กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 1


1…..


“อุแว้....”
เสียงเด็กแรกเกิดร้องไห้จ้า พร้อม ๆ กับความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวบรรเทาลง ทำให้อาซิ่วที่เพิ่งคลอดเด็กทารก ถอนหายใจหอบ ๆ ยกมือเช็ดเหงื่อเม็ดโต ๆ ตามใบหน้าตนเอง มองคนทำคลอดตัดสายสะดือทารกตัวน้อย ก่อนจะส่งเสียงอ่อนล้าถามว่า
“ป้าซำ ... ผู้ชายหรือผู้หญิง จ้ะ ..”
หญิงสูงวัยกว่าที่ถูกเรียกว่าป้าซำ มีสีหน้าไม่ยินดีนัก เมื่อตอบว่า
“ผู้หญิง”
“ผู้หญิงเหรอ .... “ อาซิ่วพึมพำเบาๆ อดผิดหวังนิด ๆ ไม่ได้ แม้ลูกคนนี้จะเป็นท้องที่สาม แต่นางก็ยังหวังจะได้ลูกชายมากกว่าลูกสาว เพราะการมีลูกชายมาก ๆ สำหรับคนจีนแล้วนับเป็นสิ่งที่ดี เป็นเกียรติภูมิของคนเป็นแม่ และถือว่าลูกชายเป็นสมบัติล้ำค่า
ป้าซำวางเด็กแรกเกิดที่ห่อด้วยผ้าเก่า ๆ ลงที่ข้างกายแม่ พลางบอกว่า “เสร็จเรื่องแล้ว .......ข้าไปละนะ”
“จ้ะ..... “ อาซิ่วตอบด้วยเสียงเนือย ๆ ไม่สดชื่นนักกับการเป็นแม่ในครั้งนี้ “ขอบใจมากนะป้าซำที่มาช่วย อั๊วคงไม่มีอะไรตอบแทน นอกจากไข่แดงสักสี่ฟอง แล้วจะให้อากิมเอาไปขอบคุณที่บ้าน”
“จ้ะ” ป้าซำรับคำ แล้วเปิดประตูไม้ของบ้านดินหลังเล็กและเก่าโทรมออกไป เดินไปตามตรอกแคบ ๆ ที่พื้นยังเป็นดิน บางช่วงดินก็แฉะ เพราะคนซักผ้าเทน้ำทิ้งออกมา จนดินกลายเป็นเลน ต้องเดินอย่างระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นอาจลื่นหกล้มได้ พลางบ่นพึมพำ “ซวยจริง ๆ เป็นผู้หญิงอั๊วก็เลยได้ค่าเหนื่อยแค่ไข่สี่ฟอง นี่ถ้าเป็นผู้ชาย อั๊วคงได้ไก่สักตัวสองตัวแน่ ๆ“
ส่วนอาซิ่วที่เพิ่งคลอดนั้นน้ำตาซึม ไม่ได้ซึมเพราะซาบซึ้งในการเป็นแม่ เพราะนางเป็นแม่มาแล้วสองครั้ง และสองครั้งนั้นก็ทำให้นางภูมิใจสมหวัง ผิดกับครั้งนี้ที่นางต้องผิดหวังที่ได้ลูกสาวแทนที่จะได้ลูกชายเพิ่มอีกสักคน นางรู้สึกเสียแรงที่อุตสาห์อุ้มท้องมานานถึงเก้าเดือนเต็ม นางจึงนอนนิ่ง ไม่เอื้อมมือไปโอบกอดลูกน้อยข้างกายที่กำลังส่งเสียงร้องไห้อยู่
