Secret Love: ปฏิบัติการแอบรัก
แค่ได้อยู่ใกล้ๆ แค่ได้มองเห็นเขามีความสุข

ฉันยอมแลกทุกอย่าง...แม้เขาจะไม่รับรู้ถึงสิ่งที่ฉันทำเลยก็ตาม!

สายฝนเมื่อวันหนึ่ง นำพาเขาและเธอมาเจอกัน

ก่อเกิดเป็นมิตรภาพที่สวยงาม...จนเบ่งบานกลายเป็นความรู้สึกแสนพิเศษ

เพียงแต่ว่า...มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับ ‘เธอ’ เพียงคนเดียว!

เธอ...เจ็บเมื่อเห็นเขาเจ็บ

เธอ...ยอมเจ็บเพื่อให้เขามีรอยยิ้ม

แต่เมื่อการกระทำของเธอถูกเขามองว่าต้องการขัดขวางความรัก

คนเป็น ‘แค่เพื่อน’ จะทำอะไรได้...นอกจาก...


...เดินออกไปจากชีวิตเขา...

Tags: หมอ, นักศึกษา, เพื่อน, รัก, โรแมนติก

ตอน: บทนำ + บทที่ 1 [100%]

บทนำ...

เพราะว่าวันแรกที่เราเจอกัน...เป็นวันที่ฝนตกรึเปล่า

ความสัมพันธ์ระหว่างเราตอนนี้เลยหม่นมัว มืดครึ้ม หนาวเหน็บจนสั่นสะท้าน...เหมือนอากาศยามฝนพรำไม่มีผิด...

ทั้งๆ ที่วันเวลาที่ผ่านมา มันเหมือนกันกลางวันที่สว่างไสว เหมือนกลางวันยามฤดูร้อน สดใส อาจจะร้อนบ้าง...เพราะนายเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่สาดแสงจ้า จนบางทีฉันก็ตาพร่าไปเพราะรัศมีร้อนแรงของนาย

แต่ดวงอาทิตย์นั้นก็มีความอบอุ่น...ให้แสงสว่าง และให้ความหวัง

แล้วตอนนี้...เพียงเพราะคำพูดเพียงคำเดียวของฉันในตอนนั้น มันส่งผลให้เรากลายเป็นแบบนี้เลยหรือ...

คำพูดที่ฉันได้ยินบ่อยๆ คือ...ฟ้าหลังฝนสดใสเสมอ

...แต่...จะมีฟ้าหลังฝนสำหรับฉันอยู่อีกหรือ?...



บทที่ 1 : ยามฝนพรำ

พริมากำลังหนาว...

ไม่ใช่หน้าหนาวก็จริง แต่สายฝนที่กระหน่ำลงอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้นก็ทำให้เธอเกิดอาการหนาวสั่นได้ง่ายๆ ใครจะคิดว่าข่าวพยากรณ์อากาศที่บอกให้พกร่มออกจากบ้านในช่วงเดือนกุมพาพันธ์จะแม่นยำขนาดนี้ ก็ปกติพยากรณ์อากาศเชื่อได้ซะที่ไหน

หญิงสาวนั่งกอดประมวลกฎหมาย ไว้แนบอก ที่นั่งรอรถรางของมหาวิทยาลัยไม่ได้ช่วยกันฝนได้ดีซักเท่าไหร่ ตอนนี้ละอองฝนเม็ดเล็กๆ กำลังไล่ที่มาเรื่อยๆ จนเหลือที่วางแห้งๆ อยู่นิดเดียวเท่านั้น ลมที่พัดแรงขึ้นทำให้ร่างบางถึงกับสั่น แขนเรียวกระชับประมวลฯ ในอ้อมอกแน่นขึ้น...กอดหนังสือก็ไม่ได้ทำให้อุ่นขึ้นมาซักเท่าไหร่หรอก เพียงแต่ซื้อทีหนึ่งก็แพ๊ง...แพง ยิ่งประมวลฯ เล่มใหญ่ๆ ปกแข็งมีที่ให้เขียนเยอะๆ อย่างนี้ด้วยแล้ว...

เปียกไม่ว่า ขอหนังสือรอดเป็นพอ!

