Secret Love: ปฏิบัติการแอบรัก
แค่ได้อยู่ใกล้ๆ แค่ได้มองเห็นเขามีความสุข

ฉันยอมแลกทุกอย่าง...แม้เขาจะไม่รับรู้ถึงสิ่งที่ฉันทำเลยก็ตาม!

สายฝนเมื่อวันหนึ่ง นำพาเขาและเธอมาเจอกัน

ก่อเกิดเป็นมิตรภาพที่สวยงาม...จนเบ่งบานกลายเป็นความรู้สึกแสนพิเศษ

เพียงแต่ว่า...มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับ ‘เธอ’ เพียงคนเดียว!

เธอ...เจ็บเมื่อเห็นเขาเจ็บ

เธอ...ยอมเจ็บเพื่อให้เขามีรอยยิ้ม

แต่เมื่อการกระทำของเธอถูกเขามองว่าต้องการขัดขวางความรัก

คนเป็น ‘แค่เพื่อน’ จะทำอะไรได้...นอกจาก...


...เดินออกไปจากชีวิตเขา...

Tags: หมอ, นักศึกษา, เพื่อน, รัก, โรแมนติก

ตอน: บทที่ 3 : ระหว่างคำว่า “เรา” [100%]

วันนี้ที่ตึกคณะมีรถบางตา...

อาจเป็นเพราะวันนี้เป็นวันหยุด ทำให้ลานจอดรถที่ถ้าเป็นวันธรรมดาคงเรียกได้ว่า ‘ไร้ทางขยับ’ โล่งว่าง มีมอเตอร์ไซค์เพียงไม่กี่คัน รถยนต์ยิ่งน้อยกว่าที่จอดอยู่

หญิงสาวขับมอเตอร์ไซค์เข้าไปจอดตรงช่อง ถอดหมวกกันน็อคออกด้วยแรงเกือบเป็นกระชาก ก่อนจะออกวิ่งอย่างรวดเร็วเมื่อลงจากรถได้ ขาเรียวภายใต้กางเกงยีนต์เนื้อหนาพาตัวหล่อนไปยืนอยู่หน้าประตูห้องที่ปิดสนิท...

ก่อนที่พริมาจะสูดลมหายใจเข้าปอดเรียกความกล้า เปิดประตูเข้าไปโดยไม่ต้องเคาะ

“อ้าว...มาแล้ว วันนี้ติดธุระอะไรอีกล่ะพริม?”

ร่างบางของคนที่กำลังยืนบรรยายอยู่หน้าห้องแทบจะเรียกได้ว่า ‘เปล่งประกายงดงาม’ เมื่อดวงตาสีน้ำตาลงดงามจดจ้องมาที่เธออย่างอยากรู้ระคนขัน หญิงสาวที่มาสายก็ได้แต่ทำตัวลีบ ก่อนเดินต้อยๆ เข้ามานั่งที่ตัวเองอย่างไร้ปากเสียง

“ว่าไงยัยพริม ตื่นไม่ทันเหรอวันนี้?”

“ก็...” พริมายิ้มแหย เงยหน้ามองอาจารย์พิเศษด้วยความรู้สึกผิดหน่อยๆ “...ค่ะ”

“ไปทำอะไรมาอีกล่ะ” คนถามทำหน้าอยากรู้

“เมื่อวาน...มหา’ลัยมีงานน่ะค่ะ แล้วน้องที่ชมรมก็บอกว่าคนขาดให้ไปช่วยหน่อย หนูก็เลย...”

“อ๋อ...ถึงว่าเมื่อวานคุ้นๆ เราเองเรอะ”

“คุณหญิง...อาจารย์ก็ไปงานนั้นด้วยเหมือนกันเหรอคะ?” หญิงสาวถามเสียงอ่อย...รู้สึกหน้าร้อนนิดๆ เมื่อรู้ว่าคนรู้จักดันไปเห็นภาพเธอตอนอยู่บนเวทีเข้า

คราวนี้คนที่เปลี่ยนมาโดนถามบ้างหัวเราะเฉย “อ้าว...อย่าลืมสิว่าเราก็เป็นศิษย์เก่าของที่นี่เหมือนกัน งานนี้เป็นงานศิษย์เก่า ทำไมเราจะไปไม่ได้ล่ะ ไม่ใช่แต่เรานะ เพื่อนเราหลายคนเลยแหละที่ไปด้วย”

“หา...”

พริมาเหลียวมองเพื่อนๆ ที่นั่งเรียนด้วยกันประมาณ 20 คนด้วยสีหน้ากระดากหน่อย แล้วก็พบว่าคนที่เป็นศิษย์เก่าเหมือนกันส่งยิ้มที่แปลออกมาเป็นคำพูดได้ว่า ‘ฉันเห็นนะ’ จนเจ้าตัวได้แต่ทำหน้าแหยๆ รับคำพูดของเหล่าเพื่อนร่วมสถาบันที่ตามมาติดๆ ถึงเรื่องที่เธอขึ้นเวทีร้องเพลงในงานเลี้ยงรวมศิษย์เก่าของมหา’ลัยเมื่อวานนี้

“ทีอย่างนี้ไม่ชวนนะพริม” อนงค์นาฏเอ่ยก่อนคนแรก

ต่อด้วยภัทริยา “ไม่รู้จะอายอะไร เสียงเธอออกจะเพราะ”

“น่าจะไปประกวดร้องเพลงซะให้มันรู้แล้วรู้รอด...” เสียงห้าวๆ นี่เป็นของอดุลย์ ผู้ชายร่วมสถาบันคนเดียวที่ตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทในสาขานี้

“ก็นะ...” พริมาได้แต่ยิ้มอ่อนๆ ส่งให้เพื่อน “เอาไว้งานหน้าถ้ามีอีก ฉันจะส่งบัตรเชิญไปให้ทุกคนเลยเอามั้ยล่ะ”

“เอา!”

“...” เธอพูดประชดนะ ตอบรับกันมาได้...

