เกลียดนักดันรักเธอ
ก็คนเกลียดกันมาตั้งนาน จะให้รักกันแบบธรรมดาๆ ได้ยังไง?
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 1. ขิงแรงมา ข่าจัดให้

หลังจากที่หลีกหนีออกมาจากงานเลี้ยงที่กร่อยลงไปถนัดตา นับตั้งแต่โดนรองเท้าส้นสูงของใครบางคนกระแทกใส่จนเจ็บไปทั้งหลัง หนุ่มร่างสูงรูปหน้าคมคาย ค่อนไปทางตี๋นิดๆ ก็รีบบึ่งรถของตัวเองไปยังจุดหมายที่พี่ชายสุดหล่อเรียกให้เขาออกไปรับ เนื่องมาจากความไม่สะดวกบางประการ ที่ทำให้เขาต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ซึ่งปุณเองก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี นั่นก็เพราะพี่เขาเป็นดาราดังที่กำลังตกเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้

สถานที่ที่พี่เอริคนัดแนะให้ไปรับคือคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ทันทีที่รถของเขาเลี้ยวไปจอดยังจุดลับตาคน หนุ่มลูกครึ่งหน้าตาหล่อเหลาก็ผลุบขึ้นมาบนรถข้างคนขับ พร้อมสีหน้าเปี่ยมสุขจนปุณที่มองอยู่อดยิ้มตามไม่ได้

“มีอะไรรึเปล่า” ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีน้ำทะเลที่เพิ่งโดดขึ้นรถ เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เปล่า แค่เห็นพี่มีความสุข พี่ไม่รู้ตัวหรอกว่าตอนนี้หน้าพี่มันเปล่งประกายความสุขออกมาขนาดไหน” ปุณไหวไหล่ หันไปตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อ

“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมแกต้องเป็นคนมารับพี่” เอริคยิ้มกว้าง ปรับเบาะให้เอนลงเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตากับนักข่าว “แล้วงานวันนี้เป็นไงบ้าง”

“พี่ต้องไม่เชื่อแน่ว่าผมไปเจอใครมา” น้องชายยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับสาวน้อยคนหนึ่ง เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว

“ใคร?” เอริคนิ่วหน้า

“เพื่อนทอมสมัยเรียนมหา’ลัย ผมแทบจำไม่ได้เลย”

“ชอบเธอเหรอ?” คราวนี้พี่ชายเริ่มรุก จนทำเอาคนที่ฟังอยู่หนาวๆ ร้อนๆ อย่างไม่รู้ตัว

“รับรองว่านั่นจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะทำในชีวิต พี่ต้องเห็นตอนที่ยัยนั่นทำแสบไว้กับผม” ปุณส่ายหัวไปมา

“ก็แกกวนนี่หว่า” เอริคหัวเราะเบาๆ

“พี่รู้รึเปล่าว่าตอนสมัยเรียนยัยนั่นแทบจะฆ่าผมตั้งหลายทีแล้วด้วย” ดวงตาเรียวรีเพ่งมองไปด้านหน้า ขณะปากก็พูดไม่หยุด “ไม่รู้ว่าองค์ลงหรือว่ายังไง สาวทอมกลับใจใส่ชุดสวยออกงาน ผมไม่อยากเชื่อจริงๆ”

“พี่ว่าตอนนี้เธอครอบครองความสนใจของแกไปหมดแล้วละปุณ”

“ไม่เอาน่า พี่อย่าล้อผมเล่น ต่อให้ยัยนั่นเป็นผู้หญิงที่เหลือรอดเพียงคนเดียวบนโลกนี้ ผมก็ไม่มีทางสนใจเป็นอันขาด” พูดพลางหันหน้ามาขยิบตาให้กับพี่ชาย

“พี่จะคอยดู”

“ระวังจะรอเก้อนะครับ”

หนุ่มหน้าตี๋หัวเราะร่วน แต่ไม่วายหวนนึกไปอาการเจ็บแปลบๆ ตรงช่วงหลังที่ยังทิ้งรอยเอาไว้ หลังจากถูกหวดด้วยส้นสูงขณะขับรถพาพี่ชายสุดหล่อกลับบ้าน ท่ามกลางบรรยากาศเมืองใหญ่ที่ระยิบระยับไปด้วยแสงไฟจากตึกระฟ้ามากมาย



เสียงพูดคุยกันวุ่นวายเซ็งแซ่ดังมาจากมุมของห้องเสื้อสมถะ (SAMATA) หลังเวทีบางกอกแฟชั่นวีค ที่กำลังจะกลายเป็นห้องเสื้อชื่อดัง เพราะได้นายแบบระดับแนวหน้าของวงการอย่าง เอริค กวินทรา โรเซ็นเบิร์ก มาเดินให้ จนทำให้เจ้าของร้านอีกคนอย่างทับทิมต้องหัวหมุน เพราะต้องคอยตรวจงานก่อนให้นางแบบนายแบบใส่ขึ้นเวทีละเอียดยิบ ส่วนหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่เจ้าของร้านอีกคนอย่างพี่ส้ม คอยตอบคำถามนักข่าวเกี่ยวกับงานเดินแบบที่สามารถคว้าตัวนายแบบสุดฮอตอย่างเอริคมาได้ ว่าทำไมหนุ่มฮอตอย่างเขาถึงได้เปลี่ยนใจกะทันหัน ยอมมาโชว์กล้ามหน้าท้องบนแคตวอล์กครั้งนี้

