ลิขีตรักใต้เงาทราย ภาค ดั่งแสงตะวัน
ฟายาส อับดุล ซาลามาล มกุฎราชกุมารหนุ่ม ผู้รอการราชาภิเษกให้ขึ้นเป็นสุลต่านองค์ต่อไป หน้าที่คือความรับผิดชอบต่อประเทศ เมื่อพี่ชายเลือกที่จะหลีกทาง เขาจำต้องรับหน้าที่ ที่ไม่เคยต้องการ หัวใจที่เรียบง่ายและเย็นชา บอกกับตนเองเสมอ ว่าจะไม่ขอรักใคร แต่แล้ว...เพราะ... เขาเพียงต้องการที่จะพักผ่อนก่อนที่จะต้องรับภาระหน้าที่...ที่สำคัญ แต่แล้วเพราะถูกลอบปลงพระชนม์ จึงทำให้ได้พบกับคนที่เขาสามารถรักได้ด้วยหัวใจ เธอก้าวเข้ามาในชีวิตของเข้า และจากไปพร้อมกับหัวใจทั้งดวง
Tags: ทะเลทราย

ตอน: ตอนที่ ๑๐

ตอนที่ ๑๐

“เกิดอะไรขึ้นเหรออิมมา”
วิเวียนถามเมื่อเดินชนแผ่นหลังกว้างของอิมมาเต็มแรง แต่ร่างสูงใหญ่กลับหันมาเอ่ยปากขอโทษแล้วอุ้มเธอขึ้นเดินมุ่งหน้าไปยังทางลับที่มีเพียงเขากับเจ้านายเท่านั้นที่รู้ว่าทางเข้าอยู่ตรงไหน
ท่าทางจะแย่แน่ อิมมาคิดขณะที่ควานหาไฟฉายกับถ่านก้อนใหญ่จากช่องลับ เขาต้องปกป้องคุณพยาบาลให้ดีที่สุด เวลานี้ขึ้นอยู่กับเมตตาของพระเจ้าว่าจะช่วยให้เขาทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดี
“เกิดอะไรขึ้นเหรออิมมา”
วิเวียนกระซิบถามอีกครั้งเมื่อแสงไฟในอุโมงค์สว่างขึ้นด้วยไฟฉายขนาดใหญ่ อิมมาส่ายหน้ายกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปาก สีหน้าเคร่งขรึมทำให้ความไม่สบายใจโถมทวีมากยิ่งขึ้น
สถานการณ์แบบนี้ไม่อำนวยให้ทำอะไรได้ดีกว่านั่งอยู่เงียบๆ ชายร่างยักษ์เดินนำเข้าไปในอุโมงค์จนกระทั่งถึงห้องโล่งๆ ภายนอกพวกนั้นยังเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ เพราะฉะนั้นเขาต้องเงียบยิ่งกว่า
กล้ามเนื้อทุกส่วนเครียดเขม็ง เขาพร้อมจะสู้ถ้าตัวคนเดียวแต่นี่คือหน้าที่ การปกป้องหัวใจของนายอันเป็นที่รักและเคารพสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด อิมมาหลบสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของหญิงสาว ไม่มีคำตอบใดๆ แต่ในใจตอบนี้บอกได้แต่เพียงว่า ไม่ว่าพวกนั้นจะเป็นใครคำสั่งคือใครแตะต้องตัวคุณพยาบาล...มันต้องตาย
อุปกรณ์ที่จำเป็นยังคงอยู่ในถุงใส เบาะสำหรับปูนอน ผ้าห่มและหมอนใบเล็กยังอยู่ในที่ของมัน อากาศในยามค่ำคืนไม่ค่อยเท่าไหร่ แม้จะหนาวแค่ไหนแต่ก็ยังมีผ้าห่มให้ความอบอุ่น แต่เมื่อถึงตอนกลางวันล่ะ ห้องนี้จะไม่ต่างอะไรจากตู้อบดีๆ นี่เอง
