กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 2


2...


บ้านที่ป้าซำพาอาซิ่วและเง็กลั้งไปหานั้นอยู่หมู่บ้านถัดไป สำหรับผู้ใหญ่การเดินสองชั่วโมงกว่านั้นไม่ถือว่าไกลนัก แต่สำหรับเง็กลั้งนั้นนับว่าไกลที่สุดในชีวิต แต่เด็กหญิงไม่งอแงแต่อย่างไรเพราะดีใจว่าแม่รัก แม่พาไปเที่ยวเป็นครั้งแรกในชีวิต
ป้าซำพาทั้งสองแม่ลูกเข้าไปในเขตรั้วของบ้านหมู่สี่หลังที่ปลูกเรียงสองหันหน้าเข้าหากันและใช้รั้วเดียวกันเป็นรั้วที่ก่อด้วยก้อนอิฐ แล้วไปเคาะประตูบ้านหลังในสุด
“อาเง็กอยู่หรือเปล่า ?”
“อยู่” เสียงผู้หญิงขานมาจากด้านใน ฟังแค่เสียง เง็กลั้งก็ยังรู้สึกกลัว เพราะเสียงของนางนั้นทั้งดุและห้วน
เพียงครู่เดียวประตูก็ถูกเปิดออก คนเปิดเป็นหญิงร่างสูง โครงร่างใหญ่ ถึงจะไม่อ้วน แต่ก็ดูไม่บอบบางเหมือนอาซิ่ว ดวงตาของนางเหลือบมองป้าซำ แล้วแลเลยมาที่อาซิ่วกับเง็กลั้ง ก่อนจะถามว่า
“ป้าซำพาใครมานะ ?”
“เข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่า...อาเง็ก” ป้าซำเอ่ยอย่างคุ้นเคยกับผู้หญิงที่ชื่ออาเง็กมากพอสมควร
“ก็ได้...เข้ามาสิ” อาเง็กเปอดประตูกว้าง แล้วนำผู้มาเยือนเข้าไปในห้องโถงซึ่งเป็นห้องแรกนั่นเอง ที่ห้องโถงมีโต๊ะรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเก้าอี้ไม้ทรงสี่เหลี่ยมอยู่สี่ตัว ตัวหนึ่งมีผู้ชายรูปร่างสันทัดนั่งดื่มน้ำชาอยู่
พอป้าซำเห็นเขาก็ทักว่า “อ้าว...อาฮึงอยู่บ้านเหรอ ?”
ชายคนนั้นพยักหน้ารับคำว่า “ครับ...ป้าซำเชิญนั่งดื่มน้ำชากันก่อน แล้ว...เอ่อ...” เขามองมาที่อาซิ่วกับเด็กหญิง
ป้าซำเข้าใจว่าอาฮึงหมายถึงว่า...อาซิ่วกับเด็กหญิงเป็นใคร ?
