นางแบบสาวเมียเก็บ (สนพ.วาวบุ๊คคลับ ตีพิมพ์)
แม้บาดแผลร้ายและลึกในอดีตยังไม่เลือนหาย หากขอให้ได้รู้ว่า 'ชนวีร์'ยังรัก 'ภัทรดา'ก็ยินดีจะยอมหวนกลับไปหาอ้อมอกอบอุ่นอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่บทพิสูจน์ที่คงดำเนินไป ก็ไม่ทำให้เธอได้ทุกอย่างที่ต้องการมาง่ายดาย...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 2 การกลับมา

ลียาขออนุญาตแจ้งกับรีดเดอร์สองเรื่องค่ะ คือ 1.เรื่องนี้ไม่ได้ลงจนจบเรื่องนะคะ ตอนนี้หนังสืออยู่ในขั้นตอนจัดพิมพ์ น่าจะวางแผงราวๆ ช่วงกลางเดือนมกราคม 56 ค่ะ

ส่วนอีกเรื่องถึง 'คุณอ้อย' เจ้าของคอมเม้นท์แรก ซึ่งถือเป็นกำลังใจแรกให้กัน ลียามีหนังสือเล่มนี้มอบให้หนึ่งรางวัลค่ะ (หนังสือมาถึงมือเมื่อไร จะรีบจัดส่งให้ทันที)ขอบคุณมากนะคะ ยังไงฝากชื่อที่อยู่ไว้ จะในนี้หรือในตู้จดหมายก็ได้ค่ะ^_^



ตอนที่ 2 การกลับมา

อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา...
บรรยากาศภายในสตูดิโอสำหรับถ่ายภาพวันนี้ดูคึกคัก ทั้งช่างผมช่างหน้าและตากล้อง ทุกคนล้วนแล้วแต่เดินทางมาถึงก่อนเวลานัดหมายด้วยกันแทบทั้งนั้น

“มาจ้ะน้องๆ เดี๋ยวพี่จะขอสำรวจดูหน้าผมของแต่ละคนอีกครั้งนะคะ”
พี่มีญ่า...เมกอัพอาร์ติสต์ผู้มีชื่อเสียงอยู่ในระดับแถวหน้าของวงการบันเทิงไทยร้องบอก และแม้จะเป็นชายครึ่งหญิงครึ่ง หรือผู้หญิงข้ามเพศอย่างเช่นที่พี่แกใช้เรียกแทนสถานะตัวเอง แต่ฝีมือและประสบการณ์อันช่ำชองเชี่ยวชาญก็ทำให้ทุกคนมองข้ามและเปิดใจยอมรับในความสามารถของเธอได้อย่างไม่ยากเย็น
“น้องเพลิน โอ้โฮ...แต่งหน้าเสร็จก็ว่าสวยแล้ว พอทำผมเข้าช่วยด้วย แม่เจ้า...อะไรมันจะหยาดเยิ้มได้มโหฬารบานตะไทขนาดนี้”
ทว่า คนถูกชมกลับวางตัวแทบไม่ถูก มือไม้ยังคอยแต่จะดึงกระชับสาบเสื้อคลุมให้ยิ่งแน่นเข้าไปอีก
“เอ่อ...ขอบคุณค่ะพี่มีญ่า ว่าแต่...เพลินต้องเปลี่ยนหรือแก้ไขอะไรบ้างหรือเปล่าคะ”
เจ้าตัวหมายถึงโทนสีและสไตล์การแต่งหน้าของตนในตอนนี้ เข้ากันดีกับผมทรงที่ช่างอีกคนจัดแต่งให้ในตอนหลังหรือไม่ และมีญ่าส่ายหน้าพร้อมโบกมือว่อน
“เลิศเลอเพอร์เฟคที่สุดแล้วล่ะค่ะคุณน้องเพลินขา ตายๆๆๆ ถ้าผู้หญิงจริงแท้ทุกคนสวยเด็ดขาดบาดขั้วหัวใจได้ขนาดน้องเพลินล่ะก็ กะเทยอย่างพี่ คงจะไม่มีเหลือพื้นที่ไว้ให้แจ้งเกิด มาค่ะ...เชิญทางนี้เลยดีกว่า เพื่อนๆ อีกสามคนเขาเข้าไปแต่งตัว เอ๊ย...เข้าไปเตรียมตัวกันก่อนแล้ว เหลือก็แต่น้องเพลินคนเดียวนี่ล่ะ”
“เอ่อ...” เพลิน หรือ ‘ภัทรดา’ หนึ่งในสี่สาวของโปสเตอร์เดอะวินเนอร์ในปีนี้ยังละล้าละลัง ดวงตาที่ถูกกรีดแต่งไว้สวยเฉียบแลกวาดไปทั่วห้องชั้นนอก โดยเฉพาะตรงนั้น...มุมที่ทีมงานตั้งใจจัดไว้เฉพาะสำหรับ ‘ผู้ใหญ่’ คงมีเพียงชมนาดและคนที่เธอไม่รู้จักอีกสองคนเท่านั้นนั่งอยู่ หญิงสาวหลุบตา...ความกังวลเริ่มฉายชัด อีกเดี๋ยวเธอก็ต้องเข้าไปเพ้นท์ตัวและเตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายภาพในเซ็ตแรกแล้ว จวนเวลาขนาดนี้ มันแปลว่า ‘เขา’ จะไม่มาจริงๆ แล้วใช่ไหม
“เอ๋...น้องเพลินจ๋า”
มีญ่าโบกมือไปมาอยู่เกือบชิดดวงหน้าของอีกฝ่าย
“เอ้อ...ค่ะพี่มีญ่า”
“น้องเพลินเป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ ไม่สบายหรือยังไงกัน”
“มะ...ไม่ใช่ค่ะ คือ...เพลิน...”
“เป็นอะไร บอกพี่มีญ่าได้นะ เดี๋ยวพี่จะช่วยแจ้งทางผู้ช่วยคุณชมนาดเธอให้”
มีญ่าเสนออย่างมีน้ำใจดี แต่ผู้อ่อนวัยกว่าก็ปฏิเสธ
“เพลิน...ไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะพี่มีญ่า ขอบคุณพี่มากนะคะที่คอยดูแลอยู่ตลอด นี่...ได้เวลาเพ้นท์ตัวแล้ว...ใช่ไหมคะ...”
“ใช่น่ะสิจ๊ะ น้องเพลินต้องตามเพื่อนๆ เข้าไปแล้วล่ะ มา...เดี๋ยวพี่มีญ่าเดินเข้าไปส่งนะจ๊ะ”
จากนั้น ร่างท้วมหรือเรียกได้ว่าอวบระยะสุดท้ายของมีญ่าจึงเดินเคียงข้างร่างอรชรน่ามองของภัทรดาเข้าไปยังห้องชั้นใน
/////////////////////////