ไม่ใช่ว่าเขาทนร้อนไม่ได้ แต่อิมมาสาบานเลยว่าคุณพยาบาลคนสวยไม่มีทางทนได้ ดีไม่ดีจะไม่สบายเอาเพราะร่างกายยังไม่ค่อยแข็งแรง พวกศัตรูค่อยๆ เข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คงไม่มีใครบ้าพอที่จะมุดเข้ามาดูใต้เตียงแน่ๆ
“คุณพยาบาลนอนพักเถอะ อิมมาจะเฝ้าอยู่ตรงทางเข้าเอง”
อิมมาก้มศีรษะให้แล้วเดินย้อนกลับมานั่งตรงบันไดทางขึ้น มือข้างหนึ่งแตะปืนที่เหน็บตรงเอวไว้ หลับตาลงเพื่อพักสายตาแต่หูยังคอยฟังเสียงภายนอกและทุกครั้งที่ได้ยินเสียงอะไรผิดปกติ ร่างสูงใหญ่ก็จะผุดลุกขึ้นแล้วเอาหูแนบประตูทางขึ้น จนแน่ใจว่าทุกอย่างปกติจึงถอยกลับมานั่งที่เดิม

“ข้าอยากกลับมามัวร์”
ฟายาสออกอาการหงุดหงิดเมื่อต้องทนอยู่ในเมืองต่อไปเพื่อเตรียมต้อนรับหลายชายตัวน้อยที่จะเดินทางกลับสู่คาร์ซาน่าพร้อมกับพี่ชายตัวดีของเขา
“ถ้าอยากให้บลาสช่วยก็ต้องยอม”
จาร์คาพับหนังสือพิมพ์แล้วโยนมันลงบนโต๊ะตัวเล็กเมื่ออ่านข้อข่าวที่นักข่าวเขียนชื่นชมว่าที่สุลตาน่าองค์ต่อไปว่าสวยงามและมีน้ำใจงดงามจบ
“นักข่าวพวกนี้มองคนแต่ภายนอก”
น้ำเสียงบวกกับสายตาเคร่งเครียดทำให้ใบหน้าของฟายาสดูแข็งกร้าว หากแต่เมื่อนึกถึงกลีบปากนุ่มสีสวยราวลูกพีซของวิเวียนใบหน้าของเขากลับอ่อนโยนลง จาร์คาซ่อนยิ้มเอาไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย เขารู้ว่าญาติผู้น้องกำลังคิดถึงใคร เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรเท่านั้น
“พรุ่งนี้พองานเลี้ยงเลิก เจ้าก็รีบกลับไปหานางแค่นั้นเอง”
“ทำเป็นพูดดีไป ข้ารู้หรอกว่าท่านก็อยากไปหาพี่สะใภ้จะแย่”
ชายหนุ่มยักคิ้วล้อเลียน แต่ท่าทางเหล่านั้นกลับหายไปทันทีที่เห็น...
“ท่านแม่”
ฟายาสไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าเพราะคนที่เดินนำเข้ามา แต่เป็นเพราะหญิงสาวที่เดินตามหลังมา
“แม่อยากคุยเรื่องพี่ชายของเจ้า พอดีเจอลัยลาเลยชวนนางมาด้วยกัน”
ชารีฟโอบกอดลูกชายคนเล็ก นางดูออกว่าเขาไม่ชอบหน้าคู่หมั้นแต่ไม่คิดจะพูดอะไรออกมาในเวลานี้ ชารีฟมองว่าลูกชายยังไม่โตพอที่จะคิดอะไรให้ลึกซึ้ง นางเองก็ยังไม่อยากจะสอนอะไรมากไปกว่านี้ แต่สิ่งหนึ่งที่อยากให้เขาได้เรียนรู้คือ...