นางรีบแนะนำให้อาเง็กกับอาฮึงรู้ว่า “นี่คืออาซิ่ว และเง็กลั้งลูกสาวของอาซิ่ว”
แล้วหันมามองอาซิ่วว่า “คนนี้คืออาเง็ก นั่นคืออาฮึงสามีของอาเง็ก เขาสองอยากมีลูกสักคน”
อาซิ่วฟังแล้วใจหวิวๆ บอกเง็กลั้งว่า “เง็กลั้งเรียกคุณลุง คุณป้าสิ”
“ค่ะ...คุณลุง คุณป้า” เด็กหญิงทำตามคำของมารดาอย่างว่าง่าย พลางย่อกายเล็กน้อยกึ่งถอนสายบัวกลายๆ ตามที่บิดาสอนมารยาทในการเคารพผู้ใหญ่ให้
“เด็กดีๆ...” อาฮึงพยักหน้าเพราะรู้สึกเอ็นดูเด็กหญิง
แต่อาเง็กไม่เอ่ยว่าอะไร นางมีสีหน้าเรียบเฉย หันไปทางป้าซำอย่างรู้เจตนาว่าป้าซำจะพาเด็กหญิงมาขายให้เป็นลูกของนาง จึงเอ่ยว่า
“อั๊วอยากได้ลูกชายมากกว่า”
“แต่ลูกสาวก็ดีนะอาเง็ก ช่วยงานบ้านงานเรือนได้” ป้าซำรีบบอกคุณประโยชน์ของสินค้าที่นางมาเสนอทันควัน
อาซิ่วรู้สึกยอกในหัวอกจนริมฝีปากสั่น
“ลูกสาวก็ดีนะ...” อาฮึงพูดขึ้น แต่ยังไม่ทันจบประโยค ก็สบเข้ากับสายตาของอาเง็กที่หันมาถลึงจ้องเขา เขาจึงเงียบซะ
“เด็กเล็กขนาดนี้จะช่วยทำงานอะไรได้” อาเง็กเอ่ยกับป้าซำ
“แหมเลี้ยงอีกปีสองปีก็ช่วยงานได้แล้ว ถึงตอนนั้นอาเง็กลื้อก็สบาย ได้นั่งๆ นอนๆ เป็นคุณนาย ตอนนี้ก็สอนงานเด็กไปพลางๆ ก่อนสิ” ป้าซำกล่าว
สีหน้าอาเง็กชั่งใจอยู่...อาฮึงก็พูดขึ้นอย่างเกรงๆ ว่า “อั๊วชอบเด็กคนนี้”
เพื่อให้การตัดสินใจของอาเง็กมาอยู่ข้างตกลง ป้าซำจับมืออาเง็กจูงไปมุมหนึ่งของห้องที่ห่างจากอาซิ่วและเง็กลั้ง กระซิบที่หูของนางว่า
“ถ้าเด็กโตขึ้นแล้วลื้อไม่ชอบ ก็ขายต่อไปเป็นเมียน้อยเถ้าแก่คนไหนก็ได้นี่ ได้กำไรเห็นๆ”
ก่อนจะจูงมืออาเง็กกลับมาที่เดิม แล้วเอ่ยต่อว่า
“พ่อของอาหมวย (คำเรียกเด็กผู้หญิง) นี่ก็กำลังป่วยอยู่ จะต้องใช้เงิน อาเง็กลื้อก็นึกซะว่าช่วยเหลือคนกำลังลำบากก็แล้วกัน”
เง็กลั้งฟังผู้ใหญ่พูดคุยกัน...เด็กหญิงไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็ยืนฟังเงียบๆ ไม่สอดปากถามเพราะพ่อสอนไว้ว่า เวลาผู้ใหญ่พูดจากันเป็นเด็กเป็นเล็กอย่าพูดสอดแทรก เพราะเสียมารยาท
“เอาละๆ...” อาเง็กพยักหน้า “แล้วจะเอาเท่าไหร่ ?”