“ช่วยปลดเสื้อคลุมลงหน่อยนะครับ ผมจะลงมือเพ้นท์แล้ว”
ได้ยินประโยคนั้นเข้าภัทรดาก็หน้าซีด แม้ใจจริงไม่ได้ปรารถนาจะทำ แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เธอจะบอกปัดอย่างคนไร้ความรับผิดชอบได้ยังไง...มือบางค่อยๆ คลายปมเชือกที่รัดกระชับอยู่ตรงช่วงเอว ก่อนจะเลื่อนขึ้นมาปัดเนื้อผ้าหนาๆ นั่นลงพ้นไหล่ และขณะที่ช่างเพ้นท์ตัว ซึ่งถือเป็นมือหนึ่งที่ชมนาดเป็นผู้ติดต่อมาเฉพาะเพื่องานนี้ กำลังจะแตะปลายพู่กันลงตรงบ่าบอบบาง เสียงเคาะประตูรัวเร็วก็ดังแทรกขึ้น ปลายนิ้วคนเพ้นท์พลอยชะงัก
“คุณชมนาด”
“เอ่อ...ทุกคนเร่งมือเพ้นท์ตัวกันต่อไปเรื่อยๆ นะ ให้ยกเว้นก็แต่...”
เกือบสิบชีวิตในห้องนั้นหันมามองและจดจ่อรอฟังอยู่แต่กับคำสั่งของ ‘พี่สาวท่านประธาน’ เป็นตาเดียวกัน
“เว้นแต่ภัทรดาคนเดียวเท่านั้น”
“เอ่อ...ทำไมล่ะคะ”
เจ้าตัวถามพลางย่นหัวคิ้ว และไวเท่าความคิด ที่มือน้อยทั้งสองข้างรีบรวบดึงสาบเสื้อให้ทบเข้าหากันอย่างเดิม แน่ล่ะ...ไม่เฉพาะเธอ หากทุกคนในนั้นก็สงสัยไปตามๆ กัน ชมนาดมีท่าทีหงุดหงิดและลำบากใจปนเป สุดท้ายก็จึงพยักเรียก
“เดี๋ยวเธอ...แต่งตัวเสียให้เรียบร้อย แล้วตามฉันออกมาข้างนอกหน่อยนะภัทรดา”
“เอ้อ...ค่ะ”
ทันทีที่รับคำ หญิงสาวก็ไม่รอช้า เธอรีบลุกขึ้น เพื่อตรงไปยังล็อกเกอร์เก็บเสื้อผ้าและข้าวของส่วนตัว ไม่นานภัทรดาก็กลับออกมาพบกับชมนาดในชุดเสื้อผ้าที่แทบจะเป็นรูปลักษณ์เดียวกันกับขามาเมื่อตอนเช้า ขาดก็แต่ล้างหน้าสระผม ซึ่งเธอเองยังไม่มีเวลาพอจะลงมือเท่านั้น