‘มิตรอยู่ใกล้หรือไกลระยะทางไม่สำคัญ หากแต่ศัตรูยิ่งร้ายเท่าใดเราต้องให้เขาอยู่ใกล้ยิ่งกว่า’
“งานทุกอย่างเรียบร้อยดีนี่ท่านแม่”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น จาร์คาอยู่ก็ดีแล้วป้ามีเรื่องอยากจะปรึกษา”
“ครับท่านป้า”
ชี้คหนุ่มขยับลุกขึ้นยืนแล้วย้ายมานั่งใกล้ๆ สายตาคมมองผ่านหญิงสาวผู้งดงามราวกับไม่มีตัวตนทำให้นางต้องซ่อนความโกรธกรุ่นเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มหวานละมุน นัยน์ตาคมดุฉายแววแข็งกร้าวเพียงชั่วครู่ก่อนจะลบเลือนไปในเวลาอันรวดเร็ว
“เรื่องที่คุยกันเกี่ยวกับอนาคตของคาร์ซาน่าและประชาชนทั้งหมด ลัยลาเองจะได้รับผลพวงจากการตัดสินใจในครั้งนี้ด้วย ถ้าลูกตกลงแม่จะคุยเรื่องนี้กับพ่อของลูกเอง”
ชารีฟมองหน้าลูกชาย หลังจากเฝ้าคิดมาหลายวันแม้ยังไม่รู้ว่าข้อสรุปจะจบลงตรงไหน แต่นางไม่มีทางยอมให้ประชาชนต้องอยู่ภายใต้การปกครองของคนร้ายกาจเช่นลัยลาเด็ดขาด
เมื่อสามวันก่อนราชินีแห่งทีจิส ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทมาหลายปีโทรมาคุยกับนางนับชั่วโมง เรื่องราวอันแสนร้ายกาจของเจ้าหญิงองค์เล็กและการคัดค้านการหมั้นในครั้งนี้ แต่กลับถูกปฏิเสธจากทุกคนเพราะต่างอยากส่งหญิงสาวให้ไปไกลที่สุด
ชารีฟฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วเกิดความกลัวว่า ความต้องการเป็นใหญ่ของลัยลาจะทำให้ทุกคนถูกกำจัดแม้ตอนแรกจะเกิดความลังเลแต่เพราะเพื่อนสนิทไม่เคยโกหกนางเลยสักครั้ง จึงให้คนเฝ้าจับตาดูว่าที่ลูกสะใภ้ตลอดเวลา
“ท่านแม่...ท่านแม่”
ฟายาสแตะมือแม่ของเขาเบาๆ
“ท่านพูดมาเถอะลูกยินดีรับฟัง”
“แม่จะให้บลาสขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งคาร์ซาน่าต่อจากท่านพ่อ ลูกคิดว่ายังไง”
เมื่อชารีฟพูดจบ ทุกคนในห้องต่างเงียบไป ลัยลาเบิกตากว้างแล้วแสดงอาการออกมาให้เห็นว่าไม่พอใจในสิ่งที่ได้ยิน นัยน์ตาที่จับจ้องใบหน้าสุลตาน่าแห่งคาร์ซาน่าแข็งกระด้างจนจาร์คารู้สึกว่าเจ้าของดวงตาคู่นั้นกำลังอยากจะทำร้ายใครสักคน
“จริงหรือท่านแม่”
ฟายาสร้องเสียงสูงแล้วจับมือทั้งสองข้างของแม่ขึ้นมากุมไว้ ลัยลาบิดริมฝีปากเพราะคิดว่าคู่หมั้นของนางคงไม่พอใจเช่นกัน แต่แล้วก็ต้องตะลึงอีกครั้งเมื่อได้ยินคำพูดต่อมา
“ข้าดีใจจริงๆ ท่านแม่พูดกับท่านพ่อเลย ยิ่งเร็วยิ่งดี...ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้อยากเป็นรัชทายาทเลยสักนิด”
ท่าทางดีใจของฟายาสยิ่งทำให้ความกดดันของลัยลาพุ่งขึ้นในชั่วพริบตา หญิงสาวกำมือแน่น ปลายเล็บจิกเข้าไปในอุ้งมือจนเลือดซึม พยายามสะกดอารมณ์เต็มที่
“ลัยลา เจ้าคงไม่คิดน้อยใจนะหากอนาคตเจ้าจะเป็นเพียงชีคาของแคว้นมามัวร์ ที่จริงแคว้นมามัวร์ก็ใหญ่พอๆ กับเมืองหลวงของเจ้าเลยนะ”
“ข้า...”
