ทะเลดอกไม้ไฟ
เมื่อเพื่อนรักสมัยเรียนอยู่ต่างประเทศ ซึ่งไม่ใช่บุคคลธรรมดาสามัญทั่วไป ทว่า มีฐานะเป็นถึงประธานองคมนตรี ที่ปรึกษาของมกุฏราชกุมารแห่ง
"นครรัฐออสเตคิน" ประเทศบนเกาะเล็กๆกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้เอ่ยปากเชื้อเชิญกึ่งบังคับให้วิศวกรหนุ่มไฟแรงอย่าง "ธรณ์" ให้เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาในโครงการออกแบบรายละเอียดเพื่อก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกแห่งแรกของประเทศ และต้องเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นั่นจนกว่างานจะเสร็จสิ้น โดยมีค่าตอบแทนมูลค่ามหาศาลกับชีวิตความเป็นอยู่ที่แสนสะดวกสบายมาเป็นข้อเสนอที่ยากปฏิเสธยิ่งนัก หากไม่มีเรื่องของความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศอันเป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนานบวกกับกระแสต่อต้านการโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่จำเป็นต้องรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่อนุรักษ์ศิลปกรรมในเมืองท่าทางตอนเหนือของประเทศที่ประชาชนในท้องถิ่นนั้นรักและหวงแหนยิ่งชีวิตต่างหากล่ะ ที่ทำให้ ธรณ์ ต้องกุมขมับ เมื่อจินตนาการว่าจะต้องไปพบเจอกับอะไรบ้าง ถ้าจะตัดสินใจรับทำงานใหญ่ระดับอภิมหาโปรเจคระดับประเทศชิ้นนี้ โดยหารู้ไม่ว่า สิ่งที่เขาจินตนาการเองนั้น ไม่อาจเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่แท้จริงของความไม่สงบที่เกิดขึ้น ณ ดินแดนซึ่งได้รับสมญานามจากนานาประเทศว่า ดินแดนแห่ง "ม่านหมอกและดอกไม้ไฟ" ดินแดนที่จะทำให้ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล...
Tags: ธรณ์ มีมี่ เนเนสต์ มาร์ลิค ทะเล ดอกไม้ไฟ จินตนิยาย

ตอน: ตอนที่ 7 ใกล้

ตอนที่ 7

หลังจากตระเวนเก็บภาพตามแนวชายหาดและบริเวณสะพานปลาที่ยื่นเข้าไปในทะเลจนเป็นที่พอใจแล้ว ธรณ์ก็กลับไปยังจุดนัดพบซึ่งได้ตกลงกับมาร์ลิคไว้ว่าจะกลับมาพบกันที่นี่ มองจากสายตาด้วยระยะไกลแล้ว บรรยากาศการทำงานอย่างเรียบง่ายของเจ้าชายอาร์กฟาก็ทำให้ชายหนุ่มนึกชื่นชมอยู่ในใจไม่น้อย พระองค์ถือกล้องส่องทางไกลกับแผนที่ภูมิประเทศไว้ในพระหัตถ์ โดยมีมาร์ลิคคอยเดินตามถวายงานอย่างใกล้ชิด รอบๆบริเวณก็มีราชองค์รักษ์ซึ่งมาทำหน้าที่ถวายการอารักขาเพียงไม่กี่คน ทุกอย่างดูเรียบง่ายไม่มีความเอิกเกริกจนเป็นจุดสนใจซึ่งถือว่าเป็นผลดีกับการทำงาน ช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว ประชาชนในละแวกนี้ก็ดูจะสนใจแต่เรื่องของตัวเอง ไม่ค่อยสนใจอะไรรอบตัวมากนักอย่างมากก็แค่เดินผ่านไปผ่านมาและชะเง้อมองด้วยความสงสัยเท่านั้น ในขณะที่เจ้าหญิงชารีด้า ก็อยู่ไม่ห่างจากพระคู่หมั้นเช่นกัน

ธรณ์เดินเตรดเตร่ไปรอบๆบริเวณนั้นไม่นานนัก มาร์ลิคก็พาเจ้าชายอาร์กฟากับเจ้าหญิงไปส่งที่รถยนต์ก่อนจะเดินกลับมาหาเขา

“เดี๋ยวเราจะขับรถไปตามเส้นทางที่อยู่ในโครงการขยายช่องจราจรจาก 4 ช่องทางเป็น 8 ช่องทาง แล้วก็แวะทานอาหารทะเลริมชายหาด ซึ่งคนของผมโทรไปจองไว้แล้ว ส่วนเจ้าชายอาร์กฟากับเจ้าหญิงซารีด้าก็คงเสด็จกลับไปพักผ่อนทีบาตูฮาน”

