LOVE'S NOT ALONE DIARY : (บันทึก) รักนี้ไม่โดดเดี่ยว
เรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เกิดมาพร้อมกับความโดดเดี่ยว
เธอไม่มีพ่อแม่คอยดูแลหรือบางทีเขาอาจจากเธอไปโดยไม่ใยดี มีเพียงอาที่คอยเป็นทั้งพ่อแม่พี่ชายและเพื่อนที่สนิทที่สุดที่เธอเหลืออยู่ วัยเด็กที่แสนปวดร้าวที่ถูกเพื่อน ที่โรงเรียนแกล้งอยู่เป็นประจำ จนกระทั้งเริ่มก้าวเข้าสู่วัยรุ่นในช่วงที่ต้องเอ็นทรานและการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเธอก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเธอได้พบกับผู้คนมากหน้าหลายตาไม่เหมือนโลกที่เธอเคยเห็นดังเช่นเดิม เธอต้องสู้กับความโดดเดี่ยวอีกครั้งกับชีวิตที่อยู่ตัวคนเดียวไม่มีแม้อาคอยดูแลอีกต่อไป การเริ่มต้นกับการหางานทำควบคู่กับการเรียนจึงเป็นสิ่งที่เธอทำ และร้าน Cook Drink Shop ก็เป็นสถานที่ที่ทำให้เธอพบกับเป็นไปของชีวิตมากขึ้น คนกลุ่มหนึ่งที่มาทักทายกับชีวิตของเธอทำให้เธอได้พบกับความผิดหวัง ความเหงา ความกดดัน ความเป็นเพื่อน ความสุข และความลึกซึ่งแห่งความรักที่เธอไม่เคยสัมผัสมันมาก่อนในชีวิต ความฝันอันสูงสุดที่คิดว่ามันจะไม่มีวันเป็นจริงกับการได้เป็นนักร้อง ก็กลายมาเป็นจริงกับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่คอยช่วยเธออยู่เบื้องหลังที่เป็นความจริงอันแสนปวดร้าว เมื่อได้รู้ความจริงที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับมัน และการต้องช่วยกันระหว่างของคำว่าเพื่อนและคนรัก กับการที่อาจจะต้องสูญเสียมหาวิทยาลัยไปให้กับคนหนึ่งคนที่คอยปองร้ายและคิดอาฆาตเธอ กับการถูกขัดขวางทุกวิถีทางที่จะไม่ให้เธอประสบความสำเร็จกับสิ่งที่เธอฝัน และการเดินทางของชีวิตที่โดดเดี่ยวก็กับมาให้ชีวิตเธอต้องร้องไห้อีกครั้งเมื่อเธอต้องสูญอาอันเป็นที่รักไป ซึ่งเหมือนกับชีวิตเธอได้จบลง
แต่ชีวิตเธอยังต้องเดินต่อไปเพื่อค้นหาความสุขที่ถึงแม้ว่ามันจะไม่
เป็นนิรัตน์กับเธอหรือใคร แต่มันเป็นความสุขที่เธอต้องการได้มาด้วยการที่เธอตามหาความรักแท้ที่เธอเคยเจอและเคยจากเธอไป และเพื่อให้ชีวิตของเธอที่มักจะคิดถึง แต่ความเหงาและความเศร้าของเธอได้รู้ว่า ชีวิตและความรักของเธอต่อไปนี้มันจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว
Tags: ร้องเพลง

ตอน: ชีวิตโดดเดี่ยวกับโลกแห่งใหม่

< อดีตที่ไม่เคยมีใครสักคนรับรู้ เกี่ยวกับความสุขทางใจ พ่อแม่คือสิ่งที่ลูกทุกคนรักมากยิ่งกว่าชีวิต ของให้ความรักของลูกทุกคน ที่มีให้กับพระในบ้านอย่างพ่อและแม่จงทำให้พวกเขาเหล่านั้นมีความสุขกับความรักในชีวิตด้วยเถิด >

ณ จังหวัด เชียงใหม่
“บุ๊ตไปโรงเรียนได้แล้ว” ศิระพูด
“ค่ะ ไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” บุ๊คตอบ
<อาศิระคือทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตฉัน นับตั้งแต่เกิดขึ้นมาลืมตามองดูโลกใบนี้ ฉันรักอาศิระ เพราะอาคือพ่อคนแรกของฉัน>
“พรุ่งนี้เราจะขนของกันแล้ว บุ๊คบอกลาเพื่อนๆ หรือยัง” ศิระถาม
“บุ๊คไม่แน่ใจว่าบุ๊คอยากไปชลบุรีหรือเปล่า บุ๊คไม่อยากจากที่นี้ไปเลย ที่นี้บ้านของแม่ แม่คงอยากให้บุ๊คอยู่ที่นี้มากกว่านะอา” บุ๊คพูด
[ผมโกหกเรื่องบ้านของแม่เธอ ที่จริงบ้านหลังนี้เป็นบ้านของแม่ผมและพี่ชายนายสิทธิศักดิ์ต่างหาก ผมแค่อยากให้บุ๊คมีกำลังใจในการเรียนและมีกำลังใจในการใช้ชีวิตกับโลกใบนี้ให้มากขึ้นเท่านั้นเอง. ศิระนึกในใจ]
“อาว่าเราปล่อยให้คนอื่นเช่านะ แล้วเอาเงินมาไว้กินกันดีกว่า แม่บุ๊คเขาคงดีใจที่เห็นบุ๊คมีเงินเรียนมากกว่าเห็นบุ๊คอยู่ที่นี้แล้วอดอยากนะ” ศิระพูด
“อาว่าอย่างนั้นเหรอ ก็ได้ บุ๊คเชื่ออา” บุ๊คพูด
“อย่างนั้นวันนี้ ต้องตั้งใจสอบแล้วกลับมาเก็บของใส่กระเป๋า เราจะย้ายบ้านไปอยู่ชลบุรีกัน มาตีมือหน่อย” ศิระพูด
“เฮ....”
