ซุ่มซ่อนมังกรสันโดษ
การผจญภัยของคู่แฝดจอมหาเรื่องที่ทำให้ชีวิตของคนในยุทธภพวุ่นวาย
Tags: กำลังภายใน แฝด มังกร

ตอน: 01 สงสัยในความเป็นมา

ซุ่มซ่อนมังกรสันโดษ บทที่ 1 สงสัยในความเป็นมา

เสียงอาชาวิ่งด้วยความเร็วสูงหยุดลงที่หน้าโรงเตี๊ยม ‘กระท่อมเขียว’ ในเมืองฝูโจว ผู้บังคับม้าเหม่อมองท้องฟ้าที่ดำสนิทไร้แสงดาวมีเพียงสายพิรุณที่บัดนี้เพียงปะพรมความชุ่มชื่นให้พื้นดินเท่านั้น สายตาคนผู้นี้สร้างความรู้สึกยากบรรยายแก่ผู้พบเห็นจริงๆ แฝงความอัดอั้นตันใจยิ่งนัก

ประตูโรงเตี๊ยมเปิดออก ชายร่างสูงใหญ่หน้าตาดุดันผู้บังคับม้าเดินเข้ามาถือถุงผ้าน้ำมันห่อหุ้มบางอย่างเอาไว้ที่หลัง เดินตรงไปยังโต๊ะบนชั้นสองที่มีเพียงสองโต๊ะยังคงนั่งทานอาหารและดื่มสุราชั้นดี

โต๊ะหนึ่งนั้นเป็นเด็กหนุ่มสองคนนั่งอยู่ คนหนึ่งซบไหล่อีกคนทำตาปรือคล้ายเมาหนัก อีกคนถือสุรายกดื่มแทนน้ำไม่มีทีท่าสะดุ้งสะเทือน ทว่าไม่ทราบเทพเซียนท่านใดสร้างสรรค์เด็กหนุ่มทั้งสองนั้นให้มีหน้าตาละม้ายคล้ายกัน ราวแกะมาจากพิมพ์เดียว

แม้รูปลักษณ์งดงาม หากไม่อาจชักนำความสนใจแก่บุรุษผู้นี้ มันจึงเดินตรงไปที่อีกโต๊ะหนึ่งซึ่งมีบุรุษสูงวัยกว่านั่งรออยู่ ตั้งแต่เวลาใกล้เที่ยงที่ท้องฟ้าเริ่มปิดด้วยเมฆสีเทาจากฝีมือเทพพิรุณ เพื่อปะพรมความชุ่มชื่นแก่พื้นดิน ทว่าน่าแปลก บุรุษสูงวัยผู้นี้กลับใช้จ่ายเวลาอย่างเหลือเฟือไม่ทุกข์ร้อนอย่างที่ควรเป็น…

“เป็นไงบ้าง เห็นไหมล่ะ ข้าว่าแล้วเชียว” ผู้เฒ่านาม ‘หย่งซื่อ’ กล่าววาจาราบเรียบแก่สหาย

รอยยิ้มขมขื่นปรากฏที่มุมปาก...สุราในจอกหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“พี่ซื่อ ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าในแผ่นดินนี้จะมีผู้โหดเหี้ยมมากมายถึงเพียงนี้” หนานกงเป่าระบายความอึดอัดขัดใจออกมากอย่างตรงไปตรงมา เมื่อต้องพบเจอเรื่องราวสยองเกล้าอันไม่อาจยอมรับ

เลือดไหลยาวเป็นทางลงมาจนผู้คนเริ่มสงสัย โลหิตอันใดไหลลงมาจากประตูเมือง ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง กลับต้องถอยหลังตกใจแทบล้มประดาตาย ซากศพคนผู้หนึ่งไร้ดวงหน้าบ่งบอกตัวตนถูกแขวนไว้ที่กำแพงเมืองฝูโจว ขู่ขวัญผู้คนเยี่ยมเยือนยิ่งนัก สร้างความตระหนกตกใจแก่ผู้พบเห็น

“ไม่มีใครกล้าเอาลงเลยหรือ” หย่งซื่อถามทั้งที่รู้ รอยยิ้มเย็นเยียบเผยออกมาอย่างยากเย็น

“ใครจะกล้าเมื่อเห็นมังกรทมิฬ” หนานกงเป่านึกถึงปลอกคอ

ปลอกคอสีดำสนิทดูไปคล้ายปลอกคอธรรมดา หากเมื่อลูบดูที่ผิวมันจึงทราบ...มีรอยสลักรูปมังกรซ่อนอยู่

“ผามังกรแสดงความเหี้ยมโหดออกมา เพื่อประกาศให้ผู้ที่ต้องการทรยศรู้ว่า...การทรยศนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ควรทำ” หย่งซื่อเฝ้าติดตามเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้อย่างใกล้ชิด เมื่อต้องเกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้โดยไม่ตั้งใจ