“พอๆ ได้แล้วเด็กๆ กลับมาเรียนต่อได้แล้ว” อาจารย์พิเศษตบมือเบาๆ สองสามทีเพื่อเรียกความสนใจของบรรดาหนุ่มสาวตรงหน้าให้กลับมาอยู่ที่เธอเอง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานกังวานของตนตามเนื้อหาที่เตรียมมา

“วันนี้ถึงไหนแล้ว...อ้อ...Fingerprint ใช่มั้ย...ok มาต่อกันนะ...”

เสียงของ ร.ต.อ. หม่อมราชวงศ์มธุการี หรือที่เรียกกันติดปากทั้งในกองพิสูจน์หลักฐานหรือที่มหา’ลัย ที่คุณหญิงได้รับเชิญมาเป็นอาจารย์บรรยายพิเศษว่าคุณหญิงผู้กองนั้นดังกังวาน มั่นคง บ่งบอกว่าคนพูดมีความรู้ในเรื่องที่ตนเองกำลังพูดดีขนาดไหน...

ทั้งๆ ที่เป็นวันหยุด นักศึกษาปริญญาโทอย่างเธอก็ยังต้องมาเรียนอีก นั่นเพราะว่าอาจารย์ที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิหลายคน อย่างเช่นคุณหญิงผู้กองเป็นข้าราชการตำรวจ ซึ่งไม่อาจมาสอนให้ในวันเวลาธรรมดาได้ ตารางเรียนของเด็ก ป.โท สาขานิติวิทยาศาสตร์ จึงมีเรียนในวันหยุด วันที่มหา’ลัยค่อนข้างเงียบเหงาเช่นนี้

เมื่อจบปริญญาตรีทางด้านกฎหมาย พริมาเคว้งไปซักระยะ มองไม่เห็นว่าตัวเองจะทำอาชีพอะไรได้ เธอจึงสอบเอาตั๋วทนาย ไว้ อย่างน้อยมันก็เป็นหนึ่งในความฝันของเธอ...ก่อนที่จะตัดสินใจเข้ามาเรียนปริญญาโทในสาขานิติวิทยาศาสตร์ สาขาที่คนกว่าค่อนชั้นจบมาทางสายวิทย์เสียหมด

การเรียนกฎหมาย 4 ปีเต็มๆ ในรั้วมหาวิทยาลัยทำให้เด็กมัธยมสายวิทย์ – คณิตอย่างเธอเกือบลืมวิชาการทางวิทยาศาสตร์เสียสิ้น ที่ยังเหลือติดหัวอยู่นิดหน่อยคือความรู้ทางชีววิทยา นอกเหนือจากนั้นแล้ว...ปลิวหายไปตามสายลม แสงแดด และกาลเวลาเสียหมดสิ้น ดังนั้นเธอจึงต้องกระตือรือร้น และต้องมานะกว่าคนที่เรียนจบมาทางด้านวิทยาศาสตร์โดยตรงในการเรียนปริญญาโทในสาขาวิชานี้ต่อ

แต่พอจบมาพริมาก็เกิดอาการ ‘ขายออก’ เสียอย่างนั้น ทั้งรุ่นน้องในชมรมดุริยางค์ ที่เธอสังกัดสมัยเรียนปริญญาตรีที่ชอบมาดึงเธอไปช่วยงานเสียจริง ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทคอร์รัส (chorus) หรือเรียกอีกอย่างว่าวอยซ์ (Voice) ที่เธอเคยประจำอยู่ในส่วนของโซปราโน่ (Soprano) หรือไม่ถ้าวันไหนนักดนตรีขาด เธอก็ต้องไปประจำอยู่ในตำแหน่งของเทเนอร์ แซ็กโซโฟน อยู่ดี

ไหนจะลองเสี่ยงดวงส่งนิยายเพ้อๆ ของเธอไปประกวดแล้วดันชนะเลิศ สร้างความแตกตื่นให้หญิงสาวพอๆ กับความเครียดที่ถาโถม เพราะเธอต้องไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมในเพื่อให้งานเขียนออกมาดีที่สุดอีก...

ดังนั้นช่วงนี้พริมาจึงดูเซียวลงไปเล็กน้อย ด้วยฤทธิ์ของการไม่ได้พักผ่อนเพียงพอ ทำให้ภูธเรศได้ทีบ่นเอาๆ เพื่อให้เธอจัดการตัวเองให้เรียบร้อย

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...ช่วงนี้เธอถึงขั้นเปลี่ยนเวลานอนไปเลยทีเดียว เพราะความที่ชอบทำงานกลางคืนเนื่องจากความเงียบสนิทที่หาในยามกลางวันไม่ได้ ทำให้การเข้าเรียนในแต่ละครั้งของหญิงสาวกลายเป็นเรื่องยากลำบากที่จะไปให้ตรงเวลาทุกครั้ง...

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ปากกาของเธอก็จดยิกๆ ตามเนื้อความที่คุณหญิงผู้กองพูดออกมาอย่างลื่นไหลไม่มีสะดุดซักน้อย

“ก็อย่างที่บอกไปแล้วเมื่อชั่วโมงก่อนว่าเรื่องนี้จะว่าไปเราก็ไม่ถนัดเท่าไหร่ เพราะหน้าที่ของฝ่ายตรวจสถานที่เกิดเหตุนั้นไม่ได้เฉพาะเจาะจงในรายละเอียดของลายนิ้วมือนัก เราเพียงรู้ว่าลายนิ้วมือมีรูปแบบอย่างไร และจะเก็บอย่างไรเท่านั้น จะให้สอนก็คงไม่ดีเท่ากับสารวัตรพิมลพรรณหรอก นั่นเขาอยู่งานลายนิ้วมือแฝง โดยตรง เพราะฉะนั้นก็รอให้พี่เขามาถ่ายทอดวิชาเองดีกว่า”

