ทะเลดอกไม้ไฟ
เมื่อเพื่อนรักสมัยเรียนอยู่ต่างประเทศ ซึ่งไม่ใช่บุคคลธรรมดาสามัญทั่วไป ทว่า มีฐานะเป็นถึงประธานองคมนตรี ที่ปรึกษาของมกุฏราชกุมารแห่ง
"นครรัฐออสเตคิน" ประเทศบนเกาะเล็กๆกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้เอ่ยปากเชื้อเชิญกึ่งบังคับให้วิศวกรหนุ่มไฟแรงอย่าง "ธรณ์" ให้เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาในโครงการออกแบบรายละเอียดเพื่อก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกแห่งแรกของประเทศ และต้องเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นั่นจนกว่างานจะเสร็จสิ้น โดยมีค่าตอบแทนมูลค่ามหาศาลกับชีวิตความเป็นอยู่ที่แสนสะดวกสบายมาเป็นข้อเสนอที่ยากปฏิเสธยิ่งนัก หากไม่มีเรื่องของความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศอันเป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนานบวกกับกระแสต่อต้านการโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่จำเป็นต้องรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่อนุรักษ์ศิลปกรรมในเมืองท่าทางตอนเหนือของประเทศที่ประชาชนในท้องถิ่นนั้นรักและหวงแหนยิ่งชีวิตต่างหากล่ะ ที่ทำให้ ธรณ์ ต้องกุมขมับ เมื่อจินตนาการว่าจะต้องไปพบเจอกับอะไรบ้าง ถ้าจะตัดสินใจรับทำงานใหญ่ระดับอภิมหาโปรเจคระดับประเทศชิ้นนี้ โดยหารู้ไม่ว่า สิ่งที่เขาจินตนาการเองนั้น ไม่อาจเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่แท้จริงของความไม่สงบที่เกิดขึ้น ณ ดินแดนซึ่งได้รับสมญานามจากนานาประเทศว่า ดินแดนแห่ง "ม่านหมอกและดอกไม้ไฟ" ดินแดนที่จะทำให้ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล...
Tags: ธรณ์ มีมี่ เนเนสต์ มาร์ลิค ทะเล ดอกไม้ไฟ จินตนิยาย

ตอน: ตอนที่ 6 ความขัดแย้ง

ตอนที่ 6

กลิ่นหวานอมเปรี้ยวของดอกไม้สีขาวตระกูลส้มหอมฟุ้งกระจายอยู่ภายในห้องนอนสี่เหลี่ยมเล็กๆที่ดูเรียบง่าย ในขณะที่เจ้าของห้อง ก็กำลังยืนตัวตรงอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ที่ติดผนังด้านหนึ่ง พร้อมกับใช้หวีซึ่งทำจากไม้หวีผมตรงยาวสีดำขลับอย่างเหม่อลอย ภาพสะท้อนในกระจกเงาปรากฏเป็นร่างบอบบางสูงโปร่งของหญิงสาวผู้มีนัยน์ตาคมลึกสีดำสนิทนั้นให้ความรู้สึกราวกับมองลงไปในมหาสมุทรที่ลึกจนหยั่งไม่ถึง ภาพความทรงจำตอนอยู่ชายหาดเมื่อช่วงเย็นยังคงชัดเจนอยู่ในความคิดคำนึง ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนกล้าทำกับเธอได้เหมือนที่ชายหนุ่มชาวไทยคนนั้นกล้าทำ และที่สำคัญที่สุด ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนได้ใกล้ชิดเธอถึงขนาดนี้มาก่อนเลย ใบหน้าคมสันกับสายตาคมกริบรับกับคิ้วหน้าเข้มแบบไทยแท้ของเขา ยังคงตามมาหลอกหลอนอย่างไม่สามารถห้ามความคิดตนเองได้ และถ้าตอนนั้นไม่มีเสียงโทรศัพท์มาขัดจังหวะได้ถูกเวลาพอดิบพอดี สิ่งที่เธอพยายามทำมาตลอดก็อาจจะสูญเปล่า… เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น มีมี่สะดุ้งนิดๆแล้วรีบวางหวีไว้บนโต๊ะหน้ากระจกเงา คว้าผ้าคลุมสีดำมาคลุมศีรษะและใบหน้าจนมองเห็นเพียงลูกตาข้างเดียวดังเดิมก่อนจะเดินไปเปิดประตู

“จะนอนหรือยัง พี่เดยันให้ฉันมาชวนคุณไปดื่มน้ำชาด้วยกันน่ะ วันนี้พี่ชายของฉันอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะงานต่างๆดูจะคืบหน้าไปมาก”

