มนตรากระดังงา
นางพริมา กีรติอนันต์ พัฒนภิรมย์ กับ นายภัทร์ พัฒนภิรมย์ คู่สามีภรรยาที่ครองรักกันมากว่า 6 ปี และมีพยานรักเป็นเด็กชายน่ารัก 2 คน ต้องจบชีวิตคู่ที่เริ่มจากรั้วมหาวิทยาลัยลงเพราะฝ่ายชายไปมีเมียน้อยซึ่งกำลังจะมีลูกสาวด้วยกัน หญิงสาวยอมหย่าให้และยอมเป็นแม่หม้ายในวัยเพียง 30 ปี ชีวิตคู่ที่พังทลายกลับสร้างพริมาคนใหม่ให้แกร่งกว่าเดิม เธอเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวขึ้น กระดังงาลนไฟดอกนี้จึงกลายเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั้งหลาย รวมทั้งภัทร์ พัฒนภิรมย์ ที่เพิ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของอดีตภรรยา จนทำให้ความรักที่เขาคิดว่าได้มอดเชื้อไปแล้วนั้นปะทุขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
รักครั้งใหม่กับคนเดิมจะสมหวังได้หรือไม่ เพราะฝ่ายชายก็มีครอบครัวใหม่แล้ว ส่วนฝ่ายหญิงก็มีชายหนุ่มมากมายมาเข้าแถวให้เลือก อานุภาพของความรักจะประสานรอยร้าวของหัวใจสองดวงให้กลับมาหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งหรือไม่ โปรดติดตาม......อาทิตา
รักครั้งใหม่กับคนเดิมจะสมหวังได้หรือไม่ เพราะฝ่ายชายก็มีครอบครัวใหม่แล้ว ส่วนฝ่ายหญิงก็มีชายหนุ่มมากมายมาเข้าแถวให้เลือก อานุภาพของความรักจะประสานรอยร้าวของหัวใจสองดวงให้กลับมาหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งหรือไม่ โปรดติดตาม......อาทิตา
Tags: รักร้าว มีเมียน้อย คืนดี
ตอน: ตอนที่ 17...มา 50% ค่ะ
ขอบคุณสำหรับคำอวยพรให้ลูกสาวนะคะ อาการดีขึ้นมากแล้วค่ะ แต่ยังงอแงอ้อนแม่และพ่อตลอด--ขอบคุณมากค่ะ
ตอนที่ 17
“คุณปริม......โอเคไหมครับ” ราเมศวรถามพริมาเมื่อออกรถมานอกโครงการหมู่บ้านหรูได้สักครู่หนึ่งแล้ว พริมาที่นั่งมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างรถหันมามองหน้าเพื่อนร่วมทางอย่างฉงน
“อะไรนะคะ” พริมาถามอย่างงงงวย ก่อนที่จะนึกบางอย่างขึ้นได้
“อ๋อ! บ้านหลังนั้นน่ะเหรอคะ ปริมว่าก็สวยดีนะคะ ทำเลก็ใช้ได้ ตัวบ้านก็เล่นระดับและแบ่งเป็นสัดส่วนดี น้องสาวคุณรามน่าจะชอบน้ำตกข้างบ้านนั่นเหมือนกับปริม ดูแล้วสดชื่นดีนะคะ” พริมาที่ถูกราเมศวรชวนให้มาเป็นเพื่อนดูบ้านให้กับน้องสาวของเขา ที่แต่งงานและย้ายไปอยู่ที่ฮ่องกงกับครอบครัวของสามี แต่ต้องการได้บ้านไว้พำนักในเวลาที่มาเยี่ยมญาติพี่น้องในเมืองไทยสักหลัง
“พูดถึงน้ำตกแล้วก็นึกถึงสวนที่บ้าน พอย้ายมาอยู่คอนโด ลูก ๆ เลยไม่ได้วิ่งเล่นเหมือนเมื่อก่อน” พริมาเปรยต่อโดยไม่ได้สังเกตสีหน้าของผู้ฟัง
“อันที่จริง....ผมหมายถึงคุณปริมโอเคไหมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่ะครับ” ราเมศวรพูดเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม สายตาของพริมาที่มองภัทร์อย่างเจ็บปวดในนาทีแรกที่เห็นภัทร์กับภรรยาใหม่นั้นช่างน่าสงสารเหลือเกิน คุณแม่ลูกสองคงไม่รู้ตัวว่าเขาแอบมองดูเธออยู่ตลอดเวลา.....พริมายังรักภัทร์อยู่เต็มหัวใจ เขายังไม่ที่ว่างที่จะแทรกซึมเข้าไปแทนได้เลย
