สื่อสลับขั้ว
เมื่อ "วุ้น" สาวหวานเรียบร้อย กับ "ปาล์ม" หนุ่มตี๋ขี้อาย คิดจะปลูกต้นรักออนไลน์ เลยร้อนถึงเพื่อนซี้ อย่าง "แพท" กับ "บิ๊ก" ที่ต้องเข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้คนทั้งคู่

ก็เพราะว่าจีบกันดีๆก็คงจะไม่สนุก จึงต้องลากเอาเพื่อนๆ เข้ามาวุ่นวายด้วย เนื่องจากสาวเจ้าไม่มั่นใจในความงามของตัวเองจึงส่งรูปเพื่อนสาวตัวดีไปให้หนุ่มดูซะได้ ทางฝ่ายชายก็กำมะลอไม่แพ้กัน ส่งรูปหนุ่มหล่อระเบิดมาให้สาววุ้นฝันหวานถึงขั้นเก็บไปเพ้อแล้วเพ้ออีก เรื่องราวรักวุ่นๆ ครั้งนี้จะลงเอยอย่างไร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 5

ร้านอาหารที่เป็นสถานที่นัดพบ เป็นร้านอาหารขนาดกลางบรรยากาศร่มรื่น ตัวร้านเป็นเรือนกระจกชั้นเดียว ภายในติดเครื่องปรับอากาศ ส่วนด้านนอกนั้นปลูกต้นไม้เขียวขจี ด้านหนึ่งของร้านมีโต๊ะอาหารตั้งอยู่ข้างละ เจ็ดแปดโต๊ะ อาศัยความร่มรื่นของไม้เลื้อยที่เกาะแน่นอยู่กับร้านอีกทั้งได้พัดลมขนาดใหญ่ที่เปิดเพื่อพัดไล่ความอบอ้าว ทำให้บริเวณที่นั่งด้านนอก อากาศไม่ร้อนมากนัก

หญิงสาวในชุดกระโปรงสีแดงเพลิง แต่งหน้าเข้มจัด สวมแว่นตากันแดดขนาดใหญ่ นั่งอยู่ภายนอกร้านเพียงคนเดียว บริกรคนหนึ่งกำลังยืนรอให้หญิงสาวสั่งอาหาร

“ขอน้ำส้มแก้วนึงนะ แล้วก็ขอเป็นสลัดกุ้ง ก็แล้วกัน”

บริกรหนุ่มจดรายการตามสั่งยิก ๆ แล้วผละไป ชายหนุ่มมองหนังสือบนโต๊ะอาหาร แล้วมองหน้าหญิงสาว สีหน้าแววตาประหลาดใจอยู่ครามครัน

พราวตะวันนึกฉุนกันสีหน้าท่าทางของบริกรหนุ่ม แต่ก็ไม่อยากจะใส่ใจนัก หยิบหนังสือที่วางบนโต๊ะมาเปิดอ่านต่อ ตาไพล่ไปมองชายหนุ่มที่นั่งยิ้มรื่นอยู่ในร้านก่อนที่จะตั้งสมาธิให้อยู่กับหนังสือตรงหน้า

ตาบ้าเอ้ย ! นั่งสบายใจอยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ ยังมีหน้ามายิ้มแป้นให้อีก ข้างนอกร้านจะตาย แหม นึกอยากให้มีกองถ่ายละครมาถ่ายทำแถว ๆ นี้อีก อยากรู้นักว่าจะทำหน้าระรื่นได้อีกไหมถ้าเจอกับมือตวงพร ตุ๊กแกสาวเข้า หน้าคงจะซืดเป็นไก่ต้ม จะหัวเราะให้ฟันหักเชียวคอยดู ไม่อยากจะสนใจ อ่านหนังสือเตรียมสอบระหว่างรอดีกว่า เอ๊ะ...ทำไมมันมืด ๆ อ้อ...ลืมถอดแว่นตา

หญิงสาวใช้มือพลักแว่นตาขึ้นคาดบนศีรษะ สังเกตเห็นหนุ่มอวบ ใบหน้าดูแล้วนึกรู้ได้ทันทีว่ามีเชื้อสายจีน เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะห่างจากหล่อนสามสี่ตัว ชายหนุ่มมองเข้าไปในร้าน ยังจุดหมายเดียวกับที่พราวตะวันเพิ่งจะละสายตามาเมื่อครู่