มาร์ลิคพูดทุกอย่างอย่างรวดเร็วแล้วเปิดประตูก้าวเข้าไปนั่งในรถยนต์ทันที ธรณ์จึงรีบตามเข้าไปและพยักกับซาฮินเป็นเชิงบอกให้ออกรถได้

“คุณดูเหนื่อยๆนะ”

ธรณ์เอ่ยขึ้นเมื่อรถยนต์เคลื่อนตัว ทว่า มาร์ลิคก็ยังก้มหน้าก้มตามองโน้ตบุ๊คบนตักราวกับไม่ได้ยินที่เขาพูดเลย

“มาร์ลิค คุณได้ยินที่ผมพูดกับคุณรึเปล่า”

“ว่าไงนะ”

มาร์ลิคเงยหน้ามามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะหันไปสนใจข้อมูลหน้าจออย่างมีสมาธิอีกครั้ง

“ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก”

ธรณ์หันหน้าไปมองนอกกระจกหน้าต่างรถยนต์พลางถอนใจเบาๆ ในใจกำลังนึกย้อนไปเมื่อสมัยเรียนปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกา ความจริง เขาเดินทางไปเรียนอยู่ที่นั่นตั้งแต่ระดับปริญญาตรีตามความต้องการของมารดาซึ่งหย่าขาดจากบิดาของเขาแล้วแต่งงานมีครอบครัวใหม่อยู่ที่นิวยอร์คตั้งแต่เขาอายุเพียง 15 ปี ในขณะที่บิดาก็มีครอบครัวใหม่และมีลูกสาวคนใหม่อีกสองคนอยู่ที่เชียงใหม่ ธรณ์มีโอกาสได้รู้จักกับมาร์ลิคอย่างจริงจังก็ตอนช่วงที่เริ่มเรียนปริญญาโท ทั้งสองเข้าร่วมแข่งขันโปโลน้ำในงานกีฬากระชับความสัมพันธ์ในมหาวิทยาลัยและเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงกับย้ายมาอาศัยห้องพักอยู่ร่วมกันตลอดสองปีที่เรียนปริญญาโท และช่วยเหลือเกื้อกูลกันในเกือบทุกๆเรื่อง สำหรับธรณ์ มาร์ลิคนั้นถือว่า ฉลาด มีไหวพริบดี และเรียกว่า หัวดี ก็คงไม่ผิดนัก มาร์ลิคเป็นคนเข้าใจอะไรได้ง่ายๆ เรียนรู้ทุกอย่างได้รวดเร็ว ในขณะที่ธรณ์อาจจะต้องทบทวนบทเรียนเกี่ยวกับเรื่องของการคิดวิเคราะห์หรือคำนวณหลายๆครั้งกว่าจะเข้าใจ แต่มาร์ลิคจะเข้าใจแบบทะลุปุโปร่งเพียงแค่ครั้งแรกเท่านั้น เพื่อนๆชาวต่างชาติหลายคนต่างพากันยกย่องและยอมรับในตัวมาร์ลิคด้านความเป็นอัจฉริยะ หากจะมีสิ่งใดที่ธรณ์พอจะเปรียบเทียบกับเพื่อนคนนี้ได้อย่างสูสีก็คงจะเป็นเรื่อง ผู้หญิง

ความมั่นใจในตัวเองบวกกับวัยที่กำลังคึกคะนองในช่วงเวลานั้น ทำให้ทั้งสองมองเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุกตามประสาเด็กหนุ่มวัยรุ่น หลายครั้งที่สองหนุ่มจะเล่นพนันจีบนักศึกษาสาวคนเดียวกัน เพื่อแข่งกันว่าใครจะชนะใจหญิงสาวได้ และต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกันด้วย ต่างฝ่ายต่างแข่งกันโปรยเสน่ห์ที่คิดว่าตนเองมีอยู่เต็มเปี่ยม แล้วก็ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะอยู่หลายครั้ง เพราะบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หรือเรียกว่ามีเสน่ห์กันคนละแบบนั่นเอง ในขณะที่มาร์ลิคมนุษยสัมพันธ์ดี เจ้าคารม และมีรอยยิ้มอยู่เสมอ เป็นที่ชื่นชอบของหญิงสาวหลายๆคนแม้หน้าตาจะไม่หล่อเหลาสะดุดตาผู้พบเห็น เท่ากับเพื่อนซี้อย่างธรณ์ ก็ตาม มาร์ลิครูปร่างสูงโปร่งและผิวคล้ำแดดผิดกับธรณ์ที่สีผิวขาวเหลืองแบบลูกชาวไทยเชื้อสายจีน เพียง แค่รูปลักษณ์ภายนอกทั้งรูปร่างหน้าตา และบุคลิกที่ดูนิ่ง สุขุม หากก็เปี่ยมไปด้วยความสุภาพ อ่อนโยนธรณ์ก็แทบไม่ต้องพยายามทำอะไรเลย เป็นฝ่ายหญิงด้วยซ้ำที่เป็นฝ่ายเข้ามาและสานความสัมพันธ์กับเขา ทว่า สิ่งที่ทั้งสองคนต้องตกอยู่ในสภาวะเดียวกันก็คือ หญิงสาวทั้งหลายที่เข้ามาในชีวิต ทุกคนล้วนแต่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีใครที่ให้ความรู้สึกว่าใช่หรือเป็นความรักที่แท้จริงสักครั้ง พวกเขาทั้งสองมักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นพวกอารมณ์อ่อนไหวง่ายเกินไป อยู่ใกล้ใครก็หวั่นไหวไปหมด จนกระทั่งกลับไปทำงานที่เมืองไทยหลังเรียนจบปริญญาโท ธรณ์ก็ไม่ได้คบหากับใครจริงจัง จนกระทั่งต้องเดินทางมาที่เกาะออสเตคินแห่งนี้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นความโชคดี ที่ยังไม่มีพันธะอะไรกับใคร การมาแบบตัวคนเดียวย่อมให้ความรู้สึกสบายใจมากกว่าอยู่แล้ว เป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่คิดถึงครั้งใดก็ทำให้ยิ้มได้เสมอ แต่มาร์ลิคที่เขาได้กลับพบอีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอกันเกือบสองปีนี่สิ ความร่าเริงของเขาถูกกลืนหายไปกับกาลเวลาหรือว่ามีเหตุผลอื่นใดนอกจากภาระหน้าที่ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่หรือเปล่า ธรณ์ก็ไม่สามารถคาดเดาได้จริงๆ