เนเนสต์เอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงสดใส ทันทีที่มีมี่เปิดประตูออกมา

“ไปสิจ๊ะ ฉันยังไม่รีบนอนหรอก”

ตอบและหันหลังกลับไปหยิบขลุ่ยไอริชสีเงินมาถือและเดินตามเนเนสต์ออกไปยังระเบียงชั้นสามของบ้าน ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหญ่ของคาจาร์ ซึ่งเป็นตึกทาสีส้มสามชั้น มีมี่ก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้พบกับผู้เป็นเจ้าของบ้านเลยสักครั้ง ทราบแต่เพียงว่า บ้านหลังนี้เป็นทั้งบ้านและสำนักงานของกลุ่มสมัชชาฯที่เพิ่งสร้างขึ้นมาเพียง 2 ปี ชั้นบนสุดหรือชั้นสามจะเป็นห้องนอนของผู้ที่คาจาร์ให้การอุปการะ ซึ่งนอกจากเดยันกับเนเนสต์แล้วก็ยังมีเจ้าหน้าที่สมัชชาฯบางส่วนรวมทั้งตัวเธอที่มาอาศัยอยู่ ส่วนชั้นสองเป็นห้องโถงสำหรับพักผ่อนอยู่ตรงกลาง โดยมีห้องประชุมกับห้องสมุดขนาบข้าง และชั้นล่างสุดก็แบ่งเป็นส่วนต้อนรับผู้มาติดต่อ ห้องครัว ห้องอาหารและห้องพักของคนงานทำความสะอาดกับพ่อครัว มีมี่เคยทราบจากเนเนสต์ว่า คาจาร์เองก็มีบ้านส่วนตัวของเขาอีกหลัง ซึ่งน้อยคนจะรู้ว่าอยู่ที่ไหน เพราะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก นานๆครั้ง ถึงจะมาพักที่บ้านหลังนี้

“เชิญนั่งตามสบาย”

เดยันลุกขึ้นยืนและกล่าวเป็นเชิงทักทายเมื่อเนเนสต์พามีมี่มาถึง

“ขอบคุณค่ะ ตรงนี้ บรรยากาศดีจังเลยนะคะ”

มีมี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มขณะเดินมองไปรอบๆระเบียงที่เป็นมุขยื่นออกมาจากตัวตึก สายลมทะเลพัดมาปะทะใบหน้าเบาๆ ชวนให้รู้สึกสดชื่น

“มุมโปรดของพี่เดยันเลยล่ะ วันไหนไม่มานั่งเล่นตรงนี้ก่อน แทบนอนไม่หลับกันเลย”

เนเนสต์พูดพลางรินน้ำชาใส่ถ้วยกระเบื้องเคลือบสีขาวขุ่นให้กับมีมี่

“ช่วงเทศกาลทะเลดอกไม้ไฟ มุมนี้ จะมองเห็นดอกไม้ไฟได้ชัดเจนมาก ในวันที่ไม่ได้ไปเที่ยวที่งาน ผมก็มาอาศัยชมความงามของดอกไม้ไฟตรงนี้แหละ”

มีมี่ได้ยินที่เดยันพูดก็หันหลังเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ และบอกด้วยแววตาเป็นประกาย

“ปีนี้คงเป็นปีแรกที่ฉันจะได้มีโอกาสเห็นทะเลดอกไม้ไฟแห่งไซเบิ้ลสักครั้งในชีวิต”

“มีมี่ยังไม่เคยเที่ยวงานทะเลดอกไม้ไฟมาก่อนเลยเหรอ”

เนเนสต์ถามกลับอย่างแปลกใจ มีมี่สายหน้าช้าๆ แววตาดูหม่นแสงลงเล็กน้อย

“ไม่เคยหรอกจ้ะ แค่เอาตัวเองให้รอดในแต่ละวันที่บาตูฮานยังยากเลย แล้วจะมีปัญญาที่ไหนมาเที่ยวงานเทศกาลอะไรแบบนี้”

“อะไรที่มันเป็นอดีตไปแล้วก็ลืมๆมันไปเถอะ ตอนนี้คุณก็มาเป็นพวกเดียวกับเรา เป็นหนึ่งในครอบครัวของเราแล้ว ชีวิตของคุณจะไม่มีทางกลับไปตกระกำลำบากเหมือนเดิมอีกแน่นอน พี่ว่าเรามาวางแผนการส่งดอกไม้ไฟเข้าร่วมประกวดปีนี้กันดีมั้ย”