ทับทิมอมยิ้ม เมื่อได้ยินพี่ส้มตอบแบบเป็นการเป็นงานถึงสาเหตุที่ทำให้เอริคเปลี่ยนใจ แต่จะมีใครรู้ดีไปกว่าพวกเธออีกว่า แท้ที่จริงแล้วนายแบบหนุ่มรูปหล่อกำลังคบหาดูใจกับดีไซเนอร์สาวสุดสวยประจำร้านนามว่าไอรีณอย่างลับๆ เพราะถ้าข่าวนี้รั่วถึงหูนักข่าวเมื่อไร สาบานได้ว่าไอรีณคงจะต้องถูกขุดคุ้ยชีวิตส่วนตัวโดยสื่อแน่ และเรตติ้งทั้งหลายของเอริคที่กำลังพุ่งแรงอยู่ในตอนนี้ จะต้องตกฮวบฮาบลงมาอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นหน้าที่เก็บความลับของซูเปอร์สตาร์ จึงต้องตกมาเป็นของพวกเธออย่างช่วยไม่ได้

“เรื่องจริงเหรอคะที่มีคนเห็นเอริคกำลังควงกับดีไซเนอร์ร้านของคุณส้ม” นักข่าวผู้หนึ่งเอ่ยถาม ขณะพี่ส้มกำลังถูกเหล่านักข่าวคนอื่นๆ รุมกดดันอยู่ด้านหลังเวที

“เรื่องนี้ส้มไม่ขอออกความคิดเห็นนะคะ เพราะส้มก็ไม่ค่อยรู้เรื่องส่วนตัวของพวกเขาเท่าไร ดังนั้นเรื่องนี้ส้มจึงให้คำตอบไม่ได้”

“พูดอย่างนี้ก็แสดงว่าคุณส้มกำลังปกป้องคนของตัวเองอยู่รึเปล่าคะ” แล้วเสียงซุบซิบก็ดังขึ้นจากนักข่าวพวกนั้น

ทับทิมที่ยืนเกาะขอบประตูห้องแต่งตัวนางแบบฟังอยู่อดสงสารทุกคนที่โดนลูกหลงจากข่าวพวกนี้ไม่ได้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบรรดานักข่าวทั้งหลายจะเลิกพฤติกรรมก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่นเสียที

“ส้มไม่ได้ปกป้องใครค่ะ ส้มไม่ทราบจริงๆ ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง เพราะถ้าเกิดส้มให้ข่าวไปผิดจากความจริง เดี๋ยวพี่ๆ นักข่าวก็จะมาเล่นงานส้มอีก”

“แต่จะเป็นไปได้เหรอที่คุณส้มจะไม่รู้เรื่องราวของเอริคเลย”

ยังไม่ทันที่พี่ส้มจะพูดอะไรอีก ก็ได้ยินเสียงนักข่าวที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งตะโกนโหวกเหวกขึ้นมา

“เฮ้ยๆ น้องไอร์มาแล้วเว้ยพวกเรา!”

สิ้นเสียงนักข่าวผู้นั้น บรรดานักข่าวที่ห้อมล้อมพี่ส้มอยู่ ต่างพากันกรูไปยังร่างสูงโปร่งของไอรีณ ที่ยืนทำตัวไม่ถูกอยู่หน้างาน

ทับทิมใจหายวาบ เมื่อเห็นเหตุการณ์เหมือนกำลังจะแย่ลง สาวหมวยรีบปราดออกมาหาพี่ส้มที่ทำท่าทางคล้ายคนจะเป็นลม หยิบยาดมขึ้นมาสูดเข้าปอดไม่หยุด

“โอ๊ย...เธอจ๋า แล้วคราวนี้ฉันจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย อยากจะตายจริงๆ เลย!”

“อย่าเพิ่งมาตายอะไรแถวนี้นะพี่ส้ม มาช่วยกันคิดก่อนว่าจะช่วยไอร์ยังไงดี”

ทับทิมเร่งพี่สาวให้เข้าไปคุยในที่ลับตาคนอีกหน่อย โชคดีที่ทุกคนให้ความสนใจไปยังไอรีณอยู่ จึงไม่มีใครทันสังเกตเจ้าของร้านสมถะทั้งสองกำลังสุมหัวคุยกันหน้าดำคร่ำเครียด

“ตายแล้วๆ ทับทิม พี่ส้มเห็นพวกนักข่าวรึยัง!”

ทอฟ้า...สาวแว่นผู้บอบบาง ทำหน้าที่บัญชีในร้านควบด้วยตำแหน่งเพื่อนอีกคนของสาวหน้าหมวย วิ่งหน้าตาตื่นมาจากห้องแต่งตัว ปรี่เข้ามาร่วมวงด้วยความตกใจ

“เห็นแล้ว” ทับทิมครางขึ้นมาด้วยความหนักใจ “แล้วเราจะเอายังไงกันดีล่ะ”

“นั่นสิ หรือว่าจะเข้าไปชิงตัวไอร์ออกมาจากฝูงนักข่าวดี” ทอฟ้าให้ความเห็นที่ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์ต่อสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแต่อย่างใด

“พอเถอะฟ้า ทิมว่าปล่อยให้เอริคเขาจัดการเรื่องของเขาดีกว่า บางทีเขาอาจจะมีความคิดดีๆ ก็ได้”

“อืม...นั่นสินะ เอริคคงไม่ปล่อยให้แฟนตัวเองโดนนักข่าวรุมหรอก”