“มาแล้วหรือ”
“คุณชมนาด มีเรื่องอะไรจะพูดกับเพลิน...เอ่อ กับ...ดิฉันหรือคะ หรือว่า...ที่คุณให้ดิฉันออกมาจากห้องนั่นก็เป็นเพราะ...”
หญิงสาวกวาดตาเหลือบแลและมองไปทั่วบริเวณนั้นอีกครั้งแล้วถึงแน่ใจ ตรงนี้...ไม่มีทีมงานหรือใครสักคนที่จะกล้าเข้ามาป้วนเปี้ยนเพื่อรอฟัง ‘ธุระด่วน’ ซึ่งผู้บริหารระดับชมนาดต้องถึงกับออกโรงเพื่อที่จะขอ ‘เจรจา’ ด้วยตนเอง
“ที่เธอกำลังเข้าใจน่ะมัน...ถูกแล้วล่ะ ฉันเองก็พูดอะไรไม่ได้ ไอ้เรื่องเสียดายก็เสียดายเธอเหลือเกิน อุตส่าห์ผ่านด่านการคัดเลือกเข้ามาได้จนถึงตอนนี้ กำลังจะได้ทำงานร่วมกันอยู่ทีเดียว สองในสี่นั่นก็เป็นนางแบบชื่อดังของวงการ เธอเองกำลังจะได้โอกาสร่วมงาน แล้วก็ได้ประสบการณ์ดีๆ ที่หาจากไหนไม่ได้ง่ายๆ...”
“คุณชมนาดพูดมาตรงๆ เถอะค่ะ ไม่ต้องเห็นใจ ดิฉัน...ก็พร้อมจะรับฟังความเป็นจริงได้ทุกอย่างค่ะ”
วาจานั้นทั้งจริงและตรง หากก็ไม่ได้เจือไปด้วยสำเนียงของความก้าวร้าวแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ชมนาดกลับรู้สึก...เด็กคนนี้ถ่อมตัว แต่ก็ไม่ใช่ประเภทที่จะดูถูกตัวเอง
“เธอเปิดทางให้ฉันได้พูดง่ายเข้าอย่างนี้ ก็เอาเป็นว่า...ฉันก็ขอบอกกับเธอให้รู้ตรงๆ เลยก็ดีเหมือนกัน คือว่า...ทางเรา...อ้อ ไม่ใช่...ต้องบอกว่า ทางผู้ใหญ่ของเรา ท่านอยากจะให้มีการปรับลดจำนวนของนางแบบสำหรับการถ่ายโปสเตอร์ในครั้งนี้ แล้ว...”
“ผู้ใหญ่ของเดอะวินเนอร์ ไม่ได้เห็นชอบให้มีสี่คนตั้งแต่แรก หรือว่า...ท่านเพิ่งจะไม่เห็นชอบ ก็ตอนที่มารู้ว่าหนึ่งในสี่คนนั้นเป็นดิฉันกันแน่คะ”
“ภัทรดา!” ชมนาดออกจะตกใจ ทำไมเด็กคนนี้ถึงพูดจาอย่างกับว่าตัวเองรู้เรื่องหรือไปได้ยินเรื่อง ‘วงใน’ มาอย่างไรอย่างนั้นล่ะ
“ทำไมเธอถึงถามฉันอย่างนั้นล่ะ”
“ไม่มีอะไรนี่คะ ดิฉันแค่ลองเดา แล้วก็เลย...พูดเล่นไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง แล้ว...ว่ายังไงต่อคะ”
เธอบอกเสียงเรียบ
“อย่างที่บอกไปแล้วนะภัทรดา ว่าฉันเสียดายแล้วก็...เสียใจ ที่จะต้อง...บอกยกเลิกสัญญาจ้างกับเธอ แต่ตัวฉัน ในนามของเดอะวินเนอร์ก็พร้อมที่จะจ่ายค่าชดเชย ค่าเสียเวลา หรือค่าอะไรก็สุดแล้วแต่จะเรียก ฉันยินดีจะจ่ายให้เธอเป็นจำนวนเงินที่สมเหตุสมผลกัน ขอโทษอีกครั้ง ที่ทำให้เธอต้องเสียเวลา”
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่เรื่องเงิน...”
ภัทรดาเองก็ใช่จะไม่เสียใจ กล้าพูดได้เลย ว่าคงไม่มีใครจะเข้าใจถึงความเสียใจที่ยิ่งกว่ามากมายของเธอในครั้งนี้ได้
“เธอต้องการจะเรียกเท่าไรก็ว่ามาก่อนได้นะ แล้วฉันจะส่งเรื่องให้ทางผู้ใหญ่ช่วยพิจารณาอีกที แต่คิดว่าคงใช้เวลาไม่นานมากหรอก”
“ขอบคุณที่คุณกรุณามีน้ำใจค่ะ แต่เรื่องเงินดิฉันคงจะ...ไม่ขอรับ”
นัยน์ตานิ่งสนิทที่มองสบไป ฉายแววจริงจังในความหมาย ชมนาดประหลาดใจ
“ทำไมล่ะ”
“เพราะดิฉันยังไม่ได้ทำงานอะไรให้กับทางคุณ เลยไม่อยากได้ชื่อว่าเอาเปรียบหรือฉกฉวยโอกาสจากใครค่ะ”
“อย่าคิดอย่างนั้น ทางเราเห็นควร แล้วก็ยินดีที่จะจ่ายเพื่อชดเชยค่าเสียเวลาให้เธออยู่แล้วนะ”
อีกฝ่ายพยายามจะอธิบาย ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เนื่องด้วยการยกเลิกสัญญาในครั้งนี้ ดูยังไงมันก็ไม่เป็นธรรมกับเด็กที่ไม่มีความผิด
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันก็ยืนยันว่าไม่ขอรับจริงๆ และ...ถ้าหมดเรื่องแล้ว ดิฉันขอตัวไปแต่งตัว แล้วก็ถือโอกาสนี้ลาคุณเลยก็แล้วกันนะคะ...สวัสดีค่ะ”
ภัทรดาพนมมือไหว้ ก่อนจะเดินกลับออกมาทันที หญิงสาวไม่แสดงทีท่าว่าโกรธเคือง ดวงหน้าและแววตามีเพียงความเฉยชา หากก็ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพยายามทักท้วงหรือทัดทาน
“เอ่อ...เดี๋ยว...โธ่เอ๊ย นี่มันเป็นเพราะตาวีคนเดียวแท้ๆ เลย คนอะไร เอาแต่ใจตัวที่สุด พี่เชื้อก็เสียผู้ใหญ่ จะเข้าใจกันบ้างไหมนี่”
หากชมนาดก็ได้แค่บ่น แล้วก็มองตามร่างบอบบางนั้นไปอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรได้
/////////////////////////