ประโยคสุดท้าย เดยันหันไปถามน้องสาว หากคนที่ให้ความสนใจมากกว่ากลับเป็นคนที่ไม่เคยสัมผัสกับงานเทศกาลที่มีชื่อเสียงมายาวนานสักครั้ง

“ส่งดอกไม้ไฟเข้าร่วมประกวดเหรอคะ น่าสนุกจัง งั้นก็แสดงว่าคุณสองคนพี่น้องทำดอกไม้ไฟเป็นด้วย”

“ไม่ใช่เราสองพี่น้อง พี่เดยันคนเดียวต่างหาก ฉันเป็นแค่ผู้ช่วยเท่านั้นแหละ เราลองส่งประกวดมาสามปีติดแล้ว ก็เข้ารอบลึกๆนะ แต่ยังไม่ติดหนึ่งในสามสักที ปีนี้ได้มีมี่มาช่วยคิดและออกแบบอีกคน อาจจะได้ไอเดียอะไรใหม่ๆบ้างก็ได้นะ”

“ถ้ามีอะไรที่ฉันช่วยได้ ก็บอกมาได้เลยนะ ฉันอยากมีส่วนร่วมทำอะไรกับพวกคุณทุกๆเรื่องเลย เป็นการขอบคุณที่ทำให้ฉันไม่ต้องเร่ร่อนอีกต่อไป”

“จริงเหรอ ถ้าอย่างนั้นสิ่งแรกที่ผมอยากขอให้ช่วยก็คือ คุณช่วยปลดผ้าคลุมหน้า ให้เราได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของคุณได้รึเปล่าล่ะ”

เดยันพูดทีเล่นทีจริง และก็ทำให้มีมี่ต้องนิ่งไป ทว่า นัยน์ตาสีดำสนิทที่มองเห็นในความมืดสลัวนั้น ก็ฉายแววของความลำบากใจออกมาชัดเจน จนเนเนสต์เห็นแล้วต้องแอบเตะที่ขาของพี่ชายเป็นเชิงปราม

“แหม ผมล้อเล่นนิดเดียว เลยเงียบกันหมดเลย โอเค ถ้าคุณยังไม่สะดวกในวันนี้ก็ไม่เป็นไร เปลี่ยนเป็นขออย่างอื่นก็ได้ เปล่าขลุ่ยให้ฟังสักเพลงได้หรือเปล่า”

“ได้สิจ๊ะ ด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่งเลยล่ะ”

มีมี่รีบตอบรับคำขอของเดยันอย่างไม่อิดออด เธอลุกขึ้นยืนและหันหน้าออกไปทางด้านหน้าระเบียง สองพี่น้องหันไปมองสบตากันยิ้มๆ เมื่อท่วงทำนองของเพลงขลุ่ยไอริช เริ่มบรรเลงขึ้น อย่างอ่อนหวาน ท่ามกลางความมืดของยามราตรี และเสียงปรบมือจากเดยันก็ดังขึ้นเมื่อเพลงสั้นๆที่มีมี่บรรเลงค่อยๆเงียบลงไปในที่สุด

“ไพเราะมากครับ ทั้งอ่อนหวาน และ แฝงความว้าเหว่อยู่ด้วย เป็นความรู้สึกของคุณในตอนนี้รึเปล่า”

“ฉันเป็นคนตัวคนเดียว นอกจากยายที่จากไปแล้วก็ไม่มีพ่อแม่ญาติพี่น้องที่ไหน บางที ความรู้สึกนึกคิดอะไรที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจมันก็คงถ่ายทอดออกมาทางเสียงเพลงแบบไม่รู้ตัวได้เหมือนกันมั้งคะ”

มีมี่ตอบและถือขลุ่ยเดินกลับมานั่งที่เดิท ทุกคนพากันดื่มน้ำชาเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง

“แล้วเสียงขลุ่ยที่ทำให้คนหลับได้ เป็นเรื่องจริงเหรอ คุณทำแบบนั้นได้จริงๆเหรอ”

มีมี่ดูมีแววตาแปลกใจนิดๆ เพราะไม่คิดว่า เนเนสต์จะถามเรื่องนี้ขึ้นมา

“ถ้าคุณอยากรู้ ฉันก็จะสารภาพตามตรงก็ได้ สิ่งที่ฉันทำให้คนอื่นหลับไปได้ ความจริงไม่ใช่เสียงขลุ่ยเพียงอย่างเดียวหรอก แต่ฉันสะกดจิตคนผู้นั้นด้วย คนที่ต้องการพิสูจน์ว่าฉันสามารถเปล่าขลุ่ยกล่อมให้เขาหลับได้จริงมั้ย จะต้องสบตากับฉัน แล้วฉันก็จะสะกดจิตเขาจนหลับไป”