พี่ส้มพยักหน้ารับคล้อยตามคำพูด เหมือนกับสาวแว่นอีกคนที่ยังคำทำหน้าเหยเกอยู่ แต่ก็พยักหน้าพร้อมกัน



และแล้วแผนของเอริคที่ทำให้ทับทิมต้องถามซ้ำก็คือ หลังเลิกงานเดินแบบให้แต่ละคนแยกย้ายกันกลับ โดยให้ไอรีณสลับเสื้อผ้ากับทอฟ้าเพื่อตบตานักข่าว แผนนี้จะแยกออกไปเป็นสามคู่ก็คือ หนึ่ง...คู่ของเอริคและผู้จัดการส่วนตัวที่จะคอยดึงนักข่าวเอาไว้ สอง...คู่ของพี่ส้มและทอฟ้าที่จะตบตานักข่าวเพื่อล่อให้ไปอีกทางหนึ่ง และคู่สุดท้ายก็คือคู่ของไอรีณและทับทิมที่จะต้องฉวยโอกาสในขณะที่นักข่าวกำลังเบนความสนใจไปยังสองคู่แรก แล้วหนีออกไปเงียบๆ

ทับทิมพยักหน้ารับอย่างไม่อิดออด รีบพาไอรีณลัดเลาะออกมาจนถึงลานจอดที่รถของเพื่อนสาวจอดอยู่ แต่แล้วทั้งคู่ก็ต้องชะงักงัน เมื่อเห็นนักข่าวบางคนเดินเพ่นพ่านอยู่บริเวณนั้นเพื่อดักรออยู่ที่รถ ทั้งสองจึงรีบปรึกษากันเป็นการใหญ่

“เอายังไงกันดีทับทิม” ไอรีณกระซิบเสียงเบา

“นั่นสิ ทิมว่าไอร์โทร.ไปหาเอริคดูก่อนดีกว่า เผื่อทางโน้นเขาจะมีแผนสำรอง” สาวหมวยออกความเห็นทันที เพราะเธอเองก็ไม่มีแผนสำรองสำหรับเรื่องนี้เช่นกัน

ได้ยินดังนั้นไอรีณจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาเอริคทันที ทั้งสองคุยกันไปได้สักพักก็สามารถหาทางออกได้ โดยเอริคจะส่งรถอีกคันมารับสองสาว หลังจากวางสายไปทั้งคู่ก็เริ่มกระสับกระส่ายด้วยความกลัวจะถูกจับได้เสียก่อน กระทั่งเสียงโทรศัพท์ของไอรีณดังขึ้นมาอีกหน พร้อมประโยคที่ทำให้คนฟังอย่างทับทิมต้องใจชื้น

“คุณขับรถมาข้างหน้าอีกหน่อยค่ะ”

แล้วสายตาของทับทิมก็เหลือบไปเห็นรถบีเอ็มดับบลิวสีดำค่อยๆ เคลื่อนตัวมาตรงจุดที่พวกเธอทั้งสองกำลังหลบอยู่ สาวผมสั้นมองเสี้ยวหน้าของเพื่อนรักด้วยใจระทึก ก่อนจะได้ยินไอรีณโพล่งออกมาด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้กัน

“ไปเร็วทับทิม!”

สิ้นเสียงหวานๆ ของไอรีณ ทับทิมก็ไม่สนอะไรทั้งนั้นรีบพุ่งตัวขึ้นไปบนรถอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เหล่านักข่าวพวกนั้นจะทันรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ แล้วบีเอ็มฯ คันดังกล่าวก็ทะยานออกไปจากลานจอดรถรวดเร็วดั่งพายุ

ทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถได้สาวผมสั้นก็นั่งตัวเกร็งในรถหรูอย่างไว้ตัว ด้วยเพราะไม่ได้รู้จักมักจี่กับหนุ่มคนขับเป็นการส่วนตัว แถมยังรู้สึกคุ้นเสี้ยวหน้าที่กำลังใช้สมาธิเพ่งมองถนน เพื่อเร่งความเร็วให้หนีรอดจากพวกนักข่าวเหล่านั้นอย่างตงิดใจด้วย

“ขอบคุณมากเลยนะคะที่ช่วยฉันไว้”

แล้วไอรีณก็ทำลายบรรยากาศชวนอึดอัดขึ้นมา พร้อมส่งรอยยิ้มผ่านกระจกหลังไปให้คนขับอย่างจริงใจ

“ไม่เป็นไรครับ” ทันทีที่หนุ่มผู้นั้นพูดเสร็จ ทับทิมก็จำได้แม่นว่าเป็นเสียงใคร อารมณ์แปรเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวโดยฉับพลัน เมื่อต้องโคจรมาเจอกันอีกรอบ หลังงานเลี้ยงรุ่นที่เพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน

น่าเจ็บใจนัก!