ภัทรดานั่งโดยสารมาในรถแท็กซี่ ดวงตากลมโตหลุบหรี่ลงอย่างทดท้อ ความหวังที่จะได้เข้าใกล้หรือเอื้อมถึงตัว ‘ใครคนนั้น’ ลอยหาย หญิงสาวรู้สึกทั้งเหนื่อยและเพลียจนจวนจะพับ เมื่อคืนนี้เธอนอนน้อย ซึ่งก็แทบไม่ได้แตกต่างอะไรจากทุกๆ คืนที่เป็นมาอยู่แล้ว ผิดก็แต่ว่าวันนี้เธอต้องตื่นเช้ากว่าเดิมร่วมชั่วโมง เพื่อที่จะรีบเดินทางมายังสตูดิโอที่อยู่ไกลจากบ้านชนิดที่เรียกได้ว่าคนละเส้นทางนี่ให้ทันเวลานัดหมาย เธอมุ่งมั่น ตั้งใจทำทุกอย่างอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ผลลัพธ์มันก็ยังออกมาติดลบ ถ้าเป็นลำพังตัวเธอเอง ภัทรดาคงไม่ลุกขึ้นมาตะเกียกตะกายไขว่คว้าอะไรอีก
แต่นี่...สิ่งที่เธอกำลังพยายามทำ มันส่งผลโดยตรงถึงอีกชีวิตที่ต้องรับผิดชอบดูแล เจ้าตัวเอนศีรษะลงกับเบาะที่นั่ง หลับตาลงนิ่งๆ สักพัก หากในหัวคงหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่กับปัญหา ทุกอย่างดูเหมือนจะมาสุดทางจริงๆ แล้วทีนี้จะทำยังไงกันต่อไปดี...

“เอ๊ะ! รถคันนั้นนั่น เป็นคนรู้จักกับคุณรึเปล่าครับ”
คุณลุงวัยกลางคน เจ้าของแท็กซี่คันที่เธอโดยสารมาออกปากถาม ภัทรดาลืมตาแล้วหันมองตาม รถสปอร์ตราคาเกินกำลังของคนฐานะธรรมดากำลังวิ่งชะลอตีคู่ ดูท่าคล้ายกับจะต้องการให้แท็กซี่หยุดจอด แต่จะมองยังไง ‘คนระดับนี้’ ก็ไม่ได้มีอยู่ในแวดวงชีวิตอันเงียบสงบของภัทรดา หญิงสาวบอกกับคุณลุงคนขับไปว่า
“หนูไม่รู้จักหรอกค่ะ”
“เอ...แล้วทำไมถึงอยากจะให้เราจอด จะว่าเป็นพวกมิจฉาชีพรึก็ไม่น่าใช่ คนมีสตางค์ซื้อรถแพงๆ แบบนี้มาขับ เขาคงไม่คิดจะมาจี้ปล้นเอาอะไรกับแท็กซี่ ดูสิ...ยิ่งไม่จอดก็ยิ่งจะเบียด แถมกระพริบไฟใหญ่ อันตรายนะ ทำยังไงดีล่ะทีนี้”
ภัทรดาก็พลอยสงสัยใจไม่ค่อยดี เธอหันไปสำรวจดูทางซ้ายขวาหน้าหลัง
“เอ่อ...หรือว่ารถของคุณลุงจะมีปัญหาอะไรคะ เขาต้องการจะส่งสัญญาณเตือนให้เรารู้ตัวรึเปล่า”
“นั่นน่ะสิ นี่ก็บนถนนกลางวันแสกๆ คงไม่มีเรื่องอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นหรอก เดี๋ยวลุงคงต้องขอจอดดูสักเดี๋ยวก็แล้วกันนะหนูนะ”
“ค่ะ” ที่สุดแท็กซี่ก็ค่อยแตะเบรก พร้อมกับเบนหัวรถเข้าจอดขนานบาทวิถีฝั่งซ้าย เก๋งสปอร์ตคันนั้นก็เลี้ยวปราดเข้ามาจอดขวางอยู่ข้างหน้าเช่นกัน
“อ้าว...เอ้อ มันยังไงกันล่ะนี่”
ภัทรดาและคนขับของเธอที่ยังนั่งอยู่ในรถต่างช่วยกันเขม้นมอง แต่เมื่อเจ้าของรถคันหรูเปิดประตูและก้าวลงมา หญิงสาวก็ต้องตะลึงตาค้าง!