สองพี่น้องหันมาสบตากันอย่างอึ้งๆกับสิ่งที่ได้รับรู้อีกครั้ง

“คุณไปเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาจากไหนกัน มีมี่”

“ยายของฉันไงล่ะจ๊ะ ตอนเด็กๆ ยายบอกว่า ฉันเป็นเด็กที่มีอะไรพิเศษๆ เหนือกว่าเด็กคนอื่นหลายอย่าง ฉันมักจะมีลางสังหรณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคตจากความฝัน ยายบอกว่าเวลาเมื่อก่อนฉันเล่าความฝันอะไรให้ยายฟัง อีกไม่กี่วันต่อมาเหตุการณ์เหล่านั้น ก็มักจะเกิดขึ้นจริงเสมอ แต่น่าแปลกที่พอโตขึ้นมาฉันก็แทบไม่ฝันอีกเลย อ้อ และอีกอย่างฉันก็มีจิตที่มีสมาธิสูงมาก วิชาสะกดจิตที่หลายคนรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะเรียนรู้และฝึกฝน จึงไม่ยากสำหรับฉันเลย”

แต่มีมี่ ก็ไม่ได้เล่าทุกสิ่งทุกอย่าง เธอเลือกที่จะปิดบังเรื่องที่เธอมีความสามารถพิเศษอีกอย่าง ไม่ให้สองพี่น้องได้รับรู้ นั่นคือ ประสาทสัมผัสในการฟังของเธอ ซึ่งสามารถฟังเสียงระยะไกลกว่าผู้คนปกติ เท่าที่บอกไปแค่นี้ ก็ถือว่าเปิดเผยความลับส่วนตัวมากพอแล้ว

“คุณทำให้ผมทึ่งในตัวคุณมากเลยนะ มีมี่ ขอสารภาพว่า ตอนแรกผมก็คิดว่า ไอ้วิชามายากลเปล่าขลุ่ยทำให้คนหลับใหลของคุณเป็นแค่เรื่องหลอกลวงของนักต้มตุ๋นซะอีก ไม่คิดว่าจะทำได้จริงๆ”

มีมี่เพียงแต่ยิ้มรับคำกล่าวนั้นโดยไม่พูดอะไรอีก สำหรับเธอ เดยัน เป็นคนที่อ่านความรู้สึกได้ยากนัก ตัวตนที่แท้จริงของชายหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างไร ก็ยังไม่รู้ รู้เพียงว่า ตอนอยู่กับคาจาร์ อยู่บนเวทีปราศรัย เขาดูราวกับเป็นคนละคนกับผู้เป็นพี่ชายที่แสนดีของเนเนสต์ในเวลานี้อย่างเห็นได้ชัด และเธอก็จะต้องคอยเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของชายผู้นี้อย่างใกล้ชิดต่อไป




ธรณ์ไม่มีโอกาสได้ไปที่พิพิธภัณฑ์ฯกับหมู่บ้านช่างทำดอกไม้ไฟตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เพราะวันนี้เขาต้องไปสำรวจพื้นที่รอบเกาะกับเจ้าชายอาร์กฟาและมาร์ลิคในตอนสาย เพื่อนำมาเป็นข้อมูลประกอบ และจัดลำดับความสำคัญในการออกแบบเบื้องต้นโครงสร้างพื้นฐานหลัก เช่น เขื่อนกันคลื่น ซึ่งจะอยู่ในระยะที่ 2 ของโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก และเป็นความรับผิดชอบของธรณ์กับมาร์ลิคโดยตรงด้วย

“นี่คือ ภาพโครงสร้างของเขื่อนกันคลื่นที่ผมกับเจ้าชายอาร์กฟาร่วมกันออกแบบรายละเอียด และให้ช่างเขียนแบบออโต้แคดที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ พลอตเป็นภาพออกมา คุณจะศึกษาดูคร่าวๆก่อนระหว่างรอเจ้าชายก็ได้ แล้วถ้ามีอะไรอยากเสนอแนะเพิ่มเติมหลังออกสำรวจพื้นที่แล้ว ก็ขอให้นำเสนอในการประชุมตอนค่ำวันนี้ได้เต็มที่เลย”

มาร์ลิคส่งกระบอกพลาสติกสีดำที่บรรจุม้วนกระดาษพิมพ์เขียวปึกหนาส่งให้กับธรณ์ ระหว่างนั่งรอเจ้าชายอาร์กฟาอยู่ในรถยนต์ซึ่งจอดอยู่ด้านหน้าประตูรั้วพระตำหนักของเจ้าชายฟารินอส