แขนเรียวข้างหนึ่งยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาพลางบ่นขมุบขมิบ...เยี่ยม... เหลืออีก 15 นาทีก็จะถึงเวลานัดที่อาจารย์ให้ไปรวมตัวกันหน้าห้องชันสูตรแล้ว แล้วตอนนี้เธอกำลังติดฝน (ที่ตกหนักเป็นบ้า) แถมยังไม่มีรถราง หรือรถประจำทางอื่นๆ ผ่านมาซักคน ทั้งๆ ที่ปกติก็ขับเข้าออกมหา’ ลัยกันให้วุ่น

...ทำไมคณะแพทย์ฯ มันถึงอยู่ไกลอย่างนี้...ทำไมไม่อยู่ในมหา’ลัยไปเลยนะ เสียเวลานั่งรถไปอีก...เครียด!

เมื่อคิดถึงหน้าอาจารย์ผู้สอนหญิงสาวก็หนาวเยือกขึ้นมาทันที ยังจำได้ถึงวันที่อาจารย์พาไปดูงานที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เธอที่กระหืดกระหอบมาเป็นคนสุดท้ายโดนอาจารย์แขวะตลอดทางจนเมื่อไปถึง หูหญิงสาวก็ชาไปเรียบร้อยแล้ว ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าคราวนี้สายอีกรอบ เธอจะโดนอะไร

หมดทางเข้า พริมาก็ยกมือทั้งสองขึ้นประนม (โดยที่ยังหนีบประมวลฯ แนบกับอกแน่น) พลางตั้งจิตอธิษฐานถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในมหาวิทยาลัยที่เคารพสืบทอดกันมา

“สาธุ...เจ้าพ่อเจ้าขา...บุญใดที่หนูเคยทำมา ขอให้รีบๆ มาสนองซะตอนนี้เลยนะคะ ลูกขอราชรถมาเกยด่วนเลย ก่อนที่ลูกจะไปเรียนไม่ทันนะคะ...”

พริมาประนมมือจรดศีรษะพลางขยับปากขมุบขมิบ ก่อนจะสะดุ้งเมื่ดได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้นกลางสายฝนตรงหน้า เมื่อลืมตาร่างบางก็เห็นรถเก๋งสีขาวคันหนึ่ง ที่เจ้าของกำลังยื่นหน้ามองเธออย่างอยากรู้อยากเห็น

...เจ้าพ่อศักดิ์สิทธิ์จริงแฮะ ขอปุ๊ปได้ปั๊บ...

“ไหว้อะไรอยู่น่ะคุณ”

น้ำเสียงร่าเริงเอ่ยขึ้น ใบหน้าของเจ้าของรถยิ้มร่าขณะมองเธอด้วยความขบขัน ก่อนเอ่ยต่อ “คุณกำลังรอรถอยู่เหรอ จะไปไหนน่ะ ผมไปส่งมั้ย”

พริมมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประเมินอย่างรวดเร็ว อืม...ชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกับเธอ มีเสื้อกาวน์แขวนไว้ด้านหลัง มีรถเก๋ง (สำคัญมากในตอนนี้) ดูๆ แล้วน่าจะไปทางเดียวกับเธอนี่แหละ

คิดได้อย่างนั้น หญิงสาวจึงตอบคำถาม “ไปคณะแพทย์ค่ะ ถ้าไปทางเดียวกันฉันขอติดรถไปด้วยนะคะ”

“เชิญเลยครับๆ” เจ้าของรถใจกว้างเปิดประตูรถให้ ก่อนจะลงจากรถโดยกางร่มมาด้วย พริมาจึงได้เห็นว่าเขาตัวสูงทีเดียว รูปร่างโปร่ง ผิวขาวจัดๆ ตัดกับไรหนวดเขียวและริมฝีปากแดงสดน่าดูอย่างประหลาด หญิงสาวเผลอจ้องจนอีกฝ่ายเดินมาถึงตัวแล้วเรียกเสียงขันๆ “ไปได้แล้วคุณ อยากจ้องก็ค่อยไปจ้องในรถก็ได้ ไปเร็ว”

ร่างบางหน้าแดงก่ำกับคำทัก หญิงสาวเผลอตวัดสายตาค้อนอีกฝ่ายก่อนเชิดหน้าใส่อย่างหมั่นไส้ เรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายให้ดังขึ้น เมื่อขึ้นรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็จัดการออกรถทันทีทั้งๆ ที่ยังหัวเราะอยู่ ก่อนจะบอกหญิงสาว “เอ้า...มองเลย ตอนนี้อยู่บนรถแล้ว”

พริมาหันมองคนขับอย่างเคืองๆ “ฉันไม่ได้อยากมองคุณซักหน่อย”

“แหม...เมื่อกี้เห็นมองอยู่...อ๊ะๆ ไม่ล้อเล่นก็ได้” ชายหนุ่มเรียบเปลี่ยนเสียงเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำตีหน้าเคร่งเครียด “แล้วคุณจะไปทำอะไรที่คณะผม ไม่ได้เรียนที่นั่นนี่นา”

“คณะคุณ...คุณเรียนหมอเหรอคะ?”