ผัวะ .... ประตูไม้ถูกผลักเปิดออก แล้วชายวัยเกือบสามสิบที่แต่งกายซอมซ่อหาบตู้ใส่กับข้าวแห้งกระจุกระจิกสำหรับเร่ขายเข้ามาในบ้าน เขาวางหาบลง และยิ้มทันทีที่ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ เขาปราดมาที่ข้างเตียงเพื่อดูเด็ก
“อากิม” อาซิ่วเรียกเบา ๆ
อากิมเป็นสามีของอาซิ่ว และเป็นพ่อของเด็กหญิง
“อาตี๋หรืออาหมวย? “ อากิมถามอย่างตื่นเต้น
อาซิ่วอึ้งนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “อาหมวย”
นางคิดว่าจะเห็นท่าทีรังเกียจลูกสาวของสามี แต่ผิดคาด ... อากิมอุ้มทารกน้อยขึ้นมาโอบกอด และปลอบโยนว่า “โอ๋ ๆๆ ... ไม่ต้องร้องไห้นะคนเก่ง คนดีของพ่อ”
“ลื้อไม่โกรธอั๊วเหรอ?” อาซิ่วถาม
“โกรธลื้อเรื่องอะไร?” อากิมถามกลับ
“เรื่องที่อั๊วคลอดลูกเป็นผู้หญิง” อาซิ่วเอ่ยเสียงอ่อน นางไม่รู้หนังสือ ถูกฝังหัวด้วยความเชื่อที่ว่ามีลูกชายจึงจะดี ยิ่งมากก็ยิ่งดี มีลูกสาวมีแต่ขาดทุน จึงไม่อยากได้ลูกสาวเลยแม้แต่คนเดียว
“จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ลูกเหมือนกัน อั๊วจะโกรธลื้อทำไม” อากิมตอบประสาคนมีการศึกษาพอสมควร น่าเสียดายที่เขาไม่มีเส้นสายจึงไม่ได้ทำงานที่ดีไปกว่าการเร่ขายกับข้าว ข้าวต้มราคาถูก จำพวกถั่วลิสงคั่ว หัวผักกาดดอง
“ขอบใจลื้อมากที่ไม่โกรธอั๊ว”
ว่าแล้ว .... อาซิ่วก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง
“ไม่ต้องร้องไห้ .... เรามาคิดกันดีกว่าว่าจะตั้งชื่อลูกว่าอะไรดี” อากิมเอ่ยเบนความสนใจของภรรยา
“ชื่อเหรอ... ก็เรียกอาหมวยก็แล้วกัน” อาซิ่วไม่ค่อยสนใจเรื่องชื่อเสียงเรียงนามสักเท่าไร
“ไม่ได้สิ เป็นลูกผู้หญิงก็ต้องชื่อเพราะ ๆ ถึงจะดูมีค่า”
“แล้วจะให้ชื่ออะไร?” อาซิ่วถาม
“เง็กลั้ง ... ลื้อว่าดีมั้ย?” อากิมพูดชื่อที่เขาคิด แต่ยังถามความเห็นของภรรยา
“ชื่อสูงไปหรือเปล่า... เดี๋ยวคนจะหมั่นไส้เอา” อาซิ่วถาม
“ไม่หรอก ... ดูหน้าลูกเราสิ ปากนิด จมูกหน่อย โตขึ้นจะต้องสวยเหมือนดอกกล้วยไม้ ให้ชื่อว่ากล้วยไม้หยกน่ะดีแล้ว”
“ถ้าลื้อว่าดี อั๊วก็ว่าดี” อาซิ่วไม่แย้งอีก