“อ้าว...” เหล่านักศึกษาพากันครางเสียงอ่อยๆ

“อย่ามาอ้าว เรารู้ทันหรอกว่าไม่อยากมาเรียนเช้า แต่ไหนๆ ตอนบ่ายก็เรียนกับเราแล้ว มาตั้งแต่ตอนเช้าเลยก็ดีจะได้ไม่มีใครหนีกลับไปก่อน” อาจารย์พิเศษว่ายิ้มๆ ก่อนเอ่ยต่อ “อ้อ...อีกอย่างนะ สารวัตรพิมลพรรณฝากงานแลปมาให้ทำด้วย เรามาทำแลปลายนิ้วมือกันดีกว่า”

“หา...?” รอบนี้เสียงครางออกแนวเหรอหรา งงงัน

ราชนิกุลสาวยิ้มระรื่น ก่อนเอ่ย “ในงานตรวจสถานที่เกิดเหตุนั้น คนที่เก็บลายนิ้วมือไม่ใช่คนที่จะต้องตรวจลายนิ้วมือได้เสมอไป ผู้ที่ปฏิบัติงานในที่เกิดเหตุจะต้องเก็บลายนิ้วมือเป็น ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเก็บพยานหลักฐานจากที่เกิดเหตุ เพราะฉะนั้นงานนี้เราถนัด”

เหล่านักศึกษามองหน้ากันปริบๆ เมื่อเห็นอาจารย์สาวหันไปหยิบอุปกรณ์เก็บลายนิ้วมือมาวางตรงหน้า พลางชี้ไปทีละอย่าง “นี่คือผงฝุ่น หรือที่เรียกว่า Fingerprint Powder ใช้ในการเก็บลายนิ้วมือ ส่วนมากใช้ผงสีดำเพราะมันสามารถเห็นได้ง่าย ยกเว้นถ้าพื้นผิวสีเข้มหรือสีดำเสียเอง เราก็ต้องเปลี่ยนมาใช้ผงฝุ่นสีอื่นแทน ซึ่งก็ควรจะเป็นสีที่ตัดกับพื้นผิวที่เราต้องการเก็บรอยลายนิ้วมือ เห็นมั้ยว่ามีหลายสี อ้อ...ถ้าสีพื้นผิวมีหลายสี ก็ใช้ผงฝุ่นที่เป็นผงฟลูออเรสเซนต์ จะได้เห็นได้ชัดเจน”

นิ้วเรียวดังเทียนกลมกลึงของอาจารย์สาวชี้รวดเร็วไปที่กระปุกผงฝุ่นสีดำและสีอื่นๆ “แต่ปกติเราก็ใช้กันแต่สีดำอ่ะนะ...ช่วยไม่ได้ งบมันไม่ค่อยมี แล้วนี่...” คุณหญิงชูแปรงที่แตกต่างกันขึ้นมาตรงหน้า ก่อนแจกแจง “นี่เรียกว่าแปรงขนกระต่าย เอาไว้ปัดหาทั่วๆ ตรงที่เราคิดว่าจะมีลายนิ้วมือเกาะอยู่แบบไม่เจาะจง ซึ่งถ้าเจอรอย ก็ต้องเปลี่ยนเป็นแปรงขนอูฐ...เห็นลักษณะมั้ยว่ามันเล็กกว่ากันมาก ฉะนั้นแปรงนี้จะใช้ปัดเบาๆ ไปที่ลายเพื่อให้มันชัดขึ้น และนี่แหละคือสาเหตุที่คนตรวจสถานที่เกิดเหตุต้องรู้ว่ามีรูปแบบลายนิ้วมืออะไรบ้าง เพื่อเวลาปัดจะได้ปัดไปตามลาย ไม่ไปปัดลบลายเส้นเอาน่ะสิ”

“ส่วนนี่...อันนี้ดีกว่า เรียกว่าแปรงแม่เหล็ก (Magna Brush) ใช้หารอยลายนิ้วมือแฝงเหมือนกัน ประสิทธิภาพดีกว่าผงฝุ่นธรรมดาด้วย สามารถหาได้ตรงแม้กระทั่งพื้นผิวที่มีรอยหยุ่น อย่างหนังเป็นต้น แต่ห้ามใช้กับพื้นโลหะ เพราะมันจะดูดเอาซะหมด”

“ถ้ามันประสิทธิภาพดีกว่าผงฝุ่นธรรมดาจริง แล้วทำไมเราไม่เปลี่ยนมาใช้แปรงแม่เหล็กเสียละครับ” นักศึกษาชายคนหนึ่งถามขึ้น

คุณหญิงผู้กองยิ้มน้อยๆ “สาเหตุหนึ่งก็คือ...มันใช้กับพื้นผิวโลหะไม่ได้...ส่วนสาเหตุที่สำคัญกว่า...” รอยยิ้มนั้นกว้างขวางขึ้นดั่งคนขี้เล่น “ก็เพราะว่ามันแพงกว่าน่ะสิ เธอก็รู้ว่างบตำรวจน่ะใช่ว่าจะเยอะนะ”

เป็นเหตุผลที่ทุกคนพยักหน้ารับพร้อมกันอย่างไม่คิดแย้ง...

“อาจารย์ขา...” รอบนี้เป็นเสียงใสของนักศึกษาสาวที่นั่งอยู่มุมห้อง “เดี๋ยวนี้ผู้ร้ายก็ทันสมัยแล้วนะคะ ใครๆ ก็รู้ว่าลายนิ้วมือน่ะมันสามารถเก็บได้ แล้วใครจะโง่พอที่จะทิ้งลายนิ้วมือไว้ให้เราตรวจหาอีกล่ะคะ?”

“เป็นคำถามที่ดีนะเนี่ย” อาจารย์สาวยิ้มกว้าง “เธอคิดว่าจะไม่มีใครทิ้งรอยนิ้วมือไว้ในที่เกิดเหตุ 100% เลยรึเปล่า?”