“แล้วเจ้าชายฟารินอส ไม่เสด็จไปกับพวกเราด้วยเหรอ”

ธรณ์เอ่ยถามพลางคลี่แผ่นกระดาษพิมพ์เขียวขนาดเอศูนย์แผ่นหนึ่งออกมาดู

“องค์ชายไม่ถนัดงานด้านวิศวกรรมชายฝั่ง ทรงเชี่ยวชาญด้านผลเศรษฐศาสตร์และการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจมากกว่า หน้าที่นี้จึงเป็นของเจ้าชายอาร์กฟา และคุณกับผม หลังจากงานสำรวจและออกแบบรายละเอียดได้ข้อสรุปแล้ว ผมอยากให้คุณใช้ภาพถ่ายดาวเทียมและแบบจำลองทางคณิตศาสตร์วิเคราะห์ความสูงของคลื่นกับการกัดเซาะชายฝั่งด้วย คงไม่เกินความสามารถของคุณใช่มั้ย”

“ได้สิ แต่ก็คงต้องขอคำปรึกษาจากคุณและเจ้าชายอาร์กฟา มากเป็นพิเศษเลยนะ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ทำงานด้านชายฝั่งอย่างจริงจัง ถึงจะเรียนมาโดยตรงก็เถอะ แต่ตอนอยู่เมืองไทยก็แทบไม่ได้ใช้เลย ใช้แค่ความรู้ทางโครงสร้างเท่านั้น”

น้ำเสียงของธรณ์ฟังดูค่อนข้างหนักใจไม่น้อย งานนี้ทั้งยากและท้าทายความสามารถของเขาอย่างที่สุด

“แล้วแผนแม่บทพัฒนาทางหลวงล่ะ”

“ตอนนี้โครงการศึกษาแผนแม่บทพัฒนาทางหลวง ได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนการปฏิบัติให้ได้ตามแผนเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการขยายถนน การเวนคืนที่ดินบางส่วนเพื่อสร้างนถไฟรางคู่ ได้มีการประมูลงานไปบ้างแล้วในบางงาน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะก่อสร้างตามแผนได้ทันตามเวลาง่ายๆหรอกนะ บางพื้นที่ ชาวบ้านยังออกมาประท้วงกันอยู่เลย”

“คุณหมายถึงหมู่บ้านช่างทำดอกไม้ไฟด้วยใช่รึเปล่า”

มาร์ลิคพยักหน้าอย่างหนักใจ

“เฮ้อ พูดเรื่องนี้แล้วก็เครียด ไม่ใช่ว่าทางเราไม่เห็นคุณค่าหรือความสำคัญของหมู่บ้านนี้หรอกนะ เรามีข้อเสนอให้ทำการย้ายหมู่บ้านไปอยู่ในที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบแล้ว ตอนแรก คนในหมู่บ้านก็ดูเหมือนจะยอมรับข้อตกลง แต่อยู่ดีๆ ก็ออกมาประท้วงและไม่ยอมท่าเดียว ไม่ต้องบอกคุณก็คงรู้ใช่มั้ย ว่าใครอยู่เบื้องหลัง”

ธรณ์นึกถึงคาจาร์ขึ้นมาทันที เพราะคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชายผู้มีอิทธิพลต่อชาวบ้านคนนั้น ทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก เมื่อรถยนต์ประจำพระองค์ของเจ้าชายอาร์กฟาแล่นมาถึง ชายหนุ่มทั้งสองรีบลงมาจากรถเพื่อยืนรอถวายความเคารพ และทันที่ทีเห็นว่า ไม่ได้มีเพียงเจ้าชายอาร์กฟา หากยังมีเจ้าหญิงชารีด้าอีกพระองค์ก็สร้างความประหลาดใจให้เป็นอย่างมาก

“ชารีด้าจะไปกับพวกเราด้วย”

เจ้าชายอาร์กฟาตรัสราวกับเดาความคิดของชายหนุ่มทั้งสองได้

“ก็ไหนเมื่อวาน องค์ชายฟารินอสมีรับสั่งว่าให้องค์หญิงเสด็จไปบาตูฮาน เพื่อไปร่วมงานเลี้ยงรับรองพระราชอาคันตุกะจากต่างประเทศยังไงกระหม่อม”

มาร์ลิคเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ใช่ มันควรจะเป็นอย่างนั้น แต่เสด็จพ่อบอกว่า งานนี้ฉันไม่จำเป็นต้องไปก็ได้ ฉันก็เลยตัดสินใจตามเจ้าพี่อาร์กฟากลับมาเพื่อมาร่วมทำงานกับพวกคุณแทน”