ทางด้านเจ้าของรถที่กำลังเอื้อมมือไปปรับกระจกมองหลังให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ก็ต้องชะงักกึก เมื่อเห็นภาพสะท้อนในกระจกมีหน้าบูดๆ ของใครบางคนที่นั่งเชิดคออยู่ด้านหลัง

“ยัยทอมโหด!” ปุณอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ

“ถ้ารู้ว่าคนที่เอริคส่งมาเป็นใคร ทิมขอยอมอยู่ในวงล้อมนักข่าวดีกว่าจะมานั่งเหม็นขี้หน้าใครบางคน” พูดพลางยกมือขึ้นกอดอกด้วยอาการเซ็งจัด

“รู้จักกันเหรอ?” ไอรีณถามด้วยความแปลกใจ

“ยิ่งกว่ารู้จักอีกครับ” ชายหนุ่มรีบออกโรงสำทับ พลางยิ้มกริ่ม เมื่อรู้ว่าตอนนี้โชคดีกำลังเข้าโคจรเข้ามาอยู่ในลักขณาของเขาเข้าอย่างจัง “นี่แหละ หัวหน้าทอมประจำรุ่น”

“ปากเหรอที่พูดน่ะ” คนที่ถูกยัดเยียดตำแหน่งให้ แหวขึ้นมาอย่างเหลืออด นี่ถ้าไม่เห็นแก่เพื่อน คงขอลงกลางทางตั้งแต่เห็นหน้าของผู้ชายคนนี้ไปแล้ว

ปุณยิ้มยั่วผ่านกระจกมองหลัง หลายครั้งนึกอยากเจอเธอผู้นี้อีกรอบ แต่ด้วยจนปัญญาไม่อยากจะสืบหาจากเพื่อนๆ ให้เสียหน้า จึงปล่อยเรื่องผ่านไปด้วยความเสียดาย แต่ทว่าในตอนนี้เขากลับได้โอกาสนั้นอีกครั้ง เมื่อจู่ๆ เจ้าตัวก็โผล่มานั่งรถคันเดียวกันอย่างไม่ทันตั้งตัว

น้ำขึ้นให้รีบตัก หยิ่งนักต้องเจอดี

“ก็ปากน่ะสิ หรือว่าอยากชิม” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยรอยยิ้มมุมปาก เมื่อเห็นคนหน้าบูดที่ยิ่งบูดลงไปอีก หลังได้ยินคำพูดของเขา

“สาบานได้ไอร์ ทิมไม่เคยรู้สึกอยากฆ่าใครเท่านายหน้าด้านนี่มาก่อนในชีวิต” ทับทิมพูดพลางกัดฟันกรอด ไม่นึกว่าโชคชะตาจะเล่นตลกกับเธอถึงเพียงนี้

“รู้สึกว่ากำลังถูกชมยังไงก็ไม่รู้แฮะ” ปุณพูดพลางยิ้มกว้าง

“อ้อ” ไอรีณรีบโพล่งขึ้นมา ก่อนที่เพื่อนสาวจะฟิวส์ขาด แล้วรัดคอคนขับรถจำเป็นตายไปเสียก่อน “นี่ใช่ไหมคนที่เจอตอนงานเลี้ยงรุ่น”

“อื้อ” ทับทิมพยักหน้ารับแกนๆ ไม่อยากจะรับผู้ชายจอมกะล่อนผู้นี้เป็นเพื่อนสักนิด

“แล้วนี่คุณจะให้ผมไปส่งที่ไหนครับ” ปุณเปลี่ยนเรื่องไปถามไอรีณแทน เพราะยังไม่อยากปั่นหัวคนขี้โมโห จนเธอทนไม่ไหว กระโดดลงไปจากรถเหมือนอย่างในหนัง

“เรานัดเจอกันที่บ้านพี่ชายคุณค่ะ”

“แล้วนี่ไอร์จะให้ทิมอยู่เป็นเพื่อนไหม ไม่รู้สิ...ทิมไม่ค่อยถูกชะตากับคุณป้าผู้จัดการส่วนตัวเท่าไรเลย” ทับทิมเอ่ยอย่างเป็นกังวล เพราะรู้สึกว่าซินแคลร์ผู้จัดการของเอริคนั้นมีอะไรที่เธอไม่ชอบอยู่พอสมควร

“ไอร์ขอบใจทับทิมมากจริงๆ นะ” ไอรีณจับมือเล็กของเพื่อนสนิทไว้แน่น “ถ้าไม่ได้ทับทิม ไม่ได้พี่ส้ม ไม่ได้ทอฟ้า ไอร์ต้องแย่แน่ๆ เลย”

“สบายมากหายห่วง เรื่องแค่นี้เอง คิดมากไปทำไมกัน ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ เพียงแค่เราต้องค่อยๆ แก้ไปเท่านั้นอย่ารีบร้อน” ทับทิมส่งยิ้มเพื่อปลอบขวัญเพื่อนสาวอย่างเข้าอกเข้าใจ

“อื้อหือ วาทะแห่งปี” คนที่นิ่งฟังมานานอดเปรยขึ้นมาไม่ได้ ขณะเคาะนิ้วเป็นจังหวะบนพวงมาลัยรถอย่างอารมณ์ดี

“รับรองได้ไอร์ ว่างานนี้ต้องมีใครสักคนได้เลือดตกยางออกแน่!” สาวผมสั้นเอ่ยเสียงห้วนด้วยความไม่สบอารมณ์ ก่อนจะตัดสินใจสงบปากสงบไปคำตลอดทาง



บ้านของนายแบบหนุ่มไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่ทับทิมคาดการณ์ไว้ เป็นเพียงบ้านชั้นเดียวสีขาวสะอาดทั้งหลังที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยลึกปลีกวิเวกออกมาจากความวุ่นวายของเมืองใหญ่ รถบีเอ็มฯ สีดำที่มาถึงก่อนใคร จอดเทียบข้างรั้วหน้าบ้านอย่างเงียบๆ แต่ใครจะรู้ว่าภายในกลับมีสมรภูมิเล็กๆ เกิดขึ้นอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน

“ทิมกลับแท็กซี่เองได้!” ทับทิมแหวขึ้นมา เมื่อได้ยินเพื่อนสาวแสดงความหวังดีจะให้หนุ่มหน้าตี๋ไปส่งที่บ้าน