กลางพื้นพรมในห้องโถงใหญ่ในพระราชวังท่ามกลางอุณหภูมิเย็นจัดจากเครื่องปรับอากาศ หญิงสาวที่นั่งพับเพียบอยู่บนพื้นกลางห้องยังคงก้มหน้านิ่งเหมือนมีอาการประหม่าและทำตัวไม่ถูก จนกระทั่งเสียงบานพระทวารถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา ก็ทำให้ถึงกับสะดุ้ง

“ปลดผ้าของเธอออกซะสิ มัวแต่นั่งทำอะไรอยู่”

สุรเสียงรับสั่งราบเรียบของเจ้าชายฟารินอสปราศจากความรู้สึกใดๆ เมื่อเสด็จมาประทับประจำที่ของพระองค์ ซึ่งมีอุปกรณ์วาดภาพเตรียมไว้รออยู่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นสีประเภทต่างๆ ดินสอ พู่กัน ขาตั้ง กระดานและกระดาษวาดภาพ รวมไปถึงถ้วยกาแฟเตอร์กิชคอฟฟี่ที่ควันลอยกรุ่นวางอยู่ด้วย

“หม่อมฉันขอนั่งหันหลังได้หรือไม่เพคะ”

หญิงสาวก้มหน้าพูดเสียงสั่นแบบกล้าๆกลัวๆ ทั้งที่พอจะรู้อยู่แล้ว ว่าสิ่งที่ขอไปคงไม่เป็นผล แต่ก็คงดีกว่าไม่ได้ลองทำดู

“หยุดต่อรอง และปลดผ้าของเธอออกเดี๋ยวนี้ นี่เป็นคำสั่ง”

แววพระเนตรเย็นเยียบของพระองค์ ส่งผลให้หญิงสาวรีบปลดผ้าสีขาวที่ห่อคลุมร่างเปลือยเปล่าของตนเองอย่างไม่มีท่าทีอิดออดหรือลังเลใดๆอีก เพราะก่อนจะเข้ามา ก็มีผู้เตือนด้วยความหวังดีแล้วว่า อย่าทำให้เจ้าชายรัชทายาททรงกริ้วหรือไม่พอพระทัยเป็นครั้งที่ 3 เป็นอันขาด ไม่อย่างนั้น ผลที่ได้รับอาจจะร้ายแรงเกินกว่าที่คาดคิด และเธอก็ได้สัมผัสด้วยตัวเองแล้วว่า คำร่ำลือที่พูดกันปากต่อปากว่าเจ้าชายรัชทายาทนั้นมีบุคลิกเยือกเย็นอย่างน่าเกรงขามที่สุด หญิงสาวรู้สึกได้ว่าพระองค์สามารถทำให้อุณหภูมิรอบกายที่เย็นเฉียบอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มความหนาวเหน็บขึ้นได้อีกอย่างน่าประหลาด

