร้ายอีกแล้วน่ะค่ะ”
อีกฝ่ายเงียบไปในทันใด ปณาลีสังเกตเห็นคิ้วเรียวที่ถูกแต่งจนได้รูปโค้งสวยเลิกขึ้นเล็กน้อย
“คุณลินรู้จักผู้ชายที่ชื่อกฤตมั้ยคะ”
คราวนี้ไม่เพียงแต่คิ้วสวยที่เลิกสูง ริมฝีปากสีจัดยังยิ้มเหยียด “ใครกันคะชื่อกฤต ชื่อแปลกจังค่ะ”
คำตอบของสาวตรงหน้าทำให้ปณาลีละสายตาจากอาหาร สบตาอีกฝ่ายตรงๆ “คุณลินอย่าปิดบังลีอีกเลยค่ะ ลีรู้ว่าภาพในฝันของลีมันเป็นความจริง คุณลินบอกลีมาเถอะนะคะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในคืนวันที่ลีประสบอุบัติเหตุ และวันที่คุณพ่อของลีเสีย มันเป็นยังไงกันแน่”
“ดิฉันบอกคุณลีไปหมดแล้วนะคะว่าวันที่คุณคมเสีย ดิฉันออกไปทำธุระกับชนะชลที่ต่างจังหวัด ส่วนวันที่คุณประสบอุบัติเหตุก็มาจากความที่คุณเสียใจเรื่องที่คุณคมเสียกะทันหัน”
“แต่ในฝันลีเห็นว่าลีทะเลาะกับพี่กฤตและวิ่งฝ่าฝนออกไป ละ...แล้วลียัง...”
จู่ๆ กุศลินก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทำเอาคนที่กำลังสาธยายถึงความฝันสะดุ้ง
แม่เลี้ยงสาวเล่นรวบช้อนส้อมเก็บเรียบร้อย แสดงให้เห็นชัดเจนว่าอิ่มท้องและไม่ต้องการฟังเรื่องเพ้อเจ้อของหล่อนอีก “อย่าคิดมากสิคะคุณลี ความฝันของคุณอาจเป็นแค่เรื่องที่คุณจินตนาการขึ้นมาปะปนกับเหตุการณ์จริงที่ยังฝังใจอยู่บางส่วนก็ได้ ดิฉันขอตัวไปรอคุณในรถนะคะ”
กุศลินตัดบทเดินหนีออกจากห้องอาหารไป ไม่แม้แต่จะรับฟัง
วันนั้นทั้งวันปณาลีไม่มีสมาธิทำงานแม้แต่น้อย ในหัวสมองหล่อนครุ่นคิดแต่เรื่องราวในความฝัน หากสายตาของกุศลินเมื่อบนโต๊ะอาหารที่มีแต่ความเย้ยหยันและเย็นชา...ยังจำได้ติดตา
สุดท้ายปณาลีกลับปิดแฟ้มเอกสาร เคาะขมับตัวเองรู้สึกได้ถึงอาการปวดหัวที่กำเริบหนักจนไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีก
หล่อนคว้ากระเป๋าสะพายมาวางไว้บนตัก ตั้งท่าจะหยิบยาแก้ปวดหัวมาทานเหมือนทุกคราว แต่แล้วกลับชะงักเมื่อมีเสียงทุ้มของชายหนุ่มในห้วงคำนึงดังขัดขึ้นมา
‘ผมอยากให้คุณเลิกทานยาจะได้มั้ย’
ปณาลียังจำแววตาของรชานนท์ยามมองหล่อนในวันนั้นได้ขึ้นใจ นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นไม่ได้มองมาอย่างตำหนิหรือคิดว่าตัวเองเหนือกว่าแต่อย่างใด หากเขา...กำลังขอร้องผู้หญิงแสนดื้อคนนี้อยู่ต่างหาก
ปณาลีมองขวดยาแก้ปวดหัวที่วางนอนรอให้หล่อนหยิบมันขึ้นมาอยู่อย่างนั้น แล้วต้องตัดใจปิดกระเป๋าสะพายเก็บไว้ที่เดิม เปลี่ยนใจลุกไปหาเครื่องดื่มอุ่นๆ สักแก้วเพื่อหวังว่าความร้อนของของเหลวคงช่วยให้อาการปวดหัวทุเลาลงได้บ้าง
“นี่เธอ รู้เรื่องที่คุณสรรมาพบคุณลีที่ห้องทำงานวันก่อนรึยัง”
เสียงของใครบางคนในห้องพักพนักงานทำให้หญิงสาวที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องทำงานชะงักฝีเท้า ถ้าได้ยินไม่ผิด มีชื่อของหล่อนอยู่ในหัวข้อสนทนานั้นด้วย
“รู้สิจ๊ะเธอ เขาลือกันให้ทั่วว่าคุณสรรกำลังทำตัวเป็นพ่อสื่อพ่อชักอยู่”