พราวตะวันดึงแว่นตากันแดดลงมาโดยอัตโนมัติ พลางแอบมองไปภายในร้าน ชายหนุ่มในร้านปรับท่าทาง ยามยิ้มแย้มสดใส กลายเป็นกระวนกระวาย มองนาฬิกาข้อมือสลับกับประตูหน้าร้าน

เล่นละครเก่งเหมือนกันนะพ่อคุณ ท่าทางจะเรียนจากนางร้ายนอกจอมาเยอะสิ หญิงสาวนึกแล้วฉุนขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ยิ่งเมื่อเห็นชายหนุ่มในร้าน ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลข จะโทรหาสาวที่ไหนอีกล่ะ พ่อหนุ่มเสน่ห์แรง

อุ๊ย...โทรศัพท์ใครดัง อ้าว ! ของเราเอง หญิงสาวยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูหมายเลขที่แสดงอยู่บนหน้าจอ เมื่อเห็นเป็นชื่อของชายหนุ่มในร้านก็กดรับสาย เอามือป้องปาก ลอบมองไปที่ชายหนุ่มอวบ เมื่อเห็นว่าไม่สนใจมองหล่อนแม้แต่น้อยก็กรอกเบาเกือบกระซิบ

“มีอะไรคะ”

“เจ้าปาล์มมาแล้ว คุณเห็นรึยัง”

“เห็นสิคะ เพื่อนคุณตัวซะขนาดนี้ ไม่เห็นคงแปลกพิลึก”

พราวตะวันลอบมองไปที่บดินทร์เห็นชายหนุ่มพูดสายเป็นปกติ แล้วลอบมองปริวัตรอีกครั้ง หนุ่มร่างอวบชะเง้อมองสลับไปมา ระหว่างโต๊ะของบดินทร์ในร้านอาหาร กับบริเวณด้านหน้าของร้าน

“เพื่อนผมยอมมาตามสัญญา ทีนี้คงต้องลุ้นเพื่อนคุณแล้วล่ะ ว่าจะมาไหม ถ้าเกิดจับให้เจอกันไม่ได้วันนี้ ยังไงคราวหน้ากลับมาจากเชียงใหม่คงต้องจัดการให้เจอกันให้ได้เสียที”

“ค่ะ…เอ่อ... โทษนะคะ แล้วจะดีมาก ถ้าคุณเลิกมองฉันแบบ...เอ่อ...แอบขำได้ไหมคะ คุณเป็นคนบอกเองว่าถ้าฉันจะตามมาดูลาดเลาต้องอย่าให้ใครจำได้ เพราะทั้งยายวุ้น ทั้งคุณปาล์มอาจจะจับได้”

บดินทร์เสหัวเราะเบา ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มองมาทางหล่อนแม้แต่น้อย ยังคงสีหน้าปกติ เหมือนปลายสายไม่ใช่หญิงสาวที่นั่งอยู่นอกร้าน เห็นหน้ากันถนัดชัดเจนอย่างนี้

“ผมไม่ได้ขำที่คุณปลอมตัวหรอกนะ แต่ดู ๆ การลักษณะท่าทางคุณตอนนี้แล้ว ไม่น่าจะใช่คนที่มานั่งอ่านตำราเรียนอยู่หรอกนะ ผมว่ามันแปลก ๆ”

ว้าย...ตายจริง ลืมไปสนิท คิดแต่ว่าอีกแค่สัปดาห์เศษ ๆ ก็จะถึงวันสอบแล้ว เลยติดไม้ติดมือมาอ่านฆ่าเวลาเสียหน่อย

พราวตะวันยิ้มแหยกับตัวเอง ก่อนที่จะค่อย ๆ เอามือกวาดหนังสือลงบนตัก แอบ ๆ ใส่กลับเข้าไปในกระเป๋าสะพายที่เจ้าตัวเลือกมาแล้วว่าเหมาะกับการปลอมตัวแบบนี้ที่สุด ก่อนที่จะหยิบนิตยสารแฟชั่นเล่มใหม่ล่าสุดที่หล่อนเก็บไว้ในกระเป๋าออกมาวางบนโต๊ะแทน

“ฉันลืมไปนี่คะ ก็มันใกล้สอบแล้ว กลัวอ่านไม่ทันน่ะ”