เจ้าชายฟารินอสทอดพระเนตรร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาวที่มาเป็นแบบสำหรับวาดภาพในวันนี้อย่างพอพระทัย พระองค์มีความสนใจในศิลปะและจิตรกรรมตั้งแต่เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ และโปรดการวาดภาพเปลือยของหญิงสาวในยามที่ต้องการผ่อนคลายความเครียดจากการทรงงานมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว และหญิงสาวที่จะมาเป็นแบบภาพวาดฝีพระหัตถ์ จะทรงคัดเลือกด้วยพระองค์เองจากภาพถ่ายที่ข้าหลวงคนสนิทนำมาเสนอให้ ซึ่งในหนึ่งเดือนจะมีรับสั่งให้เรียกหญิงสาวจากที่ทรงคัดเลือกเข้ามาในพระราชวัง ประมาณ 2-3 ครั้ง แล้วจะใช้เวลาอยู่กับงานอดิเรกที่ทรงโปรดปรานนี้โดยห้ามมีผู้ใดรบกวนทั้งสิ้น เงื่อนไขสำคัญของการคัดเลือกหญิงสาวมาเป็นแบบวาดภาพให้เจ้าชายฟารินอสก็คือ หญิงสาวผู้นั้นต้องไม่ใช่หญิงสาวมุสลิมเด็ดขาด

“เธอก้มหน้ามากเกินไป นั่งตัวตรง แล้วเงยหน้าขึ้นหน่อย”

รับสั่งพร้อมกับเสด็จเข้าไปทอดพระเนตรนางแบบของพระองค์แบบใกล้ชิด ทำเอาหญิงสาวหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย

“อย่าทำให้เราโมโห เรารู้ว่าเธออาจจะอาย หรือ ไม่คุ้นเคยกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ แต่สิ่งนี้เป็นงานและหน้าที่ ที่เธอต้องรับผิดชอบให้ดีที่สุดจนกว่ามันจะเสร็จสิ้นลง”

“เพคะ ฝ่าบาท”

หญิงสาวรับคำเสียงหนักแน่น และยืดตัว เงยหน้าขึ้น ด้วยแววตามั่นใจผิดกับเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคน




มีมี่ตวัดสายตามองนาฬิกาที่ผนังอย่างเป็นกังวล อีกประมาณ 15 นาที พิพิธภัณฑ์จะต้องปิดทำการแล้ว ทว่าผู้ทำหน้าที่ภัณฑารักษ์ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา เนเนสต์ฝากให้เธอช่วยทำหน้าที่ดูแลพิพิธภัณฑ์แทนตั้งแต่ก่อนเที่ยงเพราะต้องพาครูและเด็กนักเรียนมัธยมต้นกลุ่มหนึ่งจากต่างเมืองซึ่งมาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์กับหอสมุดไปรับประทานอาหารมื้อกลางวัน และอาจต้องนำเที่ยวในสถานที่สำคัญแห่งอื่นอีกด้วย มีมี่คิดว่าเนเนสต์น่าจะกลับมาทันก่อนพิพิธภัณฑ์ปิดทำการ แต่รอมาถึงตอนนี้ เธอคงต้องปิดประตูพิพิธภัณฑ์และเดินทางกลับไปที่พักตามลำพังคนเดียวเป็นแน่ ไม่ได้กลัวหรือไปไหนมาไหนคนเดียวไม่ได้ เพียงแต่เธอกำลังเป็นห่วงและกังวลมากกว่าว่าป่านนี้เนเนสต์อยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่ ทว่า พอได้เวลาที่มีมี่จะต้องไปปิดประตูหน้าต่างเตรียมตัวกลับ ร่างอันคุ้นตาของเนเนสต์ก็เดินเข้ามาพร้อมใบหน้าบึ้งตึงราวกับไปโกรธใครมา

“เนเนสต์ คุณหายไปนานจัง คิดว่าจะกลับมาไม่ทันปิดพิพิธภัณฑ์แล้วซะอีก”

มีมี่เดินเข้าไปแตะแขนหญิงสาวด้วยท่าทางดีใจ

“พอดีฉันแวะไปคุยเรื่องความคืบหน้าของกฏหมายอนุรักษ์ศิลปกรรมที่จะมีการปรับปรุงใหม่กับศาสตราจารย์อูเกอร์ที่บ้านพักมาน่ะ คุยติดพันนานไปหน่อยเลยกลับมาช้า ขอโทษจริงๆนะที่ปล่อยให้มีมี่ต้องอยู่คนเดียว”

เห็นสีหน้ารู้สึกผิดของคนพูดแล้วมีมี่ก็แอบอมยิ้ม

“โธ่ ฉันน่ะอยู่คนเดียวได้สบายมาก เพียงแต่ฉันเป็นห่วงเนเนสต์ที่หายไปนาน กลัวว่าจะไปมีเรื่องอะไรหรือมีอุบัติเหตุอะไรเข้ามากกว่าน่ะสิ กลับมาก็ดีแล้วจะได้กลับบ้านพร้อมกัน”