“นั่นมัน...”
“หือ อะไร...นี่ตกลงว่าหนูรู้จักกับผู้ชายคนนั้นเรอะ”
พร้อมๆ กันกับที่คุณลุงหันมาถาม ร่างสูงสง่าในสูทสากลราคาลิ่วนั่นก็สาวเท้าเข้ามาใกล้
“นะ...หนู คุณลุงคะ เดี๋ยวคุณลุงช่วยจอดรอหนูอยู่ก่อนนะคะ”
“เอา ได้ๆ คนรู้จักใช่ไหมล่ะน่ะ”
หญิงสาวไม่ตอบ และแม้จะค่อนข้างมั่นใจ ว่าเป้าหมายของ ‘ชนวีร์ สิมะธรากูล’ คือเธอ แต่เธอก็ยังไม่ยอมเปิดประตูออกไปเสียทีเดียว อดหวั่นใจไม่ได้ เขาจงใจตามออกมาด้วยจุดประสงค์อะไร ที่สำคัญ จุดประสงค์นั้น...มันดีหรือร้าย
“ไม่ลงไปล่ะหนู คุณเขามายืนเคาะแล้วนั่น”
เจ้าของรถหันมาถาม เพราะชายหนุ่มคนที่ว่า ตรงมาหยุดเคาะกระจกด้วยปลายนิ้วสองสามทีแล้ว
“เอ้อ...ค่ะ ยังไงคุณลุงอย่าเพิ่งไปนะคะ”
“ได้ ลุงยังไม่ไปไหนหรอก จะรอส่งหนูให้ถึงที่หมายนั่นล่ะ”
รอจนภัทรดายอมก้าวออกมา ชนวีร์ก็โน้มตัวไปเปิดประตูแท็กซี่ในตอนหน้า เขาส่งธนบัตรใบละพันให้ พร้อมกับบอกเสียงขรึม
“เอานี่ไปนะลุง แล้วไม่ต้องอยู่รอแล้ว”
“เอ๊ะ!” หญิงสาวตกใจ ไม่รู้ว่าเขามาทำอย่างนี้เพื่ออะไร ร่างเล็กบางรีบเดินเข้าไปหา หวังจะให้คนขับคืนเงินเขาแล้วอยู่รออย่างที่รับปากเธอไว้ แต่มันก็ไม่ทัน คุณลุงที่เพิ่งรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะอยู่เมื่อครู่ กลับเร่งออกรถฉิวไปอย่างกับติดปีก
“ทำอะไรของคุณคุณชนวีร์”
ภัทรดานิ่วหน้าไม่พอใจ ริมบาทวิถีเวลานี้ มีก็แต่เธอที่ยืนเผชิญหน้ากับเขาอยู่เพียงลำพัง
“ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจัดของเธอมองนิ่งราวจะค้นหา เช่นเดียวกับริมฝีปากอิ่มบางที่คงเม้มสนิทแทบเป็นเส้นตรง ภัทรดาอดนึกเปรียบเทียบอยู่ในใจไม่ได้ รูปลักษณ์ของชนวีร์ในวันนี้ แทบไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากตัวตนของเขาเมื่อสองปีก่อน มีก็แต่ลักษณะอันองอาจผึ่งผายและใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ที่นับวันจะยิ่งดึงดูดสายตาและทวีความน่ามองมากขึ้นเท่านั้น เจ้าของความคิดกระพริบตาปริบ รีบดึงตัวเองกลับมาสู่เหตุการณ์ปัจจุบันตรงหน้า
“คุณบอกว่าต้องการจะคุยกับฉัน...ทั้งๆ ที่ก็เพิ่งจะใช้อำนาจไล่ให้ฉันออกจากงานมาหยกๆ อย่างนั้นน่ะหรือคะ”
ดูเหมือนว่าชายหนุ่มเองก็ไม่ได้แปลกใจอะไรที่เธอรู้
“ที่ฉันต้องทำอย่างนั้นก็เพราะว่าไม่อยากให้เธอ...” ประโยคนั้นสะดุดไปนิด
“ฉันหมายถึงว่า...เธอไม่เหมาะกับงานแบบนั้นมากกว่า”
“โดยที่ไม่ถามความเห็นหรือความรู้สึกของเจ้าตัวเขาก่อนอย่างนี้หรือคะ” เธอย้อนเสียงเรียบ
“แล้วเธอร้อนเงินมากนักรึไง ไม่มีงานอื่นจะให้ทำแล้วงั้นหรือ”
“นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของฉันค่ะ และฉันก็มีสิทธิ์เลือกที่จะทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้ตามที่ตนเองต้องการและเห็นสมควร”
“แล้วเธอก็เห็นควรที่จะมาทำงานแบบนี้นี่นะ”
เขาเหน็บให้ หน้าคมๆ ก็ชักจะนิ่วหนัก
“แล้วมันเสียหายตรงไหนล่ะคะ อาชีพสุจริตแท้ๆ ดูอย่างนางแบบมืออาชีพบางคนที่ได้รับการทาบทามเข้ามาร่วมโปรเจกต์นี้เขายังดีอกดีใจ ไม่เห็นว่ามีใครคิดจะปฏิเสธกันเลยสักคน แล้วฉันเป็นใคร...”
คราวนี้ชนวีร์หัวเราะหึ และถ้าสังเกตให้ดี มีร่องรอยของอาการเย้ยหยันไยไพเจือในหางเสียงนั้น
“นั่นน่ะสินะ เธอเป็นใคร...มีความจำเป็นอะไรที่ฉันต้องยื่นมือเข้าไปยุ่ง”
“ถ้าอย่างนั้นก็หลีกทางสิคะ ฉันจะเรียกรถกลับบ้าน”
“จะรีบไปไหนนักล่ะ”
“ก็รีบไปทำมาหากินสิคะ ดิฉันไม่ได้โชคดีเกิดมาบนกองเงินกองทอง แต่เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาที่ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงตัวเองและ...”
นวลหน้านั้นเมินหนี ริมฝีปากสีอ่อนเม้มเป็นเส้นตรงดุจเดิม เธอเกือบหลุดปากถึง ‘บางอย่าง’ ที่ยังไม่ควรแก่เวลาออกไปแล้วเชียว
“แล้ว...ผู้ชายของเธอ นายปณตหรือนายอะไรต่อมิอะไรที่อาจจะเป็นคิวหลังจากนั้น เขาไม่ได้...ช่วยดูแลเธอหรอกรึ”
“คนอื่นเขาก็มีภาระของเขาค่ะ”
ภัทรดาตอบสั้นที่สุด ไม่อธิบาย ไม่ขยายความ รวมถึงไม่เต้นตามเจตนาที่เขาจงใจจะให้เป็นด้วย
“ก็ดี เธอจะได้รู้จักช่วยเหลือตัวเอง”
“ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัว...”
หญิงสาวว่า แต่ขาวยาวของอีกฝ่ายรีบก้าวเข้ามาขวาง
“เดี๋ยวสิ รู้สึกว่าเธอจะอยากรีบไปให้พ้นจากฉันเสียจริงนะ ดูช่างผิดกันกับเมื่อตอน...สองปีก่อนนั่นลิบลับ”
เสียงเขาติดจะกลั้วหัวเราะ คนที่นิ่งฟังอยู่ตวัดตาขึ้นมอง คงไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นอะไรที่เธอต้องมายืนตากหน้าทนให้เขาว่าถากถางอยู่อย่างนี้อีก เธออาจตัดสินใจผิด คิดผิดที่ไม่ยอมเชื่อในคำทัดทานของเพื่อนที่แสนดีอย่าง ‘ปณต’
“จะไปไหน”
ร่างสูงเคลื่อนตัวเข้ามาบังเอาไว้อีก เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังตั้งท่าจะออกเดิน
“ฉันเสียเวลามามากแล้วค่ะ”
“งั้นก็ขึ้นรถ กำลังหางานอยู่ไม่ใช่หรือ ถ้าฉันมีข้อเสนอเกี่ยวกับเรื่องนี้มายื่นให้ เธอจะพอสละเวลาอันมีค่าเพื่อมารับฟังสักหน่อยจะได้ไหม”
ถึงแม้จะรู้ว่าเขาล้อเลียน แต่มันก็เป็นคำถามที่เธอต้องตอบ
“คุณพูดมาเลยก็ได้นี่คะ ฉันจะอยู่ฟัง”
“มันคงจะไม่เหมาะเท่าไรมั้ง จะเจรจาอะไรกันทั้งที หาที่ที่มันเหมาะสมหน่อยเป็นไร”
หญิงสาวมองหน้าเขา ก่อนหลุบตาลงราวกับกำลังชั่งใจ ในเมื่อนี่มันก็ใกล้เคียงกับความต้องการและจุดประสงค์ในใจ ทำไมถึงคิดจะปฏิเสธเขาเสียล่ะ ลองฟังเขาดูอีกสักหน่อยไหม มันไม่มีอะไรจะเสียไปกว่านี้แล้วนี่
“ก็ได้ค่ะ ว่าแต่คุณ...คิดจะไปคุยที่ไหนล่ะคะ”
/////////////////////////