“แม้เพียงชื่อยังหาผู้รู้จริงไม่ มันเป็นสถานที่อันใด ไฉนจึงลึกลับเพียงเป็นตำนานให้เล่าขานเท่านั้น” หนานกงเป่าผู้ท่องเที่ยวไปจนสุดแดน...พบเจอเรื่องราวมากมายยากบรรยาย หากมิมีโอกาสได้ไปยังที่แห่งนั้น

“ที่ที่อันตรายที่สุดเช่นนั้นเจ้าอย่าได้ใส่ใจ ข้าเฝ้าเพียรตามหามันมากว่ายี่สิบปียังไม่อาจพบเจอ อาศัยเพียงความสนใจของเจ้า ข้าว่ายังยากยิ่ง” หย่งซื่อถอนหายใจยาว...หวนนึกถึงความหลังครั้งก่อนให้รู้สึกเจ็บปวดยิ่ง

“ข้าเพียงรู้สึกว่า...ยุทธภพไม่อาจสามัคคีเพื่อกำจัดนครเหนือฟ้า คงมีเพียงเจ้าผามังกรฯ เท่านั้นจึงสามารถต่อกรกับคนชั่วเหล่านั้นได้” หนานกงเป่าเพียงหวังให้ความสงบกลับคืนมา ทว่าความสงบในยามนี้เป็นเรื่องยากจริงๆ

เสียงหัวเราะดังขึ้นจากริมฝีปากเด็กหนุ่มรูปงามสวมเสื้อทำจากผ้าป่านดูมอซอ เหมือนมันยิ้มเยาะความคิดของคนผู้หนึ่ง แสดงว่ามันคงรับฟังคำสนทนาจากผู้สูงวัยกว่าทั้งสอง เพียงท่าทางมันคล้ายคนเมาหนัก ไม่อาจเชื่อถือได้ว่ามันสามารถจับความในวาจาผู้คนได้อีก

“ไอ้เด็กบัดซบนั่น” หนานกงเป่าให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นทันใด

ดาบตุลาการ...หนานกงเป่าท่องเที่ยวทั่วหล้าเจอทารกน้อยวัยเยาว์โอหังมามากมาย ไม่คาดยุคนี้คนรุ่นใหม่ใช่ยังสามารถพึ่งพาได้ดังกาลก่อน เพียงนึกยิ่งรู้สึกอึดอัดขัดใจกว่าเดิม

“สนใจไปไย เพียงทารกวัยเยาว์เท่านั้น” หย่งซื่อหาใส่ใจไม่

วันเวลาพบเจอเรื่องราวมากมาย มีเพียงไม่กี่เรื่องสามารถดึงความสนใจกระบี่เทพเช่นหย่งซื่อ...

หนานกงเป่าถอนหายใจแรงและส่ายหน้าช้าๆ ทำใจกับความโง่เขลาของคนรุ่นใหม่ ละความสนใจและกลับเข้าเรื่องราวสนทนาอีกครั้ง “ท่านเห็นควรอย่างไร”

“เจ้าอย่าได้คิดหวัง ควรทราบเจ้าผามังกรเป็นผู้สันโดษ มิชมชอบข้องเกี่ยวกับเรื่องราวในยุทธภพมานานกว่าสามร้อยปี จนบัดนี้หามีผู้ใดเคยพบเจอไม่ เช่นนั้นยังสามารถคาดเดานิสัยใจคอคนผู้นี้ได้อีกหรือ แล้วคิดหรือ...คนผู้นั้นจะยอมกระทำดังที่เจ้าต้องการ” หย่งซื่อปลอบสหายวัยเยาว์มิให้คิดมากความ

“เหตุใดมิมีผู้ใดพบเจอคนผู้นี้บ้างเล่า พี่ซื่อ” หนานกงเป่าเคยถามสหายหลายรอบ หากในเวลานี้คิดช่วยเหลือยุทธภพอาจทำให้สมองเลอะเลือนไปบ้าง

“ฟังว่าวรยุทธ์สุดพิสดารของเจ้าผาแต่ละรุ่นล้วนสูงส่ง ชาวยุทธ์มากมายต้องการฝึกปรือ เพียงเสียดายหามีผู้ใดเจ้าผาฯ พบไม่ จึงมิอาจหวังผลความสำเร็จอันใดอีก” หย่งซื่อยังคงอดทนเล่าเรื่องราวที่ได้รับรู้มาด้วยรู้สึกสงสารในความหวังดีที่มีต่อยุทธภพที่สิ้นหวัง

ด้วยบัดนี้มีสำนักร้ายกาจคิดครอบครองยุทธภพ เพื่อควบคุมสร้างสรรค์ตามต้องการ ให้มีสำนักน้อยใหญ่มากมายสูญเสียศิษย์หลายรุ่นหลายคนยังไม่อาจเอาชัย ขณะนี้สถานการณ์เรียกได้ว่าแทบย่ำแย่แล้ว ความหวังอันใดมิอาจเปล่งแสงทอดแก่ผู้ฝึกยุทธ์อีก