เนเนสต์ยิ้มตอบคำพูดของมีมี่แล้วก็ช่วยกันเก็บของปิดหน้าต่างกับประตูพิพิธภัณฑ์ก่อนจะส่งต่อหน้าที่ดูแลสถานที่แห่งนี้ให้กับพนักงานรักษาความปลอดภัยแล้วเดินเคียงข้างกันไปตามทางเท้าซึ่งมีผู้คนค่อนข้างพลุกพล่านเพราะเป็นเวลาเลิกงานและเลิกเรียนพอดี

“คืนนี้ชายหาดฝั่งทิศใต้มีงานฉลองฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชไร่ประจำปีของกลุ่มเกษตรกร อยากลองไปเที่ยวดูบ้างมั้ย มีอะไรน่าสนใจเยอะแยะเลยนะ ปีนี้ถึงคิวเมืองเราเป็นเจ้าภาพจัดงานพอดี เลยไม่ต้องเดินทางไกลไปเมืองอื่น งานนี้มีการจัดแบบเวียนกันไปทุกเมืองในแต่ละปีน่ะ”

มีมี่รีบพยักหน้าตอบรับตั้งแต่เนเนสต์ยังพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำ ดวงตาสีดำสนิทที่โผล่พ้นผ้าคลุมออกมา ฉายแววความตื่นเต้นดีใจออกมาอย่างชัดเจน

“ไปสิ ฉันอยากไปมากเลย ได้ยินคนที่เข้ามาในพิพิธภัณฑ์เมื่อบ่ายพูดถึงงานนี้อยู่เหมือนกัน รู้สึกว่าช่วงการคืนจะมีการละเล่นพื้นเมืองให้ชมด้วยใช่มั้ย”

เนเนสต์พยักหน้ายิ้มๆ และพามีมี่ไปขึ้นรถโดยสารประจำทางเพื่อเดินทางไปยังชายหาดด้านทิศใต้ ซึ่งเริ่มมีการจัดงานรื่นเริงของกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศมาหลายวันแล้ว

แสงไฟหลากสีตามเสาซึ่งประดับประดาอยู่ริมทางเดินเข้าไปในงานฉลองฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตประจำปี เป็นสิ่งที่สะดุดตามีมี่ตั้งแต่ก้าวลงมาจากรถโดยสาร ทั้งที่ถูกพามาแต่เธอกลับเป็นฝ่ายจับจูงมือของเนเนสต์เดินนำเข้าไปในงานซะเอง

“ใจเย็นๆ เดินช้าๆ ก็ได้มีมี่ คนเยอะขนาดนี้ ยิ่งรีบก็ยิ่งเบียดกับคนอื่นให้หงุดหงิดเปล่าๆ”

เนเนสต์ด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนักขณะเดินตามมีมี่เข้าไปกับฝูงชน

“แต่ฉันว่า เนเนสต์ดูหงุดหงิดตั้งแต่กลับมาถึงพิพิธภัณฑ์แล้วนะ รู้ตัวรึเปล่าว่าทำหน้าบึ้งมาก ตอนนี้ก็ยังดูเหมือนไปโกรธใครมายังไม่หายเลย”

มีมี่พูดออกไปตรงๆตามที่นึกสงสัยมาตลอดทาง แต่ก็ไม่ได้คิดอยากจะได้คำตอบอะไรมากมายนัก ซึ่งเนเนสต์เองก็ไม่ค่อยอยากพูดถึงแต่แรกอยู่แล้ว

“ไม่มีอะไรหรอก เรื่องไร้สาระ อย่าพูดถึงมันอีกเลย ไปดูเวทีการแสดงชูฮูกันดีกว่า วันนี้จะแสดงเรื่องอะไรนะ อยากรู้จัง”

“ชูฮู? คืออะไรเหรอ”

มีมี่ย้อนถามอย่างงงๆ และก็ทำให้เนเนสต์ต้องตอบกลับมาอย่างงุนงงไม่แพ้กัน

“โห มีมี่ คงโตมาในเมืองหลวงแล้วก็ไม่เคยรู้จักการแสดงพื้นเมืองของที่อื่นเลยสินะ”

มีมี่หลบสายตาวูบ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะกำลังรู้สึกว่าตนเองเกือบพลาดไปแล้ว โชคดีที่เนเนสต์ไม่สงสัยหรือระแคะระคายอะไรไปมากกว่านี้

“ชูฮู ก็คือการเล่นละครล้อเลียน เชิงเสียดสี บทละครหรือเรื่องราวดังๆ ทั้งหลายไง คล้ายๆเป็นการแสดงตลกนั่นแหละ โดยเอาเนื้อเรื่องที่แท้จริงมาดัดแปลงนั่นแหละ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว สนุกดีนะ ฉันชอบตรงที่มันไม่ได้ดัดแปลงมากเกินไปจนจำเรื่องเดิมไม่ได้ เพียงแต่ใส่ความตลกมากไปหน่อยเท่านั้น”