ทั้งสองตีมือกันแล้วก็หัวเราะความดีใจ ศิระขับรถออกไปจากบ้านพร้อมกับบุ๊คเพื่อพาบุ๊คไปสอบซึ่งเป็นวันสอบวันสุดท้ายของมัธยมศึกษาปีที่ 6 บุ๊คตั้งใจกับการสอบครั้งนี้มาก เพราะถ้าเธอสอบครั้งนี้ได้ดี ศิระจะพาเธอไปชม Concert ของนักร้องชื่อดังของเมืองไทยที่เธออยากดูมาตลอดตั้งแต่เกิด
หลังจากการสอบที่เข้มข้นของบุ๊คได้สิ้นสุดลง เธอกับเพื่อนของเธอก็พากันไปที่ลานกว้างที่หน้าโรงงานเรียน และเธอก็ให้ของที่ละลึกกับเพื่อนๆ ของเธอ และเธอกับเพื่อนก็กอดกัน และลาจากกันในเย็นวันนั้น และเมื่อเธอก็กลับถึงบ้านเธอก็มาจัดกระเป๋านำของที่จำเป็น และสิ่งที่เธอรักมากที่สุดคือ ผีเสือกระจก ในนั้นจะมีผีเสื้อสีนำเงินที่ตายแล้วมาทำให้ดูเหมือนมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นของที่แม่เธอฝากพ่อเธอไว้ก่อนที่หล่อนจะเสียชีวิต เพื่อให้กับบุ๊คลูกสาวของเธอ
“บุ๊ค เก็บของเสร็จหรือยัง บุ๊ค” ศิระร้องเรียก
ศิระเห็นบุ๊คไม่ยอมตอบเขา จึงขึ้นมาดูบุ๊คที่ห้อง เห็นบุ๊คกำลังนั่งดูผีเสือกระจกและร้องไห้ด้วยความเสียใจ
“แม่จ๋า ย้ายบ้านแล้วนะบุ๊คจะตั้งใจเรียนและทำงานที่ดีอย่างที่ตั้งใจให้แม่เห็นที่บนสวรรค์นะจ๊ะ” บุ๊พพูดไปพลางร้องไห้ไป
“ร้องไห้อีกแล้ว สาวน้อย อาบอกแล้วไง ว่าแม่บุ๊คเขาคอยเป็นกำลังใจให้กับบุ๊คเสมอที่บนสวรรค์ บุ๊ครีบเก็บของดีกว่า แล้วเราจะได้ไปกันซะที” ศิระพูด
บุ๊ครีบเก็บของใส่กระเป๋า แล้วทั้งสองก็ขนของขึ้นรถเสร็จ ศิระกอดบุ๊คและพูดกับบุ๊คเพื่อให้บุ๊คมีกำลังใจก่อนจะออกเดินทาง
“ที่ชลบุรี จะเป็นที่ที่ทำให้เราอาหลานมีความสุข เราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั้นอาจะดูแลบุ๊คให้เหมือนกับลูกสาวของอาเลย” ศิระพูด
“บุ๊ครักอาศิระที่สุดในโลกเลย” บุ๊คพูด

ณ จังหวัดชลบุรี
ศิระพาบุ๊คมาดูบ้านใหม่ที่อยู่ติดกับชายหาดซึ่งห่างไกลจากมหาวิทยาลัยมากพอสมควร บุ๊คชอบบ้านใหม่เพราะสดชื่นดี
“บุ๊คชอบจังเลยอา อากาศดีจังเลยอาว่าไหม” บุ๊คพูด
“ดีแล้วที่บุ๊คชอบพรุ่งนี้อาจะพาไปสมัครเรียนนะ วันนี้พักผ่อนกันก่อนแล้ว
กัน อาเมื่อยมากเลย” ศิระพูด
“ถ้าอย่างนั้น บุ๊คไปเล่นน้ำทะเลนะ ไปหล่ะ” บุ๊คพูดจบก็วิ่งไปที่ชายหาดทันที
ศิระเห็นบุ๊คมีความสุขก็ดีใจและก็นอนหลับไป ในวันต่อมาศิระก็พาบุ๊คไปสอบเข้าทมหาวิทยาลัยโอเฌ็น

มหาวิทยาลัยโอเฌ็น เป็นวันเปิดให้นักศึกษาใหม่จากระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก้าวเข้าสู่การเป็นนิษิตนักศึกษาของมหาวิทยาลัยโอเฌ็น ผู้คนที่ล้ำรวยมากมายที่ส่งลูกหลานมาเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่ดังที่สุดของเมืองและติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศ ที่สอนดีและมีรายได้ที่ดีที่สุด หนึ่งในนั้นก็มี อดัม