........................................

อากิมเป็นคนขยัน เขาออกขายกับข้าวสำหรับข้าวต้มตั้งแต่ฟ้าไม่ทันสางดี ร้องขายไปเรื่อยตามตรอกซอกซอย หาบหาบกับข้าวที่ทำเป็นตู้ไม้ใบย่อมหน้าหลัง ความหนักของหาบทำให้ไม้คานไหวยวบ เหมือนกับจะหัก แต่ก็ไม่หัก กับข้าวที่เขาขายเป็นกับข้าวราคาถูกจำพวกถั่วลิสงคั่ว หัวผักกาดดองเค็ม เต้าหู้ยี้ มีแม้กระทั่งก้อนกรวดคั่วเกลือ ซึ่งเป็นของที่ขายดีที่สุด แต่ได้เงินน้อยที่สุด บางวันเงินจากการขายกับข้าวยังแทบจะไม่พอซื้อข้าวสารกรอกหม้อสำหรับห้าชีวิต มีเขา อาซิ่ว ลูกชายคนโต ลูกชายคนรอง กับเง็กลั้งลูกสาวคนเล็ก
แต่เง็กลั้งอาจจะไม่ได้เป็นลูกสาวคนเล็กอีกนานนัก เพราะอาซิ่วกำลังท้องแก่ใกล้คลอด – ลูกคนที่สี่ ซึ่งจะเป็นชายหรือหญิงเขาก็ยังไม่รู้
อากิมเดินหาบหาบที่หนักอึ้งร้องขายกับข้าวมาเกือบชั่วโมงแล้ว ยังขายอะไรไม่ได้เลย ทำให้เขารู้สึกท้อแท้ และอดหวนคิดถึงความสุขสบายในวัยเด็กไม่ได้
เขาเป็นลูกชายของเถ้าแก่เจ้าของร้านขายข้าวสารที่ใหญ่ที่สุดในตลาด แต่เขาเกิดจากเมียรอง มีพี่ชายที่เกิดจากเมียใหญ่ของพ่อคนหนึ่ง แม้ทั้งพี่ชายและแม่ของเขาจะไม่ชอบอากิมนัก แต่อยู่ต่อหน้าพ่อ ทั้งสองก็ไม่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง อากิมจึงอยู่สุขสบายเป็นอาเสี่ยน้อย (ลูกของเถ้าแก่) พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ ที่บ้านหลังใหญ่มีคนรับใช้หลายคน เรื่องกินอยู่นั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะอาหารที่เขากินนั้นเป็นอาหารชั้นดี ทั้งยังไม่ได้เรียนหนังสือในโรงเรียน
พ่อบอกเขาว่า “เรียนเก่ง ๆ เรียนสูง ๆ นะ ต่อไปจะได้เป็นเจ้าคนนายคน ส่วนร้านของเตี่ย เตี่ยจะยกให้พี่เขา เพราะพี่เขาเป็นลูกชายคนโต”
พอพี่ชายต่างมารดาของอากิมได้ยิน ก็รีบพูดว่า “เตี่ยไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อั๊วเป็นพี่ ยังไงอั๊วก็ต้องดูแลอากิม เพราะอากิมเป็นน้องชายคนเดียวของอั๊ว”
พ่อยิ้มด้วยความยินดี “ดีแล้ว ... ลื้อสองคนเป็นพี่น้องกัน ต้องรักกันมาก ๆ“
แต่พอพ่อตาย และแบ่งสมบัติ ... พี่ชายได้ไปเกือบทุกอย่าง ทั้งร้านข้าวสาร ทั้งเงินสด และตั๋วเงินจำนวนมาก รวมถึงที่ไร่ที่นาส่วนใหญ่ด้วย แบ่งเพียงที่นาผืนเล็ก ๆกับบ้านเก่า ๆ หลังเล็กที่เคยให้คนยากจนเช่าอยู่ให้กับอากิมและแม่
แม่ต้องพาอากิมซึ่ง ขณะนั้นมีอายุเพียง 12 ปี ออกจากบ้านหลังใหญ่ที่อากิมเกิดและอยู่มาตลอด มาอยู่ที่บ้านหลังเล็กและซอมซ่อหลังนี้