อีกชั่วโมงถัดมา ชนวีร์พร้อมด้วยรถคันหรูของเขาก็พาภัทรดามุ่งมาสู่จุดหมาย สวนสาธารณะที่ร่มครึ้มไปด้วยแมกไม้น้อยใหญ่ กิ่งใบถูกดัดตัดแต่งเนื่องเพราะหน้าที่และความเอาใจใส่ของเจ้าหน้าที่ประจำ ทำให้สภาพแวดล้อมโดยทั่วยังคงความสวยงามร่มรื่น น่าที่จะแวะมาพักผ่อนหย่อนใจ รถจอดนิ่งสนิท...แต่ยังคงไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาก่อน ต่างฝ่ายต่างนั่งนิ่ง เพียงเพราะต้องการจะรำลึกถึง ‘ความหลังครั้งเก่า’ อย่างเงียบๆ เป็นครู่...น้ำเสียงแหบละโหยของภัทรดาก็ดังผ่าม่านกาลเวลาขึ้นมาก่อน
“ทำไมจะต้องมาที่นี่ด้วย”
“ทำไมล่ะ อากาศดีนะ เงียบสงบดีด้วย”
เสียงเขาเองก็เยียบเย็น แฝงไปด้วยนัยประหลาด
“ฉันไม่อยากคุยที่นี่”
“แต่ฉันไม่มีเวลามากพอจะขับไปที่ไหนได้อีกแล้ว ลงมาเถอะ ไหนเธอบ่นว่าเสียเวลามามากแล้วยังไง”
ชนวีร์รีบยกเอาข้อจำกัด ซึ่งก็ไม่มีทางจะรู้ได้ว่าจริงหรือเปล่าขึ้นมาอ้าง แล้วคนที่เป็นเพียงผู้โดยสารอย่างเธอ จะค้านว่ายังไงต่อได้ คนข้างกายของเธอดับเครื่องยนต์ ก่อนจะถอดสูทตัวเนี๊ยบที่สวมมาออก แกะกระดุมข้อมือเชิ้ต พร้อมกับพับลวกๆ แล้วรูดขึ้นมาครึ่งๆ ศอก
เวลานั้น...ภัทรดาเปิดประตูลงไปก่อน เธอไม่ได้หันกลับมามองเขา หากสองเท้ากำลังย่างก้าวช้าๆ เพื่อจะตรงไปยังม้าตัวยาวทาสีขาว มีพนักพิงเป็นเหล็กดัดรูปสัตว์น่ารักต่างๆ มือขาวบางข้างหนึ่งเท้าลงกับขอบพนักนั้น สายลมเย็นๆ โชยมาผะแผ่ว กลิ่นดอกไม้นานาพันธุ์หอมฟุ้งจรุง ทั้งที่พยายามฉุดให้ตัวเองมีสติอยู่กับปัจจุบัน ทว่าความคิดคำนึงในยามนี้ยังหวนคืน ที่ม้านั่งตัวนี้...ใต้ร่มไม้ใหญ่ต้นเดิมต้นนี้...
‘พี่วี...ทำไมพามาที่นี่ล่ะค่ะ รู้ได้ยังไงว่าเพลินชอบที่นี่’
ภาพสาวน้อยในชุดนิสิตเอียงคอถาม วันนั้น ‘พี่วี’ ยิ้มให้ ก่อนเสียงทุ้มนุ่มจะบอก
‘พี่รู้ เพราะพี่ใส่ใจ’
‘ใส่ใจ...หรือคะ’
คิ้วโก่งสวยนั่นเลิกน้อยๆ
‘ใช่จ้ะ เริ่มจากสนใจ ใส่ใจ แล้วต่อไปก็...อยากเป็นคนเดียวที่ได้เข้ามาช่วยเหลือดูแล’
‘แหม...เสียดาย นี่เพลินเรียนอยู่ปีสุดท้ายพอดี ถ้าไม่อย่างนั้นคงได้ทุนการศึกษาจากพี่วี แล้วน้าเดือนเองก็จะได้ไม่ต้องเหนื่อยเพราะโชคร้ายมีเพลินมาเป็นภาระเพิ่มขึ้นอีกคน’
เจ้าตัวฟังเองแล้วก็สรุปความเข้าใจเอาเองเสร็จสรรพ หนุ่มร่างสูงมาดสง่าน่ามอง ก็กำลังยิ้มบางๆ มาอย่างเอ็นดู
‘ที่พี่พูด หมายถึงว่าอยากจะเป็นคนช่วยเหลือ และดูแลรับผิดชอบชีวิตของเพลิน...ตลอดไปต่างหากล่ะ’
‘พี่วี!’ ตากลมๆ คู่นั้นเบิกกว้างอย่างคนกำลังตกใจ คนพูดเลยต้องรับผิดชอบโดยการขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ มือใหญ่เอื้อมมากุมหลังมือขาวบางเป็นการปลอบขวัญ เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยเบาใกล้ๆ หูอีกครั้ง
‘แล้วเพลินล่ะ จะยินดี แล้วก็เต็มใจที่จะวางอนาคตและหัวใจ ไว้ในมือพี่หรือเปล่า’
‘พี่วี’
