เกลียดนักดันรักเธอ
ก็คนเกลียดกันมาตั้งนาน จะให้รักกันแบบธรรมดาๆ ได้ยังไง?
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทนำ
เสียงพูดคุยราวกับนกกระจอกแตกรังดังแว่วมาจากบรรดาผู้คนในชุดราตรีหลากสีสันทั้งชายหญิงทั่วบริเวณห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมมีชื่อแห่งหนึ่ง งานนี้ถูกจัดขึ้นมาเพื่อพบปะสังสรรค์กันของเหล่าเพื่อนฝูงร่วมรุ่นสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเป็นประจำทุกปี แต่ที่แปลกออกไปก็คือปีนี้เป็นปีแรกที่เธอได้มีโอกาสมาร่วมงานหลังจากเวลาล่วงเลยไปถึงสามปีตั้งแต่จบมา มันเป็นเพราะเวลาอันจำกัดจำเขี่ยในการทำงานจึงไม่สามารถปลีกตัวมาร่วมได้ดั่งใจหวัง ดังนั้นในปีนี้เธอจึงเตรียมตัวมาอย่างดีจัดการกับธุระของตัวเองให้เสร็จสรรพ เพื่อจะได้มีเวลาไปงานเลี้ยงรุ่นในครั้งนี้
“ไอ้ทิมทางนี้”
เสียงเรียกจากหญิงสาวที่อยู่ในชุดราตรียาวกรอมเท้าสีเขียวอ่อนทั้งชุดดังพอที่จะทำให้เธอหันไปตามเสียงนั้น วันนี้สาวผมสั้นดัดลอนเล็กน้อยมาด้วยชุดราตรีเกาะอกสีโอลด์โรส เผยให้เห็นผิวกายขาวผ่องนวลเนียน ชุดยาวลงมาคลุมสะโพกกลมกลึงเอาไว้พองาม อวดขาเรียวสวยสะกดสายตาของเหล่าผู้ที่เคยปรามาสว่าเธอเป็นพวก ลักเพศ ได้เป็นอย่างดี
“นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว” คนที่อยู่ในชุดราตรีสีเขียวอ่อนเอ่ยทักอีกครั้ง ขณะพาร่างระหงของตัวเองมาหยุดอยู่ตรงหน้าผู้มาใหม่
“มาสิไอ้บ๊วย อยากมาจะตายแต่ไม่เคยว่างสักที คิดถึงจัง” พูดแล้วก็ปรี่เข้าไปจับมือของเพื่อนเอาไว้ด้วยความคิดถึง
“แต่ดูแกเปลี่ยนไปนะ โคตรจะสาวเลยว่ะ” ไม่พูดเปล่า ยังจับตัวเพื่อนสาวให้หันซ้ายหันขวา เพื่อยลรูปโฉมที่แปลกตากว่าเดิมจากเมื่อสามปีที่แล้ว
“แกก็ชมกันเกินไป ไม่ดูสารรูปตัวเองบ้าง ฉายาไอ้บ๊วยรวยหญิงนั่นท่าทางจะไม่จริงซะแล้วละมั้ง” เรียวปากอิ่มสีชมพูระเรื่อฉีกยิ้มกว้าง เมื่อนึกถึงภาพเก่าของเพื่อนรักได้ติดตา
“ก็ยังดีกว่าไอ้ทิมทอมโหดแหละว้า” บ๊วยหัวเราะร่วน เพราะจำได้ว่าเพื่อนรักเคยหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับฉายานี้แค่ไหน
“สรุปว่าตอนนี้จะเอายังไง อุตส่าห์ใส่ชุดราตรีมากันทั้งสองคน หรือจะต้องให้กลับบ้านไปเปลี่ยนเป็นกางเกงยีนเหมือนเดิม” ทับทิมหรี่ตามองเพื่อนด้วยความขบขัน
“เฮ้ย...อุตส่าห์ได้แต่งตัวสวยทั้งที จัดเต็มน่าเพื่อน ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีคิดถึงเป็นบ้าเลยว่ะ”
คนที่อยู่ในชุดราตรีสีเขียวอ่อนพูดพลางดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดเพื่อยืนยันความคิดถึงอีกครั้ง หลังจากที่เธอต้องระเห็จไปอยู่เมืองนอกมาเมื่อสามปีที่แล้ว เพราะอยากไปตามล่าความฝันเหมือนวัยรุ่นจบใหม่ทั่วๆ ไป แต่พอได้ลองทำงานอะไรหลายๆ อย่างที่โน่นก็ทำให้หญิงสาวเกิดความคิดอยากกลับเมืองไทยด้วยทนความคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนไม่ไหว
“เออสิ แทบจะไม่ติดต่อเพื่อนมาเลยนี่” ทับทิมตัดพ้อ มองดวงหน้าสวยคมของคนตรงหน้าอย่างน้อยใจ
“มันยุ่งว่ะ วันๆ ยืนล้างแต่จานจนมือจะกลายเป็นสกอตช์ไบรต์ไปแล้ว เข้าไปข้างในเหอะ ขี้เกียจเล่าความหลัง”
สิ้นเสียงของบ๊วย สองสาวก็หัวเราะร่วนออกมาท่ามกลางสายตาขบขันของเพื่อนร่วมรุ่นที่รู้ว่าคู่ซี้คู่นี้เขาเซี้ยวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