เจ้าหญิงชารีด้ารับสั่งง่ายๆ การแต่งกายที่ดูทะมัดทะแมงและคล่องแคล่ว บ่งบอกถึงความต้องการที่จะเสด็จไปด้วยอย่างชัดเจน

“ไม่ดีหรอก ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าคงไม่สะดวกที่จะให้องค์หญิงเสด็จไปกับพวกเราด้วย เพราะพื้นที่ที่เราจะไป จะต้องพบเจอกับอะไรบ้างก็ไม่รู้ องค์หญิงน่าจะไปถวายงานช่วยพระเชษฐาดีกว่าพะยะค่ะ”

เจ้าหญิงชารีด้าดึงฉลองพระเนตรอันโตออกมา เผยให้เห็นดวงพระเนตรซึ่งดูแข็งกร้าวขึ้นมาอย่างไม่พอพระทัย

“เธอมีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉัน”

ธรณ์สะดุ้งนิดๆอย่างตกใจกับพระสุรเสียงดังกังวานของผู้มีอำนาจ ท่าทางของเจ้าหญิงชารีด้าในยามนี้ ดูเป็นเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์และน่าเกรงขามยิ่งนัก

“อย่าเพิ่งโกรธสิ ชารีด้า มาร์ลิคคงเป็นห่วงความปลอดภัยของน้องมากกว่าสิ่งอื่นใด ก็เลยไม่อยากให้น้องไปกับพวกเรา ก็เท่านั้นเอง ไม่ต้องกังวลไปนะมาร์ลิค เราบอกเรื่องนี้กับฟารินอสแล้ว แล้วเราก็จะรับผิดชอบทุกอย่างเอง”

“น้องไม่ได้โกรธอะไรเขาเลยเพคะ แค่ไม่พอใจนิดหน่อย จำไว้นะ ว่าอย่ามาออกคำสั่งกับเราอีก”

มาร์ลิคก้มหน้านิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ แม้ว่า องค์หญิงชารีด้ากับองค์ชายอาร์กฟาจะเสด็จไปประทับที่รถยนต์ส่วนพระองค์แล้วก็ตาม

“มาร์ลิค คุณเป็นอะไรรึเปล่า”

ธรณ์เอื้อมมือไปแตะไหล่เขาอย่างเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรหรอก เราไปกันเถอะ”

ธรณ์มองตามมาร์ลิคที่รีบเดินเลี่ยงไปขึ้นรถแล้วก็ถอนใจยาวอย่างไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเพื่อนของเขาถึงต้องมีอาการหมดอาลัยตายอยากขนาดนี้ เพียงแค่ถูกองค์หญิงชารีด้ากริ้วใส่ ด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง

เมื่อมาถึงบริเวณพื้นที่โครงการสำหรับสร้างเขื่อนกันคลื่น ธรณ์ก็แยกตัวออกจากกลุ่มหลังจากได้ตกลงกันแล้วว่าใครจะทำอะไรบ้าง ชายหนุ่มถือกล้องถ่ายรูปและสะพายกล้องวิดีโอเดินไปตามแนวชายหาด ที่ในอนาคตข้างหน้านี้จะต้องกลายเป็นท่าเรือขนาดใหญ่ เขาเดินเก็บภาพทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆกับสายลมทะเลและเสียงคลื่นซัดสาดอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย และเข้าใกล้สะพานปลาของหมู่บ้านชาวประมงมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กเล็กๆ กับชาวบ้านหลายคนเริ่มชักชวนกันให้หันมามองเขาราวกับเป็นคนแปลกหน้าที่หลงเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต หากชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจอะไร เขายังคงทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีเสียงร้องตะโกนแปลกๆ ให้ได้ยิน แม้ว่าจะฟังไม่เข้าใจ แต่ธรณ์ก็รู้สึกได้ถึงความไม่ค่อยเป็นมิตรในน้ำเสียงนั้น พอหันไปมองก็พบชาวบ้านประมาณยี่สิบคน ถือป้ายผ้า มีข้อความต่อต้านการก่อสร้างท่าเรือเดินตรงมาทางเขาพร้อมกับร้องตะโกนขับไล่ไม่หยุด ชายหนุ่มถึงกับยืนอึ้งไปครู่หนึ่ง เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่า จะมาพบเจอกับการต่อต้านทุกรูปแบบขนาดนี้ ขณะที่กำลังยืนนิ่งอย่างไม่ทันระวัง ก้อนหินเล็กๆก้อนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาใส่กลางศีรษะทางด้านหลังเข้าอย่างจัง

“โอ๊ย !!”