“งั้นกลับกับพี่ส้มดีไหม” เมื่อเห็นท่าไม่ยอมฝ่ายเดียวของเพื่อนซี้ ไอรีณจึงหาทางออกที่ดีที่สุดให้อย่างช่วยไม่ได้

“ดี” อีกฝ่ายสำทับ “ถ้าให้ทิมกลับกับไอ้หื่น เอ๊ย ไอ้บ้านี่ วันพรุ่งนี้ไอร์รออ่านข่าวหน้าหนึ่งได้เลย คงได้ฆ่ากันตายบนรถนี่แหละ”

“แน่ใจเหรอว่าจะตายบนรถ บางทีเราอาจจะไปตายที่อื่นก็ได้นะ ที่ที่มันน่าสุนทรีย์กว่านี้น่ะ” ชายหนุ่มคนเดียวบนรถยังไม่วายยั่วให้สาวเจ้าอารมณ์บูดลงไปอีก

ทับทิมสะบัดหน้าพรืด ขยับตัวลงจากรถ ก่อนจะปิดประตูกระแทกเสียงดังสนั่น ไม่ใส่ใจว่าประตูมันพังไปบ้างหรือไม่ ปุณที่นั่งมองรถสุดที่รักโดนทารุณกรรมโดยคนร่างเล็ก ก็เกิดอาการของขึ้น รีบลงไปลับฝีปากกับเธอด้านนอกอย่างไม่ลดละ

“นี่เธอตั้งใจจะพังรถฉันใช่ไหม ยัยทอมโหด!” คนตัวสูงตวัดสายตาไปมองคนที่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนด้วยความโมโห

“รถแพงจะตาย แค่นี้กลัวเสียเหรอ” อีกฝ่ายลอยหน้าลอยตาตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“ถ้ามันเสียรับรองเธอได้จ่ายฉันอานแน่”

“แต่มันก็ไม่เสีย” ทับทิมพูดแล้วก็เอื้อมมือไปเปิดประตูรถ ก่อนจะกระแทกมันกลับเข้าไปแรงๆ อีกทีจนรถบีเอ็มฯ คันเก่งถึงกับเอียงวูบเพราะแรงกระแทก “เห็นมะ ครั้งนี้ก็ไม่ยักเสีย”

ปุณยิ้มเย็น พยักหน้าช้าๆ แม้ข้างในมันจะระอุ จนอยากจะมอบบทลงโทษสักบทหนึ่งให้อีกฝ่าย ทว่ากลับต้องยั้งตัวเองเอาไว้ เพราะมีสาวสวยอีกคนอยู่ในเหตุการณ์ แถมเธอคนนี้ก็กำลังจะมาเป็นพี่สะใภ้เขาในอนาคตอีกด้วย เธอคงไม่ยอมแน่ ถ้าเห็นเขาลงมือทำร้ายฉุด(ฆ่า)คร่าเพื่อนสาวปากดีของตัวเอง

ไอรีณที่นั่งกลั้นยิ้มอยู่ในรถ เห็นท่าทางจะบานปลายกันไปใหญ่ จึงเปิดประตูรถออกมาเพื่อสงบศึก เพราะก่อนที่เรื่องของเธอจะคลี่คลาย คงต้องขอความร่วมมือจากสองคนนี้อีกมาก หากมาทะเลาะกันเสียเองมันจะไม่รอดเสียเปล่าๆ

“ไอร์ว่าเราเข้าไปคุยกันในบ้านของเอริคดีไหมคะ อยู่ข้างนอกมันร้อนจะตาย” สาวร่างสูงโปร่งนำเสนอ พลางหันไปหรี่ตามองปุณอย่างขอคำตอบ

“ก็ดีครับ อยู่แถวนี้มันร้อนอย่างที่คุณบอกจริงๆ” ว่าแล้วก็เดินอ้อมรถไปยังบ้านหลังสีขาวตรงหน้า ปล่อยให้คนที่ถูกว่ากระทบกระเทียบเบะปากใส่อย่างไม่ยินดียินร้าย

“คุณมีกุญแจบ้านของเอริคใช่ไหมคะปุณ”

“ไม่มีครับ แต่ผมรู้ว่าอยู่ที่ไหน” พูดเสร็จร่างสูงโปร่งก็เดินไปยังข้างบ้าน ไม่นานนักก็ออกมาพร้อมกับกุญแจที่บอกไว้ ก่อนจะจัดแจงเปิดประตูบ้านเข้าไปอย่างถือวิสาสะ



หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมลับๆ ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยทิ้งซินแคลร์และไอรีณเอาไว้ที่บ้านของเอริค เพื่อที่ทั้งสามจะได้เคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยไม่มีบุคคลอื่น ดังนั้นจึงเป็นโอกาสอันดีที่ทับทิมจะขอตัวชิ่งกลับทันที ด้วยไม่อยากเห็นหน้าน้องชายเจ้าของบ้านแม้สักวินาทีเดียว

“งั้นทิมกลับกับพี่ส้มนะ” ทับทิมเอ่ยทันควัน ขณะทุกคนกำลังเดินออกมาขึ้นรถนอกรั้วบ้าน ได้ยินดังนั้นพี่ส้มก็แย้มยิ้ม ก่อนจะเปล่งเสียงที่บรรจงดัดให้หวานขึ้นมา