ถึงแม้ชีวิตความเป็นอยู่จะลำบากกว่าเก่ามาก แต่แม่ก็ไม่ยอมสิ้นหวังเสียทีเดียว แม่บอกกับอากิมว่า “เรียนให้ดีนะ เรียนให้สูง ๆ จะได้เป็นเจ้าคนนายคนตามที่เตี่ยต้องการ แล้วแม่เองจะได้มีหน้ามีตาให้คนที่ไล่พวกเราออกจากบ้านดูบ้าง”
“เรียนหนังสือต้องใช้เงินมากนะแม่ แล้วพวกเราจะเอาเงินมาจากไหน” อากิมถามมารดา
“แม่จะขายที่นาของพวกเราเอาเงินมาให้อากิมเรียน”
“แม่ของอากิมจัดการอย่างที่พูด ทว่าเงินจากการขายที่นาก็น้อยเกินไป ไม่พอส่งให้อากิมเรียนจบมหาวิทยาลัย เพียงชั้นมัธยม อากิมก็ต้องออกจากโรงเรียนแล้ว
อากิมเคยไปสมัครสอบแข่งขันเป็นเสมียนอำเภอ... ชื่อของเขาคิดหนึ่งในห้าคนที่สอบผ่าน เขาดีใจมาก
แต่แล้วความดีใจของเขาก็ถูกทำลายลง เมื่อที่ปรึกษานายอำเภอ บอกกับผู้สอบผ่านทั้งห้าว่า “อำเภอของเราต้องการเสมียนเพียงคนเดียว คนไหนเอาเงินค้ำประกันมาให้ก่อน ก็จะรับคนนั้นเป็นเสมียนอำเภอ”
เงินเหรอ ?
อากิมรู้ดีว่าเขาไม่มีทางหาเงินมาเป็นเงินค้ำประกันตำแหน่งเสมียนอำเภอได้อีก เพราะเงินก้อนสุดท้ายที่แม่ขายทองชิ้นสุดท้ายของแม่ ก็กลายเป็นสินสอดสู่ขออาซิ่วให้แต่งงานกับเขาไปแล้ว
ตอนนี้เขาต้องเป็นคนหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวให้ได้
เขาไปสมัครงานหลายที่ แต่ก็ไม่ได้สักที เพราะไม่มีเงินค้ำประกัน บางที่อะลุ่มอล่วย ว่า
“ไม่มีเงินค้ำก็ไม่เป็นไร ไปให้พี่ชายลงชื่อค้ำประกันมาก็พอ”
อากิมได้แต่นั่งคอตก จนอาซิ่วถาม เมื่อรู้เรื่องอาซิ่วก็ว่า
“ทำไมลื้อไม่ไปหาเขาละ? “
“อั๊วว่าไม่มีประโยชน์ ไปเขาก็ไม่ยอมลงชื่อให้ ซ้ำจะดูถูกเอาเปล่า ๆ”
“ลื้อไม่ทันทำก็คิดไปเอง ลื้อลองไปดู เขาอาจไม่เป็นอย่างลื้อคิดก็ได้” อาซิ่วว่า ยินดีต้อนรับเขาเลย ไม่แม้แต่จะเรียกให้นั่ง คำแรกที่เขาถามคือ
“ลื้อมาหาอั๊วเรื่องอะไร?”
“อั๊วจะมาขอให้พี่ช่วยลงชื่อค้ำประกันการทำงานให้หน่อย พี่ช่วยอั๊วหน่อยนะ” อากิมเอ่ยเสียงนอบน้อมแถมขอร้อง
“ลงชื่อ?” พี่ชายต่างมารดายิ้มเย้ย ๆ อั๊วเรียนหนังสือไม่สูง ถือพู่กันเขียนหนังสือมันหนักเกินไปสำหรับอั๊ว ลื้อไปหาคนอื่นเถอะ” แล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องด้านใน
อากิมหน้าชาแล้วชาอีก ออกจากบ้านหลังใหญ่นั้นมาพร้อมกับสาบานในใจว่า จะไม่มาเหยียบที่นี่อีกตลอดชีวิต!
สุดท้ายอากิมก็ตัดสินใจขายกับข้าวราคาถูกที่คนจนเอาไว้กินกับข้าวต้ม เพราะใช้ทุนน้อยที่สุด
วันแรกที่เขาหาบของขาย เขาต้องกล้ำกลืนน้ำตาลงคอไปหลายต่อหลายหน... จากมือที่เคยแต่จับพู่กันเขียนอักษร มาหาบคอนจนไหล่ช้ำระบบ แต่ชีวิตเกิดมาต้องสู้ อากิมจึงปล่อยให้น้ำตาไหลลงคอ ไม่ให้ไหลออกมาข้างนอกให้คนเห็น
ส่วนแม่ของอากิมนั้นตายหลังจากได้เห็นหน้าหลานชายคนแรกไม่ถึงเดือน นางพกพาเอาความไม่สมหวังไปสู่ปรโลกด้วย...