ธรณ์ร้องลั่นและหันหลังปทิศทางตรงข้ามอย่างรวดเร็ว เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังวิ่งหนีไปแอบด้านหลังหญิงสาวผู้หนึ่ง ที่เขาจำเธอได้ขึ้นใจ

“คุณเองเหรอ ที่สั่งให้ชาวบ้านมาไล่ผม แถมยังสั่งให้เด็กนั่นเอาก้อนหินปาหัวผมอีก”

ชายหนุ่มตะโกนอย่างโกรธจัดขณะก้าวเท้าเข้าไปหาหญิงสาว

“อย่ามากล่าวหากันนะ ฉันเพิ่งมาเห็นเหตุการณ์แล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น คุณน่าจะถามตัวเองมากกว่า ว่าทำอะไรให้พวกชาวบ้านโกรธจนต้องออกมาไล่แบบนี้น่ะ”

เนเนสต์เถียงกลับอย่างโกรธจัดไม่แพ้กันที่อยู่ดีๆก็ถูกชายหนุ่มกล่าวหาเช่นนี้

“ผมไม่ได้ทำอะไร แค่ทำงานของผมเฉยๆ ไม่ได้รบกวนอะไรใครเลยด้วยซ้ำ”

“งานของพวกเห็นที่เห็นเงินเป็นพระเจ้าล่ะสินะ”

หญิงสาวทำเสียงดูถูก ธรณ์ถอนหายใจยาวและมองสบตากับหญิงสาวอย่างไม่ยอมแพ้

“แล้วคุณล่ะ ทำงานไม่ได้หวังจะได้ค่าตอบแทนหรอกเหรอ หน้าที่ภัณฑารักษ์เป็นงานอาสาสมัครเพื่อการกุศลสินะ ถึงได้ออกมาเดินเที่ยวเตร่ในเวลาทำงานอย่างนี้ได้น่ะ”

“ฉันไม่ได้มาเดินเที่ยวเตร่ ถ้าคุณไม่รู้อะไรก็อย่าพูดดีกว่า”

“บอกตัวเองเถอะ เพราะคุณก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับตัวผมดีเลย แต่ก็พูดเอง คิดเอง เออเองไปแล้ว”

ธรณ์แอบเห็นหญิงสาวกำมือทั้งสองข้างแน่น คล้ายอยากจะพุ่งมาชกหน้าเขาเต็มที ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนดูเข้มขึ้นด้วยแรงอารมณ์ ท่าทางของเธอบ่งบอกว่าเป็นคนหัวดื้อและไม่เกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น ซึ่งก็สมควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่หรอก เป็นถึงลูกสาวบุญธรรมที่เปรียบเสมือนมือซ้ายของคาจาร์นี่นะ จะธรรมดาได้ไง

“ฉันขอเตือน ถ้าคุณไม่อยากเจ็บตัว ก็อย่ามาบุกรุกพื้นที่แถวนี้ ชาวบ้านทุกคนที่นี่ รักและหวงแหนหมู่บ้านของพวกเขามาก และจะไม่มีวันเห็นดีเห็นงามไปกับสิ่งที่พวกคุณกำลังคิดจะทำเป็นอันขาด”

ระหว่างที่เนเนสต์กำลังพูด กลุ่มชาวบ้านที่ถือป้ายและร้องตะโกนขับไล่ธรณ์ในตอนแรกก็พากันเดินเข้ามาหาหญิงสาว และมีตัวแทนคนหนึ่งเข้ามาพูดคุยอะไรบางอย่างกับเธอด้วยภาษาท้องถิ่นที่ชายหนุ่มฟังไม่เข้าใจ
ครู่หนึ่ง เนเนสต์ก็หันมามองเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก

“คุณรีบกลับไปเถอะ ก่อนที่ชาวบ้านจะไม่พอใจไปมากกว่านี้”

“ผมแค่ถ่ายรูป ไม่ได้บุกรุกหรือทำอะไรให้ใครเดือดร้อนเลย คุณอธิบายให้พวกเขาเข้าใจหน่อยไม่ได้เหรอ”

ธรณ์อธิบายอย่างอ่อนใจ หากก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลนัก

“ถึงจะถ่ายภาพไปได้มากแค่ไหน ก็ไม่ได้ช่วยให้งานของคุณสำเร็จได้หรอก ถ่ายไปก็ไม่มีประโยชน์ ยังไงโครงการของพวกคุณก็ไม่มีวันเกิดขึ้นได้เด็ดขาด”