ลัยลาพูดไม่ออก ในใจกรีดร้องว่า...ข้าไม่ต้องการตำแหน่งชีคา สุลตาน่าต่างหากที่ต้องการ เจ้าหญิงแห่งทีจิสไม่มีทางเป็นเพียงเมียผู้ปกครองแคว้นกระจอกๆ เด็ดขาด... อารมณ์ในตอนนี้อยากกรีดร้องและอาละวาดแทบขาดใจ แต่ทำได้เพียงก้มหน้าลงเพื่อซ่อนความรู้สึกเอาไว้เท่านั้น
“คืนพรุ่งนี้หลังจากงานเลี้ยงจบแม่จะคุยเรื่องนี้กับท่านพ่อ ลูกคงต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกสักวันหรือสองวัน”
แม้อยากจะกลับมามัวร์มากแค่ไหน แต่นี่คือโอกาสที่มาถึงแล้วฟายาสไม่อาจทิ้งมันไปได้
“ข้ารอได้”
ชารีฟยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางชวนลัยลากลับที่พักระหว่างคิดว่าจะได้เห็นอาการอะไรบางอย่าง แต่หญิงสาวกลับเก็บอารมณ์ไว้ได้อย่างน่ากลัว เพราะเมื่อถึงที่พักเจ้าหญิงจากทีจิสก้มศีรษะเป็นการแสดงความเคารพ แล้วยิ้มให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ใบหน้าหวานไร้ร่องรอยของความไม่พอใจ แต่เมื่อประตูปิดลง...คำสั่งของหญิงสาวช่างน่ากลัวเหลือเกิน...
“อารียา ข้าอยากได้สุลตาน่าของคาร์ซาน่า พรุ่งนี้เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ก่อนงานเลี้ยงเลิกตุ๊กตาของข้าจะต้องมีคนอยู่ข้างใน”
เมื่อได้ฟังคำสั่งอารียาถึงกับนิ่งไปพักใหญ่ จนกระทั่งได้ยินเสียงกรีดร้องจากในห้องนอนจึงวิ่งเข้าไป ก่อนจะกระโดดหลบเมื่อแจกันใบใหญ่ลอยสวนออกมา
“นังแก่...คิดหรือว่าคนอย่างข้าจะกลัว ใครขวางมันต้องตาย ข้าจะต้องเป็นสุลตาน่า ข้าจะต้องยิ่งใหญ่แล้วหลังจากนั้นคนที่ไล่ข้าออกมาจากทีจิสจะต้องตายทุกคน ทีจิสจะต้องเป็นของข้า”
ถ้อยคำอาฆาตของลัยลาฟังดุดันจนไม่อยากจะเชื่อว่า หญิงสาวผู้งดงามจะมีฉากหลังที่น่ากลัวเช่นนี้ เสียงกรีดร้องโหยหวนทำให้คนฟังต่างขนลุกด้วยความกลัว รวมทั้งสาวเบดูอินร่างเล็กที่ค่อยๆ ถอยห่างออกไปเพื่อหวังแจ้งข่าวเรื่องนี้ให้กับชารีฟ
ฟรีมาเป็นคนของบาราส แต่เมื่อชี้คหนุ่มเดินทางไปเมืองไทยนานนางจึงเข้ามาช่วยงานชารีฟ และได้รับคำสั่งให้ทำงานชิ้นสำคัญเพราะเป็นคนสนิทเพียงคนเดียวที่ฟังภาษาทิจิออก ภาษาทิจิเป็นภาษาพื้นเมืองของทีจิส แม้มีคำบางคำออกเสียงคล้ายกันกับภาษาจาเรนซึ่งเป็นภาษาประจำชาติคาร์ซาน่าก็ตาม แต่ความหมายนั้นต่างกันอยู่หลายคำ
โชคดีที่ฟรีมามีป้าสะใภ้เป็นคนทีจิสจึงได้ภาษาทิจิเพิ่มมาประดับความรู้ แต่ตอนนี้หญิงสาวอยากให้ตนเองฟังมันไม่รู้เรื่องมากกว่า