“อืม...ปีที่ 5 แล้วคุณล่ะ” ชายหนุ่มเหลือบตามองหนังสือที่อยู่บนตักของเธอ “เรียนนิติเหรอ”

“ค่ะ...”

“อ๋อ...งั้นคงเป็นเด็กที่จะไปดูการผ่าศพวันนี้ใช่มั้ยล่ะ” ร่างสูงพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจทั้งๆ ที่เธอยังไม่ได้พูดอะไรซักคำ แต่ก็ถูกของเขา...พริมาคิดอย่างขำๆ

“ค่ะ...”

“ไม่กลัวศพเหรอ”

“ก็...ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวนี่” หญิงสาวเชิดหน้า หมายความตามที่พูดทุกคำ

“ง้านนนน...เหรอ” ชายหนุ่มลากเสียงยาวพลางเหลียวมามองหน้าเธอแวบหนึ่งอย่างล้อเลียน “ผมเคยเห็นนายตำรวจหลายคน บางคนเป็นสารวัตรด้วยซ้ำ เห็นหมอกำลังกรีดมีดผ่าศพก็เป็นลมแล้ว คุณเตรียมยาดมมารึยัง”

“ก็บอกแล้วว่าไม่กลัว” คราวนี้เสียงหวานชักเริ่มขุ่น

“โอเคๆ ไม่กลัวก็ไม่กลัว” คนที่กำลังขับรถอยู่ยอมแพ้ หันไปตั้งใจขับรถต่อ ปล่อยให้หญิงสาวพินิจพิจารณาทั้งภายในรถและเจ้าของรถต่อไปตามสะดวก

จนกระทั่งมาถึงตึกเรียนคณะแพทย์ที่เป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาล เมื่อรถจอดสนิท ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ฝนหยุดตกพอดี พริมาได้แต่บ่นในใจอย่างเคืองฟ้าเคืองฝน...

...จะเดินทางดันตก ทีเดินทางเรียกร้อยแล้วก็ดันหยุด...

“ไปเร็วคุณ จะไปห้องชันสูตรไม่ใช่เหรอ ตามผมมาเดี๋ยวจะพาไปส่ง” ร่างสูงที่ลงจากรถหันมามอง เห็นเธอทำปากขมุบขมิบเหมือนแอบบ่นอะไรอีกก็นึกขำ

หญิงสาวสะดุ้งเป็นครั้งที่สองเมื่อเขาพูดขัดจังหวะการบ่นเธออีกครั้ง ก่อนจะปรายสายตาขุ่นเคืองเล็กน้อยไปให้เจ้าของเสียงที่ตอนนี้กำลังเดินนำหน้าไปยังห้องชันสูตรเรียบร้อยแล้ว

ว่าแต่...หญิงสาวคิดกับตัวเองอย่างขำๆ...ตอนอธิษฐาน...เธอยังไม่ทันบนกับเจ้าพ่อเลยว่าถ้ามีรถมาแล้วจะถวายอะไร เอาเป็นว่าเจ้าพ่อช่วยฟรีไปก่อนก็แล้วกันนะเจ้าคะ...


“การชันสูตรศพที่ตายผิดธรรมชาติ มีอยู่ 5 อย่างตามกฎหมาย คือ 1.ฆ่าตัวตาย 2.ถูกผู้อื่นทำให้ตาย หรือถูกฆาตกรรมนั่นแหละ 3.ถูกสัตว์ทำร้ายตาย 4.ตายโดยอุบัติเหตุ และ 5.ตายโดยยังมิได้ปรากฏเหตุ คือยังไม่รู้ว่าตายได้ยังไงนั่นแหละ”

สาวสวยที่ใส่เสื้อกาวน์ สีหน้านิ่งสงบเริ่มให้ข้อมูลนักศึกษาก่อนที่จะเข้าไปดูการชันสูตร ดูท่าอาจารย์หมอจะจำรายละเอียดทางกฎหมายเกี่ยวกับการชันสูตรพลิกศพได้หมด เพราะเคยต้องขึ้นศาลในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญ บ่อยครั้ง

“ในกรณีศพที่จะให้นักศึกษาดูต่อไปนี้ เป็นศพที่ตายเมื่อประมาณ 24 ชั่วโมงก่อน...”