บดินทร์หัวเราะเบา ๆ อีกครั้ง ก่อนที่จะมองไปทางปริวัตรแล้วพยักพเยิดแสดงอาการรับรู้การมาถึงของเพื่อน ปริวัตรจึงหันไปสนใจกับรายการอาหารที่บริการเพิ่งจะยกมาวาง พราวตะวันสังเกตเห็นว่าหนุ่มร่างอวบเริ่มอ่านรายการอาหารให้บริกรฟัง คะเนว่าคงไม่ต่ำว่าห้าอย่าง ไม่แปลกใจสักนิดที่ปริวัตรจะรักษารูปร่างอวบอัดไว้ได้คงเส้นคงวาขนาดนี้

“เพื่อนผมมาแล้ว ว่าแต่เพื่อนคุณเถอะ ไม่รู้จะเบี้ยวอีกไหม”

“คงไม่มั้งคะ ฉันโทรไปเช็คก่อนหน้าจะเข้ามา เห็นว่าวันนี้ปิดร้าน จะมาตามนัด"

“งั้นเอาไว้ดูกันนะ หวังว่าคงจะจับคู่นี้เจอกันได้สักที”

“ค่ะ”

พราวตะวันตอบรับ ก่อนที่จะกดตัดสาย หยิบเอานิตยสารบนโต๊ะมาเปิดอ่าน แล้วลอบมองเหตุการณ์ต่อ





พราวตะวันเพิ่งจะตักสลัดกุ้งเข้าปากได้สองสามคำ ก่อนที่จะเห็นรถยนต์ญี่ปุ่น คุ้นตาคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดในลานจอดรถ จากนั้น หญิงสาวคุ้นตาคนหนึ่งก็ก้าวลงมาจากรถ

เวณิกาสวมชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อน ซึ่งในสายตาของพราวตะวันนั้น เรียกได้ว่าเกือบเชยเลยทีเดียว หากแต่เป็นการแต่งกายที่เข้ากับบุคลิกของหญิงสาวที่สุด จึงดูไม่ขัดตา อาจจะเรียกได้ว่าทำให้เวณิกาเป็นผู้หญิงที่ดูเรียบแต่น่ารัก ไปอีกแบบ

พราวตะวันถอนใจ นึกอยากให้เพื่อนมีความมั่นใจมากกว่าที่เป็น เพราะแม้จะแต่งตัวได้รับกับบุคลิกของตนเองแล้ว เวณิกาก็ยังดูขาดความมั่นใจ เก้อเขิน หญิงสาวยืนอยู่ข้างรถของตัวเองเนิ่นนาน อย่างชั่งใจ ก่อนที่จะตัดสินใจ เดินตรงมายังประตูร้าน

หญิงสาวที่ปลอมตัวนั่งรอเพื่อนอยู่ตอบตัวเองไม่ถูกว่า โล่งอกหรือใจหาย ที่เรื่องทำท่าว่าจะลงเอยด้วยดี ถ้าหากเวณิกายอมบอกความจริงกับบดินทร์ ตามแผนการที่วางไว้บดินทร์ก็จะบอกความจริงให้เวณิการู้และเรียกปริวัตรเข้าไปนั่งคุยกับเวณิกา เป็นอันจบ หญิงสาวสะท้อนใจเมื่อนึกถึงคำว่าจบ หากไม่มีเรื่องให้ต้องวางแผนจับคู่ปริวัตรกับเวณิกาแล้ว ไม่รู้ว่าหล่อนกับบดินทร์จะมีอะไรให้ได้ติดต่อ พูดคุยกันอีกหรือไม่

นึกหวั่นในใจว่า บดินทร์อาจจะเลิกติดต่อกับตน เมื่อแผนการสำเร็จ แล้วหล่อนก็จะไม่ได้เห็นรอยยิ้มกระจ่าง ไม่ได้ยินเสียงนุ่มไพเราะ ของเขาอีก เอาล่ะ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป พราวตะวันบอกตัวเองอย่างตัดใจ ก่อนที่จะนึกถึงเหตุการณ์ที่จะเป็นไปได้ทางอื่น

บดินทร์อาจจะติดตาต้องใจ ในความเรียบร้อย สุภาพอ่อนหวาน ของเวณิกาเข้าจริง ๆ ก็ได้ เวณิกาก็คงจะได้สมหวัง ถ้าหากหล่อนคิดว่าชายในฝันจริง ๆ นั้นคือชายหนุ่มที่ตนหลงรูปโฉม ไม่ใช่ชายหนุ่มที่ตนพูดคุยถูกคอ แต่ปัญหาคือบดินทร์กับปริวัตรอาจจะต้องมีเรื่องผิดใจกันได้อีก พราวตะวันนึกแปลกใจที่ตนดูจะห่วงเรื่องของบดินทร์มากกว่าเรื่องของตัวเองเสียด้วยซ้ำ