“ไม่รู้สิคะว่าโอเคไหม บอกตรง ๆ นะคะ มันไม่ได้เจ็บปวดทุรนทุรายเหมือนตอนแรก ๆ ที่ทราบเรื่อง แต่มัน.....มันก็ยังเจ็บยังแปลบที่หัวใจ สิบกว่าปีที่ผ่านมาปริมคงไม่มีค่ามากพอ” พริมาพูดเสร็จก็ถอนหายใจ
“คุณปริมยังรักเขามากใช่ไหมครับ” ราเมศวรโพล่งถามออกไป ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากได้ยินคำตอบ
“อย่าพูดถึงมันเลยค่ะ เสียบรรยากาศเปล่า ๆ”
“แต่ผมอยากรับรู้ทุกความรู้สึกของคุณปริมนี่ครับ ผมอยากร่วมทั้งทุกข์และสุขกับคน ผมอยากแชร์ทั้งอดีตและอนาคตกับคุณ” ราเมศวรพูดจากใจจริงอย่างหนักแน่น
“ขอบคุณมากนะคะ ปริมขอขอบคุณคุณรามจริง ๆ แต่ปริม.....ปริมไม่อยากให้คุณคิดว่าปริมกำลังให้ความหวังกับคุณ เพราะปริมอาจต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะลืม ไม่ใช่สิ.....กว่าจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ อย่ารอปริมเลยค่ะ”
“แต่ผมเต็มใจที่จะรอ”
“มันอาจจะใช้เวลานานนะคะ อาจเป็นปี......หรือหลายปี ปริมก็ยังไม่รู้เลย อย่ามัวมาเสียเวลากับปริมเลยค่ะ คุณอาจจะพลาดอะไรดี ๆ ในชีวิตไปนะคะ” พริมาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของราเมศวรเพื่อยืนยันความจริงใจ
“ผมไม่เคยคิดว่านี่ คือ เรื่องเสียเวลา และผมก็ไม่คิดที่จะคบกับคุณเพื่อฆ่าเวลา ไม่ว่านานแค่ไหนผมก็จะรอ”
“ยังมีคนดี ๆ คนที่เหมาะสมกับคุณอีกมากมายนะคะ”
“เหมาะไม่เหมาะ ต้องใช้ใจวัดนะครับ อย่าใช้ปัจจัยอื่น ๆ” ราเมศวรตอบ
“แต่...คุณอาจจะต้องรอไปตลอดก็ได้นะคะ” พริมาพูดออกมาจากใจจริงแต่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย
“ผมไม่รีบนี่ครับ” ราเมศวรบอก
“ผมมีทุกอย่างพร้อมแล้วเลยไม่ต้องรีบร้อนเหมือนกับคนอื่น ๆ เขา” พริมาทำหน้างงกับคำพูดกำกวมของราเมศวร
“ผมไม่จำเป็นต้องรีบแต่งงานเพื่อให้มีลูกทันใช้ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีลูกตอนแก่ด้วย เพราะลูก ๆ ก็โตกันแล้ว คนโต 5 ขวบกว่า คนเล็กก็ 2 ขวบครึ่งแล้ว” ราเมศวรหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้พริมาอย่างทะเล้น
“คุณรามนี่เซี้ยวจริงเชียว” หัวใจที่กำลังแห้งแล้งของพริมาค่อย ๆ สดใสเมื่อได้น้ำฝนชุ่มฉ่ำมาหล่อเลี้ยง พริมาหันมามองหน้าราเมศวรอีกครั้ง ก่อนที่จะพูดว่า
“ปริมขอเวลาสักพักนะคะ......แต่ถ้าคุณพบคุณเจอคนที่ใช่เมื่อไร ก็บอกปริมได้เสมอ ปริมเข้าใจและไม่โกรธคุณแม้แต่สักนิดเลยนะคะ ขอแค่อย่าหลอก อย่าโกหกกันนะคะ” พริมายิ้มหวานให้กับคนฟัง
“ผมให้เวลาคุณได้เสมอ และผมให้สัญญาว่าจะไม่มีวันโกหกหลอกลวงคุณอย่างเด็ดขาด คุณปริมเขื่อคำพูดผมได้เลย” ราเมศวรเอื้อมมือมาบีบมือนุ่มของพริมาอย่างถือวิสาสะ แต่ไม่จาบจ้วง
“ผมขอแค่.....ขอแค่คุณปริมให้โอกาสผมบ้างนะครับ” พริมาไม่มีคำตอบใด ๆ ให้กับชายหนุ่มที่ยังคงจับมือเธอแน่นอย่างอบอุ่น เธอไม่กล้าให้คำมั่นสัญญากับใครได้อีก จนกว่า.......จนกว่าหัวใจของเธอจะไร้ซึ่งพันธนาการ