เสียงนักศึกษาทั้ง 20 คนเริ่มพึมพำ แจ็ตพอตแล้ว...มาวันไหนไม่มา มาวันที่ศพไม่สวย...

วีรยาพูดไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้เหลือบดูสีหน้าของคนฟังซักนิดว่าตอนนี้แต่ละคนซีดขนาดไหน “...โดยศพนี้ถูกพบที่พงหญ้าข้างถนน จากการชันสูตรเบื้องต้นพบว่าถูกแทงตรงชายโครง สาเหตุการตายน่าจะเป็นเพราะโดนอวัยวะสำคัญหรือไม่ก็เสียเลือดจนตาย”

สาเหตุการเสียชีวิตทำให้เสียงพึมพำของเหล่านักศึกษาดังขึ้นอีกด้วยความสยองขวัญ นักศึกษาชายหลายคนเริ่มหน้าซีด พอๆ กับนักศึกษาหญิงที่เริ่มหยิบยาดมมาดมกันจ้าละหวั่น

“ต่อไปอาจารย์จะให้รุ่นพี่เรา คือพี่ภู นักศึกษาแพทย์ปี 5 แจกถุงมือและแมส ให้นักศึกษา ถ้าใครมีคำถามจะถามอะไรก็ถามมาได้เลย อาจารย์จะตอบคำถามให้ ถ้าใครอยากดูใกล้ๆ ก็เดินลงมาอยู่ข้างๆ อาจารย์ได้ ขอให้นักศึกษาเคารพศพที่เรากำลังจะไปดู เพราะถือว่าวันนี้เรามารับความรู้จากร่างของเขา เหล่านี้ถือเป็นอาจารย์ใหญ่เช่นกัน”

...แต่เป็นอาจารย์ใหญ่ที่ไม่เต็มใจอยากจะเป็น...พริมาต่อให้ในใจ

เธอไม่แปลกใจที่เมื่อเห็นหน้า ‘พี่ภู’ นักศึกษาแพทย์หน้าตาดีคนนั้น คนที่กำลังยืนแจกหน้ากากผ้าและถุงมือยางให้กับเพื่อนๆ ที่กรูกันเข้าไปเอาพร้อมกับส่งเสียงวี๊ดว๊ายแต่พองามเมื่อเห็นว่าที่หมอหนุ่มรูปหล่อ เมื่อถึงคิวเธอรับของจากเขา ชายหนุ่มก็สัพยอก

“กลัวก็บอกนะ จะได้เอายาดมให้”

“ไม่ต้อง ขอบคุณค่ะ”

หญิงสาวขมวดคิ้วใส่ ก่อนจะหยิบอุปกรณ์ที่เขายื่นให้ไปใส่เรียบร้อย

ภูธเรศยักไหล่ ยิ้มให้อีกฝ่ายนิดๆ เมื่อชวนเสียงร่าเริง “เข้าไปผ่าศพกัน”

คำชวนแปลกๆ ประกอบกับน้ำเสียงระรื่นทำเอาพริมาหลุดขำถึงแม้จะรู้สึกว่าผิดกาละเทศะอยู่บ้าง หญิงสาวส่ายศีรษะน้อยๆ เป็นเชิงล้อเลียนอีกฝ่าย ก่อนเดินเข้าไปในห้องชันสูตร โดยมีชายหนุ่มเดินปิดท้าย

เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว อาจารย์หมอวีรยาและอาจารย์ประจำวิชาของเธอก็จัดให้นักศึกษาทุกคนขึ้นไปยืนอยู่บน ‘อัฐจรรย์’ ที่เป็นเหมือนขั้นบันใดเหล็กกว้างๆ สามขั้น มีราวระดับอก เอาไว้ให้นักศึกษายืนดูการชันสูตรจากข้างบน