อันที่จริงทับทิมก็ไม่ได้ห้าวจนถึงขั้นทอมบอยแต่อย่างใด ทว่าเป็นคนที่ไม่ยอมให้ใครมารังแกได้ง่ายๆ จึงทำให้เหล่าผู้ชายในคณะลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่อยากเป็นผู้ชายอย่างไม่ต้องสงสัย และเรื่องราวเหล่านี้มันจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าไม่มีหัวโจกเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เธอไม่ปรารถนาที่จะเจอมากที่สุด ไม่ใช่เพราะไม่ชอบขี้หน้าอย่างเดียว แต่มันค่อนไปทางเกลียดเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วเธอไปทำบาปทำกรรมอะไรเอาไว้ ชาตินี้ถึงต้องมาทนเห็นคนที่ใครๆ ก็บอกว่าหน้าตาดีค่อนแคะอยู่จนเรียนจบ ดังนั้นการมาร่วมงานเลี้ยงรุ่นในครั้งนี้สิ่งเดียวที่หวังจะไม่ได้เจอก็คือ ร่างสูงโปร่งเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่เธอเห็นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้ทุกครั้ง
ทันทีที่เดินเข้าไปในงานเลี้ยงพร้อมบ๊วย สายตาทุกคู่ก็ตกตะลึงพรึงเพริด ราวกับเพิ่งเห็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอะไรทำนองนั้น หญิงสาวรู้ดีว่านี่คือปฏิกิริยาของบรรดาเพื่อนเก่าที่ไม่เคยคิดเคยฝันว่าจะได้เห็นเธอในชุดราตรีสวยสดงดงาม
“สงสัยวันนี้เราจะเด่นเกินไปว่ะ”
บ๊วยพูดขำๆ เดินทรงตัวบนส้นสูงสามนิ้วเข้าไปในงานอย่างสง่าผ่าเผย ตามด้วยสาวร่างกะทัดรัดอีกคนที่ดูท่าทางจะเคอะเขินกับสายตาของทุกคน จนฉายชัดออกมาทางสีหน้า
“ขอบอกตามตรงว่าตอนนี้มือฉันเย็นไปหมดเลยว่ะ”
ทับทิมพูดพลางเร่งฝีเท้าให้ทันสาวชุดเขียวที่มวยผมขึ้นไปเป็นจุกด้านบน เปิดใบหน้าผุดผาดให้น่ามองยิ่งขึ้น
“กลัวอะไรวะ กะอีแค่แต่งตัวสวยออกงาน”
“ไม่ได้กลัว แต่...ไม่ชิน”
“ถ้าไม่ชินก็รีบทำตัวให้ชินไว้ซะ ดูโน่น...” สิ้นเสียงของเพื่อน ทับทิมก็หันไปมองทางกลุ่มผู้หญิงกลุ่มใหญ่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งทันที
เห็นแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อเห็นสายตาไม่ค่อยเป็นมิตรจากสาวผมยาวสลวยในชุดราตรีสีแดงเพลิงที่ยืนอยู่ด้านในของงาน เธอชื่อพราวนภัส...เป็นอีกคนที่ทับทิมไม่อยากจะเสวนาด้วยนัก เพราะฝ่ายโน้นตั้งป้อมกันท่าหนุ่มหล่อที่เปรียบเสมือนคู่อริตลอดกาลของเธอราวกับกลัวว่าจะโดนแย่ง แต่ขอเถอะ...ต่อให้เอาปืนมาจี้เธอก็คงรักตานั่นไม่ลง ฉะนั้นการที่พราวนภัสชอบมองเธอว่าเป็นคู่แข่ง จึงกลายเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี
“สามปีแล้วยังจะไม่เลิกราอีกเหรอเนี่ย...เฮ้อ” ทับทิมพูดพลางกลอกตาเซ็ง
“สงสัยกลัวแกไปแย่งของรักของหวงว่ะ”
“โถ...อยากแย่งตายเลย” ว่าแล้วก็ทำท่าขยาดจนคนที่มองอยู่หัวเราะคิกคัก “ไปหาไอ้พวกนั้นเหอะ ขี้เกียจทำตัวเด่นกลางงานแล้ว”
พูดเสร็จก็ดุนหลังเพื่อนซี้ให้เดินไปทางเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่พากันส่งเสียงล้อเลียนกับภาพลักษณ์ใหม่ของสองสาวในชุดราตรีงดงาม
หลังจากยืนพูดคุยกันได้พักใหญ่ ทับทิมก็ต้องขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เหตุเพราะพั้นช์ที่ดื่มไม่หยุดตั้งแต่เข้างานมา ส่งผลให้เธอต้องหาทางระบาย
“ไม่ไหวแล้วฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะทุกคน”