ท่าทางถือดีของหญิงสาว ทำให้ธรณ์ต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองอย่างหนัก ชายหนุ่มไม่โต้ตอบอะไร แต่ถือกล้องถ่ายรูปเดินถ่ายไปเรื่อยอย่างต้องการท้าทาย และเนเนสต์ก็ทำในสิ่งที่เขาไม่คาดฝันอีกครั้ง เธอเดินเข้าไปแย่งกล้องถ่ายรูปของเขาและทำท่าจะโยนออกไปที่ทะเล ท่ามกลางเสียงปรบมือ และเสียงเชียร์ของชาวบ้าน แต่ธรณ์ก็มีปฎิกิริยารวดเร็วไม่แพ้กัน เขากระโจนเข้าใส่หญิงสาวและคว้าไปแย่งกล้องถ่ายรูปคืนมาได้ก่อนมันจะหล่นลงพื้นพอดี สองหนุ่มสาวพากันล้มกลิ้งไม่เป็นท่าอยู่บนพื้นทราย สติสัมปชัญญะของชายหนุ่มกลับมาอีกครั้งเมื่อพบว่า ตนเองกำลังอยู่ในสภาพที่คร่อมทับร่างของหญิงสาวอยู่ เนเนสต์เองก็ดูจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เวลาเพียงไม่กี่วินาทีดูจะยาวนานเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด หัวใจของเธอเต้นรัวแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“เกิดอะไรขึ้นครับ คุณธรณ์”

น้ำเสียงตกใจของซาฮินดังแว่วมา จากทางด้านหลังและเมื่อธรณ์ลุกขึ้นหันไปมองก็พบว่า สารถีหนุ่มพามหาดเล็กที่ตามมาคอยอารักขาพวกเขามาด้วยอีก 5 คน ซึ่งแค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้กลุ่มชาวบ้านถอยร่นกลับไปมองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ และเก็บป้ายต่างๆพ้นหูพ้นตาไปหมดสิ้น เหลือเพียงเนเนสต์ที่เพิ่งลุกขึ้นยืนและมองธรณ์กับพรรคพวกด้วยสายตาไม่เป็นมิตร แล้วก็เดินผ่านพวกเขาไปราวกับเป็นอากาศธาตุ

“ไม่มีอะไรหรอกซาฮิน แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อย”

ธรณ์ตอบโดยที่สายตายังมองตามร่างของหญิงสาวอยู่

“ผมจำได้ นั่นลูกสาวบุญธรรมของคาจาร์ คุณไม่ได้มีเรื่องอะไรกับเธอแน่นะ เพราะถ้าเธอไปบอกคาจาร์ล่ะก็ คุณอาจจะอยู่ที่นี่อย่างลำบากแน่ ลำพังแค่ทำงานโครงการนี้ ก็ไม่ค่อยปลอดภัยอยู่แล้ว”

“นั่นสินะ คุณพูดถูกทุกอย่างเลย แค่ทำงานนี้ ก็ต้องเสี่ยงอันตรายอยู่แล้ว แล้วจะต้องกลัวอะไรอีกล่ะ”

ธรณ์หันมาตอบอย่างไม่รู้สึกหนักใจอะไร ตรงกันข้ามเขากลับอารมณ์ดีจนนึกแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อย แทนที่จะโกรธหรือ หงุดหงิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ หรือจะเป็นเพราะแววตาตื่นตระหนกคู่นั้นที่เขาได้มองสบตาในระยะใกล้แค่ลมหายใจ ทว่า อยู่ดีๆ ภาพดวงตาสีดำสนิทอีกคู่ก็มาปรากฎเป็นภาพซ้อนทับขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ คิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด ไม่เข้าใจตัวเองว่า ทำไมจะต้องนึกถึงผู้หญิงที่ทำตัวเหมือนแม่มดหมอผีคนนั้นบ่อยๆด้วย ทั้งๆที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอเลยแม้เพียงสักนิดก็ตาม

…………………………………………………………………………………………………

จบตอนที่ 6


** ขอบคุณ คุณหมีสีชมพู จากตอนที่แล้วด้วยนะคะ รวมถึงทุกๆคนที่เข้ามาอ่านด้วยค่ะ



TheMoonsea
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 พ.ย. 2555, 22:11:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 พ.ย. 2555, 22:11:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1242





<< ตอนที่ 5 แม่มด??   ตอนที่ 7 ใกล้ >>
หมีสีชมพู 19 พ.ย. 2555, 00:44:57 น.
รอดูดอกไม้ไฟค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account