“นั่นจะไปไหน”
ลัยลากรีดเสียงสูง เพียงก้าวไม่กี่ก้าวมือเรียวก็คว้าผมของฟรีมาไว้ได้ ใบหน้าของเจ้าหญิงผู้งดงามดูน่ากลัวเมื่อยิ้ม ฟรีมาได้แต่ส่ายหน้าทำมือบอกว่ากลัวก่อนจะตอนเป็นภาษาจาเรนรัวเร็วว่าตนเองไม่คุ้นกับเสียงดัง พอได้ยินเลยตกใจ
แต่อาการของฟรีมากลับทำให้ความกระหายเลือดสูงขึ้น ณ เวลานี้ลัยลากำลังอยากจะระบายอารมณ์ นางอยากเห็นเลือด อยากเห็นคนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ฝ่ามือที่เงื้อขึ้นสูงฟาดเข้าที่แก้มจนใบหน้าเบดูอินสาวสะบัด
ชั่ววูบหนึ่งฟรีมารู้สึกว่าแก้วหูลั่นเปรี๊ยะ ความรู้สึกชาเกิดขึ้นก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นปวดร้าวทั้งซีกหน้า น้ำตาของหญิงสาวไหลออกมาเมื่อพยายามถอยห่าง ลัยลามองภาพนั้นด้วยความสะใจ
นางกระชากมือตัวเองเข้ามาแล้วสะบัดออกไปอีกครั้งพร้อมทั้งปล่อยมืออีกข้างที่กำเส้นผมของหญิงรับใช้ออก ร่างเล็กกระเด็นไปจนศีรษะกระแทกขอบประตู เสียงร้องด้วยความเจ็บทำให้ลัยลารู้สึกดีขึ้น
“ข้าพอใจแล้ว เจ้าเอามันไปทิ้งที่ไหนก็ได้ให้ไกลๆ ตาข้า ไม่อย่างนั้น...ข้าอาจจะทนระงับอารมณ์ต่อไปอีกไม่ไหว”
ฟังดูเหมือนมีน้ำใจ แต่สำหรับฟรีมาหญิงผู้นี้คือปีศาจ มือเล็กๆ ยกมือขึ้นโบกเมื่อมีคนจะเข้ามาประคอง จากนั้นจึงแบกร่างกายอันบอบช้ำกลับไปแจ้งข่าวสำคัญแก่ผู้เป็นนาย
ท่าทางเดินโซซัดโซเซของสาวใช้ทำให้คนที่เพิ่งลงจากหลังอูฐหยุดมองด้วยความสนใจและสงสัย ชายร่างยักษ์เดินเข้าไปรับร่างที่กำลังทรุดตัวลงเพราะหมดแรงได้ทัน และได้ยินหญิงสาวพูดเพียงว่า... ‘พาข้าไปหาองค์สุลตาน่า...เดี๋ยวนี้ ช่วยพาข้าไปแจ้งข่าว...’จากนั้นก็หมดสติไป
เขาหันไปมองหน้าเพื่อนร่วมทางก่อนจะอุ้มร่างนั้นขึ้นแล้วเดินนำเข้าไปยังเขตหวงห้าม...เพื่อส่งหญิงสาวให้คนที่พวกเขากำลังไปพบ

แม้แสงแดดจะทำให้ร้อนและน่าอึดอัดมากแค่ไหน แต่ทหารที่ยืนเข้าแถวรอต้อนรับหลานชายคนแรกของฟายาสก็ยังคงยืนนิ่ง เขาเสียอีกที่ต้องเช็ดหน้าและจิบน้ำอยู่ตลอดเวลา ร่างกายที่ยังไม่เหมือนเดิมทำให้ความอิดโรยเผยออกมาจนผู้ติดตามต้องคอยมองเพราะกลัวว่าจะทรุดลงไป
ทันทีที่เครื่องบินของเดมอนลงจอด ฟายาสรีบเดินมาหยุดอยู่ที่บันไดเพื่อรอรับทุกคน ทหารเริ่มเป่าแตรเป็นสัญญาณก่อนที่จะเดินมายืนเรียงแถวจากเครื่องบินจนถึงด้านในที่พักเพื่อกันประชาชนที่มารอต้อนรับไม่ให้เข้ามาในเขตพรม