“ก็ไหนเธอบอกว่าเธอจะรีบกลับบ้านไม่ใช่เหรอ นี่เธอเปลี่ยนใจจะไปเจอลูกค้าพร้อมฉันกับทอฟ้าแล้วรึไง”

“ก็คนเรามันเปลี่ยนใจกันได้นี่ ว่าแต่พี่ไปนานรึเปล่า”

“คงนานพอดู แต่ฉันเปลี่ยนใจแล้วไม่ให้เธอไปด้วยหรอก เพราะฉันขี้เกียจขับรถอ้อมโลกไปส่งเธอ”

“อ้าว มาทิ้งกันอย่างนี้ได้ยังไงล่ะพี่ส้ม แล้วทิมจะกลับกับใคร” ทับทิมเม้มปากด้วยความขัดใจ ยิ่งเห็นสายตาขบขันของหนุ่มตัวสูงที่ลอบมองอยู่ ยิ่งรู้สึกเสียหน้าเป็นเท่าตัว

“แท็กซี่ก็ได้นี่ นะทับทิมจ๋าวันนี้พี่ขอหนึ่งวัน เพราะเสร็จจากนัดลูกค้าพี่ต้องรีบพาฟ้าไปเคลียร์บิลที่ร้านอีก” พูดไปก็อดเห็นใจน้องสาวไม่ได้ที่ถูกปล่อยเกาะ แต่ก็ไม่สามารถไปส่งได้จริงๆ เพราะมันจะทำให้เธอเสียเวลาไปมากกว่านี้

“ให้ผมไปส่งก็ได้ครับ สงสารคนไม่มีคู่ ท่าทางจะหาคนไปส่งยาก”

สิ้นเสียงทุ้มๆ ของปุณที่พูดขึ้น หลังยืนฟังอยู่นานสาวหน้าหมวยก็เบะปาก ตวัดสายตาไปมองคนพูดด้วยความหมั่นไส้ ยิ่งเห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มก็ยิ่งอารมณ์เสีย

“ไม่ได้ขอ” พูดพลางหันไปบอกพี่สาว “งั้นเดี๋ยวทิมกลับแท็กซี่ก็ได้ แต่ขอให้พี่ส้มไปส่งทิมที่หน้าปากซอยหน่อยก็แล้วกัน”

ว่าแล้วก็เดินไปขึ้นรถของพี่สาวหน้าตาเฉย ปล่อยให้ส้มกับทอฟ้าได้แต่ยิ้มขำๆ กับท่าทางเหมือนเด็กของเธอ ก่อนจะขอตัวเดินไปขึ้นรถอีกคน

ใช้เวลาไม่นานนักรถของส้มก็เคลื่อนตัวออกไปยังหน้าปากซอย ตามติดด้วยรถบีเอ็มฯ สีดำที่จงใจขับตามมาติดๆ จนกระทั่งเห็นหญิงสาวผมสั้นดัดลอนน้อยๆ ในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีน เดินลงมาจากรถตรงป้ายรถเมล์ด้านหน้าซอย พร้อมกับโบกมือลารถออดี้ที่ขับออกไป เห็นดังนั้นเรียวปากหยักได้รูปของคนที่มองอยู่ก็ยกขึ้นมาเป็นรอยยิ้มอย่างพอใจ

ทับทิมที่เห็นรถของคู่อริขับตามอยู่ไม่ห่างก็รีบโบกแท็กซี่อย่างรวดเร็ว เพราะไม่ต้องการลับฝีปากกับเขากลางแหล่งชุมชน พอขึ้นรถได้ก็รีบบอกให้คนขับออกรถทันใด แต่กลับถูกรถบีเอ็มฯ คันดังกล่าวไล่จี้อยู่ไม่ห่าง

“ถ้าพี่หนีไอ้รถเก๋งสีดำข้างหลังนี้ได้ เดี๋ยวหนูให้เพิ่มอีกสามร้อย” สาวน้อยพูดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ หลังเห็นรถเก๋งสีดำไล่จี้มาติดๆ จนคนขับต้องขมวดคิ้วมุ่น สลับกับมองภาพสะท้อนจากกระจกส่องหลังที่มีรถยุโรปราคาแพงตามอยู่ไม่ห่างอย่างครุ่นคิด

“มันไม่ดีมั้งคุณ ผมว่าคุณลงไปเคลียร์กันดีกว่าไหม”

“ห้าร้อย”

“แต่มันไม่ค่อยเหมาะมั้งคุณ”

“พันนึง ถ้าไม่เอาหนูก็จะลงตรงนี้แหละ”

“ได้เลยครับ จะให้ไปที่ไหนก็บอกมา” พูดเสร็จก็เหยียบคันเร่งจนมิด ส่งผลให้รถทะยานออกไปด้วยความเร็ว จนทิ้งระยะห่างอย่างเห็นได้ชัด

ปุณที่เห็นรถคันหน้าเร่งเครื่องขึ้นก็ยิ้มน้อยๆ แล้วเหยียบคันเร่งตามไปอย่างกระชั้นชิด ไม่มีทางที่จะให้อีกฝ่ายหนีรอดไปได้ง่ายๆ แต่ทว่าแท็กซี่คันดังกล่าวก็ยังคงเร่งความเร็วขึ้นไปอีก พร้อมกับหักเลี้ยวซ้ายโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว จนเกือบทำให้เขาพลาดท่าขับเลยไปไกล ยังดีที่ครองสติได้อยู่ชายหนุ่มจึงสามารถหักเลี้ยวได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็สร้างความหงุดหงิดใจให้เขาได้มากทีเดียว

อยากเล่นอย่างนี้เหรอทอมโหด

แล้วรอยยิ้มยียวนก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคาย ปุณเหยียบคันเร่งให้ลึกมากกว่าเดิม จนกระทั่งสามารถกลับมาตามติดท้ายรถแท็กซี่คันหน้าได้อีกครั้ง ก่อนจะกระหน่ำบีบแตรรัวๆ เพื่อยั่วโมโห

“ปิ้นๆๆ!”