************************
2 สัปดาห์ต่อมา
ขณะที่ภัทร์กำลังนั่งทำงานอยู่นั้น ก็มีสัญญาณเตือนว่ามีข้อความใหม่เข้ามาในมือถือของเขา ชายหนุ่มจึงล้วงหยิบเครื่องมือสื่อสารขนาดฝ่ามือออกมา
‘ศุกร์นี้ปริมขอไม่ส่งลูก ๆ กลับบ้านนะคะ เพราะจะพาเด็ก ๆ ไปหัวหินค่ะ’
“ไปหัวหิน ไปกับใคร....สงสัยคงต้องโทรถามยัยปั๊ปซะแล้ว” ภัทร์ตั้งคำถามและหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองคลายข้อสงสัย ชายหนุ่มนักธนาคารวางปากกาที่มีชื่อของเขาสลักอยู่บนด้ามลงบนโต๊ะทำงาน แล้วจึงใช้มือเดียวกันนั้นเคาะโต๊ะเป็นจังหวะอย่างคนที่กำลังใช้ความคิด อีกมือก็เลื่อนไปมาบนหน้าจอมือถือระบบสัมผัส พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นข้อความที่อยู่ทางริมซ้ายของหน้าจอ ข้อความที่น่าจะเป็นจากตัวเขาส่งให้กับพริมาเมื่อ 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา ข้อความนั้นอยู่ด้านบนของข้อความที่เขาเพิ่งได้รับเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาจากอดีตภรรยา เมื่ออ่านข้อความนั้นแล้วภัทร์รู้สึกงงงวยไปหมด ชายหนุ่มจึงยกมือถือขึ้นมาระดับสายตาเพื่ออ่านข้อความนั้นให้แน่ใจอีกครั้ง ข้อความที่เขาไม่ได้เป็นคนส่ง แต่ทำไมมันถึงอยู่ในเครื่องเขา
‘กลับวันนี้ใช่ไหม เดี๋ยวพี่ไปรับนะ อยากคุยเรื่องหย่าให้เรียบร้อย’
ภัทร์มั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนที่ส่งข้อความนี้ไปหาพริมา ชายหนุ่มจ้องนิ่งไปยังวันที่ที่ส่งข้อความนั้นไปหาผู้รับ ข้อความที่ทำให้เขาและพริมาเดินมาถึงจุดแตกหักอย่างรวดเร็วขึ้น เขาใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อทบทวนความทรงจำจนหน้านิ่วคิ้วขมวด ภัทร์คร่ำเคร่งอยู่ไม่นานก็สามารถรื้อฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้
“วันนั้นเป็นวันที่เราไปรับปริมที่สนามบินนี่นา” ภัทร์ค่อย ๆ ระลึกเหตุการณ์ที่ผ่านมาตามลำดับอย่างช้า ๆ
“แล้วก่อนหน้านั้น เราก็พาวิไปหาหมอที่คลินิก” ภัทร์เริ่มฉุนเมื่อนึกเรื่องราวออกและสามารถปะติดปะต่อเหตุการณ์ทั้งหมดได้อย่างต่อเนื่อง
“คงเป็นตอนที่เราลุกไปห้องน้ำแล้วฝากมือถือไว้กับวิสินะ วินะวิ คงต้องคุยให้กันรู้เรื่องแล้ว ปากบอกจะไม่เรียกร้องอะไร ผู้หญิงนี่ทำไมเข้าใจยากจริงวะ มิน่าละ ปริมถึงทำท่าโกรธเราตั้งแต่ลงเครื่องมา แถมมาถึงก็รีบถามถึงเรื่องหย่าแทบจะทันที เฮ้อ! เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง ทำเอาเราโง่ดักดานอยู่ตั้งนาน ถ้าไม่มีข้อความนี้ ปริมอาจจะไม่ขอหย่าจากเราก็เป็นได้” ภัทร์เพิ่งจะถึงบางอ้อ ชายหนุ่มส่ายหัวไปมาอย่างเอือมระอา เขาเคยคิดว่าวิภาวีจะพึงพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ ชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น...