“ใช่ๆ และดูท่าจะมีลุ้นแหละเธอ เพราะเมื่อวันก่อนฉันเห็นคุณลีออกไปข้างนอกกับคุณรชานนท์ เห็นเขาว่าถูกคุณสรรบังคับให้พาไปดูทำเลทำธุรกิจใหม่อะไรนี่แหละ แต่ฉันว่าหายไปทั้งวันด้วยกันแบบนั้น สงสัยคงจะไปสวีทหวานกันมากกว่า”
“พูดเป็นเล่นไปน่ะ เดี๋ยวใครเข้ามาได้ยินเข้าคุณลีจะเสียหาย”
“อ้าว ! เธอก็รู้ว่าบริษัทเราติดหนี้คุณรชานนท์ไม่น้อย บางทีคุณสรรอาจอยากชดใช้หนี้ด้วยการประเคนลูกสาวของเพื่อนให้ก็ได้ ใช้หนี้ง่ายกว่าทำงานงกๆ อย่างทุกวันนี้ตั้งเยอะ”
“นั่นสินะ ดูอย่างตอนที่คุณลีเข้าโรงพยาบาลสิ คุณสรรไปเยี่ยมกี่ครั้งกันเชียว แหม...แต่พอคุณลีกลับมาทำงานได้เป็นปกติ ก็ทำมาเป็นห่วงเป็นใย จ้ำจี้จำไชกับคุณลินเรื่องคุณลีเช้าเย็น”
“แหม เธอก็พูดเกินไป คุณสรรเขาอยากเป็นประธานบริษัทนี้จนตัวสั่น แกคงคิดว่าทำดีกับคุณลีแล้วเผื่อคุณลีจะเห็นความสำคัญ ยกตำแหน่งประธานบริษัทนี้ให้ก็ได้ จริงมั้ย”
สองสาวนินทากันสนุกปาก ไม่ได้รู้ตัวหรอกว่ามีบุคคลที่พวกหล่อนกำลังนินทายืนร่วมอยู่ด้วย
หากปณาลีนั้นเพียงแต่ยืนนิ่งงัน หล่อนได้ยินสิ่งที่พนักงานสาวทั้งสองคนพูดชัดเจนทุกถ้อยคำ หากตอนนี้หัวสมองของหล่อนหนักอึ้ง หูอื้ออึงเพราะความโกรธที่วิ่งพล่านไปทั่วร่างจนพูดไม่ออก หล่อนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังแบกความเครียดไว้ทั้งชีวิต นำพาเอาความสับสน มึนงงถาโถมเข้ามาในจิตใจ ดวงหน้าซีดเผือด พิงร่างที่อ่อนระโหยกับกำแพง
นะ...นี่มันอะไรกัน ชีวิตหล่อน...กำลังเผชิญอยู่กับสิ่งใดกันแน่ ทั้งเรื่องเสกสรร ทั้งเรื่องบิดา
ปณาลีรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา ภาพความฝันย้อนกลับเข้ามาในหัวสมองพลัน
เสียงพี่กฤตที่พร่ำบอกหล่อนถึงการจากไปของบิดา เสียงหล่อนที่ด่าทอต่อว่าเขา...ดังก้องจนหล่อนต้องปิดหูตัวเอง และแล้วความทุกข์เหล่านั้นก็ระเบิดออกมาเป็นคลื่นสะอื้นลูกใหญ่ พัดพาเอาน้ำตาจากไหนไม่รู้ไหลอาบแก้ม ไม่สนใจแล้วว่าจะมีใครมาเห็นความอ่อนแอของหล่อน ยามนี้ความอ่อนล้าในใจลามไปทั่วร่างกายเกินกว่าที่หล่อนจะอดกลั้นไว้ได้อีกต่อไป
“ปณาลี...”
เสียงทุ้มที่ดังมาจากไม่ไกลนักทำให้หญิงสาวที่กำลังร้องไห้กับตัวเองหันหาเจ้าของเสียงนั้น และต้องพบว่าเป็นรชานนท์ที่ยืนอยู่ด้านหลังหล่อน
ปณาลีรีบปาดน้ำตาทิ้ง คำนินทาของพนักงานเมื่อครู่ยังแจ่มชัดในความทรงจำพาลไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าเขาด้วยซ้ำ จึงหันหลังให้เขาเดินหนีไปทางอื่นดื้อๆ แต่ไม่ไวเท่ารชานนท์ที่ก้าวไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวหล่อน ดึงร่างที่อ่อนแรงให้เดินตามเขาออกไปจากตรงนั้น !

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ต.ค. 2555, 13:55:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ต.ค. 2555, 13:55:28 น.
จำนวนการเข้าชม : 1312
<< บทที่ 7 | บทที่ 9 >> |