“ก็คงไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกค่ะ แต่ว่ามันก็น้อยมากๆ จนแทบไม่มีแล้วนี่คะ อย่างที่ว่า...ใครๆ เค้าก็รู้กันทั้งนั้น”

“แล้วที่ว่าน้อยมากๆ เราจะปล่อยทิ้งไปง่ายๆ เลยเหรอ?”

คราวนี้ทั้งห้องนิ่งเงียบ

“เปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้แทบไม่มี ไม่ได้แปลว่ามันไม่มี และไม่ได้แปลว่าเราจะไม่เจอส่วนน้อยนั้น ถ้าเราละเลยในสิ่งที่สามารถพาเราไปสู่คำตอบ แล้วเมื่อไหร่เราจะไปถึงคำตอบ...แน่นอนว่าวิธีการไปสู่จุดหมายนั้นมีหลายวิธี แต่ทำไมเราไม่เลือกวิธีที่ใกล้ที่สุด ง่ายที่สุด และทรงประสิทธิภาพที่สุด?”

ม.ร.ว.มธุการีเดินมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะอาจารย์ เอนสะโพกพิงขอบโต๊ะสบายๆ ก่อนเอ่ยต่อ “ลายนิ้วมือของคนเรานั้น ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า ไม่มีรอยนิ้วมือของใครเหมือนกันอย่างแท้จริง เราอาจซ้ำรูปแบบได้ แต่ไม่มีทางซ้ำกันได้ในรายละเอียด ไม่มีใครมีลายนิ้วมือเหมือนเรานอกจากเรา แม้แต่แฝดแท้ ที่ DNA เหมือนกันทุกประการก็ตาม ก็ยังมีลายนิ้วมือไม่เหมือนกัน ต่อให้คุณเจอเพียงเสี้ยวของลายนิ้วมือ ถ้ามันพอตรวจยืนยันได้ครบตำแหน่ง คุณก็สามารถยืนยันตัวบุคคลได้ทันที วิธีการง่าย ประหยัด และดีขนาดนี้ คุณไม่ควรจะละเลยมันนะ...”

เมื่อมองว่าทั้งห้องเข้าใจสิ่งที่พูดทั้งหมดแล้ว ราชนิกุลสาวจึงอธิบายต่อ “เวลาเก็บลายนิ้วมือนะ ก็เอาสก็อตเทป...ใช่ สก็อตเทปใสนี่แหละ เอาที่มันกว้างๆ ของยี่ห้อดีๆ ไปเลย จะได้ไม่มีฟองอากาศ ปิดทับลงไปบนรอยนิ้วมือที่เราปัดจนเห็นลายแล้ว แล้วก็นำมาปิดไว้กับกระดาษแข็งขนาดประมาณนี้แหละ เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย”

ทั้งห้องพยักหน้าหงึก แสดงความเข้าใจเป็นอันดี

“งั้นนี่คืองานนะ ไปเก็บลายนิ้วมือมา จะแปะนิ้วตัวเองก็ได้ เอานิ้วคนอื่นแปะก็ได้ แต่ว่าไม่ต้องขนาดไปเก็บเอาตามข้าวของเหมือนปัดหาลายนิ้วมือคนร้ายอะไรหรอก เพราะนี่คือการทดลองทำก่อน เพราะงั้นก็ปัดให้เห็นลายทั้งหมดนะ เอามา...สี่นิ้ว บันทึกให้ถูกด้วยนะว่าเก็บจากวัตถุอะไร พื้นผิววัตถุคืออะไร อย่างอันนี้...” คุณหญิงยกแก้วน้ำเซรามิกแบบมีหูจับขึ้นมาให้ทุกคนในห้องเห็นกันชัดๆ “...อันนี้วัตถุคือแก้วน้ำ ถ้าคุณเก็บรอยลายนิ้วมือแฝงที่ตรงผิวของแก้ว พื้นผิววัตถุของคุณต้องบอกว่าเป็นเซรามิก อย่างนี้เข้าใจใช่มั้ย”

“ครับ/ค่ะ”

“คนละสี่นิ้วนะ อย่าลืม ชั่วโมงหน้าเอามาส่งกับสารวัตรพิมลพรรณละกัน...ตายละ โทษทีนะขอรับโทรศัพท์แป๊บนึง” ร่างบางของอาจารย์ผู้สอนหันไปคว้าเอามือถือที่วางอยู่บนโต๊ะอาจารย์ขึ้นมากดรับ

“มธุการีค่ะ...อ้าวสารวัตรมัฆวาน...คะ?...ค่ะ ได้ค่ะ...ค่ะ สวัสดีค่ะ”

ใบหน้าหวานมีรอยเครียดปรากฏรางๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะบอกกับนักศึกษาที่อยู่ในห้องพลางเก็บของที่วางบนโต๊ะอาจารย์อย่างรวดเร็ว “เราต้องรีบไปตรวจที่เกิดเหตุ งั้น...Polygraph บ่ายวันนี้งดก่อนละกัน”

ทุกคนในห้องพยายามข่มความยินดีไว้ให้มิด...ไอ้ยินดีว่าไม่ได้เรียนมันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แต่ไม่ได้เรียนเพราะเกิดคดีขึ้น...ก็ไม่เป็นการเหมาะสมที่จะดีใจจากสาเหตุความทุกข์ของคนอื่น

“อาจารย์คะ?” จนราชนิกุลสาวเก็บของเรียบร้อย เตรียมจะเดินออกไปจากห้องนั่นแหละ พริมาจึงเอ่ยเรียกเอาไว้ “พอบอกได้มั้ยคะว่าอาจารย์จะออกตรวจคดีอะไร?”

คุณหญิงผู้กองตอบสั้นๆ ความขี้เล่นถูกแทนที่ด้วยใบหน้าสงบนิ่ง “ฆาตกรรมน่ะจ้ะ”

ร่างระหงเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ในหัวก็เค้นคิด...

...ถ้าอาจารย์รชานนท์รู้ว่าเธอออกไปกับสารวัตรมัฆวาน เขาจะรู้สึกอะไรรึเปล่า...