หญิงสาวโพล่งขึ้นกลางวงสนทนา ก่อนจะรีบสาวเท้าไปยังห้องน้ำข้างห้องจัดเลี้ยง ปล่อยให้บรรดาเพื่อนฝูงทั้งหญิงชายได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ไม่ได้เจอกันไปเรื่อยๆ
หลังจากทำธุระเรียบร้อยแล้ว สาวผมสั้นก็มาหยุดมองภาพสะท้อนตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ภายในห้องน้ำ เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง วันนี้ตาเธอดูโตกว่าปกติมาก คงเป็นเพราะอายไลน์เนอร์ที่กรีดมาเป็นอย่างดี ทำให้ดวงตาเรียวรีดูดีขึ้นอย่างที่เห็น แต่โชคยังเข้าข้างเธอที่ได้จมูกโด่งเชิดมาจากพ่อ จึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสันจมูกของตัวเองมากนัก เรียวปากอิ่มที่เคลือบลิปสติกสีชมพูระเรื่อเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรงเพื่อเกลี่ยมันให้ทั่ว ยอมรับอย่างหนึ่งว่าฝีมือการแต่งหน้าของพี่ส้ม รุ่นพี่ที่ซี้ปึ๊กซึ่งเป็นสาวประเภทสอง ที่งามยิ่งกว่าหญิงแท้เป็นไหนๆ มีดีอย่างที่เจ้าตัวโอ้อวดจริงๆ เพราะขนาดเธอเองก็ยังอดชมตัวเองไม่ได้เลย
หลังจากตรวจดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผมเสร็จแล้ว ทับทิมก็เดินออกไปเพื่อสมทบกับเพื่อนๆ ด้านนอก แต่ด้วยความรีบเร่ง จึงไม่ทันสังเกตเห็นเงาตะคุ่มที่ใกล้เข้ามาตรงประตูทางออก ร่างเล็กๆ โผล่พรวดออกไปอย่างรวดเร็ว เลยชนเข้ากับร่างสูงของใครบางคน จนซวนเซเกือบล้มคะมำ ดีที่อีกฝ่ายยังพอมีน้ำใจ รวบร่างเธอเอาไว้แนบกับอกอย่างทันท่วงที
“เฮ้ย ขอโทษที” ทับทิมพูดพลางดันตัวเองให้ถอยห่างร่างสูงใหญ่ในชุดทักซิโดสีดำ แต่ระหว่างที่เงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของร่างนั้น เธอก็ต้องผงะไปด้านหลังด้วยความตกใจ
“ไม่เป็นไร” เสียงทุ้มฟังรื่นหูตอบกลับมา ขณะใช้สายตาคมกริบมองไปยังคนร่างเล็กในชุดราตรีสีโอลด์โรส ที่อวดผิวสวยท้าทายสายตาเขาให้ต้องลอบยิ้ม
“เฮ้ย ไอ้บ้าปุณ!” ทับทิมรีบดีดตัวออกมาแทบไม่ทัน เมื่อเห็นใบหน้าของหนุ่มผู้นี้เต็มสองตา
“ตัวนิ่มไม่เปลี่ยนเลยนะหัวหน้าทอมโหด” เรียวปากหยักแย้มยิ้มอย่างพึงใจ เมื่อเห็นหน้าสวยๆ บึ้งตึงขึ้นมาทันทีทันใด หลังจากได้ยินคำพูดของเขา
“ฉันเป็นคนไม่ใช่ตัวนิ่ม สมองเสื่อมแล้วนายน่ะ!”
“สงสัยจะเสื่อมจริง เมื่อก่อนยังเป็นทอมอยู่ไม่ใช่เหรอ หรือว่านี่แต่งตัวเอาเนียนมาใกล้สาว” ปุณอมยิ้มนิดๆ หรี่ตามองสาวผมสั้นในชุดราตรีอีกครั้ง
“พูดอย่างนี้แสดงว่าอิจฉา” ทับทิมแค่นยิ้ม ไหวไหล่ แล้วเดินออกไปอย่างไม่อยากสนใจ
ปุณยิ้มมุมปากมองคนที่เพิ่งเดินออกไป นึกไม่ถึงว่าไม่ได้เจอกันสองสามปี ระดับฝีปากจะไม่ถดถอยเลยแม้แต่นิดเดียว
“จะรีบไปไหนล่ะ นี่เรายังทบทวนความหลังกันไม่จบเลยนะ”
แล้วมือแข็งแรงก็เอื้อมไปเกี่ยวต้นแขนเสลาของสาวหน้าหมวยกลับมา ดันร่างระหงนั้นไปชิดกับกำแพงเอาไว้ เพื่อกันไม่ให้สาวเจ้าออกฤทธิ์อาละวาด เพราะเขาเคยเจอกับประสบการณ์เช่นนี้มานักต่อนักแล้ว
“จะปล่อยดีๆ หรือว่าจะปล่อยเพราะต้องไปนอนโรง’บาล” ทับทิมขู่ฟ่อ พยายามบิดข้อมือของตัวเองที่ถูกมือใหญ่ทั้งสองยึดตรึงไว้กับกำแพงอย่างยากลำบาก
“ปล่อยก็เจ็บสิ ประสบการณ์มันสั่งสมมาดี”
ปุณยักคิ้วกวน ก่อนจะก้มหน้าเข้าไปหาคนหน้าบึ้งใกล้ๆ จนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร แต่เห็นแม่เสือสาวนี่ทีไร อยากจะแกล้งจนหนำใจจริงๆ ให้ตาย
“เหรอ?”