บรรยากาศของห้องเริ่มเงียบสนิท นักศึกษาทั้งหมดไม่กล้าคุยกันเมื่อมองดูการทำงานของแพทย์สองสามคนที่กำลังทำหน้าที่ คนหนึ่งกำลังถอดเสื้อผ้าของศพโดยใช้มีดกรีดเสื้อผ้าออกเป็นผืนกว้างๆ อีกคนหนึ่งทำหน้าที่บันทึกสิ่งที่อาจารย์หมอกำลังพูด โดยมีอีกคนหนึ่งทำหน้าที่ถ่ายภาพ ภูธเรศจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ เอาไว้ข้างๆ ก่อนรอคำสั่งของอาจารย์ ชายหนุ่มเหลือบมองพริมาที่กำลังชะเง้อมองขั้นตอนทั้งหมดอย่างสนใจ ปากกาในนิ้วเรียวกำลังจดบันทึกยิกๆ

เออแฮะ...แปลกคน ชอบศพแล้วทำไมไม่มาเรียนหมอให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะ...

“ศพชายไม่ทราบชื่อ อายุประมาณ 30 – 35 ปี มีบาดแผลถูกแทงที่ชายโครงด้านขวา” วีรยาพูดไปด้วย พลางหยิบอุปกรณ์ที่เหมือนไม้บรรทัดเป็นมุมฉากออกมาวางไว้ด้านใต้ของแผล พลางบอกขนาดความกว้างของปากแผลและขยับให้ผู้ช่วยได้ถ่ายภาพ

“บาดแผลขอบเรียบ ปากแผลมีลักษณะปิด สันนิษฐานว่าอาวุธเป็นของมีคมปลายแหลม...”

ในช่วงระหว่างที่อาจารย์กำลังพูดอยู่เรื่อยๆ ก็เริ่มมีนักศึกษาที่หน้าซีดลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกับคนที่ยืนข้างๆ พริมาที่ตอนนี้ใบหน้าไร้สีเลือดเต็มที่

“อ้อม...ไหวมั้ย”

หญิงสาวเรียกเพื่อน ดูสภาพแล้วเพื่อนเธอคงยืนอยู่ได้อีกไม่นานกระมัง

“คะ...คิดว่าไหวอยู่นะพริม”

“ดีแล้ว ทีหนังสยองขวัญ ฆ่าเลือดสาด หนังผีน่ากลัวๆ เธอยังดูมาหมดแล้ว เจอของจริงอย่าหนีสิ” เธอกระเซ้าเพื่อน และได้รับค้อนกลับมาเป็นรางวัล

“เอ๊อ...ใครจะไปเหมือนเธอล่ะยะ กลัวหนัง แต่ดันกระดี๊กระด๊าอยากเห็นของจริง พิลึก!” อนงค์นาถเน้นเสียงท้ายประโยค ก่อนเอื้อมมือมาปิดปากตัวเองแน่นขึ้นเรื่อยๆ เพราะกลัวอาเจียนออกมา

พริมายักไหล่กวนๆ ก่อนมองไปด้านล่าง สบสายตาคมปลาบของว่าที่หมอหนุ่มเจ้าของรถที่เธอนั่งมาเมื่อเช้าพอดี ถึงมีหน้ากากปิดซะครึ่งหน้า แต่เธอก็รู้สึกว่าตอนนี้เขากำลังยิ้มอยู่แน่ๆ หญิงสาวยักคิ้วกลับ ก่อนหันไปสนใจการผ่าศพต่อ
เธอชื่นชอบนิยายสืบสวนสอบสวนมาตั้งแต่เด็ก เคยใฝ่ฝันเป็นยอดนักสืบเหมือนคินดะอิจิ โคสึเกะ เฮอร์คูล ปัวโรต์ หรือโฮล์มส์ เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยมาเธอก็เลือกเรียนนิติศาสตร์ และเมื่อลงเรียนวิชาสืบสวนสอบสวน เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองเข้าใกล้ความฝันในวัยเด็กมากขึ้นเรื่อยๆ