เวณิกาก้าวเข้าไปนั่งที่โต๊ะซึ่งบดินทร์รออยู่ก่อนแล้ว จากมุมที่มองอยู่นั้นพราวตะวันเห็นแต่หน้าของบดินทร์ ส่วนเวณิกานั้นนั่งหันหลังให้ บดินทร์เรียกให้บริกรนำรายการอาหารมาให้หญิงสาว เวณิกาเปิด ๆ ดูสักพัก ก็หันไปสั่งอาหารกับบริกร แล้วหันไปพูดอะไรกับบดินทร์

ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำ แล้วถอนใจ ลอบมองออกมานอกร้าน สบตากับพราวตะวันขณะหนึ่ง แล้วชวนเวณิกาคุยอะไรต่อ

พราวตะวันมองปริวัตรลอดแว่นสายตา หนุ่มร่างอวบมองนิ่งเข้าไปในร้าน ไม่สนใจอะไรอย่างอื่น หญิงสาวคาดเดาว่าคงเป็นเพราะประหลาดใจ ที่หญิงสาวที่มาพบบดินทร์ไม่ใช่คนที่เขาคาดคิดเอาไว้

สองหนุ่มสาวในร้านอาหาร พูดคุยกันนับแทบนับคำได้ ยังไม่มีวี่แววว่าบดินทร์จะกวักเรียกปริวัตรให้เข้าไปในร้าน หนุ่มร่างอวบที่นั่งรอนอกร้าน จึงก้มหน้าก้มหน้ารับผิดชอบอาหารที่ตัวเองสั่งมา สลับกับมองเข้าไปในร้านเป็นระยะ ๆ ส่วนพราวตะวันนั้น รู้สึกว่ามีอะไรผิดแผนแน่ ๆ จึงนั่งละเลียดสลัดกุ้ง รอฟังผลอย่างใจเย็น

พราวตะวันมองเข้าไปในร้านเป็นระยะ เมื่อมองผ่านกระจกตรงนี้ โต๊ะที่เป็นเป็นสายตา เหมือนภาพที่เห็นจากละครใบ้ ไม่ใช่เพราะหญิงสาวไม่ได้ยินว่า ทั้งสองพูดคุยอะไรกัน แต่เป็นเพราะทั้งสองไม่ปริปากพูดอะไรเลย ตลอดเวลาที่นั่งจัดการกับอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ หญิงสาวไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเวณิกาได้ แต่กับบดินทร์นั้น ชายหนุ่มดูอึดอัด วางตัวไม่ถูก

ปริวัตรนั้นเลิกสนใจภาพในร้านหันมาจัดการกับอาหารบนโต๊ะอย่างเดียว เห็นชายหนุ่มเคี้ยวตุ้ย ๆ ส่งอาหารเข้าปากไม่เว้นระยะแล้ว พราวตะวันพาลจะอิ่มไปด้วยเลยทีเดียว คนอะไรกินเก่งเสียจริง หญิงสาวคิดพลางสังเกตชายหนุ่มที่ตนคิดจะจับคู่ให้เพื่อน ปริวัตรนั้นแม้จะเจ้าเนื้ออยู่สักหน่อย แต่หน้าตานั้นไม่ได้ขี้ริ้วอะไร และด้วยความที่ดูเป็นคนอารมณ์ดี จึงทำให้ดูน่าคบหาอยู่ไม่น้อย

เมื่อต้องนั่งร้อนอยู่ข้างนอกแบบนี้ พราวตะวันยังอดที่จะหงุดหงิดเป็นพัก ๆ ไม่ได้แม้ว่าพอจะเดาผลได้ แต่ปริวัตรนั้นกลับนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่มีท่าทีว่าจะเบื่อหน่ายที่ต้องรอคอยเลย





กว่าพราวตะวันจะรู้ตัวอีกที เวณิกาก็ผละออกจากโต๊ะอาหาร เดินก้มหน้างุดไปที่รถ แล้วขับออกไป ปริวัตรมองตามรถยนต์ของหญิงสาวไป ก่อนที่จะหันไปมองในร้านอีกที บดินทร์กวักมือเรียกให้เพื่อนเดินเข้าไปหาในร้าน หนุ่มร่างอวบเดินเข้าไปในร้าน ทั้งคู่พูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ปริวัตรจะเดินคอตก ออกมานอกร้าน เรียกบริกรมาคิดเงินแล้วรีบขับรถออกไป