ลิงค์สัน หรือ ดาม และ อฆิชญ พิภัสศธิกูล ซึ่งเป็นลูกชายของผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งนี้ขึ้นมา มาศึกษาอยู่ด้วยซึ่งปีนี้พวกเขาก็ขึ้นสู่ปีที่สอง โดยที่พวกเขาจะเป็นผู้ตอนรับน้องใหม่ ในด้านของศิระได้พาบุ๊คมาสมัครเรียนที่นี้ด้วยเช่นกัน เพราะมันเป็นความตั้งใจของพี่ชาย หรือ สิทธิศิกดิ์ พ่อของบุ๊คที่ต้องการให้ลูกสาวล้ำเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ให้ได้

ในวันเดียวกันแต่เวลาต่างกัน ที่ประเทศอเมริกา ศิระได้โทรไปหาสิทธิศักดิ์ เล่าเรื่องของบุ๊คให้สิทธิศักดิ์ฟัง
“เป็นยังไงบ้างศิระ บุ๊คเป็นอย่างไรบ้าง เรียนจบแล้วใช่ไหม” สิทธิศักดิ์พูด
“เรียนจบแล้วครับ วันนี้ผมพาบุ๊คมาสอบที่มหาวิทยาลัยโอเฌ็น บุ๊คดูตื่นมากทีเดียว แต่พี่แน่ใจเหรอว่า จะให้บุ๊คเรียนที่นี้ ถ้าหากเธอสงสัยหล่ะ” ศิระถาม
“ก็บอกเธอซิว่าที่นี้ให้ทุนเธอในการเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย เธอต้องเชื่อนายแน่ศิระ” สิทธิศักดิ์พูด
“ผมอยากให้เธอเชื่อพี่มากกว่า เธอคงอยากพบพี่มากนะถ้าเธอรู้ว่าพี่ยัง...” ศิระพูด
“เธอจะยังไม่รู้เรื่องแน่ศิระ พี่ของเวลาอีกสักหน่อยแล้วกันนะ ดูแลบุ๊คให้ดีด้วย ฝากบอกเธอเรื่องลุงทอมด้วยว่าเขาสบายดีได้รับจดหมายเธอทุกครั้งที่เธอเขียนมาและจะรีบตอบกลับไป นายเองก็ดูแลตัวเองด้วยนะ ขอโทษด้วยพี่ต้องไปประชุมก่อน เรื่องสำคัญมาก” สิทธิศักดิ์พูด
“เรื่องสำคัญมาก โถ่เอ่ย แล้วบุ๊คไม่สำคัญหรือไง” ศิระพูด
เขาเดินไปหาบุ๊ค ที่สถานที่บุ๊คจะสอบ อีก 2 วันต่อมามหาวิทยาลัยได้ส่งจดหมายมาให้กับบุ๊คว่าสอบติดและยินดีที่จะให้ศึกษาในมหาวิทยาลัยได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม เป็นต้นไป
“เย้ ติดแล้ว หลานอาสอบติดแล้ว ดีใจจังเลย” ศิระพูด
“บุ๊คก็ดีใจน่ะอา” บุ๊คพูด
“ท่าทางอย่างนี้ เนี้ยนะที่เรียกว่าดีใจ” ศิระถาม
“ก็บุ๊คสงสัยนิอา โรงเรียนที่มีแต่ลูกคนรวยๆ เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ไปศึกษาที่นั้น แต่บุ๊คเป็นคนที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรเลย อาว่าแปลกไหมหล่ะ” บุ๊คพูด
“ก็แปลกดีน่ะ อาว่าเขาคงจะให้ทุนบุ๊คหละมั่ง อาของอ่านจดหมายหน่อยซิ นี้ไง เขาบอกว่า ยินดีที่จะให้ศึกษาในมหาวิทยาลัย โดยได้รับทุนการศึกษาให้เรียนจนจบการศึกษาระดับปริญญาตรี เขาใจดีจังเลยน่ะ อาว่าเขาคงให้เราใช้เงินคืนเมื่อเราเรียนจบ บุ๊คก็คิดมากไปได้ ตอนอาเรียนอยู่อาก็ได้รับทุนแบบนี้เหมือนกัน” ศิระพูด
“อย่างนี้ หรอกเหรอ บุ๊คคงคิดมากไปเอง ว่าแต่...ทำไมอาถึงรู้ดีจังเลยน่ะ บุ๊คเห็นอาสนใจแต่เรื่อง การถ่ายภาพไม่คิดว่าจะรู้เรื่องพวกนี้ด้วย แต่ก็ดี” บุ๊คพูด