“องค์ชายฟายาส”
เสียงทักทายดังขึ้นจากหญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่สะใภ้ เมื่อเธอย่อตัวลงเล็กน้อยเขาจึงรีบก้าวเข้าไปประคองเอาไว้ มือข้างหนึ่งยื่นไปจับกับพี่ชายแล้วถูกบาราสดึงเข้ามากอดด้วยความคิดถึง
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”
“ขอบใจ”
ถ้อยคำที่พี่น้องกระซิบกันเบาๆ คือความสัมพันธ์ที่บอกให้รู้ว่าพวกเขาผูกพันกันมากมากขนาดไหน บาราสตบหลังน้องชายแล้วถอยกลับไปโอบกอดภรรยา กระซิบอะไรบางอย่างซึ่งหญิงสาวยิ้มตอบแล้วหันมาโบกมือกับผู้คนที่ยืนเบียดเสียดกันไปตลอดทาง
ฟายาสมองพี่ชายกับมาริตาพยายามประเมินจากความรู้สึกว่าประชาชนจะยอมรับหญิงสาวคนนี้ไหม หากอนาคตของคาร์ซาน่าจะอยู่ในมือของเธอ แต่เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีเขาก็แทบจะกระโดดจนตัวลอย
งานเลี้ยงต้อนรับบาราสและครอบครัวออกจะดูวุ่นวายแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น จาร์คาปฏิเสธที่จะอยู่ร่วมงาน เขาทักทายบาราสและมอบสร้อยทองประดับทับทิมให้กับมาริตาก่อนจะรีบกลับบ้านเพราะเป็นห่วงภรรยา
ฟายาสเองก็ไม่มีใจที่จะอยู่ร่วมงานถ้าไม่ติดตรงที่จะคุยเรื่องการถ่ายโอนอำนาจของรัชทายาทแห่งคาร์ซาน่า คืนนี้เขามองหลานชายตัวน้อยแล้วเฝ้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าถ้าวิเวียนมีลูกกับเขาหน้าตาคงจะน่ารักเหมือนกัน
หลายครั้งที่ลัยลาพยายามชวนคุยแต่ฟายาสเลือกที่จะคุยกับพี่ชายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้คู่หมั้นสาวแทบเก็บความโกรธกรุ่นเอาไว้ไม่ได้ ทุกคนทำเหมือนหญิงสาวเป็นเพียงอะไรบางอย่างที่ไร้ตัวตน แต่กลับเห็นหญิงสาวต่ำชั้นจากเมืองไทยกับเด็กหน้าตาน่าเกลียดสำคัญกว่า
สายตาของลัยลายามจับจ้องไปทั่วห้องนั้นเต็มไปด้วยความริษยา ไม่ว่าที่ไหนและเมื่อไหร่ความงามที่มีไม่เคยทำให้ทุกคนรักเธอได้เลย แต่หลังจากคืนนี้คนที่จะมีความสุขที่สุดจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก...เจ้าหญิงลัยลาเท่านั้น
ความคิดนั้นทำให้หญิงสาวยิ้มได้ แต่ไม่รู้เลยว่ามีคนๆ หนึ่งกำลังมองอยู่ จนกระทั่ง...
“เจ้าหญิงลัยลาดูเหมือนไม่สนุกกับงานเลี้ยง ไม่ทราบว่าท่านต้องการอะไรเพิ่มหรือไม่”
ชายร่างสูงในชุดหรูราคาแพงเดินเข้ามานั่งบนเบาะถัดไป เขาหยิบผลไม้ใส่ปากเคี้ยวแล้วยิ้มชวนใจละลาย
“เจ้าเป็นใคร...”