“จะรีบไปไหนของเขา พิลึกคนจริง”

พราวตะวันบ่นเมื่อเห็นรถยนต์ของปริวัตรแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว หันไปมองในร้านก็ไม่พบบดินทร์เสียแล้ว

“นี่ก็อีกคน แว้บไปไหนเร็วนักนะ”

“บ่นถึงผมอยู่เหรอคุณ”

เสียงของบดินทร์ดังขึ้นข้างหู ทำเอาพราวตะวันสะดุ้งเฮือก หันไปมองแล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ ชายหนุ่มก็นิ่งเฉยเหมือนไม่ได้ยินที่หญิงสาวพูด พราวตะวันขยับตัวจะเอาเรื่อง แต่แล้วกลับชะงักเมื่อ ชายหนุ่มนั่งลงฝั่งตรงข้าม ส่งรอยยิ้มละลายหัวใจมาให้

“แล้วคุณไปทำยังไงเข้า เพื่อนฉันถึงได้เผ่นไปโน่น ไม่เห็นพูดอะไรกันซักคำ นึกว่าดูหนังเงียบอยู่ซะอีก หรือว่ากับข้าวร้านนี้มันอร่อย ก้มหน้าก้มตากินกันเหลือเกิน เพื่อนคุณก็อีกคน สั่งกับข้าวตั้งห้าหกอย่าง กินคนเดียวเกลี้ยง”

บดินทร์ยิ้มสดใส มองหญิงสาวตรงหน้า อย่างเอ็นดู ก่อนที่จะกวักมือเรียก บริกรหนุ่ม ซึ่งคราวนี้ทำหน้างงจัดยิ่งกว่าเดิม

“ค่อยคุยได้ไหม ขอกินข้าวก่อน”

“อะไรกันคุณ ก็เห็นกินกับเพื่อนฉันแล้วไม่ใช่เหรอ”

“กินที่ไหนกันคุณ นั่งเขี่ยข้าวเป็นลูกฟุตบอลกันทั้งคู่ จนเพื่อนคุณเผ่นไป กับข้าวก็เย็นหมดแล้ว กินไม่ลง ขอกินก่อนก็แล้วกันนะ”

“ตามสบายเถอะค่ะ”

พราวตะวันตอบห้วนด้วยความหมั่นไส้ เก็บนิตยสารลงกระเป๋า ระหว่างที่ชายหนุ่มสั่งอาหาร จากนั้นจึงหยิบตำราเรียนขึ้นมาอ่านอีก บริกรหนุ่มทำหน้าเหมือนเห็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลกตั้งอยู่ตรงหน้า พราวตะวันอดอมยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเดินเกาหัวยิก ๆ เข้าไปในร้าน





พราวตะวันเปิดหนังสือเรียนอ่าน เลิกสนใจ บริกรที่มองมาทางหล่อนอย่างแปลก ๆ ระหว่างที่อ่านหนังสือ ก็เหลือบตามองบดินทร์เป็นพัก ๆ หญิงสาวรอจนชายหนุ่มรวบช้อนส้อม ดื่มน้ำเสร็จ จึงปิดตำราเรียน เอ่ยปากถามเรื่องที่สงสัย

“ตกลงเกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมเพื่อนฉันถึงจ้ำอ้าวออกไปเฉย ๆ ทำไมคุณไม่เรียกคุณปาล์มเขาเข้าไปคุย”

“คุณวุ้น เขามาในนามของคุณ”

ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ มองหน้าหญิงสาว ยิ้ม ๆ เมื่อพราวตะวันทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก

“คะ”

“คุณวุ้นเขามาในนามของแพท มาบอกผมว่าวันนี้ คุณ ไม่ว่าง ติดธุระด่วนมาพบผมไม่ได้ เขาก็เลยมาแทน”

บดินทร์ถอนใจ เมื่อพูดถึงตรงนี้ ขยับตัวไล่ความเมื่อยล้า แล้วกวักมือเรียกทำสัญญาณให้บริกรคิดเงิน

“เห็นเขาก้มหน้างุด พูดกับผม ก็สงสาร เลยชวนเขากินข้าวด้วย”

“แล้วก็เลยนั่งเป็นใบ้กันทั้งคู่”