เมื่ออาจารย์ผู้ที่สูงทั้งยศ ยิ่งทั้งศักดิ์เดินพ้นออกจากห้องไปแล้ว ทั้งห้องก็ถอนหายใจเฮือกเกือบพร้อมๆ กัน...ไม่ได้ว่าคุณหญิงสอนไม่ดี แต่ว่าทุกคนกำลังหิวข้าวเพราะถึงตอนเที่ยงแล้วต่างหาก

“พริม...เที่ยงนี้ไปกินข้าวที่ไหนน่ะ”

“เอ่อ...ยังไม่...”

เสียงสั่นๆ พร้อมด้วยอาการสั่นของโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าของหญิงสาว ทำให้พริมาต้องหยิบมากดดูหน้าจอ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นเบอร์คนโทรมา

“ว่าไงหมอ?”

“ไปกินข้าวกันมั้ย เดี๋ยวส่งกลับหอด้วย...”

“รู้ได้ไงว่าฉันจะว่างกินข้าวด้วยเนี่ย”

“เมื่อกี้มีเหตุใช่มั้ยล่ะ...เราอยู่กับอาจารย์วีพอดีน่ะ อาจารย์ก็ได้รับโทรศัพท์ รับเสร็จก็ออกไปแล้ว...แล้วเราก็จำได้ว่าคุณหญิงก็ต้องไปตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วย เพราะงั้นเธอต้องว่างอยู่แล้วล่ะ”

เออ...ลืมไป วันนี้หมอภูบอกว่าจะไปสอบถามเรื่องเอกสารบางอย่างเกี่ยวกับการเรียนกับอาจารย์หมอวีรยา ทั้งๆ ที่เป็นวันหยุดนี่แหละ แล้วอาจารย์ก็เป็นแพทย์นิติเวชที่พร้อมออกปฏิบัติการได้เร็วที่สุดแล้วถ้าเทียบกับแพทย์นิติเวชคนอื่นๆ

เป็นปกติอยู่แล้วที่ทุกคนจะในแวดวงนี้จะรู้จักสามสาวทหารเสือแห่งวงการกฎหมาย ทั้งคุณอโณชา ทนายความสาวที่ว่าความได้เฉียบคมเด็ดขาด ขัดกับบุคลิกป้ำๆ เป๋อๆ ของเจ้าตัว คุณหญิงมธุการี ผู้กองสาวคนเก่งแห่งกองพิสูจน์หลักฐาน และอาจารย์หมอวีรยา แพทย์นิติเวชฝีมือดีไฟแรงผู้มีฉายาเป็นที่รู้กันคือ ‘คุณหมอน้ำแข็ง’ ทั้งสามสาวเป็นเพื่อนรักกัน (ได้อย่างไรก็ไม่รู้) ถ้าสามคนนี้จับมือทำคดีกันเมื่อไหร่ เป็นที่เชื่อมือได้แน่นอนว่าจะสามารถจับคนร้ายได้อย่างรวดเร็ว จนทั้งสามได้รับการยอมรับกลายๆ ว่าจังหวัดนี้...ผู้หญิงครองบัลลังก์...

“ไอ้ว่างก็ว่างอยู่หรอก แต่ว่าทำไมไม่ไปชวนคุณนุชล่ะ”

คราวนี้เสียงกวนๆ ของคนพูดหม่นนิดๆ “นุชไปสิงคโปร์ตามเจ้านายน่ะ”

“งั้นเหรอ...งั้นก็รีบมารับละกัน”

“ok ไม่เกินสิบนาทีถึงครับผม”

“มาช้าแต่มาให้ถึงดีกว่านะหมอ”

“เข้าใจแล้วจ้ะ” ปลายสายตอบเสียงทะเล้นก่อนที่จะวางหู พริมากดปิดมือถือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเจอกับสายตาสนอกสนใจของคนในห้องที่ยังไม่มีใครไปไหน โดยเฉพาะผู้หญิงที่ดูจะสนใจมากเป็นพิเศษ

“เมื่อกี้คุณหมอภูธเรศโทรมาเหรอพริม” เสียงของอนงค์นาถเอ่ยขึ้นก่อน

“หา...เอ่อ...ใช่”

“คุณหมอว่าไงบ้าง?” คราวนี้สายตาสนใจเบิกกว้างขึ้นอีกนิดนึง...

“ก็บอกว่าจะมารับไปกินข้าวเที่ยงด้วยเท่านั้นล่ะค่ะ” หญิงสาวตอบซื่อๆ พลางลงมือเก็บของด้วย

“ตายจริ๊ง...น่ารักจังเลยคุณหมอเนี่ย ถามจริง...เป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ เหรอเนี่ยพริม?” ภัทริยาที่เป็นรุ่นพี่หล่อนอยู่ประมาณ 2 ปีเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้

คราวนี้พริมาตอบเสียงหนักแน่น...อย่างที่เจ้าตัวก็ไม่ได้สังเกต “เพื่อนจริงๆ ค่ะพี่ หมอภูมีแฟนอยู่แล้วนะคะ”

“แหม...ก็เห็นไปรับไปส่งกันบ่อย ก็เลยถามเท่านั้นล่ะจ้ะ”

“เหอะๆๆๆ...” พริมาหัวเราะเสียงปร่านิดๆ “ยังไงก็เป็นแค่เพื่อนเท่านั้นแหละค่ะพี่ แค่เพื่อน...”

...แค่นั้นจริงๆ พริมา...



“หิวข้าววววว...”