“ดีแล้วไม่ต้องคิดมากน่ะ เดี่ยวพรุ่งนี้อาไปส่งที่มหาวิทยาลัยวันแรกเลย บุ๊คจะได้ไม่เหงาไง และจะได้ไม่เขินเพื่อนๆ ใหม่ของบุ๊คไง” ศิระพูด
“อาศิระชอบพูดเล่นอยู่เลื่อยเลย บุ๊คไม่เขินอยู่แล้ว แค่ไปมหาวิทยาลัยวันแรก มันก็แค่ เด็ก เด็ก...” บุ๊คพูด
“งั้นวันนี้ อาจะทำอาหารฉลองให้กับนักศึกษาใหม่ก็แล้วกัน” ศิระพูด
“ดีมากเลยค่ะ” บุ๊คพูด
หลังจากที่ทั้งสองคนทานอาหารกันเสร็จแล้ว คืนนั้นบุ๊คนั่งจัดกระเป๋าทั้งคืนจัดไปก็คุยกับผีเสือกระจก ของแม่เธอไป กว่าจะที่เธอจะนอนก็ปาเข้าไป เที่ยงคืนกว่า
“แม่ค่ะ หนูโตเป็นผู้ใหญ่อีกปีแล้วนะค่ะ หนูอยากให้แม่เห็นจังเลยค่ะ” บุ๊คพูด

เช้าวันต่อมา
“บุ๊ค เสร็จรึยัง อาต้องรีบไปทำงานนะ” อาศิระพูด
“เสร็จแล้วค่ะ อาศิระค่ะไม่ต้องไปส่งบุ๊คหลอกค่ะ บุ๊คจะปั่นจักรยานไปเอง อาจะได้ไปทำงานแต่เช้าไง” บุ๊คพูด
ศิระมองหน้าหลานสาวด้วยท่าที่มั่นใจ จึงทำให้เขาถึงกับแปลกใจ
“บุ๊คแค่อยากทำอะไรได้ด้วยตัวของบุ๊คเอง ก็เพื่อเวลาอาไปทำงานต่างจังหวัด หรือไปทำงานที่ไกลๆ บุ๊ค จะได้ช่วยเหลือตัวเองบ้าง อาอย่ามองหน้าบุ๊คแบบนั้นซิ บุ๊ค 19 ปี แล้วนะ โตเป็นสาวแล้ว อาอย่ามองบุ๊คเป็นเด็กอีกนะ” บุ๊คพูด
“ก็ได้ ตามใจ แต่ต้องคอยโทรหาอา บ่อยๆ นะไอ้ตัวแสบ ไปได้” ศิระพูด
“ขอบคุณค่ะอา งั้นบุ๊คไปนะ” บุ๊คพูด
ขณะที่บุ๊คกำลังปั่นจักรยานไปที่รั่วประตูบ้าน ทันใดนั้นก็มีรถเก๋งสีดำขับมาตัดหน้าเธอ ทำให้จักรยานของบุ๊คล้มลง และบุ๊คเองก็ตกลงจากจักรยานด้วยเช่นกัน เธอพยายามยืนขึ้น แต่สายตาเธอจองมองไปที่ป้ายเลขทะเบียนรถคันนั้น และเธอก็ลุกขึ้นปันฝุ่นที่ติดตามเสื้อผ้าและเอามือจับรถที่ล้มลงให้ตั้งขึ้นพร้อมที่จะปั่นอีกครั้ง เธอไม่ทำให้เสียงดัง เพราะกลัวอาศิระของเธอจะตกใจ เธอจึงปั่นจักรยานไปมหาวิทยาลัยตามปกติ
พอมาถึงมหาวิทยาลัยเธอปั่นจักรยานไปจอดในที่จอดรถตามป้ายที่ระบุอย่างถูกต้อง และเมื่อเธอจอดรถเสร็จเธอก็เดินตามถนนเล็กที่ทำจากอิฐตัวหนอน ที่มีไว้สำหรับคนที่มาจอดรถต่างๆ ที่ลานจอดรถ เธอเดินผ่านลาดจอดรถยนต์ เธอเหลือบไปเห็นรถเก๋งสีดำ ยี่ห้อและป้ายทะเบียนเดียวกันกับที่ตัดหน้าเธอ เธอจึงเดินไปดูใกล้ๆ
“นี้เอง รถคันที่เองที่ตัดหน้าเรา ใครกันนะที่เป็นเจ้าของรถ ถ้าเจอนะแม่จะอัดให้ลงไปกองกับพื้นเลย เชียว” บุ๊คพูด
ขณะที่เธอกำลังเดินวนดูรถเก๋งคันนั้นอยู่ เธอก็คิดขึ้นได้ว่า ควรจะลงโทษกับเจ้าของรถผู้ซึ่งไม่มีมารยาทอย่างไรดี เธอหาเศษไม้ที่เล็กแต่มีความแข็งแรงมา และนั่งยองๆ อยู่ที่ข้างรถ และหมุนจุกลมของล้อรถออก และใช้เศษไม้กดให้ลมของยางรถออก ซึ่งเธอต้องใช้แรงนิดหน่อยในการกดเพื่อให้ลมมันออกมา
และในขณะที่เธอกำลังปฏิบัติการลงโทษอยู่นั้น มีชายอายุประมาณ 50 ปี คนหนึ่งเดินมาที่เธอและก้มหน้ามองเธอ และเอ่ยถามเธอว่า
“เธอกำลังทำอะไรอยู่ สาวน้อย” ชายผู้นั้นถาม