พราวตะวันต่อให้ แล้วถอนใจหนักหน่วงกว่าบดินทร์ อิดหนาระอาใจกับเพื่อนสาว

“แล้วคุณปาล์มเขาว่ายังไงคะ”

“ก็ไม่เห็นว่าอะไรนี่ครับ พอผมบอก ก็รีบเดินก้มหน้างุดไปอีกคน ไม่รู้รีบไปไหนของเขาเหมือนกัน ท่าทางไม่ค่อยสลดเท่าไหร่”

“เพื่อนคุณนี่ ท่าทางอารมณ์ดีออกค่ะ ฉันว่าเขาคงจะไม่ได้คิดมากอะไร”

“อารมณ์ดีสิ เจ้าเล่ห์จะตาย ไอ้หมอนี่ เฮ้อ...เลยพลาดตามเคยนะ นึกว่าวันนี้จะจับคู่ให้ได้เจอกันแล้วเชียว”

บดินทร์พูดเหมือนเสียดาย แต่ลึก ๆ แล้วดีใจอยู่ไม่น้อย เพราะหากแผนจับคู่ปริวัตรกับเวณิกาสำเร็จ เขาก็คงลำบากใจที่จะติดต่อกับพราวตะวันต่อ ไม่แน่ใจว่าหญิงสาวยังจะยินดีที่จะพูดคุยกับเขาอีกหรือไม่

“เรื่องที่จะไปเชียงใหม่คุณจะไปเมื่อไหร่นะคะ”

“มะรืนนี้ ไปดูความเรียบร้อยก่อนวันงานวันนึงครับ เสร็จจากงานก็คงค้างอีกคืนแล้วเดินทางกลับตอนเช้า”

“เครื่องประดับของบริษัทคุณนี่นำเข้าไม่ใช่เหรอคะ ราคาคงสูงอยู่เหมือนกัน”

“ของผมทำครบวงจรนะ นำเข้าส่วนนึงเป็นบริษัทของผม แล้วบริษัทของคุณพ่อผมก็ผลิตส่งออก อันนี้เป็นงานของบริษัทใหญ่น่ะ พอดีเขาจะเจาะตลาดระดับกลาง เน้นเครื่องประดับที่ดูสวยเก๋ แต่ราคาไม่แพง”

พราวตะวันพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนที่จะนั่งเงียบ ไม่รู้จะซักถามอะไรต่อ พอดีกับที่บริกร นำเอาบิลค่าอาหารมาวาง ชายหนุ่มจึงควักบัตรเครดิตในซองธนบัตรส่งให้บริกร ก่อนที่จะเพ่งมองหน้าปกของตำราเรียนที่หญิงสาววางไว้บนโต๊ะ

“สอบกี่วิชาล่ะคุณ”

“สามค่ะ อีกอาทิตย์เศษ ๆ ก็เริ่มสอบตัวแรกแล้ว ฉันลงเรียนเทอมละมากตัวไม่ไหว นี่ยังเหลืออีกตั้งหลายตัว”

บดินทร์พยักหน้ายิ้ม ๆ นึกชื่นชมหญิงสาวตรงหน้า พราวตะวันแม้จะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย แต่ก็ไม่ยอมให้เสียการเรียน

“อดทนหน่อยเถอะคุณ เดี๋ยวก็จบแล้วล่ะ คุณเป็นคนเก่ง จบช้านิดหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก”

“แหม...งานที่ฉันทำน่ะ เงินดีก็จริงนะคะ แต่แก่ตัวไปก็ไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ ใครเขาจะจ้างไปทำ รีบจบรีบหางานทำจะดีกว่า”

บริกรนำบัตรเครดิตพร้อมสลิปมาวาง ชายหนุ่มลงลายมือชื่อในสลิปก่อนที่จะหยิบธนบัตรวางเป็นทิปให้ หนุ่มบริกรยิ้มแปล้ เมื่อเห็นจำนวนเงินที่บดินทร์วางลงบนถาด

“รีบกลับเถอะค่ะ มาวันนี้ฉันแทบไม่ได้อ่านหนังสือเลยสักตัว เพิ่งจะอ่านจบไปวิชาเดียวเอง”

บดินทร์พนักหน้ารับ ลุกขึ้นยืน รอจนหญิงสาวเดินนำไปก่อน จึงเดินตามไป ต่างคนต่างแยกย้ายขึ้นรถของตน ขับออกไป ต่างก็แยกจากกันด้วยอารมณ์อันชื่นมื่นเมื่อแน่ใจว่าจะต้องมีการพบกันครั้งต่อไป เพราะแผนการจับคู่ ยังไม่สำเร็จเสร็จสิ้น