“น่าสนใจมากเลย ฉันชักอยากดูแล้วสิ เราไปที่หน้าเวทีกันเถอะ”

คราวนี้เนเนสต์เป็นฝ่ายจูงมือนำทางมีมี่ไปบ้าง ตั้งแต่เดินเข้ามาทั้งสองก็เป็นเป้าสายตาของผู้คนที่พากันหันมามองและพูดจาซุบซิบกันกับการแต่งกายบวกกับท่าทางประหลาดๆของมีมี่ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรอยู่แล้ว เพราะเคยชินกับความรู้สึกแบบนี้มานาน ทว่า คนที่มาด้วยกัน จะคิดอะไรอยู่เธอก็ไม่แน่ใจ

“คนมองเราเต็มเลย ฉันทำให้เนเนสต์อึดอัดหรือลำบากใจรึเปล่า”

“คิดมากน่า ใครอยากมองก็มองไปสิ ฉันไม่สนใจหรอก”

เนเนสต์ตอบอย่างไม่ใส่ใจ ซึ่งก็ทำให้มีมี่รู้สึกใจชึ้นขึ้นมาก ทั้งสองแวะซื้อชาลูกเกดใส่น้ำแข็งที่บรรจุในแก้วทำจากกระเบื้องเคลือบทรงสูงแบบมีฝาปิดก่อนจะเดินไปยังบริเวณหน้าเวทีที่กำลังจะมีการแสดงชื่อว่า ชูฮู เป็นการแสดงละครตลก ซึ่งถือเป็นการแสดงพื้นเมืองของไซเบิ้ล ที่มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศมาตั้งแต่สมัยโบราณ

“รู้สึกว่า วันนี้จะเป็นการแสดงล้อเลียนเรื่อง พ่อมดมหัศจรรย์แห่งออซ ได้ยินคนดูพูดคุยกัน ท่าทางจะสนุก”

เนเนสต์บอกกับมีมี่เบาๆ เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ยาวแบบไม่มีพนักที่วางเรียงอยู่หน้าเวที

“เรื่องนี้ฉันเคยอ่านหนังสือมาก่อน แล้วก็ยังพอจำเรื่องราวได้บ้าง ดีจังเลย ฉันก็อยากจะรู้ว่าจะสนุกหรือตลกยังไง”

ภาพของหญิงสาวสองคนที่นั่งเคียงข้างกันบนม้านั่งยาวด้านหน้าเวทีการแสดง แม้จะนั่งหันหลังอยู่ในความมืดก็ไม่อาจเล็ดลอดจากสายตาคมของชายหนุ่มต่างแดนที่จับตามองทั้งสองมาตลอดตั้งแต่ลงจากรถโดยสารมาแล้ว นับว่าเป็นความบังเอิญอย่างยิ่งที่ระหว่างเดินทางกลับ รถยนต์ของเขาขับตามหลังรถโดยสารซึ่งมาหยุดจอดหน้างานพอดี ธรณ์จึงรีบเอ่ยชวนมาร์ลิคให้ลงมาเดินเที่ยวในงานด้วยกัน แต่มาร์ลิคก็ปฏิเสธโดยอ้างว่าเหนื่อยและอยากกลับไปพักผ่อน เขาจึงตัดสินใจลงจากรถมาคนเดียว และเดินตามทั้งสองสาวมาห่างๆ จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าเวทีมหรสพกลางงาน ซึ่งการแสดงกำลังจะเริ่มขึ้นพอดี

เสียงปรบมือสลับกับเสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะๆ เรียกความสนใจจากผู้คนที่เดินไปมาให้มาหยุดยืนดูการแสดง ชูฮู จนผู้คนเริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาธรณ์ต้องหงุดหงิดไม่น้อย ที่ต้องคอยขยับเปลี่ยนที่ยืนเพื่อคอยมองหญิงสาวทั้งสองไม่ให้คลาดสายตา ทว่า ยิ่งระวังก็ยิ่งไม่เป็นผล เมื่ออยู่ดีๆก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีลูกชายวัยสองขวบขี่คออยู่เดินมาหยุดตรงหน้าเขาและบดบังทุกสิ่งทุกอย่างจนแทบมองไม่เห็นอะไรเลย ธรณ์ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ และขยับเดินหนีจากจุดนั้น ทว่าเมื่อพยายามมองไปที่เดิมที่สองสาวนั่งอยู่ก็พบว่าที่นั่งตรงนั้นกลายเป็นเด็กผู้ชายสามคนมานั่งแทนที่ซะแล้ว

“หายไปไหนกันเร็วจัง”

ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองอย่างสงสัย แล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจากเดินออกตามหาหญิงสาวทั้งสองไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย ไม่กี่นาทีต่อมา การแสดงก็จบลง ยิ่งผู้คนทยอยสลายตัวออกไปจากบริเวณนั้น ธรณ์ก็ยิ่งไม่มีหวังในการพบเจอกับเนเนสต์และมีมี่อีกเลย ผู้คนมากมายเดินปะปนกันไปมาจนน่าเวียนหัว เขาเลยเดินหันหลังออกไปตามทางที่พาไปสู่ชายหาดแทนการตามหาหญิงสาวสองคนนั้นอีก ทะเลในยามกลางคืนที่ปกติจะเงียบสงบ วันนี้กลับเต็มไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่เดินเคียงข้างกันเป็นคู่ๆ ธรณ์หยิบโทรศัพท์มาส่งข้อความบอกซาฮินว่าไม่ต้องมารับ คืนนี้จะกลับบ้านพักเอง แล้วก็ทิ้งตัวนั่งลงบนหาดทราย สายตาเหม่อมองไปในท้องทะเลสีดำกับเสียงคลื่นซัดสาด คล้ายอยากจะผ่อนคลายความรู้สึกต่างๆ ที่พบเจอมาให้จิตใจได้พบกับความสงบบ้าง

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ธรณ์นั่งอยู่อย่างนั้น หากไม่รู้สึกว่าเงาร่างผู้หญิงที่เดินผ่านหน้าไปในระยะสายตาช่างดูคุ้นตาเหลือเกิน เขาคงไม่รีบลุกพรวดพราดตรงไปยังทิศทางนั้นอย่างแน่นอน

“เนเนสต์ !!”

เขาเรียกชื่อพร้อมกับยื่นมือไปคว้าต้นแขนของหญิงสาว ทว่า เมื่อหญิงสาวหันหน้ามากลับกลายเป็นคนที่เขาไม่รู้จักและกำลังจ้องมองเขาอย่างเอาเรื่อง

“ขอโทษครับ”

ธรณ์รีบปล่อยมือและก้มหัวนิดๆ เป็นการขอโทษอย่างสุภาพ หญิงสาวคนนั้นไม่พูดอะไร แต่กวาดตามองชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วรีบเดินหนีไปทันที

ธรณ์ถอนใจยาวอย่างนึกขำในสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ เขาตอบตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามาอยู่ตรงนี้และทำอะไรแบบนี้ไปทำไม เพื่ออะไร พอก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วก็ตัดสินใจเดินเลาะถนนเลียบชายหาดไปที่ป้ายรถโดยสารประจำทาง และในช่วงเวลานั้นเอง สายตาของเขาก็มองไปเห็นร่างที่เดินงุ่มง่ามเหมือนคนหลังค่อมของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังก้าวขึ้นบันไดรถโทรลลี่บัสสีเหลืองที่มาจอดรอ ชายหนุ่มจึงรีบเดินเข้าไปหาเธอและช่วยประคองร่างนั้นขึ้นบันไดไปด้วยกัน

“ขอบใจมากนะจ๊ะ ที่ช่วยฉัน”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาบอก ทว่า ทันทีที่ได้เห็นว่าชายหนุ่มที่มาช่วยพยุงเธอขึ้นมาบนรถเป็นใคร ดวงตากลมโตก็เบิกกว้างและพยายามจะสลัดเขาออกไปให้พ้นตัวทันที

“ไม่เป็นไรครับ รีบไปหาที่นั่งเถอะ มัวแต่ยืนอยู่อย่างนี้ขวางทางคนอื่นนะ”

ธรณ์ตอบโดยไม่สนใจกับท่าทีของหญิงสาวเลยสักนิด มือทั้งสองของเขายังคงประคองไหล่เธอไว้ไม่ยอมปล่อย แม้ว่าเธอจะนั่งลงบนเบาะนั่งที่วางอยู่แล้วก็ตาม

“ฉันขอบคุณคุณแล้ว คุณก็ไปหาที่นั่งของคุณสิ จะมายืนตรงนี้ทำไม”

มีมี่พูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ แววตาของหญิงสาวเป็นประกายกร้าวขึ้นมาอีกครั้ง

“ไม่เห็นเหรอว่า ที่นั่งเต็มหมดแล้ว เหลือแต่ที่ยืน แล้วผมก็มีสิทธิ์จะยืนตรงไหนก็ได้บนรถคันนี้”

ธรณ์บอกอย่างนึกสนุก โดยไม่ทันระมัดระวังอะไร ทันทีที่เขาพูดจบรถบัสที่เพิ่งออกตัวจากป้ายมาไม่นานก็เหยียบเบรคกระทันหัน ทำเอาหลายคนที่ยืนอยู่พากันเสียหลัก และชายแก่ที่ยืนอยู่ข้างๆก็เซถลามาชนร่างสูงของชายหนุ่มที่ไม่ทันได้ตั้งหลัก และทำให้เขาเกือบจะล้มใส่หญิงสาวทั้งตัว โชคดีที่ยังยืดหลังพนักเบาะนั่งเอาไว้ได้ แต่มันก็ทำให้ใบหน้าของเขาแทบจะชิดกับใบหน้าของเธออย่างไม่ตั้งใจ มีมี่ใช้มือผลักเขาให้ห่างออกไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก

“ผมขอโทษ รถมันเบรคพอดีน่ะ”

ธรณ์บอกเสียงเบา ถ้าไม่ได้คิดไปเอง เขาเห็นแววตาวูบไหวของเธอ แม้จะแค่เสี้ยววินาทีก็ตาม ยิ่งเธอก้มหน้าในขณะที่เขายืนอยู่ตรงนี้ก็ยิ่งมองเห็นขนตางอนยาวของเธอได้ชัดเจนมากขึ้นกลิ่นหอมจางๆจากความชิดใกล้เมื่อครู่ยังคงติดอยู่ในความรู้สึก สำหรับเขา เธอเป็นหญิงสาวที่มีดวงตาสวยหวานเย้ายวนให้อยากเปิดดวงตาอีกข้าง กับใบหน้าที่แท้จริงยิ่งนัก ยิ่งเคยสบตาคู่นี้มาแล้วครั้งหนึ่งมันก็ยิ่งกระตุ้นให้เขาอยากกระชากผ้าคลุมของเธอออกมาให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ต้องอดทนไว้ เพราะอยู่ในสถานที่ที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

รถโดยสารยังคงแล่นไปเรื่อยๆ มีมี่นึกโมโหตัวเองที่พลัดหลงกับเนเนสต์แล้วทำให้ต้องมาเจอกับธรณ์ในสถานการณ์แบบนี้ เพราะตกลงกันไว้ว่าถ้าหลงกันเมื่อไหร่จะกลับไปเจอกันที่บ้านให้เร็วที่สุด ทำให้เธอรีบร้อนมารอขึ้นรถโดยสาร และด้วยความรู้สึกหวาดระแวงว่าเขาจะติดตามเธอลงลดไปและอาจจะทำอะไรที่เธอไม่สามารถคาดเดาความคิดได้ มีมี่จึงตัดสินใจว่าจะรอจนกว่าชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายลงจากรถไปก่อน ซึ่งถ้าตรงนั้นเลยจากป้ายที่เธอจะลง เธอก็จะนั่งรถย้อนกลับไป เพราะกว่ารถจะหมดก็เที่ยงคืน และนี่ก็เพิ่งจะสามทุ่มเท่านั้น หญิงสาวหารู้ไม่ว่า ชายหนุ่มเองก็กำลังมีความคิดว่าเขาจะไม่ลงจากรถเด็ดขาด ไม่ว่าจะเลยทางเข้าบ้านหรือไม่ก็ตาม เขาจะติดตามเธอไปทุกหนแห่ง ไม่ว่าสถานที่แห่งนั้นจะเป็นที่ไหนก็ตาม ผู้โดยสารบนรถ เริ่มทยอยลงไปเรื่อยๆ รวมทั้งคนที่นั่งอยู่เบาะถัดไปด้านในจากมีมี่ด้วย

“เขยิบเข้าไปสิ ผมจะได้นั่งบ้าง ยืนจนเมื่อยแล้วนะ”

น้ำเสียงคล้ายออกคำสั่งของธรณ์ ทำให้หญิงสาวถึงกับเงยหน้าขึ้นมามองเขาอย่างไม่พอใจ

“ยังไม่ถึงป้ายที่คุณจะลงอีกเหรอ นี่ก็เกือบจะสุดทางแล้วนะ”

“ยัง”

ธรณ์ตอบเพียงแค่นั้น แล้วก็ยกมือกอดอกเอนศีรษะพิงกับพนักด้วยท่าทางสบายอารมณ์ ในขณะที่มีมี่ก็กำลังกังวลอย่างหนัก ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่ใช้วิธีนี้แล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องทำจนได้

“คุณ ช่วยหันมามองทางนี้หน่อยได้มั้ย”

หญิงสาวเอ่ยเป็นเชิงขอร้อง ในขณะที่ธรณ์ก็ยอมหันไปมองเธอแต่โดยดีแม้จะรู้สึกงงๆอยู่บ้างก็ตาม และทันทีที่หันไปมองสบสายตาคมโดยไม่ระแคะระคายว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง มีมี่ก็ลอบยิ้มที่มุมปากอย่างผู้ชนะในเกมครั้งนี้

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….


จบตอนที่ 7


คุณหมีสีชมพู ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ ^_________^

พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ



TheMoonsea
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 พ.ย. 2555, 01:06:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 พ.ย. 2555, 01:06:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 1256





<< ตอนที่ 6 ความขัดแย้ง   
หมีสีชมพู 26 พ.ย. 2555, 05:07:15 น.
มีมี่ทำอะไรธรณ์อ่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account