....................................

อากิมหาบหาบกับข้าวกลับมาบ้านเมื่อเวลาสาย พอวางหาบลงในที่ประจำ ก็เข้าครัวไปตักข้าวต้มที่มีน้ำมากกว่าเนื้อที่อาซิ่วเตรียมไว้ให้เป็นอาหารมื้อแรกของวันมานั่งกินอยู่ที่ลานบ้าน ขณะที่เขากำลังดื่มน้ำข้าว มือเล็ก ๆ ของเง็กลั้งที่มีอายุเพียงสองขวบครึ่งก็มาเกาะที่ตักเขา มองเขาด้วยดวงตาอันไร้เดียงสา เด็กหญิงสวมเสื้อผ้าเก่า ๆ ที่เหลือจากที่ชายทั้งสองคน
“เตี่ย ๆ ....”
อากิมลำคอตีบตัน ดูดกลืนน้ำข้าวไปแล้วคายเนื้อข้าวใส่มือป้อนให้กับลูกสาวคนเล็ก
เด็กหญิงกินข้าวคำนั้นอย่างมีความสุข ซึ่งประทับในดวงใจน้อย ๆ ไปตลอดชีวิต
“เอาอีก”
“หมดแล้ว” อากิมตอบลูกสาว พลางสูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อครอบครัวเขาจะท้อแท้ไม่ได้ เขาเอามือลูบศรีษะเด็กหญิงที่มีเส้นผมนุ่มเส้นเล็กที่ถูกถักเป็นเปียเล็ก ๆ สองเส้น “อย่าดื้อนะ เง็กลั้ง”
เด็กหญิงไม่ได้ตอบ เพียงมองเขาตาแป๋ว
อากิมเตรียมจะไปขายของต่อ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอื้นจากข้างในบ้าน จึงเดินไปตามเสียง เข้าไปในบ้านแล้วผลักประตูห้องนอน ก็เห็นอาซิ่วนั่งร้องไห้อยู่บนพื้นที่ปูด้วยผ้าห่มเก่า ๆ ตอนนี้ผ้าห่มนั้นเปื้อนน้ำคร่ำ ในมืออาซิ่วอุ้มร่างเล็ก ๆ ที่เพิ่งคลอด แต่ยังไม่ตัดสายสะดืออยู่
“ลื้อคลอดแล้วเหรอ?” อากิมถาม เข้าไปช่วยรับร่างเล็ก ๆ มา คิดจะตัดสายสะดือให้ แต่พอรับมาเขาก็รู้สึกผิดปกติ “ลูกเรา... “
“ตายแล้ว...” อาซิ่วบอกพลาง ร้องไห้พลาง “พอคลอดออกมา ก็ไม่ร้องไห้ ไม่หายใจ”
อากิมอึ้ง ... ท้องนี้ของอาซิ่ว อย่าว่าแต่ยาบำรุงครรภ์เลย แม้แต่ข้าวต้มที่มีแต่น้ำมากกว่าเนื้อก็ไม่มีกินอิ่มสักมื้อ แล้วเด็กในท้องจะรอดได้ยังไง
นี่นับว่าโชคยังดีที่เด็กออกมา ถ้าเด็กค้างอยู่ในท้อง แม้แต่อาซิ่วเองก็คงยากจะเอาชีวิตรอด
“อย่าร้องไห้... อาซิ่ว” อากิมปลอบ “เขาไปดีแล้ว เขาไม่ต้องเกิดมาอดอยากเหมือนพวกเรา” ทั้งที่ใจของอากิมเองก็แทบแตกสลาย

…………………………….