งานไม่ต้องทำ แต่มีเงินใช้ไม่ขาดมือ เธอยังจะต้องการอะไรอีก ภัทร์แน่ใจว่าจนทุกวันนี้เขาก็ยังไม่ได้รักวิภาวี มันเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบและความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น ซึ่งเกิดจากความร่วมมือและร่วมใจของทั้งสองฝ่าย เพราะที่ผ่านมาเขาก็มีลูกน้องเป็นผู้หญิงหน้าตาสดสวยมากมาย แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาจเป็นเพราะพวกเธอเหล่านั้นมีศีลธรรม ไม่แย่งของของคนอื่น หรือเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้สึกว่าเหงา ว่าต้องการคนดูแลเอาใจใส่ เขาจึงไม่ยื่นมือไปคว้าใครมาแนบกายทดแทนไออุ่นที่ขาดหายไป แต่เมื่อมาพบกับวิภาวี มันเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่าง เขาจึงเป็นคนยื่นมือไปรับมือเธอและดึงเธอเข้ามาในชีวิตเสียเอง…..ชีวิตครอบครัวที่เคยสงบสุขและพร้อมหน้าพร้อมตาเลยพังทลายลงมาในพริบตา
“เฮ้อ! ให้มันได้อย่างนี้สิโว้ย!” ภัทร์สบถอย่างอารมณ์เสีย นาทีต่อมาเขาจึงตัดสินใจโทรไปหาวิภาวีเพื่อต้องการบอกให้เธออยู่ในที่ของเธอ อย่ามาล้ำเส้นเขาอีกเป็นอันขาด! ภัทร์รอสายไม่นานเสียงของวิภาวีก็พูดมาอย่างตื่นตระหนกว่า
“คุณภัทร์! รีบมารับวิที่คอนโดหน่อยนะคะ วิน้ำเดินแล้ว มาเร็ว ๆ นะคะ วิปวดท้องจนจะทนไม่ไหวแล้วค่ะ รีบมานะคะ วิไม่กล้าลงลิฟต์คนเดียว โอ๊ย! ปวดท้องจังเลย คุณภัทร์รีบมานะคะ” ภัทร์ที่มัวตกตะลึงและตื่นเต้นที่จะได้ลูกสาว จึงลืมความตั้งใจเดิมของตนเองอย่างหมดสิ้น
“ได้ ๆ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ คุณโทรแจ้งคุณหมอไว้ด้วยเลยนะ ทางโรงพยาบาลจะได้เตรียมตัวไว้เหมือนกัน คุณโทรไหวไหมวิ” ภัทร์ที่มีประสบการณ์มาจากลูกชายทั้งสองสั่งวิภาวี พลางเปิดประตูห้องทำงานอย่างรีบร้อน เขาหันไปบอกกับเลขาฯหน้าห้องที่นอกจากจะเป็นคนเก่าคนแก่ตั้งแต่สมัยพ่อเขานั่งแท่นผู้บริหารแล้ว คุณชวนพิศยังคอยเป็นหูเป็นตาให้กับมารดาของเขาอีกด้วย
“วิกำลังจะคลอดลูก ผมคงไม่กลับเข้ามาแล้ว พรุ่งนี้อาจจะไม่มาทำงานด้วยนะ” ภัทร์พูดเสร็จก็รีบก้าวตรงไปยังลิฟต์ ชายหนุ่มเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่ไหว เพราะเขากำลังจะได้ลูกสาวคนแรกมาเชยชม เขาจึงโทรไปบอกกับมารดาของตนเองว่า
“คุณแม่ครับ วิกำลังจะคลอดลูก นี่ผมกำลังจะกลับไปรับวิแล้วพาไปโรงพยาบาลครับ” แต่แล้วอาการดีใจจนเนื้อเต้นก็ต้องถูกสกัดด้วยคำพูดของคุณหญิงพิจิตรที่ว่า
“มาบอกฉันทำไมยะ ไม่ใช่ลูกใช่หลานฉันสักหน่อย ออกมาแล้วก็อย่าลืมตรวจดีเอ็นเอเสียด้วยล่ะ”
รอคอย ‘คอมเม้นต์’ ของทุกท่านอยู่นะคะ--- ขอบคุณมากค่ะ
************************
อาทิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 พ.ย. 2555, 22:43:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 พ.ย. 2555, 23:26:12 น.
จำนวนการเข้าชม : 1797
<< ตอนที่ 16.....ครบ 100% แล้วค่ะ | ตอนที่ 17...50% >> |
nunoi 15 พ.ย. 2555, 22:56:54 น.
ขอให้ลูกสาวหายป่วยเร็วๆ นะคะ
ขอให้ลูกสาวหายป่วยเร็วๆ นะคะ