“ยี่สิบเหรียญ” ป้าซำตั้งราคาให้เสร็จสรรพ
“แพงไป...อั๊วให้สิบสองเหรียญ เอาก็เอา ไม่เอาก็ไม่เอา” อาเง็กยื่นคำขาด เพราะใจจริงของนางไม่ค่อยอยากได้เด็กหญิงซักเท่าไหร่นัก
“ว่ายังไงอาซิ่ว ?” ป้าซำหันมาถามมารดาของเง็กลั้ง
ใจจริงอาซิ่วไม่อยากจะขายลูกเลย แต่ด้วยความจำเป็น แม้จะรู้สึกกระดากปากกระดากใจ นางก็ต้องฝืนใจออกปากว่า “ขอเพิ่มอีกสักหน่อยเถิด”
“ไม่ได้...อั๊วให้ได้แค่นี้ จะเอาหรือไม่เอา” เสียงอาเง็กห้วนอยู่แล้วยิ่งห้วนกว่าเดิม จนเหมือนกับตวาด
“เอาน่า...ให้สิบห้าเหรียญก็แล้วกัน” อาฮึงแทรกขึ้น
“ใครให้ลื้อออกความเห็น” อาเง็กหันไปแหวสามี
อาฮึงมองอาซิ่วที่ลอบเช็ดน้ำตารอบแล้วรอบเล่า แล้วก็บอกกับภรรยาว่า “น่าอาเง็ก...พ่ออาหมวยไม่สบายอยู่ เราช่วยได้ก็ช่วยๆ กันไป”
“เอ่อๆ...ลื้อมันคนใจบุญ” อาเง็กประชดสามี แล้วหันมาทางอาซิ่ว ถามว่า “ว่ายังไง...ถ้าเอามากกว่านี้ อั๊วก็ไม่เอาแล้วนะ”
อาซิ่วใช้มือปาดเช็ดน้ำตาที่แก้มอีกครั้ง ก่อนจะตอบว่า “ค่ะๆ...ตกลง”
อาเง็กจึงหันไปทางสามี “ลื้อพาอาหมวยออกไปเก็บผักให้หน่อยสิ”
อาฮึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ...อาเง็กจะจ่ายเงิน แล้วให้แม่เด็กลอบกลับไปในระหว่างที่เด็กไปเก็บผัก จึงลุกขึ้นเดินไปจูงมือเง็กลั้งชวนว่า
“พวกเราไปเก็บผักกัน ผักกำลังงาม จะไปเอาไปฝากพ่อไง”
เง็กลั้งขืนตัวเล็กน้อย เงยหน้ามองแม่
อาซิ่วจึงต้องฝืนใจหลอกลูกว่า
“ไปช่วยคุณลุงเก็บผักไปฝากเตี่ยสิลูก”
“ค่ะ” เด็กหญิงรับคำ แล้วเดินตามแรงจูงของอาฮึงไปยังสวนผักหลังบ้าน
พอเด็กหญิงไปลับตา...อาเง็กก็ไปหยิบเงินในห้องนอนออกมาให้อาซิ่ว เหรียญเงินอยู่ในถุงผ้าใบเล็กๆ และบอกกับอาซิ่วว่า “นับเงินเสียสิ”
“ไม่ต้องก็ได้” อาซิ่วเอ่ยเสียงเบา
“ไม่ได้...ต้องนับกันต่อหน้า จะได้ไม่มาว่าอั๊วให้เงินขาดไปทีหลัง” อาเง็กบอกอย่างคนค้าขายเป็น
อาซิ่วจึงเปิดถุงเทเงินออกมานับ ซึ่งเป็นจำนวนเงินสิบห้าเหรียญครบตามจำนวนที่อาฮึงสงสารเพิ่มให้ พอนับเสร็จ อาเง็กก็ถามทันทีว่า
“ครบมั้ย ?”
“ครบค่ะ” อาซิ่วตอบเสียงเบา
“ถ้างั้นก็กลับกันไปได้แล้ว เดี๋ยวเด็กกลับมา จะร้องไห้ตาม แล้วอั๊วจะรำคาญตีเอา” อาเง็กเอ่ย
“อั๊วไม่เคยตีลูก แล้วเง็กลั้งก็เป็นเด็กเรียบร้อย มีอะไรค่อยพูดค่อยจา เง็กลั้งก็จะเชื่อฟัง” อาซิ่วบอกเสียงสั่น
อาเง็กมีสีหน้ารำคาญ “เดี๋ยวนี้อาหมวยไม่ใช่ลูกลื้อแล้ว ลื้อขายให้อั๊ว คนที่เป็นแม่อาหมวยจึงเป็นอั๊ว อั๊วจะสั่งสอนตามวิธีของอั๊ว...อ้อ...อั๊วชื่ออาเง็ก อาหมวยจะมีชื่อเง็กด้วยไม่ได้ อั๊วจะให้อาหมวยชื่ออาลั้งเฉยๆ”

อาซิ่วออกจากบ้านอาเง็กมาอย่างคนใจลอย ใจคอไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว จึงไม่ได้ฟังที่ป้าซำพูดจาอ้อมค้อมขอส่วนแบ่งจากเงินที่อาซิ่วขายลูกมา จนป้าซำไม่พอใจ ดึงแขนอาซิ่วให้หยุดเดิน พลางถามว่า
“จะรีบเดินไปไหนกัน ?”