เธอตกใจ หันกลับไปมอง และอั้มอึ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับไปว่า
“หนู... หนูกำลังปล่อยลมยางของรถคันนี้อยู่ค่ะ” บุ๊คตอบ
เขาผู้นั้นจองหน้าเธอแล้วยิ้มให้ ก่อนที่จะพูด
“นับว่าเธอยังมีความสื่อสัตย์อยู่บ้างนะ แต่เธอรู้ตัวไหมว่าเธอกับลังทำสิ่งที่ผิดอยู่ โดยการปล่อยลมล้อรถของผู้อื่นออก” ชายผู้นั้นพูด
“หนูถามค่ะ ว่าหนูทำสิ่งที่ผิดอยู่ แต่การลงโทษคนที่ผิดแต่กับนิ่งเชยที่จะยอมรับผิด ควรรับการการลงโทษอย่างสาสม” บุ๊คพูด
“เขาผิดเรื่องอะไรไหนเล่าให้ฉันฟังได้ไหม” ชายผู้นั้นถาม
เธอมองหน้าเขาและพูดก่อนที่จะเดินหนี้ไปว่า
“หนูไม่จำเป็นต้องเล่าให้คุณฟัง เพราะมันไม่เกี่ยวกับคุณ หนูหมดทุละตรงนี้แล้ว หนูคงต้องไปรายงานตัวที่ชั้นเรียน คุณคงไม่ว่าอะไรใช้ไหมค่ะ” บุ๊คพูด
“ถ้าเธอคิดว่าอย่างไง ฉันก็ว่าเธอพูดไม่ผิดหรอก แต่ฉันว่าเธอก็ต้องเล่าให้ฉันฟังอยู่ดี นะหละ เออจริงซิ ฉันขอถามซักนิดจะได้ไหมว่าเธอชื่ออะไร เรียนอยู่คณะอะไร และปีอะไร เพื่อฉันเจอเธออีก เราจะได้ไม่เป็นคนแปลกหน้าไง คือฉันทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มานานแล้ว เธอไม่ต้องกลัวฉันหรอก” ชายผู้นั้นพูด
“ก็ได้ค่ะ หนูชื่อ พฤกษวรรณ สัตตบุษย์ เรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาดุริยางคศิลป์ ปีที่ 1 และหนูพร้อมที่จะไปเข้าชั้นเรียนแล้วค่ะ หนูไปได้หรือยังค่ะ หนูต้องถูกขาบไม้บรรทัดหน้าชั้นเรียนเพราะมาสายเป็นวันแรกแน่ๆ ” บุ๊คพูด
“ได้ซิไปเข้าชั้นเรียนของเธอเถอะ เดี๋ยวจะถูกขาบไม้บรรทัดหน้าชั้นเรียนเพราะฉันเป็นต้นเหตุ” ชายผู้นั้นพูด
“ขอบคุณค่ะ คุณ คุณลุง” บุ๊คพูดและเดินจากไป
ชายผู้นั้นทำหน้าสงสัยและยืนพูดพึมพัมอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินจากตรงนั้นไป
“พฤกษวรรณ สัตตบุษย์ เธอมาแล้วซินะ” ชายผู้นั้นพูด

ณ ห้องเรียน ของนักศึกษามหาวิทยาลัย ระดับปีที่ 1 มีนักศึกษาทั้งชั้นรวม 50 คน ขณะที่ทุกคนกำลังทำความรู้จักกันบ้าง อีกกลุ่มก็รู้จักกันมาก่อนและพูดคุยกันอย่างสนิทสนม และบางคนก็ไม่สนใจใครเลย บุ๊คเดินเข้าไปในห้องนั้น ด้วยความเก้อเขินอยู่เล็กน้อย เธอเดินไปนั่งตรงที่มีที่นั่งว่างอยู่ เมื่อเธอนั่งลงก็มีเสียงดังมาจากโต๊ะข้างๆ ว่า
“ขอโทษนะ นิเธอกำลังเยียบเท้าฉันอยู่นะ ช่วยเอาเท้าของเธอออกไปทีจะได้ไหม ฉันคงไม่ได้ขอเธอมากไปใช่ไหม” ชายหนุ่มผู้หนึ่งพูดขึ้น
“อุ้ย ขอโทษที ฉันไม่ทันมองว่ามีใครนั่งอยู่ตรงนี้ ขอโทษจริงๆ” บุ๊คพูด
“ไม่เป็นไร ฉันดูเป็นคนที่ชอบโกรธแค้นผู้อื่นรึไง จริงสิ สวัสดีฉันชื่อ อาลดิล คงโทนิตย์ หรือเธอจะเรียกฉันว่า อาท ก็ได้นะ ดูสนิทกันดี แล้วเธอ” อาทพูด