บ่ายของวันหยุดเป็นเวลาที่เงียบสงบของบ้าน ตาพุธกับยายแวว จะนั่งอยู่ในห้องรับแขก เปิดเพลงฟัง พูดคุยกันสองคน พราวตะวันจึงเลี่ยงออกไปนั่งอ่านหนังสือที่ชิงช้าสองที่นั่ง มีโต๊ะกลางและหลังคา ความร่มรื่นของต้นไม้ที่ปลูกอยู่ในสนามหญ้าทำให้อากาศเย็นสบาย

หญิงสาววางหนังสือแล้วยกแก้วน้ำหวานที่ผู้เป็นยายนำมาให้ขึ้นดื่ม ใจนึกถึงชายหนุ่มที่บัดนี้คงจะอยู่ในเชียงใหม่ ง่วนอยู่กับการดูแลความเรียบร้อยของงานที่กำลังจะจัดในวันรุ่งขึ้น

บดินทร์โทรศัพท์หาหล่อนแต่เช้า พราวตะวันเพิ่งจะลืมตาตื่นยังไม่ทันจะลุกจากเตียงดี เนื่องจากอยู่อ่านหนังสือจนดึก จึงตั้งใจจะนอนเล่นต่อ หญิงสาวเห็นหมายเลขของบดินทร์ที่หน้าจอก็รีบกดรับสาย ความง่วงงันที่หลงเหลืออยู่เล็กน้อยเมื่อครู่ ไม่รู้หลบหายไปไหนเสียหมด

‘คะ’

‘อรุณสวัสดิ์ ผมกำลังรอขึ้นเครื่อง โทรมารายงานคุณว่าผมกำลังจะเดินทางแล้ว’

‘ทำไม คุณจะต้องโทรมารายงานอะไรฉันด้วยคะ’

พราวตะวันชะงักคำพูดว่า ‘เราไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อย’ เอาไว้ เพราะตรองแล้วว่าพูดออกไปตัวเองก็จะสะท้อนใจอยู่ไม่น้อย แม้จะเห็นว่าบดินทร์มีท่าทีสนใจ แต่ชายหนุ่มก็ไม่เคยแสดงออกหรือพูดจาอะไรกับหล่อนให้ชัดเจน

‘เอาน่า เอาเป็นว่าผมอยากรายงานตัวก็แล้วกัน นี่นายปาล์มเพื่อนผม สัญญาไว้ว่าจะไปเป็นเพื่อน ก็มากลับคำเอาเมื่อคืนนี้เอง บอกว่าช่วงนี้ที่ร้านยุ่ง พ่อเขาเลยขอให้อยู่ช่วย’

พราวตะวันกำลังจะพูดคุยซักถามอะไร แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อชายหนุ่มดังแทรกเข้ามา หญิงสาวจำได้ว่าเป็นเสียงตวงพร นางร้ายสาว

‘ท่าทางคุณจะมีเพื่อนรอขึ้นเครื่องแล้ว แค่นี้นะคะ ฉันกำลังจะอาบน้ำ’

‘เดี๋ยวสิคุณ เดี๋ยว ๆ อย่าเพิ่ง....’

พราวตะวันไม่สนใจ พูดตัดบทจบก็กดปุ่มตัดสาย แล้วโยนโทรศัพท์เคลื่อนที่ ลงบนฟูกข้าง ๆ ตัว อารมณ์ขุ่นมัวขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อนึกถึงว่า ตวงพรก็เดินทางไปเชียงใหม่กับคณะของบดินทร์ด้วย





หญิงสาวนั่งนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า แล้วอดตำหนิตัวเองที่วางสายใส่เขาไม่ได้ เพราะที่จริง พราวตะวันเห็นชัดเจนที่เดียวว่าบดินทร์นั้นไม่ได้สนใจตวงพรอย่างที่อีกฝ่ายพยายามจะทำให้เขาสน

ยายแววเดินออกจากตัวบ้าน พร้อมถาดที่บรรจุจานสาคูไส้หมูและผักสองสามชนิดเป็นเครื่องเคียง เมื่อมาถึงก็วางลงบนโต๊ะกลางของชิงช้า พราวตะวันยิ้มรื่น กอดเอวผู้เป็นยายด้วยความรักใคร่