น้ำเสียงและท่าทางถือตัวไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มผู้มาใหม่รู้สึกอะไรมากไปกว่า...สนุก
“ข้าชื่อซียัค”
“ข้าไม่ได้อยากรู้ชื่อของเจ้า ที่ตรงนี้เป็นของคู่หมั้นของข้า เจ้าควรจะลุกไปเสีย”
ลัยลากัดฟันแน่น ความรู้สึกบางอย่างบอกว่าสายตาของผู้ชายคนนี้ไม่ได้ยิ้มให้แม้ริมฝีปากได้รูปจะฉาบรอยยิ้มไว้ก็ตาม
“เจ้าหญิง ข้าถามจริงๆ เถอะว่าท่านไม่รู้เลยหรือว่าคู่หมั้นของท่านเป็นเกย์”
“เจ้าเอาอะไรมาพูด เจ้าโกหก”
“ข้าพูดจริงๆ ฟายาสเป็นเกย์ แล้วท่านคิดว่าองค์สุลต่านจะยกตำแหน่งกษัตริย์ให้กับเขาจริงๆ หรือ”
คำพูดของซียัคฟังวนอารมณ์ อีกทั้งท่าทางยกแก้วเครื่องดื่มจรดริมฝีปากนั้นชวนน่าหมั่นไส้ ไม่เคยมีใครแสดงอาการพวกนี้ใส่หญิงสาวมาก่อน จึงทำให้เกิดความสงสัยว่าชายผู้นี้ไม่รู้เลยหรือว่าอะไรควรไม่ควร
“เจ้าจะไปไหนก็รีบไป คืนนี้ข้าได้ฟังอะไรตอะไรมามากพอแล้ว”
ลัยลาสูดลมหายใจเข้าพยายามกลั้นไว้ครู่ใหญ่แล้วระบายมันออกมาช้าๆ เพื่อสงบสติอารมณ์
“เหงาไม่ใช่หรือ”
หลังจากจบคำถามทั้งคู่ต่างคนต่างเงียบไป เวลาราวกับผ่านไปอย่างเชื่องช้า คำถามนั้นเหมือนซียัคพุ่งหอกเข้ากลางหัวใจมันปักลึกเข้าไปจนเลือดไหลนอง
“หุบปากของเจ้าเสีย ข้าไม่ต้องการฟังเรื่องใดอีกแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นคำถามข้าคงตรงเกินไป”
ซียัคยักไหล่ เขาลุกขึ้นช้าๆ เหมือนคนขี้เกียจแล้วเดินเข้าไปร่วมกลุ่มกับบาราส คาจาริลและฟายาส ไม่นานเสียงหัวเราะของหนุ่มๆ ก็ดังขึ้น ยิ่งทำให้หญิงสาวผู้สูงศักดิ์อยากรู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกันและเกี่ยวกับเธอหรือไม่
ในที่สุดเจ้าหญิงจากทีจิสเลือกที่จะลุกขึ้น เอ่ยคำลากับทุกคนแล้วจากมา สุลต่านคาซิมมองตามหลังว่าที่ลูกสะใภ้ไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง ลัยลาไม่แม้แต่จะเอ่ยปากแสดงความยินดีที่ครอบครัวของเขามีสมาชิกใหม่ ไม่...แม้แต่จะมองหน้าหลายตัวน้อยของเขาเลยสักแวบเดียว
“นางคงไม่ชอบเด็ก”
ชารีฟแตะมือสามีเบาๆ แล้วรับหลายชายมากอดก่อนจะส่งให้พยาบาลพิเศษเพราะดึกมากแล้ว บาราสกับมาริตาเดินตามลูกน้อยออกไปทันที หลังจากนั้นทุกคนเริ่มทยอยกลับกันจนเหลือเพียงฟายาสเท่านั้นที่จะต้องรอเพราะคืนนี้แม่ของเขาจะไปค้างด้วย
แต่ที่ชายหนุ่มไม่รู้คือนางไม่ได้ไปคนเดียว แต่กลับมีชายหนุ่มสองคนเดินตามมาด้วย ฟายาสชำเลืองมองชายร่างใหญ่แล้วบอกกับตัวเองว่าคนๆ นี้คุ้นตามาก แต่อีกคนนี่สิทำไมถึงตัวเล็กจนผิดจากชาวคาร์ซาน่าทั่วไป
“แม่จะให้เขาสองคนคอยดูแลลูก คนหนึ่งคอยรับใช้ อีกคนคอยคุ้มกัน”
“ไม่เป็นไรหรอกท่านแม่ ข้ามีอิมมาอยู่แล้ว”
ฟายาสรีบบอก ชารีฟจึงกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
“เจ้านอนคิดสักคืน พรุ่งนี้ก่อนที่แม่จะกลับ...แม่จะขอคำตอบอีกครั้ง”