หนูเง็กลั้งอายุได้ 5 ขวบ อากิมก็ล้มป่วยหนัก อาซิ่วไปหาป้าซำเพื่อขอยืมเงินไปซื้อยา ป้าซำถอนหายใจดังเฮ้อใหญ่
“ไม่ใช่อั๊วไม่ให้ยืม แต่อั๊วไม่มี พี่ชายอากิมก็ออกจะร่ำรวย ทำไมไม่ไปขอความช่วยเหลือจากเขา”
“อากิมสั่งอั๊วไว้อย่างเด็ดขาดไม่ให้ไปบ้านนั้น ถ้าอั๊วไม่เชื่อ เขาจะเลิกกับอั๊ว อั๊วเลยต้องมาหาป้าซำนี่แหละ... น่าป้าซำ คิดว่าช่วยลูกนกลูกกาเถอะนะ อั๊วมีเงินแล้วจะรีบคืนทันที” อาซิ่วขอร้องจนแทบจะลงไปกราบกราน
ป้าซำนิ่งไปครู่ ก่อนจะเอ่ยอย่างนึกได้ “อั๊วนึกออกแล้วนะ ว่าลื้อจะหาเงินได้ยังไง?”
“อั๊วจะหาเงินได้ยังไง... ป้าซำรีบบอกมาซิ” อาซิ่วเอ่ยเสียงระรัว เพราะร้อนใจที่อากิมป่วยหนัก ถ้าไม่มีเงินซื้อยาซื้อข้าว ทั้งอากิมและลูก ๆ อีกสามคนจะต้องอดตายอย่างแน่นอน
“เง็กลั้งไง….” ป้าซำเอ่ย
“เง็กลั้งทำไมหรือ?” อาซิ่วยังไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของอีกฝ่ายนัก
“ลื้อยอมขายเง็กลั้งมั้ยละ?”
คำถามของป้าซำทำให้อาซิ่วอึ้งไปเป็นครู่ ก่อนจะพึมพำเบา ๆ
“ขายลูกเหรอ? ”
“อาจจะดีกว่าอยู่กับลื้อก็ได้ บ้านนั้นเขาไม่มีลูกเลยอยากซื้อเด็กเป็นลูกสักคน ที่จริงเขาอยากได้ลูกชาย แต่อั๊วสงสารลื้อ อั๊วจะช่วยพูดให้เขารับซื้อเง็กลั้งไว้” ป้าซำพูดเอาบุญเอาคุณก่อนจะพูดว่า “รีบ ๆ ตัดสินใจมา เดี๋ยวเขาไปซื้อเด็กคนอื่นเสียก่อน อั๊วก็ช่วยอะไรลื้อไม่ได้”
อาซิ่วเคยคิดว่าตนเองรักเง็กลั้งน้อยที่สุดในจำนวนลูก ๆ แต่พอคิดว่าจะต้องขายเด็กหญิงไป นางก็รู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกใครเอามีดมากรีดหัวใจ
แต่เพื่อสามี และลูก ๆ ที่เหลือ นางจึงพยักหน้า พร้อมกับพยายามเช็ดน้ำตาให้แห้ง

…………………………….

อาซิ่วพาป้าซำมาที่บ้านซึ่งมีเง็กลั้งนั่งเล่นอยู่ที่ลานบ้านคนเดียว ลูกชายทั้งสองของอาซิ่ว คนโต 10 ขวบ คนรอง 8 ขวบ ทั้งสองต่างไปรับจ้างเลี้ยงวัว
“เง็กลั้ง” อาซิ่วเรียกลูกสาวคนเล็กเสียงอ่อนโยน
“ขา... แม่” เง็กลั้งขานรับ และวิ่งมาหา พร้อมกับบอกว่า “เตี่ยนอนหลับอยู่”
อาซิ่วยิ้มฝืน ๆ ก่อนจะบอกลูกสาวตัวน้อย “เรียกยายซำเสียสิ”
“ค่ะ..... ยายซำ” เด็กหญิงทักทายป้าซำด้วยกิริยามารยาทที่ดี เพราะได้รับการอบรมจากพ่อที่มีการศึกษามา “เชิญนั่งค่ะ”
“อ๋อ .... ไม่เป็นไร” ป้าซำตอบเด็กหญิง “ยายจะมาพาหนูไปเที่ยว”
“ไปเที่ยวหรือ?” เด็กหญิงหันไปมองมารดา
อาซิ่วฝืนยิ้ม “แม่ก็ไปด้วยจ้ะ”
“แล้วเตี่ยละ ....ใครจะดูเตี่ย?” เด็กหญิงถาม
“พวกเราไปกันแป๊บเดียวก็กลับมา” อาซิ่วตอบลูกสาว พยายามไม่ให้น้ำตาไหลลงมาให้อีกฝ่ายเห็น “พวกเรารีบไปกันเถอะ”
เง็กลั้งเดินตามมารดา มือน้อย ๆ กำมือมารดาที่จูงอย่างอบอุ่นใจ แปลกใจเหมือนกันที่อยู่ ๆ ก็จะได้ไปเที่ยว แต่สมองของเด็กห้าขวบก็ไม่อาจคาดเดาถึงสิ่งผิดปกติได้มากนัก

…………………………….





คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ธ.ค. 2555, 11:53:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ธ.ค. 2555, 11:53:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1557





   ตอนที่ 2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account