‘ว่ายังไงจ๊ะน้องเพลิน’ เขาขานล้อๆ อีกฝ่ายได้แต่ยิ้มขวยเขิน ก็ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยมีหนุ่มที่ไหนจะเคยเข้ามาพูดจาทำนอง ‘ทาบทาม’ เป็นจริงเป็นจังกับเธอถึงขนาดนี้ จะมีก็แต่เพื่อนรุ่นๆ เดียวกัน ที่หยอกล้อกันเล่นไปมา นอกเหนือจากนั้น ภัทรดาไม่เคยมีความรู้สึกอะไรเกินเลยตอบไปสักครั้ง
‘เพลิน...ยังเรียนอยู่เลยค่ะ อีกตั้งหลายเดือนกว่าจะจบ’
เจ้าตัวอ้อมแอ้ม ไม่กล้าพอจะเงยขึ้นสบกับประกายบางอย่างในดวงตาคมกริบของเขา
‘แค่ไม่กี่เดือนต่างหาก และพี่ก็อยากได้ความมั่นใจเอาไว้ก่อน ตกลงนะเพลิน...เรียนจบเมื่อไร พี่จะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอ เราจะแต่งงานกันทันทีที่เพลินเรียนจบ’
‘แหม...ให้เพลิน รับปริญญาก่อนไม่ได้หรือคะ แต่งก่อน...เพื่อนบางคนรู้เข้าก็คงจะแซว มีหวังอายเขาตายเลย’
‘เป็นเจ้าสาวของพี่ มีอะไรน่าอาย’
สาวน้อยยิ้มกว้างออกมาได้ ค่อยคลายอาการเกร็งไปได้นิด ชนวีร์พูดออกมาได้ยังไง ใครที่ได้เป็นเจ้าสาวของเขาน่ะนับว่าโชคดีที่สุดล่ะไม่ว่า เป็นภรรยานักธุรกิจหนุ่มตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อในวงสังคม แถมยังร่ำรวยเปี่ยมไปด้วยทรัพย์สมบัติมหาศาล มันน่าพาให้ใครๆ อิจฉาน้อยเสียที่ไหน แต่ภัทรดากล้าพูดได้เลย เธอไม่ได้รักเขาเพราะฐานะหรือชาติตระกูลแต่อย่างใด หัวใจต่างหาก ที่ทำให้เธอแอบอยากอยู่ใกล้และใฝ่ฝันจะได้ใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกับเขาตลอดไป
‘การที่พี่วีมีเพลินเป็นเจ้าสาวสิคะ จะตอบคำถามกับใครๆ ว่ายังไง’
‘ก็ทำไมจะต้องตอบด้วยล่ะจ๊ะ’
ณ เวลานั้น ทุกท่วงวาจาช่างหวานหู
‘เพลินเป็นเด็กกำพร้าจนๆ ธรรมดาๆ คนนึง ตั้งแต่พ่อกับแม่เสียไป ก็มีแค่ญาติผู้ใหญ่อยู่เพียงคนเดียวคือน้าเดือน ซ้ำครอบครัวของน้าเดือนเองก็เป็นคนธรรมดา ไม่มีชื่อเสียงหรือฐานะอะไรที่จะเทียบเท่ากับพี่วีได้เลยแม้แต่นิดเดียว’
‘พี่ไม่สนใจหรอก เพราะพี่ไม่ได้แต่งกับใครๆ เขานี่ พี่แต่งกับเพลิน เพราะฉะนั้น พี่ก็แคร์คนรักของพี่แค่คนเดียว คนอื่นไม่เกี่ยว ใครอยากวิจารณ์หรือพูดถึงกันว่ายังไงพี่ไม่สนใจ แต่อย่าให้ได้ยินก็แล้วกัน จะอัดสั่งสอนให้เละทีเดียว’
เขาว่าจริงจัง และเพียงเท่านั้น ภัทรดาก็ยอมถอดเอาหัวใจดวงน้อย ที่เอนไหวไปแล้วกว่าครึ่งยื่นวางไว้ในมือเขา
‘รู้ไหม ความจริงแล้วพี่เตรียมเซอร์ไพรส์ไว้สำหรับขอเพลินแต่งงานด้วยนะ’
‘เซอร์ไพรส์หรือคะ?’
‘ใช่จ้ะ’ เขาเอ่ยถึงประเทศหนึ่งในยุโรป ซึ่งฟังดูก็นึกถึงภาพ และสามารถจะการันตีได้ในบรรยากาศและความโรแมนติกอย่างสุดแสน
‘แต่พี่เห็นว่าที่นี่เป็นสถานที่พิเศษสำหรับเพลิน เป็นที่ที่เพลินมีบันทึกความทรงจำมากมายเกี่ยวกับครอบครัว พี่ก็เลยเลือกที่นี่เป็นที่บอกรักและขอแต่งงานไปด้วยในคราวเดียวกัน เอ...นี่พี่บอกหรือยังน่ะ’
‘อะไรหรือคะ’ ทั้งสีหน้าและแววตานั้นซื่อบริสุทธิ์
‘รักไง...พี่รักเพลินนะ รักมากที่สุดเลย’
‘พี่วี’ วันนั้น คงมีแต่ความหวานล้ำ ที่สลักจำอยู่ในหัวใจของสาวน้อย
‘ส่วนเมืองนอก เอาไว้พี่ค่อยพาเพลินไปเที่ยวหลังแต่งงาน ถือเสียว่า...เราไปฮันนีมูนครั้งแรกกัน...ดีไหมจ๊ะ’