อาซิ่วที่เดินไปน้ำตาตกไป ตอบอย่างซื่อๆ ว่า “อั๊วจะรีบไปซื้อยาให้อากิม” ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างกังวลว่า “นี่ถ้าอากิมรู้ว่า อั๊วพาเง็กลั้งไปขาย เขาคงจะเสียใจมาก เพราะเขารักลูกคนนี้มาก ขนาดอั๊วรักเง็กลั้งน้อยกว่าลูกคนอื่นๆ อั๊วยังเสียใจ ปวดใจขนาดนี้”
“อั๊วไม่ได้ต้องการฟังลื้อพูดพร่ำรำพัน อั๊วเหนื่อยพาลื้อไปขายลูก แล้วลื้อจะให้ค่าเหนื่อยอั๊วเท่าไหร่ ?” ป้าซำพูดทวงตรงๆ
เมื่อได้ยินชัดหู...อาซิ่วถึงกับอึ้ง
“ป้าซำไม่ได้ช่วยอั๊วเปล่าๆ หรือ ?”
“บ้าเหรอ...ใครเขาทำงานเปล่าๆ กัน” ป้าซำเอ่ยเสียงสูง
“ป้าซำก็รู้ว่าตอนนี้ครอบครัวอั๊วลำบากมาก เงินที่ขายเง็กลั้งยังไม่รู้ว่าจะใช้เป็นค่ายาอากิมพอหรือเปล่า...”
อาซิ่วเอ่ยยังไม่ทันจบ...ป้าซำก็แทรกว่า
“เรื่องนั้นอั๊วไม่รับรู้...อั๊วรู้แต่ว่าอั๊วพาลื้อไปขายลูก เดินจนรองเท้าสึก อั๊วก็ต้องได้ค่าเหนื่อยบ้าง...ลื้อว่าจริงมั้ย” เสียงป้าซำเอาเรื่อง
อาซิ่วพยักหน้า “อั๊วแบ่งให้ป้าซำก็ได้”
“เท่าไหร่ ?”
“หนึ่งเหรียญ”
“หนึ่งเหรียญ...” ป้าซำทวนคำ ก่อนจะพรั่งพรูคำพูดออกมาว่า “ลื้อได้ตั้งสิบห้าเหรียญ ให้อั๊วเพียงหนึ่งเหรียญ มันไม่เอาเปรียบกันเกินไปเหรอ กว่าจะขายอาหมวยได้ อั๊วต้องเสียน้ำลายเกลี้ยกล่อมไปเท่าไหร่ ลื้อนี่ไม่สำนึกบุญคุณของอั๊วบ้างหรอกหรือ ?”
เสียงป้าซำยิ่งพูดยิ่งดัง คนที่เดินผ่านไปมาเริ่มหันมามองๆ กัน เพราะตรงนั้นใกล้กับย่านตลาด เป็นถนนที่มีคนพลุกพล่านพอสมควร แม้ว่าตลาดจะวายแล้วก็ตาม
“เบาๆ หน่อยป้าซำ” อาซิ่วพยายามพูดให้อีกฝ่ายเบาเสียงลงบ้าง
แต่ป้าซำกลับไม่สนใจ ส่งเสียงดังว่า “ว่าไง...ลื้อจะให้อั๊วเท่าไหร่ ?”