หญิงสาวที่นึกว่าสลัดคนชอบกวนออกไปแล้ว ชักนั่งไม่ติด เมื่อได้ยินเสียงแตรดังสนั่นหวั่นไหว จึงหันไปมองด้านหลังก็พบกับรถเก๋งสีดำคันเก่าจี้มาไม่ห่าง แถมเจ้าของรถคันนั้นยังส่งยิ้มกวนโทสะกลับมาให้เสียอีก ทับทิมจึงถลึงตาเข้าใส่พร้อมนึกในใจ กะอีแค่ขึ้นแท็กซี่กลับบ้านทำไมมันถึงได้ระทึกใจขนาดนี้ไปได้!

ทางฝ่ายคนขับแท็กซี่เริ่มหน้าเปลี่ยนสี เมื่อเห็นรถคันหลังตามมาไม่ห่าง หนำซ้ำยังบีบแตรยั่วอารมณ์โกรธได้อย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดเขาก็โพล่งออกมาอย่างสุดทน

“ผมว่าคุณไปเคลียร์กับเขาให้รู้เรื่องดีกว่า เดี๋ยวคุณลงข้างหน้านี้ก็แล้วกัน เงินพันนึงอะไรผมไม่เอาแล้ว ประสาทจะเสีย!”

“อ้าว” ทับทิมโวยเสียงดัง หน้าตึงขึ้นมาทันที “พี่จะทิ้งผู้โดยสารอย่างนี้ไม่ได้นะ ไม่เอาหนูไม่ลง!”

“ลงไม่ลงผมก็จอดไล่แล้ว อย่าให้ผมต้องอารมณ์เสียไปมากกว่านี้เลย วันนี้ทั้งวันเจอแต่ลูกค้ากวนประสาท แล้วให้มาเจอแบบไอ้บ้าที่ตามหลังมาด้วยอีกคน ผมคงกลายเป็นประสาทไปด้วยพอดี”

พูดพลางส่งสายตาขุ่นมัวเชิงขับไล่ให้ผู้โดยสารสาวที่นั่งหน้าตูมอยู่เบาะหลัง พร้อมกับใช้นิ้วเคาะตรงมิเตอร์สีแดงที่แสดงตัวเลขเป็นจำนวนเงินที่ต้องจ่ายในการใช้บริการครั้งนี้

ทับทิมหน้าง้ำ ยื่นเงินให้ไปตามจำนวนที่เห็น แล้วรีบเดินลงมาจากรถด้วยความอับอายระคนโมโหที่ถูกลอยแพกลางถนน แถมยังต่อหน้าต่อตาคนที่เธอเกลียดสุดจิตสุดใจ

ปุณกระตุกยิ้มที่เห็นเสือสาวถูกถอดเขี้ยวเล็บ ค่อยๆ ขับรถไปหาคนร่างเล็กที่เดินจ้ำอ้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ ตามทางเท้า โดยไม่มีทีท่าจะหันกลับมาสนใจ รถเก๋งใหญ่เร่งความเร็วขึ้นไปจนกระทั่งสามารถตีคู่ได้สำเร็จ เมื่อได้จังหวะชายหนุ่มจึงเลื่อนกระจกด้านซ้ายลงมา เพื่อสะดวกแก่การต่อรอง

“ไงทอมโหด ไม่มีรถกลับบ้านสิท่า”

คนที่ถูกถามเหลือบมองด้วยหางตา ก่อนจะเริ่มออกเดินให้เร็วขึ้น เพื่อหนีให้ห่างคนที่ตามมาหลอกหลอนไม่หยุดหย่อน

“อ้าว...ถามไม่ตอบอีก หรือว่าจะต้องทำให้อายก่อน ถึงจะคิดออกว่าตัวเองก็พูดได้”

ไม่พูดเปล่ายังบีบแตรเสียงดังสนั่น จนชาวบ้านชาวช่องแถบนั้นหันมามองกันเป็นตาเดียว

ทับทิมข่มความโกรธเอาไว้อย่างยากลำบาก เชิดหน้าเดินต่อไปเรื่อยๆ พยายามทำหูทวนลมเพื่อตัดบท ฝ่ายชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนรถเห็นดังนั้นก็ยิ่งกระหยิ่มใจ บีบแตรให้ดังระรัวยิ่งกว่าเดิม พร้อมตะโกนบอกเสียงดัง

“ผมเข้าใจ ผมขอโทษที่ทำคุณท้อง แต่คุณอย่าทำอย่างนี้กับผมเลย ได้โปรดกลับมาหาผมเถอะที่รัก ยังไงซะผมก็รักคุณกับลูกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงนะทับทิม”

ประโยคที่เพิ่งได้ยินจากปากของคนที่ขับรถตามเธอมาติดๆ เล่นเอาหน้าชาไปถึงหู หญิงสาวใบหน้าแดงก่ำหันขวับมามองอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะสวนกลับทันควัน เพราะเริ่มอายสายตาของทุกคนที่มองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“หุบปากพล่อยๆ ของนายไปเลย แล้วบอกมาว่าจะเอายังไง!”