จากวันนั้น ความรักและความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับ ‘พี่วี’ ก็ดูจะรุดหน้าไปรวดเร็วเหลือเกิน ทันทีที่เรียนจบทั้งเขาและเธอก็เป็นของกันและกัน จริงแล้วภัทรดายืนยันจะรอให้ถึงวันวิวาห์ แต่ทว่าเป็นชนวีร์และความมั่งคั่งพรั่งพร้อมทั้งทางหน้าที่การงานและฐานะที่มีอยู่แต่เดิม ทำให้เขามั่นใจในอนาคตและอดใจรอให้ถึงวันสำคัญนั้นไม่ไหว ชายหนุ่มไม่ได้หักหาญน้ำใจ แต่สองคนต่างจับมือเพื่อร่วมกันเดินสู่เส้นทางสำหรับคนรักและคู่ครองด้วยความสุขแสน นับแต่วินาทีนั้นมา...

ทั้งเขาและเธอต่างทวีความรักในกันและกันมากยิ่งขึ้นเป็นหลายเท่าตัว ถึงขนาดชนวีร์ตัดสินใจที่จะจดทะเบียนสมรสกับเธอในทันที งานแต่งนั้นค่อยมีตามมา หลังภัทรดาเข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตรอย่างที่เธอขอ ทุกอย่างดูเหมือนจะเริ่มต้นและจบลงด้วยความสวยงาม แต่สุดท้ายเรื่องราวกลับตาลปัตร มันไม่มีวันนั้น ไม่มีทั้งทะเบียนสมรส ไม่มีงานวิวาห์!




ลียา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ธ.ค. 2555, 08:58:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ธ.ค. 2555, 09:36:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 2662





<< ตอนที่ 1 (ไม่) ยินดีที่ได้เจอ   
แสนรัก 27 ธ.ค. 2555, 10:21:23 น.
สนุกดีค่ะ น่าติดตาม

แล้วไม่ทราบว่าจะมีการตีพิมพ์เป็นแบบ E-Book ด้วยไหมคะ? ^^


supayalak 27 ธ.ค. 2555, 11:11:21 น.
เกิดอะไรขึ้นค่ะ


teesaparn 28 ธ.ค. 2555, 11:27:45 น.
มาส่งกำลังใจ๋หื้อเจ้า ถ้าว่างก่อแวะไปทักทายได๊เน้อคุณลียา facebook.com/teesaparn.chiangmai


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account