สิ้นเสียงหวานๆ ของทับทิม หน้าผากมนของเจ้าตัวก็พุ่งเข้าโขกหน้าผากของชายหนุ่มเต็มแรง จนเขาเผลอปล่อยมือ ให้อีกฝ่ายมีโอกาสรอดออกไปได้
“มันเจ็บนะ!” ปุณคำรามเสียงต่ำด้วยความเจ็บบริเวณหว่างคิ้ว จนต้องยกมือขึ้นกดเอาไว้
“แล้วประเทศไหนเหรอที่บอกว่าโดนอย่างนี้แล้วไม่เจ็บ...ประสาท”
ทับทิมยิ้มเยาะ เอียงคอมองคนตัวสูงอย่างสะใจ ก่อนจะรีบเดินออกมาให้ห่าง ด้วยกลัวว่าจะถูกเขาเอาคืนได้เหมือนทุกครั้ง
แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับรู้ทัน รวบตัวสาวน้อยมากอดไว้อย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงขู่ฟ่อของอีกฝ่ายที่ดิ้นสุดแรงเกิด
“เล่นทีเผลอนี่หว่า ปล่อย!”
“ปล่อยก็โง่สิ” พูดพลางกระตุกยิ้ม เหลือบมองคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดอย่างผู้มีชัย
“อย่ามาเล่นไม้นี้กับฉันนะไอ้บ้าปุณ!” ทับทิมดิ้นสุดแรงเกิด แต่ก็สู้แรงของผู้ชายตัวโตไม่ได้เลย
“ปากดีจริงนะ ไม่รู้ว่ายังจะดีเหมือนสามปีที่แล้วรึเปล่า”
พูดเสร็จคนตัวใหญ่ก็ลดหน้าลงมาทาบเรียวปากหยักของตนเองลงไปกับกลีบปากนุ่มของอีกฝ่ายอย่างจงใจ ความนุ่มนิ่มที่เพิ่งสัมผัสทำเอาคนที่ถือวิสาสะอยากจะละเลียดมันให้สมกับความต้องการ แต่ก็ต้องยอมถอนออกมาทั้งที่เสียดายจับใจ ยืนมองคนตัวเล็กที่เพิ่งหลุดออกไปจากอ้อมแขนแข็งแรงด้วยรอยยิ้มพราว
ฝ่ายนั้นหน้าแดงจัด คงไม่ได้แดงมาจากอารมณ์หวามไหว แต่คงเกิดจากอารมณ์โกรธเสียมากกว่า ที่ถูกขโมยจูบไปต่อหน้าต่อตา
“ไอ้หื่นกาม! แกกล้าเอาปากสกปรกนั่นมาโดนปากฉันงั้นเหรอ!” ทับทิมกำมือแน่น โกรธจัดเพราะเสียท่าให้คนตรงหน้าทำเรื่องไร้มารยาทกับตัวเองอีกครั้ง
“เธอนี่จะกี่ปีๆ ก็ยังจูบไม่ได้เรื่องเหมือนเดิม” ปุณยิ้มน้อยๆ แล้วเดินหันหลังกลับไปยังห้องจัดเลี้ยงด้านนอก ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนโกรธหน้าดำหน้าแดงอยู่ที่เดิมด้วยความรู้สึกขบขัน
แต่อย่าหวังเลยว่าเขาจะได้เดินกลับออกไปดีๆ เหมือนใครหลายคนหวัง เพราะจู่ๆ ก็มีรองเท้าส้นสูงลอยละลิ่วเข้ากระแทกตรงกลางหลังพอดิบพอดี จนชายหนุ่มถึงกับร้องโอ๊ยขึ้นมาด้วยความเจ็บ
“จะกี่ปีๆ คนโง่ก็คือคนโง่อยู่เหมือนเดิม!”