เสียงคนขับรถโอดครวญข้างๆ หู ทำให้หญิงสาวที่กำลังอ้าปากหาวเหลือบตาดูน้อยๆ ก่อนตอบ “ก็กำลังจะไปหาข้าวกินอยู่นี่ไง ไม่ต้องคร่ำครวญมากก็ได้นะ”

“ใจร้ายจัง ผู้หญิงอะไรปากจัดชะมัด”

“ไหงมาว่าฉันซะงั้นล่ะ”

“ไม่สนเว้ย...หิวข้าว พาลน่ะ...โมโหหิวน่ะรู้จักมั้ย” คนเป็นหมอหันมาแยกเขี้ยวขาวๆ ใส่ ก่อนที่จะเลี้ยวรถเข้าไปในลานจอดอย่างรวดเร็ว

“ไปๆ เลือกร้านเร็วๆ เลยนะเธอ เราไม่ไหวแล้ว...” ชายหนุ่มยังครวญต่อ

คราวนี้พริมาหันไปมองร่างสูงตรงๆ ใบหน้าคมดูซีดลงนิดหน่อย ทำให้หล่อนต้องเอ่ยปากถาม “ไม่ได้กินข้าวเช้าใช่มั้ยเนี่ย”

“ก็...ตื่นมาก็เกือบได้เวลานัดกับอาจารย์หมอแล้ว ก็เลย...”

“เลยไม่กินข้าว...” หญิงสาวต่อให้เสียงเย็น

“ง่า...อย่าดุเค้าสิ” คนตัวสูงกว่าเริ่มใช้ไม้อ่อนเมื่อเพื่อนสาวเริ่มดุใส่ “ไม่ได้ตั้งใจลืมกินหรือไม่อยากกินนะ แค่ไม่อยากผิดนัดกับอาจารย์เท่านั้นแหละ อาจารย์หมอวีน่ากลัวจะตายเธอก็รู้นี่”

พริมานึกไพล่ไปถึงใบหน้าขาวนวลหวานหยดที่แฝงแววเรียบๆ เย็นๆ เอาไว้ก็ไม่รู้สึกถึงความน่ากลัวตรงไหน แต่หล่อนก็ยอมลงให้เพื่อนเมื่อเห็นสายตาละห้อยที่มองสบมา

“คราวหน้าก็อย่าลืมอีก จำไว้สิว่านายน่ะเป็นโรคกระเพาะ แล้วก็เป็นหมอด้วย! อย่าให้คนอื่นต้องเตือนเรื่องแบบนี้ให้มากนัก เข้าใจมั้ย”

“คร้าบบบบ...”

ร่างสูงลากเสียงยาวอย่างประจบ ก่อนจะเดินตามคนตัวเล็กกว่าไปต้อยๆ แล้วก็ได้เห็นเธอหยุดเดิน มองไปทางกลุ่มคนขนาดย่อมๆ ที่กำลังหันมามองหล่อนเช่นกัน

ภูธเรศมองตาม ก่อนเอ่ย “เพื่อนที่เรียน ป.โท กะเธอนี่นา?”

“อืม...”

“ทักทายซะหน่อยก็ดีนะ” หมอหนุ่มแนะนำเพื่อน แต่ก่อนที่เพื่อนสาวจะทันขยับปาก คนทางโน้นก็หันมาตะโกนเรียกเสียก่อน

“ยัยพริม...คุณหมอ...มาทานข้าวด้วยกันสิคะ”

เพื่อนรักสองคนหันมามองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษา ก่อนที่คนเป็นหมอจะพยักหน้านิดๆ แล้วเดินตรงไปยังกลุ่มนั้นอย่างอารมณ์ดี

“รบกวนหน่อยนะครับ”

“ต๊ายยย! ไม่รบกวนซักนิดเลยค่า” รุ่นพี่สาวๆ ยิ้มแย้มแก้มแทบปริ ก่อนจะรีบขยับที่นั่งให้หมอหนุ่มนั่งตรงกลาง ล้อมรอบไปด้วยพวกเธอเอง พริมาที่เดินมาถึงทีหลังหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวท้ายๆ ที่เพื่อนๆ รีบขยับที่ให้จ้าละหวั่น

“เมื่อกี้เราสั่งไปแล้ว คุณหมอกับยัยพริมจะสั่งอะไรเพิ่มอีกรึเปล่าคะ?” อนงค์นาถที่นั่งห่างหมอหนุ่มออกมาหน่อยเป็นคนเอ่ยถาม เมื่อเห็นแต่ละคนที่นั่งใกล้หมอมัวแต่จ้องใบหน้าหล่อเหลาไม่วางตา

เนื่องจากร้านที่เข้าไปนั่งเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นราคาย่อมเยา เพราะต้องการตีตลาดนักศึกษาที่เรียนอยู่ใกล้ๆ พริมาจึงไม่แม้แต่จะเหลือบดูเมนูเมื่อสั่ง

“ราเม็งต้มยำหมูอบชาชูค่ะ”

“สองที่เลยครับ” คนเป็นหมอสั่งเพิ่มทันควัน พลางหันมาแจกยิ้มกับคนที่อยู่รายรอบ (ที่ยังมองหน้าอยู่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้)

คำพูดง่ายๆ นี้เรียกเสียงแซวจากกลุ่มสาวๆ ได้เยอะทีเดียว “แหม...ใจตรงกันจังเลยนะคะคู่นี้ ถ้าไม่รู้ว่าคุณหมอมีแฟนมาก่อน ภัทรต้องนึกว่าสองคนนี้เป็นแฟนกันแน่ๆ เลยล่ะ”

“ฮ่ะๆ จริงหรือครับ ผมกับยัยพริมก็ชอบกินอะไรคล้ายๆ กันแค่นั้นล่ะครับ ไม่มีอะไรมากหรอก”

...ใช่...ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ได้หรอก...

พริมาฝืนยิ้มขื่น แต่ใบหน้าที่แสดงออกนั้นสดใสเกินกว่าที่เพื่อนคนใดจะจับสังเกตได้ “อย่ามาเหมางั้นสิคะพี่ภัทร เดี๋ยวพริมก็ขายไม่ออกหรอก หนุ่มๆ เข้าใจผิดหมด ใช่มั้ยคะพี่บาส”

ท้ายประโยคหล่อนหันไปถามผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มผู้ชายน้อยคน น้อยจนแทบจะกลืนหายไปกับผู้หญิงหมด

ชายหนุ่มเจ้าของชื่อที่ถูกอ้างอิงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ส่งให้ใบหน้าที่หล่อเหลาพอสมควรน่ามองขึ้นอีกโข “พริมน่ะขายออกแน่ๆ ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าไม่มีใคร...มาควงกะพี่ก่อนมั้ยล่ะ?”