“แล้วป้าซำจะเอาเท่าไหร่ ?” อาซิ่วหลุดปากเพราะความอึดอัดใจ
จึงกลายเป็นโอกาสให้ป้าซำเรียกร้อง “ห้าเหรียญ”
“ห้าเหรียญ” อาซิ่วร้องอย่างตกใจ
“นี่ยังดี...อั๊วไม่เรียกครึ่งๆ กับลื้อนะ” ป้าซำกล่าวด้วยเสียงทวงบุญทวงคุณ
อาซิ่วนิ่งอึ้งไปครู่ ก่อนจะบอกว่า “ป้าซำ อั๊วให้มากขนาดนั้นไม่ได้ อย่างมากที่สุดอั๊วให้ป้าซำได้แค่สามเหรียญ ป้าซำก็รู้นี่นาว่าครอบครัวอั๊วลำบาก อากิมก็ไม่สบาย ลูกๆ อั๊วก็ยังเล็ก เห็นใจอั๊วหน่อยเถอะนะป้าซำ”
“อั๊วรู้ว่าลูกลื้อๆ ไปรับจ้างเลี้ยงวัว” ป้าซำเอ่ยอย่างคนหูไวตาไว
“ก็แค่ได้ข้าวกินวันละมื้อสองมื้อ ยังไม่พออิ่มท้องเลย” อาซิ่วกล่าวตามความเป็นจริง “แต่อั๊วก็คิดว่ายังดีกว่ามาอดด้วยกันทั้งหมด”
“นั่นมันเรื่องของลื้อ” ป้าซำโบกมือ “อั๊วจะเอาห้าเหรียญ”
“อั๊วให้ได้แค่สามเหรียญ” อาซิ่วว่าแล้วล้วงมือเข้ากระเป๋าค่อยๆ หยิบเงินออกจากถุงเงินมาสามเหรียญ ไม่กล้าล้วงเงินทั้งหมดออกมา เพราะเกรงอีกฝ่ายจะชิงไปจากมือ “เอ้า...อั๊วให้สามเหรียญ ป้าซำจะเอาหรือไม่ก็ตามใจ”
“เอามา” ป้าซำกระชากเงินไปจากมืออาซิ่ว แล้วรีบเดินห่าง ก่อนจะหันมาด่าเสียงดัง “อีคนงก อีคนขายลูกกิน ขอให้ซวยๆๆ ไม่เจริญหรอก” ด่าเสร็จก็รีบจ้ำอ้าวจากไป เพราะจะอย่างไรอาซิ่วก็ยังสาว แม้จะร่างเล็กบาง แต่ก็อาจจะทำร้ายนางได้ถ้าโกรธ
อาซิ่วโกรธจนพูดไม่ออก ยิ่งสบกับสายตาของคนรอบข้างที่มองมา นางยิ่งอับอายรีบก้มหน้าก้มตาเดินไปยังร้านขายยา...
อาซิ่วซื้อยาสำหรับอากิม และซื้อข้าวสารถุงหนึ่ง กลับบ้านไปต้มยา ต้มข้าวต้ม พอทำงานเสร็จ อาซิ่วก็ยกชามข้าวต้มไปให้สามีในห้อง
“อากิม...ลื้อลุกขึ้นมากินข้าวต้มสักหน่อย”
พลางประคองสามีที่ผ่ายผอมแถมจะเหลือแต่หนังติดกระดูกให้นั่งพิงหัวเตียง แล้วตักข้าวต้มด้วยช้อนกระเบื้อง เป่าให้เย็น แล้วป้อนใส่ปากอีกฝ่าย อากิมกินไปได้สองสามคำก็นึกเอะใจถามว่า
“ทำไมข้าวต้มวันนี้จึงมีเนื้อข้าวมากกว่าน้ำ ?”
“อั๊วซื้อข้าวสารมา” อาซิ่วตอบไม่เต็มเสียงนัก
“ลื้อไปเอาเงินที่ไหนมาซื้อข้าวสาร ?” อากิมถามพลางไปโขลกๆ
อาซิ่วได้แต่นิ่ง...ไม่รู้จะตอบสามีว่าอย่างไรดี
อากิมก็รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ จึงถามว่า
“เง็กลั้งอยู่ไหน...อั๊วไม่เห็นอาหมวยตั้งแต่เช้าแล้ว...ลื้อไปเรียกเง็กลั้งมาให้อั๊วหน่อย”
พอจบคำพูดของสามี...อาซิ่วก็วางชามข้าวต้มลงบนโต๊ะไม้ตัวไม่ใหญ่นักที่หัวเตียงแล้วยกสองมือปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น
อากิมมองภรรยาด้วยความงุนงง ถามว่า
“อาซิ่ว...ลื้อเป็นอะไรไป ?”