“ก็ขึ้นรถมาก่อนสิ แล้วฉันจะบอกว่าเอายังไง” ปุณยักไหล่ท่าทางกวนอารมณ์

“ฉันไม่ขึ้น มีอะไรก็พูดกันตรงนี้!”

“เอางั้นเหรอ” ปุณหรี่ตามองพร้อมรอยยิ้ม ก่อนพูดต่อเสียงดัง “ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่าเด็กในท้องเป็นลูกผมรึเปล่า แต่ยังไงผมก็จะรับผิดชอบคุณกับลูกนะทับทิม”

สิ้นเสียงทุ้มๆ ที่ดังพอจะได้ยินกันทั่วทั้งบริเวณ สายตาของทุกคนที่จ้องมองอยู่นั้น ก็เต็มไปด้วยความสมเพชเวทนา จนคนฟังโกรธตัวสั่นที่มาหาว่าเธอท้องไม่มีพ่อเช่นนี้

“ได้...อยากเล่นอย่างนี้ใช่ไหม” ทับทิมแสยะยิ้ม พร้อมก้มลงไปหยิบก้อนอิฐสีแดงที่แม่ค้าหาบเร่ใช้ทับชายแผ่นพลาสติกไม่ให้ปลิวไปกับลมติดมือขึ้นมา แล้วปาไปยังรถของชายหนุ่มอย่างแรงจนกระจกด้านข้างแตกร่วงลงมาดังสนั่น

เพล้ง!

“ทำอะไรของเธอน่ะยัยทอมโหด!” ปุณสบถดังลั่น หลังต้องยกแขนขึ้นมาปิดหน้าเอาไว้ กันเศษกระจกที่ปลิวเข้ามา ดีที่เป็นกระจกด้านหลังไม่ใช่ด้านหน้า ไม่เช่นนั้นเขาคงโดนลูกหลงไม่หัวแตกก็แขนหักแน่

“ซักผ้าอยู่มั้ง?” ว่าแล้วก็หัวเราะร่วนอย่างสาแก่ใจ

สมน้ำหน้า!

ได้ยินดังนั้นหนุ่มรูปหล่อก็เดือดปุดๆ รีบเอื้อมตัวไปเปิดที่เก็บของหน้ารถเพื่อควานหาบางสิ่ง ที่เขาได้มาจากเพื่อนตำรวจเมื่อนานมาแล้ว

“แน่จริงอย่าหนีก็แล้วกัน” ปุณกัดฟันกรอดพุ่งพรวดออกมาจากรถ พร้อมกระชากแขนเล็กๆ ของทับทิมอย่างไม่ปรานีปราศรัย

“จะทำอะไรฉัน ไอ้บ้าปุณ!” สาวผมสั้นร้องลั่น เมื่อถูกฝ่ายที่กำลังโกรธจัดล็อกแขนตัวเองเอาไว้ด้วยกุญแจมือสีเงินแวววาว

“ก็ที่รักชอบกุญแจมือไม่ใช่เหรอจ๊ะ มะ...เดี๋ยวจะพาไปฝากครรภ์!”






ดารานิล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ธ.ค. 2555, 00:29:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ต.ค. 2556, 14:07:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 2222





<< บทนำ   2. ดูช้างให้ดูที่หาง ดูนางให้ดูที่ตัวพ่อ >>
หนอนฮับ 2 ธ.ค. 2555, 00:50:33 น.
ชอบจัง กำลังเครียดๆ มาอ่านพี่ปุณ ว่าที่กิ๊กใหม่หนอน กวนใช้ได้ คริๆ อารมณ์ดีขึ้นเป็นกองงงง


Zephyr 2 ธ.ค. 2555, 17:58:09 น.
มากรี๊ดดดดดดด เอค ฮ่าๆๆๆๆ
ล้อเล่น เดี๋ยวปุณงอน คริคริ แต่เอคก็น่ากรี๊ดดดดดดด...ยัง...ยังไม่เลิก
ยกนี้ใครชนะเนี่ย ทับทิมสินะ อิอิ เธอช่างกล้า นายปุณช่างจำนะเนี่ย


พันธุ์แตงกวา 2 ธ.ค. 2555, 20:10:34 น.
มาส่งกำลังใจค่ะ^^


bow 2 ธ.ค. 2555, 23:26:05 น.
อั๊ยยะ.. มาแนวนี้ ก็รักเลยสิคะ..
ช้อบชอบ.. แอบเชียร์ทับทิมนะคะ ปราบนายปุณให้อยู่เลย ^^


กาซะลองพลัดถิ่น 3 ธ.ค. 2555, 01:27:35 น.
รอตอนต่อไปนี่มาปูเสื่อหอบหมอน (หลายใบ) คาดว่าอาจจะได้จิกหมอน (หรือ) ปล่าว จะยังไงแนวไหนก็รออ่านอยู่แล้วคะ


konhin 3 ธ.ค. 2555, 08:51:53 น.
แนวนี้ มันค่ะ รอค่ะ


kaelek 3 ธ.ค. 2555, 12:44:47 น.
เพิ่งเป็นแฟนคลับค่ะ เรื่องน่ารักดีค่ะ ชอบอ่ะ


นางสาวปลาดาว 11 ธ.ค. 2555, 20:31:07 น.
เค้าก็จะคอยดุเหมือนกัน^^


cherryfirm 3 ก.พ. 2556, 17:28:39 น.
เรื่องนี้น่ารักน่ากัดดีคะ รอตามชมต่อนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account