“ศพนี้อยู่ในระยะ Rigor Mortis หรือการแข็งตัว ซึ่งจะเกิดขึ้นประมาณ 2 – 4 ชั่วโมง แข็งตัวเต็มที่เมื่อ 9 – 12 ชั่วโมง และจะอยู่ต่อประมาณ 12 ชั่วโมง ตอนนี้ศพเริ่มอ่อนตัวอีกครั้ง กำลังจะเข้าสู่ระยะ Post Mortem Decomposition หรือการเน่า การเปลี่ยนแปลงหลังการตายนี้จะช่วยให้เรารู้โดยคร่าวๆ ว่าผู้ตายตายเมื่อไหร่หรือตายมาประมาณกี่ชั่วโมงแล้ว ซึ่งเป็นประโยชน์ในทางสืบสวนสอบสวนในการจำกัดเวลาเพื่อหาผู้ต้องสงสัยต่อไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการเปลี่ยนแปลงหลังการตายพวกนี้ ก็มีเวลาที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ด้วย อย่างเช่นศพที่พบในน้ำ กับศพที่เจอบนบกก็จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เท่ากัน”

เมื่อตรวจสภาพเบื้องนอกเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาจารย์หมอก็เริ่มผ่าพิสูจน์ด้านใน โดยเริ่มจากใช้เครื่องมือผ่าเหมือนเลื่อยเล็กๆ ผ่ากะโหลกจากขมับขวาไปซ้ายโดยผ่านหน้าผาก แล้วก็ทำการเปิดกะโหลกโดยการใช้มีดเล็กๆแซะ (หรือถลก...พริมาคิดในใจ) หนังศีรษะออกก่อน จนเหลือแต่กะโหลกสีขาว ส่วนของหนังศีรษะนั้นตอนนี้เป็นเหมือนวิกผมดีๆ นี่เอง...

อืม...คนเรา ตายแล้วก็เท่านี้จริงๆ ต่อให้จะหล่อเหมือนอีตาหมอนั่นขนาดไหน...แต่สุดท้ายก็เหลือแต่กระดูกเหมือนกันนั่นแหละ...

อาจารย์หมอและผู้ช่วยเริ่มทำงานอย่างขะมักเขม้น ทิ้งให้นักศึกษาแพทย์คนหนึ่งช่วยหิ้วปีกนักศึกษาหลายๆ คนที่กำลังทรุดลงไปกองกับพื้นเพราะหน้ามืดออกไปจากห้องเรื่อยๆ หลายคนตัดสินใจถอดหน้ากากออก เพราะถึงแม้จะมีกลิ่นและฝุ่น (ของกะโหลกที่โดนผ่า) แต่ก็ยังดีกว่าโดนปิดทางเดินอากาศหายใจซึ่งจะทำให้เป็นลมได้ง่าย

พริมาถอดหน้ากากออก แต่ก็ไม่กล้าหายใจแรง เพราะตอนนี้อากาศไม่บริสุทธิ์อย่างมาก เธอเริ่มได้กลิ่นแอลกอฮอล์จากร่างของศพโชยออกมาผสมกลิ่นศพ กลายเป็นกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนจนหลายคนทนไม่ไหว มีนักศึกษาใจกล้าหลายคนเริ่มลงไปดูการชันสูตรใกล้ๆ ขณะที่หญิงสาวกำลังละล้าละลังอยู่ว่าจะลงไปดีมั้ย เสียงทุ้มของผู้ช่วยอาจารย์หมอคนหนึ่งก็ดังขึ้น

“อยากดูก็ลงมาสิ มายืนข้างๆ ผมเลย ก็ได้นะ”

ในมือคนพูดมีก้อนไขมันหน้าตาคุ้นๆ ที่พอมองดูๆ พริมาก็บอกได้ว่ามันคือ...สมอง

เขาถือสมองทั้งก้อนที่ตัดออกจากก้านสมองเรียบร้อยแล้วไว้ในมือ ก้อนไขมันหยุ่นนุ่มสีเทาปนแดงสั่นไปมาตามแรงมือ พริมาตัดสินใจเดินลงไปยืนข้างๆ เขาเมื่อชายหนุ่มเริ่มใช้มีดขนาดกลางผ่าสมองออกมาเป็นชิ้นบางๆ

“ผ่าเพื่อหาเลือดที่อาจจะคั่งอยู่ในสมองน่ะ ดูว่าสมองช้ำด้วยรึเปล่า” เขาอรรถาธิบายเมื่อเห็นเธอมองอย่างสนใจ มือใหญ่หยิบชิ้นส่วนหนึ่งส่งให้ “ลองจับดูมั้ย เหมือนเยลลี่เลยนะ”

พริมาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นสีหน้าเหมือนจะยิ้มของเขาเธอก็ยื่นมือจับ...ท่ามกลางเสียงฮือฮาของเพื่อนร่วมเซคชั่น หญิงสาวอมยิ้มนิดๆ เมื่อรับรู้ถึงสัมผัสในมือ

“นุ่มจริงๆ แหละ”

“คุณอยากดูอวัยวะภายในอย่างอื่นมั้ย ปกติเราก็ไม่ได้ผ่ากันละเอียดขนาดนี้หรอกนะ ขึ้นอยู่กับสาเหตุการตายด้วย...เอ้า อยากเห็นอะไรก็บอก”

“อยากเห็นไส้ติ่งค่ะ”

คำตอบของหญิงสาวทำเอาอาจารย์หมอวีรยาขำพรืด สีหน้านิ่งตลอดเวลาตอนนี้มีรอยยิ้มน้อยๆ “ทำไมอยากเห็นไส้ติ่งล่ะ”

“ก็...อยากเห็นส่วนเกินในชีวิตน่ะค่ะ” เธอตอบหน้าตาย

อาจารย์หมอพยักพเยิดไปที่ช่องท้องของศพ ที่ตอนนี้เปิดกว้าง...มองเห็นอวัยวะภายในเกือบทุกส่วน “หาดู ช่วงล่างๆ หน่อยนะ ไส้ติงมันจะโดนลำไส้เล็กทับอยู่ ลองค้นดูก็ได้เดี๋ยวก็เจอ” พูดพลางแสดงท่าทางประกอบคำพูดด้วยการ ‘แหวก’ ลำไส้ให้ดู หญิงสาวพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนใช้มือ ‘แหวก’ เพื่อหาส่วนเกินในชีวิตที่ตัวเองอยากเห็น ก่อนจะดึงเอาสิ่งที่ตนเองอยากเห็นออกมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“อันนี้ไส้ติ่งใช่มั้ยคะอาจารย์”

อากัปกิริยาของเจ้าหล่อนทำเอานักศึกษาหญิงคนหนึ่งที่ฝืนทำใจกล้าถึงกับหน้ามืด ทรุดลงไปกองกับพื้นทันที!

“เอางี้ดีกว่านะคุณนะ” ภูธเรศซึ่งทั้งขำทั้งทึ่งหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น “อย่าเพิ่งถามอะไรเลยดีกว่านะ เพื่อนคุณจะหัวใจวายตายกันอยู่แล้ว เดี๋ยวหมดเวลาผมจะเอาเบอร์โทรให้คุณ แถมวีดีโอผ่าศพให้ด้วยอ่ะ มีอะไรสงสัยค่อยโทรมาถามผม โอเคมั้ย?”

“เอางั้นเหรอ” หญิงสาวนิ่งคิด ดีเหมือนกัน ดูวีดีโอก็ได้ อีกอย่างคราวนี้เวลาเธออ่านตำรานิติเวชตรงไหนไม่เข้าใจ ก็ค่อยโทรมาถามเขาเอา ไหนๆ เขาก็อนุญาตแล้วนี่นา พริมาพยักหน้า ยิ้มตอบร่างสูงข้างๆ


“ตกลงค่ะ”
...........................................
ลองมาลงนิยายเรื่องใหม่ที่นี่ดูค่ะ ส่วนภิรมย์รักจะพยายามให้ทันวันนี้นะคะ

รักคนอ่านมากๆ จะรักมากกว่านี้อีกถ้ามีเม้นท์ 555+

ปณัชญา
21/11/2012 4:40 am.



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 พ.ย. 2555, 04:41:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 พ.ย. 2555, 04:41:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 2299





   บทที่ 2 : เพื่อนสนิท [100%] >>
AprilSK 21 พ.ย. 2555, 05:03:46 น.
เริ่มเรื่องได้สนุก(ปนสยอง)เชียวค่ะ รออ่านต่อค่ะ


รอให้เป็นเล่ม 21 พ.ย. 2555, 08:23:59 น.
โอ้...
มุกแจกเบอร์โทรศัพท์แปลกแหวกแนวจริงๆ