อาซิ่วก็เอาแต่ร้องไห้ จนอากิมสังหรณ์ใจว่า จะต้องเกิดเรื่องไม่ดีกับลูกสาวคนเล็กอย่างแน่นอน จึงถามเสียงดังเท่าที่จะดังได้ว่า
“เง็กลั้งเป็นอะไรไปหรือ ?”
อาซิ่วสะอึกสะอื้นตอบว่า
“เง็กลั้งไม่ได้เป็นอะไร”
“แล้วทำไมลื้อไม่ไปเรียกเง็กลั้งมาหาอั๊ว ?” อากิมถามด้วยเสียงที่อ่อนล้า เพราะไอจนหมดเรี่ยวแรง
“อั๊วเรียกเง็กลั้งมาไม่ได้” อาซิ่วส่ายหน้า น้ำตาไหลเป็นทาง หยดลงบนพื้นจนเปียกเป็นกระจุก
“ทำไมละ ?”
“เพราะว่า...เพราะว่า...” อาซิ่วหยุดพูด ร้องไห้อย่างอัดอั้นตันใจอยู่ครู่ใหญ่
อากิมมองภรรยา แล้วเอ่ยว่า “อั๊วจะไปหาเง็กลั้งเอง” แล้วพยายามจะลุกจากเตียงนอนด้วยอาการทุลักทุเล
อาซิ่วพยายามจับตัวสามีให้นอนลงตามเดิม พลางพูดว่า “อากิม...ลื้ออย่าทำอย่างนี้...เดี๋ยวหกล้มลงไปจะลำบาก”
“งั้น...ลื้อก็ต้องบอกอั๊วสิว่าเง็กลั้งอยู่ไหน ?” อากิมยื่นคำขาด
“ได้ๆๆ...” อาซิ่วรับปากระรัว อากิมจึงยอมนอนลง ไม่ดิ้นรนจะลุกขึ้น
อาซิ่วมองสอบตาอากิม แล้วคุกเข่าลงข้างเตียง
“อากิม...อั๊วขอโทษ”
“ลื้อมาขอโทษอั๊วเรื่องอะไร ?” อากิมถาม ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจหนักขึ้น
“อั๊ว...” อาซิ่วพยายามรวบรวมความกล้ากว่าจะพูดออกมาได้ว่า “อั๊วขายเง็กลั้งไปแล้ว”
“หา...!” อากิมอุทานเสียงหลง แล้วมองชามข้าวต้ม ชี้นิ้วที่สั่นระริกไปที่ชาม “ลื้อขายเง็กลั้ง เอาเงินมาซื้อข้าวให้อั๊วกินเหรอ ?”
อาซิ่วเอาแต่ร้องไห้ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่รูปการณ์ก็ทำให้อากิมรู้ว่านั่นคือ...การยอมรับสารภาพว่าใช่
อากิมส่ายหน้า น้ำตาไหลลงจากดวงตาที่อ่อนล้าเป็นเส้นสาย
“อั๊วขอโทษ” อาซิ่วเอ่ยปนสะอื้น
“ลื้อไม่ต้องขอโทษหรอก” อากิมเอ่ยเสียงอ่อนล้า “อั๊วผิดเอง ที่ไม่มีความสามารถหาเลี้ยงครอบครัว ทำให้ลื้อและลูกๆ ต้องลำบาก...แต่อั๊วก็กินข้าวที่ใช้เงินที่ขายลูกซื้อมาไม่ลง !”





คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ธ.ค. 2555, 11:55:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ธ.ค. 2555, 11:55:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 1390





<< ตอนที่ 1   ตอนที่ 3 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account