พูดแล้วก็เดินกระเผลกๆ เพื่อเก็บรองเท้าที่ปาออกไปขึ้นมาใส่เหมือนเก่า พร้อมเดินผ่านร่างสูงที่ยังคงดิ้นไปมาด้วยความเจ็บอย่างไม่แยแสแม้แต่หางตา ก่อนจะเดินไปบอกเพื่อนฝูงว่าขอตัวกลับก่อน เพราะหมดอารมณ์สังสรรค์แล้วในคืนนี้
“ไอ้ทิมทางนี้”
เสียงเรียกจากหญิงสาวที่อยู่ในชุดราตรียาวกรอมเท้าสีเขียวอ่อนทั้งชุดดังพอที่จะทำให้เธอหันไปตามเสียงนั้น วันนี้สาวผมสั้นดัดลอนเล็กน้อยมาด้วยชุดราตรีเกาะอกสีโอลด์โรส เผยให้เห็นผิวกายขาวผ่องนวลเนียน ชุดยาวลงมาคลุมสะโพกกลมกลึงเอาไว้พองาม อวดขาเรียวสวยสะกดสายตาของเหล่าผู้ที่เคยปรามาสว่าเธอเป็นพวก ลักเพศ ได้เป็นอย่างดี
“นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว” คนที่อยู่ในชุดราตรีสีเขียวอ่อนเอ่ยทักอีกครั้ง ขณะพาร่างระหงของตัวเองมาหยุดอยู่ตรงหน้าผู้มาใหม่
“มาสิไอ้บ๊วย อยากมาจะตายแต่ไม่เคยว่างสักที คิดถึงจัง” พูดแล้วก็ปรี่เข้าไปจับมือของเพื่อนเอาไว้ด้วยความคิดถึง
“แต่ดูแกเปลี่ยนไปนะ โคตรจะสาวเลยว่ะ” ไม่พูดเปล่า ยังจับตัวเพื่อนสาวให้หันซ้ายหันขวา เพื่อยลรูปโฉมที่แปลกตากว่าเดิมจากเมื่อสามปีที่แล้ว
“แกก็ชมกันเกินไป ไม่ดูสารรูปตัวเองบ้าง ฉายาไอ้บ๊วยรวยหญิงนั่นท่าทางจะไม่จริงซะแล้วละมั้ง” เรียวปากอิ่มสีชมพูระเรื่อฉีกยิ้มกว้าง เมื่อนึกถึงภาพเก่าของเพื่อนรักได้ติดตา
“ก็ยังดีกว่าไอ้ทิมทอมโหดแหละว้า” บ๊วยหัวเราะร่วน เพราะจำได้ว่าเพื่อนรักเคยหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับฉายานี้แค่ไหน
“สรุปว่าตอนนี้จะเอายังไง อุตส่าห์ใส่ชุดราตรีมากันทั้งสองคน หรือจะต้องให้กลับบ้านไปเปลี่ยนเป็นกางเกงยีนเหมือนเดิม” ทับทิมหรี่ตามองเพื่อนด้วยความขบขัน
“เฮ้ย...อุตส่าห์ได้แต่งตัวสวยทั้งที จัดเต็มน่าเพื่อน ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีคิดถึงเป็นบ้าเลยว่ะ”
คนที่อยู่ในชุดราตรีสีเขียวอ่อนพูดพลางดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดเพื่อยืนยันความคิดถึงอีกครั้ง หลังจากที่เธอต้องระเห็จไปอยู่เมืองนอกมาเมื่อสามปีที่แล้ว เพราะอยากไปตามล่าความฝันเหมือนวัยรุ่นจบใหม่ทั่วๆ ไป แต่พอได้ลองทำงานอะไรหลายๆ อย่างที่โน่นก็ทำให้หญิงสาวเกิดความคิดอยากกลับเมืองไทยด้วยทนความคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนไม่ไหว
“เออสิ แทบจะไม่ติดต่อเพื่อนมาเลยนี่” ทับทิมตัดพ้อ มองดวงหน้าสวยคมของคนตรงหน้าอย่างน้อยใจ
“มันยุ่งว่ะ วันๆ ยืนล้างแต่จานจนมือจะกลายเป็นสกอตช์ไบรต์ไปแล้ว เข้าไปข้างในเหอะ ขี้เกียจเล่าความหลัง”
สิ้นเสียงของบ๊วย สองสาวก็หัวเราะร่วนออกมาท่ามกลางสายตาขบขันของเพื่อนร่วมรุ่นที่รู้ว่าคู่ซี้คู่นี้เขาเซี้ยวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