“ฉันชื่อ พฤกษวรรณ สัตตบุษย์ หรือบุ๊ค เธอเรียกฉันว่าบุ๊คก็ได้ฉันก็ชอบแบบนั้นมากกว่า เธอเป็นคนที่นี้รึ” บุ๊คถาม
“เปล่า เสียงฉันฟังดูคล้ายใช่ไหม แค่อยู่ที่นี้ประมาณ 2 ปีเอง ที่จริงแล้วฉันเป็นคนเชียงใหม่ แต่พูดภาษาเหนือไปเป็น พูดภาษาชลบุรีก็ไม่ได้ พูดได้แต่ภาษากลางน่ะ” อาทพูด

ขณะที่อาทและบุ๊คกำลังคุยกันอยู่นั้นเองก็มีชายที่นั่งอยู่ในห้องนั้นที่นั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะเธอไป 2 โต๊ะ หันไปคุยกับเพื่อนของเค้าอีกคน
"นั้นมันยัยผมหยิกขี่จักรยานเมื่อเช้านี้หน่า อยู่ห้องนี้ด้วยเหรอ" ชายคนนั้นพูดขึ้น
"นายหมายถึงใคร ว่าแต่นายสนใจใครในห้องนี้ด้วยเหรอ แปลกดีนะ" ชายอีกคนพูด
"เปล่าหรอก แค่พอดีจำได้ ไม่รู้ทำไมถึงจำได้ สงสัยจะเป็นที่อยากเจอละมั้ง" ชายคนเดิดพูด
"อยากเจอ.." เพื่อนของเค้าพูดด้วยความสงสัย
“ฉันก็เป็นคนเชียงใหม่ แต่ก็พูดภาษาเหนือไม่เป็นเหมือนกัน เพราะไม่มีใครเคยสอนให้ฉันพูด ฉันอยู่โรงเรียนนานาชาติ มาตั้งแต่เด็ก อย่าว่าฉันกะแดะเลยนะ ฉันเองก็พูดภาษากลาง เหมือนเธอนั้นหละ” บุ๊คพูด
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีผู้ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาในห้องและพูดจาบอกให้นักศึกษาในห้องเงียบ
“ผมหวังว่าพวกคุณคงไม่ต้องให้สอนมารยาทในการอยู่ห้องเรียนให้หรอกจริงไหม ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะกล่าวว่า ยินดีตอนรับเขาสู่มหาวิทยาลัยโอเฌ็น แห่งนี้ พวกคุณมีโอกาสที่ใครอีกหลายคนต้องการ อาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถในการให้คำตอบกับเรื่องการเรียน และยังมีรุ่นที่มีความรู้ที่สามารถให้คำปรึกษากับพวกคุณ และหวังว่าพวกคุณจะมีความสุขที่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัยโอเฌ็นแห่งนี้ มีคำถามไหม”
นักเรียนทุกคนนั่งเงียบและทุกคนไม่พูดจาอะไร เมื่อชายผู้นั้นพูดจบลง
“ดี งั้นฉันมีข้อความถึงใครบางคนที่เมื่อเช้าทำท่าทางไม่น่าไว้ใจ ช่วยมาพบฉันที่ห้องพักฉันทีนะ และวันนี้สวัสดี เจอกันใหม่ในครั้งหน้า” ชายผู้นั้นกล่าว

และเมื่อชายคนนั้นพูดจบเขาได้เขียนข้อความบนกระดาน ก่อนที่จะเดินออกไป และมันทำให้ทุกคนมองหาคนคนหนึ่งที่ถูกเขียนชื่ออยู่บนกระดาน และคนที่ถูกเขียนชื่ออยู่บนกระดานก็คือบุ๊ค เธอตกใจที่ชายคนนั้นเขียนชื่อเธอ และเมื่อทุกคนแยกย้ายเพื่อไปเรียนวิชาต่อไป บุ๊คเองก็ได้เดินตามชายคนนั้นไป อาทนั้นเกิดความส่งสัย จึงก็เดินตามบุ๊คออกไปด้วยเพราะเป็นห่วงและสนใจว่าเกินอะไร ชายคนนั้นเดินมาจนถึงห้องพัก และเธอก็เดินตามเขาไป อาทสะกิดเธอก่อนที่เธอจะเดินเขาไป
“เธอจะไปไหนกันบุ๊ค นี้มันห้องพักของอาจารย์สอนนะ หรือว่าเธอคือ คนที่เข้าเขียนถึงบนกระดาน” อาทพูด