เจ้าของห้องออกอาการไม่ใคร่พอใจนักเมื่อแม่เดินหนีไปอีกห้องซึ่งสมัยที่เขาปิดเทอมนางมักจะมาค้างบ่อยๆ เพื่อที่จะได้ทานอาหารเช้าและได้พูดคุยกับเขาให้หายคิดถึง ชายหนุ่มยกมือขึ้นเท้าเอวมองชายสองคนสลับกันไปมา ริมฝีปากบิดเล็กน้อยแบบเด็กเอาแต่ใจ
“เปิดหน้าสิ...จะปิดไว้ทำไม”
น้ำเสียงไม่สบอารมณ์นัก แต่เขาก็ยังควบคุมความรู้สึกได้อยู่เพราะรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของคนคู่นี้
“ข้าไม่เอาเจ้าทั้งสองคนหรอกนะ พรุ่งนี้เตรียมกลับไปกับแม่ข้าได้เลย”
ฟายาสหันไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียง สอดมือเข้ารองศีรษะพลางพ่นลมออกทางปากด้วยอาการเบื่อหน่าย
“ข้าไม่อยากเจอใครทั้งนั้น พวกเจ้ารู้ไหมข้าเบื่อจะแย่อยู่แล้ว อยากกลับไปหาคนรักก็ไปไม่ได้”
เสียงถอนหายใจสลับกับการบ่นทำให้คนตัวเล็กกว่าเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนข้างๆ อีกฝ่ายได้แต่ส่ายหน้าไม่ให้พูดหรือถามอะไร
“พวกเจ้าออกไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียว”
สิ้นคำสั่ง ชายทั้งสองคนพากันเดินออกมาแล้วนั่งลงตรงหน้าระเบียง ต่างคนต่างมองหน้ากันเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป
“เด็กดื้อ จนปานนี้ยังไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว”
คนที่นั่งรออยู่ตรงชิงช้าลุกออกมา ใบหน้าอ่อนโยนเผยรอยยิ้มเหนื่อยหน่าย
“ถอดแบบพ่อมาหมด ใจร้อน เอาแต่อารมณ์แล้วก็ตามใจตัวเองโดยไม่สนใจว่าคนรอบข้างจะคิดยังไง”
“ทำไมท่านถึงไม่บอกนายท่านว่าเกิดอะไรขึ้น”
ชายร่างยักษ์ถามขึ้น
“บอกว่ามีคนจะฆ่าเราน่ะหรือ เจ้าคิดดูนะ ถ้าฟายาสรู้ว่าลัยลาจะฆ่าแม่ของเขา จะฆ่าผู้หญิงที่เขารักอะไรจะเกิดขึ้น”
ความเงียบครอบคลุมไปทั่วบริเวณ ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เสียแล้ว
“แล้วท่านจะหลบนางอย่างนี้หรือ ข้าคิดว่า...”
“ปัญหาย่อมมีทางแก้ ขอเพียงมีสติเท่านั้น”
ชารีฟหันไปมองประตูห้องของบุตรชายแล้วถอนใจเบาๆ
"คงต้องใช้เวลาอีกสักพักฟายาสจึงจะเข้าใจ"




tonpalm
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 พ.ค. 2554, 14:01:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 พ.ค. 2554, 14:01:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 3786





<< ตอนที่ ๙   
XaWarZd 21 พ.ค. 2554, 14:35:55 น.
ขอให้ซารีฟปลอดภัย


แว่นใส 21 พ.ค. 2554, 22:37:34 น.
เขากลับมาให้เราอ่านแล้ว


น้องแสตมป์ 25 ก.ค. 2554, 18:39:30 น.
ตอนนี้อ่านแล้วนิน่า


ปูจ้า 9 ต.ค. 2554, 13:31:16 น.
ลัยลาร้ายจนคนอื่นๆเดือดร้อนไปหมด ตกนรกแน่ยัยลัยลา


ผักหวาน 5 ต.ค. 2557, 22:20:28 น.
มาอัพต่อเถอะค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account