อันที่จริงทับทิมก็ไม่ได้ห้าวจนถึงขั้นทอมบอยแต่อย่างใด ทว่าเป็นคนที่ไม่ยอมให้ใครมารังแกได้ง่ายๆ จึงทำให้เหล่าผู้ชายในคณะลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่อยากเป็นผู้ชายอย่างไม่ต้องสงสัย และเรื่องราวเหล่านี้มันจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าไม่มีหัวโจกเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เธอไม่ปรารถนาที่จะเจอมากที่สุด ไม่ใช่เพราะไม่ชอบขี้หน้าอย่างเดียว แต่มันค่อนไปทางเกลียดเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วเธอไปทำบาปทำกรรมอะไรเอาไว้ ชาตินี้ถึงต้องมาทนเห็นคนที่ใครๆ ก็บอกว่าหน้าตาดีค่อนแคะอยู่จนเรียนจบ ดังนั้นการมาร่วมงานเลี้ยงรุ่นในครั้งนี้สิ่งเดียวที่หวังจะไม่ได้เจอก็คือ ร่างสูงโปร่งเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่เธอเห็นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้ทุกครั้ง
ทันทีที่เดินเข้าไปในงานเลี้ยงพร้อมบ๊วย สายตาทุกคู่ก็ตกตะลึงพรึงเพริด ราวกับเพิ่งเห็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอะไรทำนองนั้น หญิงสาวรู้ดีว่านี่คือปฏิกิริยาของบรรดาเพื่อนเก่าที่ไม่เคยคิดเคยฝันว่าจะได้เห็นเธอในชุดราตรีสวยสดงดงาม
“สงสัยวันนี้เราจะเด่นเกินไปว่ะ”
บ๊วยพูดขำๆ เดินทรงตัวบนส้นสูงสามนิ้วเข้าไปในงานอย่างสง่าผ่าเผย ตามด้วยสาวร่างกะทัดรัดอีกคนที่ดูท่าทางจะเคอะเขินกับสายตาของทุกคน จนฉายชัดออกมาทางสีหน้า
“ขอบอกตามตรงว่าตอนนี้มือฉันเย็นไปหมดเลยว่ะ”
ทับทิมพูดพลางเร่งฝีเท้าให้ทันสาวชุดเขียวที่มวยผมขึ้นไปเป็นจุกด้านบน เปิดใบหน้าผุดผาดให้น่ามองยิ่งขึ้น
“กลัวอะไรวะ กะอีแค่แต่งตัวสวยออกงาน”
“ไม่ได้กลัว แต่...ไม่ชิน”
“ถ้าไม่ชินก็รีบทำตัวให้ชินไว้ซะ ดูโน่น...” สิ้นเสียงของเพื่อน ทับทิมก็หันไปมองทางกลุ่มผู้หญิงกลุ่มใหญ่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งทันที
เห็นแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อเห็นสายตาไม่ค่อยเป็นมิตรจากสาวผมยาวสลวยในชุดราตรีสีแดงเพลิงที่ยืนอยู่ด้านในของงาน เธอชื่อพราวนภัส...เป็นอีกคนที่ทับทิมไม่อยากจะเสวนาด้วยนัก เพราะฝ่ายโน้นตั้งป้อมกันท่าหนุ่มหล่อที่เปรียบเสมือนคู่อริตลอดกาลของเธอราวกับกลัวว่าจะโดนแย่ง แต่ขอเถอะ...ต่อให้เอาปืนมาจี้เธอก็คงรักตานั่นไม่ลง ฉะนั้นการที่พราวนภัสชอบมองเธอว่าเป็นคู่แข่ง จึงกลายเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี
“สามปีแล้วยังจะไม่เลิกราอีกเหรอเนี่ย...เฮ้อ” ทับทิมพูดพลางกลอกตาเซ็ง
“สงสัยกลัวแกไปแย่งของรักของหวงว่ะ”
“โถ...อยากแย่งตายเลย” ว่าแล้วก็ทำท่าขยาดจนคนที่มองอยู่หัวเราะคิกคัก “ไปหาไอ้พวกนั้นเหอะ ขี้เกียจทำตัวเด่นกลางงานแล้ว”
พูดเสร็จก็ดุนหลังเพื่อนซี้ให้เดินไปทางเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่พากันส่งเสียงล้อเลียนกับภาพลักษณ์ใหม่ของสองสาวในชุดราตรีงดงาม
หลังจากยืนพูดคุยกันได้พักใหญ่ ทับทิมก็ต้องขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เหตุเพราะพั้นช์ที่ดื่มไม่หยุดตั้งแต่เข้างานมา ส่งผลให้เธอต้องหาทางระบาย
“ไม่ไหวแล้วฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะทุกคน”
หญิงสาวโพล่งขึ้นกลางวงสนทนา ก่อนจะรีบสาวเท้าไปยังห้องน้ำข้างห้องจัดเลี้ยง ปล่อยให้บรรดาเพื่อนฝูงทั้งหญิงชายได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ไม่ได้เจอกันไปเรื่อยๆ