“ใช่ แล้วนี้เธอเดินตามฉันมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” บุ๊คพูด
“เธอไปทำอะไรมาเหรอบุ๊ค” อาทพูด
“เดี๋ยวเล่าให้ฟังแล้วกันนะ แต่ตอนนี้ฉันก็อยากรู้ว่าเขาเรียกฉันมาทำอะไร นายไปเรียนก่อนเถอะเดี๋ยวฉันตามไป” บุ๊คพูด
“OK แล้วเจอกัน” อาทพูด
หลังจากที่อาทเดินกลับไป บุ๊คเองก็เดินเข้าไปในห้องพักอาจารย์ และเสียงของชายผู้นั้นก็เรียกหาบุ๊ค
“เขามาซิ พฤกษวรรณ” ชายคนนั้นเรียกเธอ
“สวัสดีค่ะ อาจารย์ ” บุ๊คพูด
“เราเจอกันอีกแล้ว อยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงเรียกเธอมาที่นี้” ชายผู้นั้นพูด
“ค่ะ อาจารย์เรียกหนูมามีเรื่องอะไร หรือเปล่าคุ่” บุ๊คถาม
“เธอคงคิดว่าฉันจะเรียกเธอมาเพราะเรื่องเมื่อเช้าใช่ไหม เปล่า ฉันต้องการหานักศึกษาที่มีใจรักในศิลปะ คือฉันต้องการนักศึกษาน่าใหม่ๆ มาเล่นละครเวทีให้กับฉัน ซึ่งเธอเองถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดูโดดเด่นกว่านักศึกษาคนอื่นๆ ก้ตามที แต่เหตุผลก็คือ ฉันชอบบุคคลิกของเธอ ซึ่งมันตรงกับตัวละครของนิยายที่ฉันจะทำเป็นละครเวที เธอสนใจไหม” ชายผู้นั้นพูด
“คือ อาจารย์คะ ตอนแรกหนูคิดแบบนั้นว่าอาจารย์จะเรียกหนูมาดุเรื่องเมื่อเช้าจริงๆ แต่พออาจารย์พูด เรื่องนี้ขึ้นมามันทำให้หนูตกใจ เพราะมันเป็นเรื่องที่หนูไม่น่าจะทำได้ หนูชอบศิลปะก็จริงแต่ การแสดงออกในบางเรื่องหนูว่ามัน......” บุ๊คพูดยังไม่ทันจบก็มีอาจารย์อีกท่านพูดแทรกขึ้นมา
“ตอนแรกที่พี่บอกผมว่า จะให้ผมดูนักศึกษาคนหนึ่ง พี่บอกว่าเธอดูคล้ายกับตัวละครของพี่ แต่ผมดูแล้ว.... เธอคงไม่เหมาะกับตัวละครนี้เท่าไหร่ น่าเสียดาย ละครเพลงเชียวนะ” เขาเดินเข้าไปจับบ่าของบุ๊คทั้งสองข้าง
“ไม่เคยมีอาจารย์ที่ไหนหลอกนะ ที่ขอร้องให้นักศึกษามาเล่นละครเวทีกับเขาง่ายๆ แบบนี้ เธอเองเป็นคนเขียนในใบสมัครเรียน เองไม่ใช่เหรอว่าเธอชอบร้องเพลง และนั้นคือความฝันของเธอ แต่เธอกลับโยนมันทิ้งไป ความฝัน คิดดูให้ดีนะ เวลาของความคิดเธอ สิ้นสุดในวันพรุ่งนี้เทียงวัน ไปได้แล้ว” อาจารย์ภูวดลพูด
บุ๊คเดินออกมาจากห้องนั้น และยังคิดกังวนอยู่ ว่านี้เป็นความจริงหรือว่า อาจารย์ เหล่านี้กำลังหยอกล้อเธอเล่นกันแน่

เย็นวันนั้นบุ๊คเดินไปที่โรงรถข้างคณะที่เธอเรียนอยู่ เพื่อไปเอารถจักรยานของเธอที่จอดไว้ เธอได้เจอกันอาลดิล
"นิอาท นายว่าถ้าฉันได้เล่นละครในมหาลัยฯ นายว่าฉันจะดูเป็นตัวตลกไหม" บุ๊คถาม
"ทำไมหละ ทำไมเธอถึงคิดแบบนั้นหละ ฉันว่าถ้าเธอชอบและอยากลองทำก็ทำเลยซิ เหมือนฉันไง อยากเป็นนักข่าว มาที่นี้ฉันได้เป็นนักข่าวในมหาลัยฯ ตามที่อยากทำถึงจะเป็นเพียงจุดที่ยังเล็กอยู่ก็ตามนะ เธอชอบและพร้อมที่จะทำรึเปล่าหละ" อาลดิลถาม
"คือว่าฉัน..." บุ๊คพูดยังไม่ทันจบ ก็มีคนบีบแตรรถใส่เธอและอาท

(เสียงแตรรถ....)