ทั้งโต๊ะหัวเราะสนุกสนาน รู้ๆ กันอยู่ว่าพี่บาสน่ะมีแฟนอยู่แล้ว เพียงแต่แฟนพี่เค้าทำงานอยู่คนละจังหวัดเท่านั้นเอง

แต่คนในโต๊ะที่ไม่รู้ความจริงนั้นมีคนหนึ่ง...

ภูธเรศฝืนหัวเราะไปกับคำแซวตรงๆ นั้น หากในใจขุ่นเคืองรางๆ จนแทบจับไม่ได้...

...ไม่ได้นะ เขาน่ะต้องปกป้องยัยบ๊องนี้ไว้ ตามสัญญาที่ให้กับแม่หล่อน...ว่าจะดูแลหล่อน จนกว่าจะมีผู้ชายที่ดีพอที่จะสามารถดูแลพริมาต่อจากเขาได้ชั่วชีวิต...

“ถ้าพี่จะจีบยัยนี่จริงๆ” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะเหมือนขำไปพร้อมๆ กับคนอื่นๆ “ต้องมาคุยกับผมก่อนนะครับ อย่าลืมล่ะ”

เสียงคนสำลักเสียงหัวเราะตัวเองดังขึ้นทันควัน ก่อนที่แต่ละคนจะเหลียวมองมาที่เขาเป็นตาเดียว ไม่เว้นกระทั่งหญิงสาวคนที่เป็นต้นตอปัญหาด้วย

ภูธเรศทำตาโตเหมือนประหลาดใจเต็มที่ ก่อนหัวเราะเรื่อยๆ “ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีผมรับฝากยัยนี่จากแม่เค้าเท่านั้นแหละ”

“แม่ยัยพริม...ที่...เอ่อ...” คนถามเหลือบตามองมาทางพริมาเหมือนเกรงใจที่จะพูดว่าแม่ของหล่อนเสียชีวิตไปแล้วนี่นา

“ครับ...ผมรับฝากแม่เค้าเอาไว้น่ะ”

“อ๋อ...” อนงค์นาถทำเสียงเข้าใจ “ลืมไป หมอภูเป็นเพื่อนกะยัยพริมมานานแล้วนี่คะ”

“ก็สามปีแล้วล่ะครับ”

อาหารที่สั่งไว้เริ่มทยอยมาส่งเรื่อยๆ ดังนั้นทุกคนจึงพักคำถามชั่วคราว ถึงกระนั้นก็ยังมีคนบอกให้ชายหนุ่มเล่าเรื่องว่าไปเจอหล่อนได้ยังไง แต่อนงค์นาถที่อยู่ในเหตุการณ์วันแรกที่ทั้งสองคนเจอกันบอกให้ทุกคนกินเสร็จก่อนค่อยเล่าตอนนั้นดีกว่า...เพราะเจอครั้งแรกตอนไปดูการชันสูตร คงไม่เป็นเรื่องเล่าที่ทำให้คนฟังเจริญอาหารซักเท่าไหร่

“ว่าแต่คุณหมอเป็นหมอประจำ OPD อยู่ใช่มั้ยคะ แสดงว่าอายุมากกว่ายัยพริม ไหงทำไมเรียกกันซะเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกันเลยอ่ะ?”

" ไม่ใช่หรอกครับ" ภูธเรศยิ้มกว้างพลางตักอาหารเข้าปาก "สาขานิติเวชเป็นสาขาขาดแคลนพิเศษ ทั้งประเทศไทยมีอยู่แค่ 80 กว่าคนเท่านั้น ผมเลยไม่ต้องใช้ทุน เรียนต่อเฉพาะทางได้เลย แต่วันไหนไม่มีเวรคนไข้คดีก็ต้องไปช่วยทาง OPD เหมือนกันน่ะครับ"

“หมอนี่เรียนเร็วค่ะพี่ พริมเลยไม่ต้องเรียก ‘พี่’ ให้กระดากปาก” หญิงสาวที่นั่งเงียบปล่อยให้ประวัติตัวเองถูกเพื่อนสนิทสาวไส้ออกมาเรื่อยๆ เอ่ยขึ้นมาบ้าง

เสียงอืออาในลำคอของหลายคนบ่งบอกความเข้าใจแจ่มแจ้ง จนกระทั่งกินอาหารเสร็จ คุยสัพเพเหระอีกซักพักก่อนจะสลายตัวกันไปด้วยความอิ่มท้อง

ตราบจนกระทั่งอยู่ด้วยกันตามลำพังอีกครั้ง เมื่อพาหญิงสาวไปส่งตรงจุดที่เธอจอดมอเตอร์ไซค์ไว้ หมอหนุ่มก็เอ่ยปากถามเล่นๆ อย่างอารมณ์ดีผิดกับขาไปลิบลับเพราะอิ่มเรียบร้อย

“ถามจริง...เรียกเราว่าพี่มันกระดากปากมากเลยเหรอ?”

“ฉันคิดว่านายน่ะไม่เหมาะกับการเป็นพี่ชายหรอกหมอ อีกอย่าง...แก่กว่าฉันแค่ปีสองปี อยากจะให้เรียกให้ตัวเองดูแก่ขึ้นเรอะ”

“ไม่อ่ะ” ชายหนุ่มสั่นศีรษะพรืด “แล้ว...ทำไมเธอถึงเรียกผู้ชายคนนั้นว่าพี่ได้ล่ะ”

เขาหมายถึงตอนที่ชายหนุ่มอีกคนเอ่ยปากขอควงคนตรงหน้าตรงๆ นั่นแหละ

พริมานิ่งคิด ก่อนจะเอ่ย “พี่บาสน่ะเหรอ ก็เค้าอายุมากกว่าฉันจริงๆ นี่”

“เราก็มากกว่าเธอเหมือนกัน”

“วันนี้มาแปลกนะ เป็น’ไรป่ะเนี่ย” คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น เมื่อพิจารณาดูดวงหน้าของเพื่อนชายอย่างละเอียดเพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า “ดูเป็นปกติดีนี่หว่า...เกิด’ไรขึ้นล่ะ?”