“ขืน แพทอ่านหนังสือสอบอยู่บ้านบ่อย ๆ คงต้องกลิ้งไปไหนมาไหนแทนเดินแล้วล่ะค่ะคุณยาย”

“อ่านหนังสือมาก ๆ ก็หิวเร็วนะ กินรองท้องไว้ เดี๋ยวจะปวดท้องเอา”

ยายแววลูกศีรษะหลานสาวกำพร้าด้วยความเอ็นดู นั่งลงบนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ถามไถ่หลานสาว

“ได้เจอวุ้นเขาบ้างไหมลูก ยายไม่เห็นวุ้นเขามาเที่ยวบ้านเราพักใหญ่แล้วนะ”

“เจอบ้างค่ะ วุ้นเขาสนุกกับการทำร้านน่ะค่ะ คุณยาย เช้าทำขนมบ่ายขาย เย็น ๆ ค่ำ ๆ เก็บร้าน แพทเองถ้าไม่ไปหาเขาที่ร้านก็แทบจะไม่เจอกัน ขนาดคุณป้าแก้วจะจ้างคนมาทำงานให้ เขายังไม่ยอม บอกว่าอยากทำเอง”

“วุ้นเขาคงมีความสุขที่ได้ทำอะไรด้วยตัวเองนะลูก”

“ก็คงอย่างนั้นแหละค่ะ แล้ววันนี้คุณตากับคุณยาย ไม่ไปเดินดูต้นไม้กันเหรอคะ”

“ไม่ไหวหรอกจ้ะ ไปกันแทบทุกอาทิตย์ จนไม่รู้จะเอาต้นไม้ไปปลูก ไปวางตรงไหนของบ้านกันอยู่แล้วนะ”

พราวตะวันยิ้มให้ผู้เป็นยาย จิ้มสาคูไส้หมูเข้าปาก แล้วมองไปรอบ ๆ บริเวณที่เต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิดปลูกอยู่ทั้งไม้ยืนต้น และล้มลุก ทำให้บริเวณสนามหญ้าขนาดย่อม ๆ นั้นร่มรื่นเขียวขจี

เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ของหญิงสาวดังขึ้น พราวตะวันหยิบขึ้นมาดูหมายเลข ผู้เป็นยายตบศีรษะหลานสาว เบา ๆ แล้วลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในบ้าน เมื่อยายแววเดินพ้นไปสักระยะหนึ่งแล้ว พราวตะวันจึงกดรับสาย

“ว่าไงคะ เชียงใหม่เป็นไงบ้าง อากาศดีไหม”

“ร้อนตับแลบเลยล่ะคุณ เอ่อ...ผมมีอะไรจะขอร้อง”

เสียงชายหนุ่มในประโยคหลังนั้น จริงจัง อย่างที่หญิงสาวไม่เคยได้ยินมาก่อน คาดได้ว่าคงเป็นเรื่องสำคัญพอดู

“ว่าไงคะ งานคุณมีปัญหาอะไรรึเปล่า”

“มีครับ และคิดว่าคุณน่าจะช่วยผมได้นะ”

หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ กับน้ำเสียงร้อนรนของชายหนุ่มปลายสาย ตั้งใจจะให้บดินทร์คลายจากความกังวล

“ฉันจะช่วยคุณยังไงได้บ้างคะ”

ปลายสายเงียบไปสักครู่อย่างลังเล ก่อนที่จะโพล่งคำขอร้องที่แทบจะทำให้หญิงสาวตกชิงช้าออกมา

“คุณช่วยบินมาเชียงใหม่ได้ไหม เย็นนี้เลย”



กมลภัทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ธ.ค. 2555, 22:30:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ธ.ค. 2555, 22:30:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 1486





<< ตอนที่ 4   
กมลภัทร 6 ธ.ค. 2555, 22:31:37 น.
ตั้งใจจะโพสต์ทุกวันเสาร์ แต่ลืมไปสนิทครับ เดี๋ยววันเสาร์จะโพสต์ตอนที่ 6 ให้นะครับ

lovemuay >>>> เรื่องนี้สั้น ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนลองติดตามต่อนะครับ


wane 7 ธ.ค. 2555, 00:45:05 น.
คนเค้าจะสอบ ยังไปกวนเค้าอีกนะ นายบิ๊ก


lovemuay 7 ธ.ค. 2555, 09:04:48 น.
เอานางเอกไปเป็นไม้กันหมา รึป่าวเนี่ย อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account