หลังจากทำธุระเรียบร้อยแล้ว สาวผมสั้นก็มาหยุดมองภาพสะท้อนตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ภายในห้องน้ำ เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง วันนี้ตาเธอดูโตกว่าปกติมาก คงเป็นเพราะอายไลน์เนอร์ที่กรีดมาเป็นอย่างดี ทำให้ดวงตาเรียวรีดูดีขึ้นอย่างที่เห็น แต่โชคยังเข้าข้างเธอที่ได้จมูกโด่งเชิดมาจากพ่อ จึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสันจมูกของตัวเองมากนัก เรียวปากอิ่มที่เคลือบลิปสติกสีชมพูระเรื่อเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรงเพื่อเกลี่ยมันให้ทั่ว ยอมรับอย่างหนึ่งว่าฝีมือการแต่งหน้าของพี่ส้ม รุ่นพี่ที่ซี้ปึ๊กซึ่งเป็นสาวประเภทสอง ที่งามยิ่งกว่าหญิงแท้เป็นไหนๆ มีดีอย่างที่เจ้าตัวโอ้อวดจริงๆ เพราะขนาดเธอเองก็ยังอดชมตัวเองไม่ได้เลย
หลังจากตรวจดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผมเสร็จแล้ว ทับทิมก็เดินออกไปเพื่อสมทบกับเพื่อนๆ ด้านนอก แต่ด้วยความรีบเร่ง จึงไม่ทันสังเกตเห็นเงาตะคุ่มที่ใกล้เข้ามาตรงประตูทางออก ร่างเล็กๆ โผล่พรวดออกไปอย่างรวดเร็ว เลยชนเข้ากับร่างสูงของใครบางคน จนซวนเซเกือบล้มคะมำ ดีที่อีกฝ่ายยังพอมีน้ำใจ รวบร่างเธอเอาไว้แนบกับอกอย่างทันท่วงที
“เฮ้ย ขอโทษที” ทับทิมพูดพลางดันตัวเองให้ถอยห่างร่างสูงใหญ่ในชุดทักซิโดสีดำ แต่ระหว่างที่เงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของร่างนั้น เธอก็ต้องผงะไปด้านหลังด้วยความตกใจ
“ไม่เป็นไร” เสียงทุ้มฟังรื่นหูตอบกลับมา ขณะใช้สายตาคมกริบมองไปยังคนร่างเล็กในชุดราตรีสีโอลด์โรส ที่อวดผิวสวยท้าทายสายตาเขาให้ต้องลอบยิ้ม
“เฮ้ย ไอ้บ้าปุณ!” ทับทิมรีบดีดตัวออกมาแทบไม่ทัน เมื่อเห็นใบหน้าของหนุ่มผู้นี้เต็มสองตา
“ตัวนิ่มไม่เปลี่ยนเลยนะหัวหน้าทอมโหด” เรียวปากหยักแย้มยิ้มอย่างพึงใจ เมื่อเห็นหน้าสวยๆ บึ้งตึงขึ้นมาทันทีทันใด หลังจากได้ยินคำพูดของเขา
“ฉันเป็นคนไม่ใช่ตัวนิ่ม สมองเสื่อมแล้วนายน่ะ!”
“สงสัยจะเสื่อมจริง เมื่อก่อนยังเป็นทอมอยู่ไม่ใช่เหรอ หรือว่านี่แต่งตัวเอาเนียนมาใกล้สาว” ปุณอมยิ้มนิดๆ หรี่ตามองสาวผมสั้นในชุดราตรีอีกครั้ง
“พูดอย่างนี้แสดงว่าอิจฉา” ทับทิมแค่นยิ้ม ไหวไหล่ แล้วเดินออกไปอย่างไม่อยากสนใจ
ปุณยิ้มมุมปากมองคนที่เพิ่งเดินออกไป นึกไม่ถึงว่าไม่ได้เจอกันสองสามปี ระดับฝีปากจะไม่ถดถอยเลยแม้แต่นิดเดียว
“จะรีบไปไหนล่ะ นี่เรายังทบทวนความหลังกันไม่จบเลยนะ”
แล้วมือแข็งแรงก็เอื้อมไปเกี่ยวต้นแขนเสลาของสาวหน้าหมวยกลับมา ดันร่างระหงนั้นไปชิดกับกำแพงเอาไว้ เพื่อกันไม่ให้สาวเจ้าออกฤทธิ์อาละวาด เพราะเขาเคยเจอกับประสบการณ์เช่นนี้มานักต่อนักแล้ว
“จะปล่อยดีๆ หรือว่าจะปล่อยเพราะต้องไปนอนโรง’บาล” ทับทิมขู่ฟ่อ พยายามบิดข้อมือของตัวเองที่ถูกมือใหญ่ทั้งสองยึดตรึงไว้กับกำแพงอย่างยากลำบาก
“ปล่อยก็เจ็บสิ ประสบการณ์มันสั่งสมมาดี”
ปุณยักคิ้วกวน ก่อนจะก้มหน้าเข้าไปหาคนหน้าบึ้งใกล้ๆ จนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร แต่เห็นแม่เสือสาวนี่ทีไร อยากจะแกล้งจนหนำใจจริงๆ ให้ตาย
“เหรอ?”