"ยัยผมหยิกขี่จักรยาน เธอนี้ชอบมาขวางทางรถฉันอยู่เลื่อยเลยนะ" ชายคนหนึ่งที่นั่งมาในรถพูดขึ้น พร้อมเปิดประตูรถเดินลงมา
"นิ นายใครเค้าไปขวางรถนาย อ๋อ นายนี้เองที่ขับรถมาเชี่ยวฉัน นายเป็นผู้ชายประเภทไหนกันเนี้ย" บุ๊คพูด
"นิยัยผมหยิก เธอกล้าว่าฉันเหรอ" ชายคนนั้นพูด
"ทำไมนายเป็นใครฉันถึงจะไม่กล้าว่านายหละ" บุ๊คพูด
ชายอีกคนหมุนกระจกรถลดลง และหันมามองบุ๊ค และหันไปพูดกับเพื่อนของเค้า
"ดาม นายจะขับรถพาฉันไปจากตรงนี้ได้ยัง แค่ผู้หญิงไร้สาระคนเดียวนายถึงกับต้องเสียเวลาลงไปคุยเลยเหรอ" ชายอีกคนพูด
และเมื่อสิ้นเสียงจากชายคนนั้นบุ๊คก็หันไปมองชายที่พูด แทนที่เธอจะรู้สึกโกรธ แต่เธอกับมองหน้าเค้าด้วยความตกตรึงไปชั่วขณะ
"บุ๊ค บุ๊ค" อาทเรียกเธอ
"ว่าไงอาท" บุ๊คถาม
"เป็นอารายไป" อาทถาม
"เปล่า ฉัน.. นายกับเพื่อนของนายไปให้พ้นฉันเลยดีกว่า อย่าให้ฉันโมโหนายไปมากกว่านี้เลย" บุ๊คพูด
"ฝากไว้ก่อนนะยัยผมหยิก" ดามพูด
แล้วเค้าทั้งสองก็ขับรถออกไปจากตรงนั้น ส่วนบุ๊คก็ยกจักรยานที่ล้มขึ้นมาและเดินต่อไปพร้อมกับอาท
"เธอไม่หน้าไปยุ่งกับพวกนั้นเลยนะบุ๊ค" อาทพูด
"ได้ไงหละอาท นายดามอารายนั้นเชียวรถฉันเมื่อเช้าและเมื่อกี้ด้วย มันตั้งใจทำกันชัดๆ แล้วนายจะยังไม่ให้ฉันพูดว่านายนั้นอีกเหรอ นายไม่เห็นใจฉันเลยนะ เป็นเพื่อนภาษาอารายกันเนี้ย" บุ๊คพูด
"ไม่ใช้แบบนั้นหรอกบุ๊ค เรื่องมันเยอะหนะ.." อาทพูด
(ในรถของดาม)
"ดามนายไปยุ่งกับผู้หญิงแบบนั้นทำไม" เพื่อนของดามพูด
"ฉันรู้สึกแปลกๆ กับยัยผมหยิกนั้น ไม่รู้เหมือนกัน" ดามพูด
เพื่อนของดามหันมามองหน้าแบบสงสัย
"นี้ นายอย่ามองฉันแบบนั้นได้ไหมเคน ก็คงเพราะอารมณ์อยากแกล้งคนแหละ เดี๋ยวก็เบื่อไปเอง" ดามพูด
"(หัวเราะ) ให้มันจริงเถอะ" เคนพูด
"วันนี้นายจะไปร้านรึเปล่า" ดามถาม
"อืม ส่งฉันที่นั้นแล้วกันเดี๋ยวฉันจะค้างที่ร้าน" เคนพูด
"ได้" ดามพูด
ทางด้านของอาทและบุ๊คเดินคุยกันโดยที่บุ๊คจูงจักรยานมาส่วน อาทก็เดินมาเป็นเพื่อนเธอ จู่บุ๊คก็หยุดและเธอก็เดินไปอ่านป้ายประกาศที่ติดอยู่ที่ร้านเบเกอร์รี่แห่งหนึ่ง
"รับสมัครพนักงาน 1 ตำแหน่ง สัมภาษณ์ทันที" บุ๊คอ่านป้ายที่ติดประกาศเอาไว้
"เธออยากทำงานเหรอบุ๊ค" อาทถาม
"อืม ฉันอยากแบ่งเบาภาระของอาศิระบ้างหนะ งั้นฉันของเข้าไปถามในร้านนี้ก่อนนะ นายรองฉันข้างนอกก่อนนะ ได้ไหม" บุ๊คพูด
"ได้ ฉันนั่งรอตรงนี้แล้วกัน" อาทพูด
"ขอบใจนะ" บุ๊คพูด และเธอก็เดินเข้าไปในร้าน




inkpot
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 พ.ย. 2555, 22:44:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 พ.ย. 2555, 11:00:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 1041





<< แนะนำตัวละคร   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account