“ไม่มีอะไรหรอก แค่สงสัยเฉยๆ ทีคนอื่นเรียกได้ ทีเราเรียกไม่ได้นะ”

“อ้าว...ก็คนอื่นไม่ใช่นายนี่นา”

“แล้วเราต่างจากเพื่อนคนอื่นของเธอตรงไหนล่ะ?”

คำถามตรงๆ นั้นทำเอาหัวใจดวงน้อยวูบลงไปนิดเดียว นิดเดียวจริงๆ ก่อนที่หญิงสาวจะตั้งตัวแล้วตอบเขาไปอย่างเป็นปกติ

“ก็เป็นเพื่อนสนิทไง ฉันไม่อยากเรียกเพื่อนที่ฉันสนิทให้มันมีพิธีรีตองอะไรมาก เข้าใจรึยัง!”

“เข้าใจแล้วคร้าบบบบ...” ใบหน้าคมกลับมายิ้มทะเล้นเมื่อได้คำตอบเป็นที่น่าพอใจ ก่อนจะเดินกลับขึ้นรถ ทิ้งหญิงสาวไว้ข้างมอเตอร์ไซค์ของเธอเอง แต่ก่อนที่เขาจะออกรถ พริมาก็รีบถามขึ้นมาก่อน

“เรื่องสร้อยเส้นนั้น...”

เธอหมายถึงสร้อยคอเล็กๆ รูปหัวใจดวงน้อยเกาะเกี่ยวกัน ฝังอัญมณีสีชมพูใสตรงหัวใจสองดวงที่อยู่ชิดกันแนบแน่น...เหมือนความรักของเขาและเธอคนนั้น...
สร้อยเส้นนั้นเธอเป็นคนช่วยเขาเลือกไปง้อนุชนาถเองเมื่อวันก่อน หลังจากได้ของ เอาหล่อนไปทิ้งไว้ในห้องตามเดิม เจ้าตัวก็แล่นออกไปหาแฟนสาวเร็วรี่ แล้วเงียบหายต๋อมไปเลย...

ส่งมาเพียงข้อความว่า ‘Thank you! ^^’

เท่านี้หล่อนก็พอเดาออกรางๆ แล้วว่านุชนาถคงคืนดีกับเขาเช่นเดิม อาจจะมีกระเง้ากระงอดบ้างเล็กน้อย แต่ก็...เป็นธรรมดาของผู้หญิงที่กำลังใช้สิทธิของความเป็นคนรักอยู่...

ภูธเรศยิ้มแป้น “ลืมเล่าไปเลย บอกได้แต่ว่านุชปลื้มมากกกกกก...” ชายหนุ่มลากเสียงยาวอย่างเป็นนัยให้อีกฝ่ายคิดเอาเองว่าปลื้มมากนี่...จะแสดงออกมาได้ขนาดไหน คนให้ถึงทำหน้าปลื้มแทนขนาดนั้น

“ก็วันนั้นเล่นไม่โทรกลับมาเลยนี่หว่า หายต๋อมไปเลย”

“ง้อสาวใครจะมีเวลาโทรหาคนอื่นเล่า...ถ้าเธอมีแฟนเดี๋ยวก็รู้เองแหละ ไปก่อนละนะ อีกไม่กี่ชั่วโมงนุชจะกลับจากสิงคโปร์แล้ว ต้องรีบไปแต่งตัวหล่อๆ ไปรับ...”
ชายหนุ่มปิดประโยคด้วยรอยยิ้มกริ่มทั้งสีหน้าและแววตา ประกายความสุขฉายชัดออกมาจากเจ้าตัวไม่ได้ทำให้คนที่ยืนฟังรู้สึกเป็นสุขไปด้วย...

...หล่อนกำลังซาบซึ้งกับคำว่า ‘คนอื่น’ ที่เขาเผลอหลุดออกมาในประโยคนั้น...

...รู้ว่าเขาไม่ได้หมายความว่าอะไรรุนแรง ไม่ได้แปลว่าหล่อนเป็นคนอื่นจริงๆ หรอก แต่...

...มันก็อดที่จะรู้สึกอะไรไม่ได้...จริงๆ นะ...

“เราไปก่อนนะ แล้วจะโทรไปหาละกัน ขับรถกลับหอดีๆ ล่ะ...เป็นห่วง”

รถเก๋งสีขาวนั้นออกวิ่งไปแล้ว ทิ้งไว้แต่เพียงรอยยิ้ม สีหน้า แววตาของคนที่เพิ่งบอกเป็นห่วงเธอหยกๆ เมื่อครู่

พริมาถอนหายใจเฮือก...ไม่ได้เข้าใจความรู้สึกตัวเองมากมายเท่าไหร่ หากแต่...


...เพื่อนกัน...อย่างน้อยก็ยังเป็นห่วงกันได้ล่ะนะ!

............................
สวัสดีค่ะ

ว้าว เราเจอนักศึกษาแพทย์แล้ว คุณ lovemuay นี่แหละที่จะกลายเป็นแหล่งข้อมูลให้ส้มต่อไป 555+ เรื่องนี้มีเกี่ยวกับวงการแพทย์บ้าง ยังไงก็ต้องขอความช่วยเหลือด้วยนะคะ ^^



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 พ.ย. 2555, 12:30:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 พ.ย. 2555, 01:59:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 2230





<< บทที่ 2 : เพื่อนสนิท [100%]    บทที่ 3 : ระหว่างคำว่า "เรา" >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account