สิ้นเสียงหวานๆ ของทับทิม หน้าผากมนของเจ้าตัวก็พุ่งเข้าโขกหน้าผากของชายหนุ่มเต็มแรง จนเขาเผลอปล่อยมือ ให้อีกฝ่ายมีโอกาสรอดออกไปได้
“มันเจ็บนะ!” ปุณคำรามเสียงต่ำด้วยความเจ็บบริเวณหว่างคิ้ว จนต้องยกมือขึ้นกดเอาไว้
“แล้วประเทศไหนเหรอที่บอกว่าโดนอย่างนี้แล้วไม่เจ็บ...ประสาท”
ทับทิมยิ้มเยาะ เอียงคอมองคนตัวสูงอย่างสะใจ ก่อนจะรีบเดินออกมาให้ห่าง ด้วยกลัวว่าจะถูกเขาเอาคืนได้เหมือนทุกครั้ง
แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับรู้ทัน รวบตัวสาวน้อยมากอดไว้อย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงขู่ฟ่อของอีกฝ่ายที่ดิ้นสุดแรงเกิด
“เล่นทีเผลอนี่หว่า ปล่อย!”
“ปล่อยก็โง่สิ” พูดพลางกระตุกยิ้ม เหลือบมองคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดอย่างผู้มีชัย
“อย่ามาเล่นไม้นี้กับฉันนะไอ้บ้าปุณ!” ทับทิมดิ้นสุดแรงเกิด แต่ก็สู้แรงของผู้ชายตัวโตไม่ได้เลย
“ปากดีจริงนะ ไม่รู้ว่ายังจะดีเหมือนสามปีที่แล้วรึเปล่า”
พูดเสร็จคนตัวใหญ่ก็ลดหน้าลงมาทาบเรียวปากหยักของตนเองลงไปกับกลีบปากนุ่มของอีกฝ่ายอย่างจงใจ ความนุ่มนิ่มที่เพิ่งสัมผัสทำเอาคนที่ถือวิสาสะอยากจะละเลียดมันให้สมกับความต้องการ แต่ก็ต้องยอมถอนออกมาทั้งที่เสียดายจับใจ ยืนมองคนตัวเล็กที่เพิ่งหลุดออกไปจากอ้อมแขนแข็งแรงด้วยรอยยิ้มพราว
ฝ่ายนั้นหน้าแดงจัด คงไม่ได้แดงมาจากอารมณ์หวามไหว แต่คงเกิดจากอารมณ์โกรธเสียมากกว่า ที่ถูกขโมยจูบไปต่อหน้าต่อตา
“ไอ้หื่นกาม! แกกล้าเอาปากสกปรกนั่นมาโดนปากฉันงั้นเหรอ!” ทับทิมกำมือแน่น โกรธจัดเพราะเสียท่าให้คนตรงหน้าทำเรื่องไร้มารยาทกับตัวเองอีกครั้ง
“เธอนี่จะกี่ปีๆ ก็ยังจูบไม่ได้เรื่องเหมือนเดิม” ปุณยิ้มน้อยๆ แล้วเดินหันหลังกลับไปยังห้องจัดเลี้ยงด้านนอก ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนโกรธหน้าดำหน้าแดงอยู่ที่เดิมด้วยความรู้สึกขบขัน
แต่อย่าหวังเลยว่าเขาจะได้เดินกลับออกไปดีๆ เหมือนใครหลายคนหวัง เพราะจู่ๆ ก็มีรองเท้าส้นสูงลอยละลิ่วเข้ากระแทกตรงกลางหลังพอดิบพอดี จนชายหนุ่มถึงกับร้องโอ๊ยขึ้นมาด้วยความเจ็บ
“จะกี่ปีๆ คนโง่ก็คือคนโง่อยู่เหมือนเดิม!”
พูดแล้วก็เดินกระเผลกๆ เพื่อเก็บรองเท้าที่ปาออกไปขึ้นมาใส่เหมือนเก่า พร้อมเดินผ่านร่างสูงที่ยังคงดิ้นไปมาด้วยความเจ็บอย่างไม่แยแสแม้แต่หางตา ก่อนจะเดินไปบอกเพื่อนฝูงว่าขอตัวกลับก่อน เพราะหมดอารมณ์สังสรรค์แล้วในคืนนี้

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 พ.ย. 2555, 10:21:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ต.ค. 2556, 14:07:07 น.
จำนวนการเข้าชม : 2485
1. ขิงแรงมา ข่าจัดให้ >> |


สิรินดา 30 พ.ย. 2555, 13:22:37 น.
แวะมาทักทายค่ะ
แวะมาทักทายค่ะ

Zephyr 1 ธ.ค. 2555, 00:39:57 น.
ตามมาเชียร์........ปุณ หรือ ทับทิม ดีนะ คริคริ
ตามมาเชียร์........ปุณ หรือ ทับทิม ดีนะ คริคริ


นางสาวปลาดาว 11 ธ.ค. 2555, 20:24:41 น.
นางเองโหดไปนะตัวเอง ^^
นางเองโหดไปนะตัวเอง ^^

ตถตา 21 ม.ค. 2556, 07:40:56 น.
แค่บทนำ ก็แซ่บ
แค่บทนำ ก็แซ่บ