ร้อยวจี 21 พ.ย. 2555, 12:52:06 น.
น่าสนใจแต่เริ่มแรกเลยค่ะ รีบมาอัพไวๆนะคะ รอค่ะ


ameerahTaec 21 พ.ย. 2555, 14:34:46 น.
กี้สสสสส สนุกมากค่า รอติดตามต่อ ชอบพระเอกจัง 5555


mhengjhy 21 พ.ย. 2555, 16:25:59 น.
แหม่ ถ้ามีคนหล่อ น้ำใจดีแบบนี้อยู่บนโลก


lovemuay 21 พ.ย. 2555, 20:25:59 น.
น่าอ่านดีค่ะ นศพ.กับสาวนิติ นางเอกใจแข็งจริงๆค่ะ
แต่แย้งนิดนึงนะคะ
1.กลิ่นแอลกอฮอล์?? ศพไม่แช่แอลกอฮอลล์นะคะ แต่ควรเป็นกลิ่นฟอร์มาลีน หรือว่ากลิ่นน้ำยาฉีดศพมากกว่าค่ะ
2.สมองไม่นิ่มเหมือนเยลลี่นะคะ แต่ว่าจะออกแข็งนิดๆ ประมาณยางลบค่ะ


lovemuay 21 พ.ย. 2555, 21:37:44 น.
เพิ่มเติมอีกนิดนะคะ สมองจะนิ่มๆเละๆเหมือนเยลลี่ก็คือพวกสมองเน่า ฉีดน้ำยาไม่ทั่วถึงประมาณนี้ค่ะ
แต่ถ้าเน่าแล้วจะนำมาผ่าพิสูจน์ได้ยากนะคะ


ปณัชญา 22 พ.ย. 2555, 02:21:01 น.
ขอตอบข้อที่แย้งมาก่อนเนาะ เผื่อคนมาอ่านบทนี้แล้วจะได้เข้าใจด้วย

1. เรื่องกลิ่นแอลกอฮอล์ คงต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้อธิบายไว้อย่างละเอียด อันนี้ส้มลืมจริงๆ คือเรื่องของเรื่องเนี่ย ศพที่ไปดูตอนนั้นเค้าดื่มเหล้าก่อนตายด้วยค่ะ เพราะฉะนั้นตอนผ่านี่จะโชยกลิ่นแอลกอฮอล์สุดๆ เพราะยังมีตกค้าง ยิ่งตอนผ่าช่วงตัวนี่ยิ่งชัดเจนเลยล่ะค่ะ
ส่วนเรื่องศพ ศพที่ทำการชันสูตรหาสาเหตุการตายไม่ได้ผ่านการดองศพนะคะ มาแล้วเข้าตู้เย็น (เอ่อ...ตู้เก็บนั่นแหละ) แล้วก็เอาออกมาผ่าเลยถ้าศพเข้ามาตอนที่ไม่มีคน แต่อย่างศพที่ส้มไปดูวันนั้นนี่ (จำได้เพราะเป็นรายแรก) เค้ามาตอนเช้าค่ะ ประมาณตี 5 6 โมงเช้า เลยเอาเข้าตู้นิดหน่อยแล้วออกมาผ่าให้ดู เพราะฉะนั้นไม่มีการดองศพทางคดีนะคะ
2. อันนี้ขอยืนยันว่าที่จับมานิ่ม ไม่ได้นิ่มอะไรมากมาย (สงสัยต้องเปลี่ยนคำบรรยาย) ค่ะ เพราะเคยผ่าสมอง (ศพสด) เพื่อดู subarachnoid หรือเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองด้วย ตอนถือมันจะนุ่มๆ หยุ่นๆ ไม่ได้นิ่มมากมาย แต่ไม่น่าจะเท่ายางลบนะคะ แล้วเวลาผ่าจะผ่าออกเป็นชิ้นค่อนข้างบางประมาณเซ็นนึง (ไม่ได้เข้านิติเวชเป็นปีแล้ว ชักลืม) ถ้าสมองสดนี่จะนิ่มและหยุ่นคล้ายเยลลี่แข็งๆ นะคะ แต่สำหรับกรอสนี่ส้มไม่รู้แฮะ 555+

แต่ยังไงก็ขอขอบคุณสำหรับคำแย้งด้วยนะคะ จะได้แลกเปลี่ยนกัน คุณ lovemuay ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์แน่ๆ เลย ถึงข้อมูลแน่นเปรี๊ยะ ยังไงต้องขอบคุณมากนะคะ ถ้าส้มมีอะไรที่ผิดพลาดนี้ต้องขอให้แย้งนะคะ จะได้นำไปปรับปรุงด้วย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account