เสียงจอกสุราร่วงล่นลงพื้นไม้ เด็กหนุ่มรูปงามท่วงท่าสุภาพ สวมเสื้อผ้าตัดเย็บเรียบร้อยงดงามราวคุณชายน้อยแห่งตระกูลผู้ดียืนขึ้น แววตาสงบนิ่งหันมองไปยังฝาแฝดท่าทางงัวเงียไร้สติด้วยฤทธิ์สุรา

“ถึงเวลานอนของเจ้าแล้วกระมัง ดื่มสุราเพียงพอแล้ว” เด็กหนุ่มท่าทางสุภาพดึงแขนของคู่แฝดพาดไหล่หิ้วปีกเดินไปยังห้องพัก มิได้สนใจใส่ใจโต๊ะข้างเคียงแม้แต่น้อย ท่าทางของมันเย่อหยิ่งยิ่งนัก มิเสวนากับผู้ใดโดยไม่จำเป็น

หนานกงเป่ามองท่าทางและคำพูดแปลกหูของเด็กหนุ่มรูปงามผู้นั้น ให้งงงันชั่วครู่ก่อนทอดถอนหายใจหนักหน่วง “ไอ้เด็กบ้านั่นยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม สะเออะออกท่องยุทธภพใช่รนหาที่ตายหรือไม่”

“อย่าได้เก็บเรื่องเล็กน้อยมาใส่ใจ เราควรใส่ใจเรื่องงานชุมชุนที่ปราการในสายหมอกยิ่งกว่า ทารกน้อยเช่นนั้นสามารถกระทำการอันใดเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้” หย่งซื่อเคาะโต๊ะเบาๆ ใช้ความคิดอย่างรอบคอบ ไม่ทราบมีเรื่องราวอันใดให้ต้องสะสางอีกกี่มากน้อย เพียงลำดับเหตุการณ์วุ่นวายที่ผ่านมา ไม่ทราบความผิดพลาดเกิดจากสาเหตุใด

“พี่ซื่อว่าเจ้ายุทธ์จะทำอย่างไรกับนครเหนือฟ้าหรือไม่” หนานกงเป่าหนักใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

“ข้าไม่อาจคาดเดาเรื่องราวเช่นเดียวกับเจ้า ครั้งก่อนศึกเขาพยัคฆ์ขาวล้มเหลว เราต้องเสียผู้คนไปมากมายนัก แต่นครเหนือฟ้าเสียมือดีเพียงหยิบมือ ข้าได้เพียงหวังให้มีชาวยุทธ์รุ่นเยาว์ฝีมือดีเข้ามา ทว่ายามนี้ให้หนักใจยิ่ง เมื่อทารกน้อยเหล่านั้นล้วนนิสัยเสียเพราะบิดามารดาให้ท้าย” หย่งซื่อยกจอกสุราขึ้นดื่มดับไฟกลัดกลุ้มที่เกิดขึ้นในใจ

หนานกงเพียงพยักหน้ารับ ให้รู้สึกหนักใจไม่น้อย…

ศึกสะท้านภพเมื่อสิบปีก่อนสร้างความเสียหายย่อยยับแก่ทุกฝ่าย ต้องเสียเหงื่อเท่าไร สตรีผู้มีสามีต้องเสียน้ำตาเท่าไร ต้องสูญเสียพี่น้องร่วมสายโลหิตเท่าไร....ทั้งสิ้นเพียงเกิดจากความแตกแยกของชาวยุทธ์ผู้ทะนง

นครเหนือฟ้า...สร้างความปวดร้าวแก่ค่ายสำนักต่างๆ อย่างแสนสาหัส นับวันยิ่งมิกลัวเกรงต่อผู้ใด ทั้งยังฮึกเหิมสร้างความวุ่นวายด้วยไม่มีผู้ใดอาจหาญต่อกร...

*****************************************


เด็กหนุ่มท่าทางสุภาพในโรงเตี๊ยมนั้นกลับมาปรากฏบนทางลาดเปียกชื้นหลังฝนซา ทิ้งคู่แฝดให้นอนหนาวเดียวดายเพียงลำพังที่โรงเตี๊ยมกระท่อมเขียว ฟางสงเพียงคิดก่อนคลี่พัดที่เต็มไปด้วยภาพทิวเขาพร้อมมังกร ที่หลับใหลอย่างสงบใต้หุบเขา

‘เสียงน้อยชวนเท่าไร ไม่ยอมมา จะให้ข้านอนหนาวเดียวดายเช่นมันย่อมไม่อาจกระทำ ยังคงต้องหาหญิงงามอิงแอบแนบอกซุกกอดให้อุ่นกายย่อมประเสริฐสุด’ เด็กหนุ่มวัยเพียงสิบห้าหยุดยืนมองสวนชมวิหค...หอคณิกาเลื่องชื่อด้วยรอยยิ้ม ก่อนปัดความคิดรบกวนออกไป...นึกถึงความหอมหวนรัญจวนใจในอิสตรี

“หยุดนะ ทารกน้อยเช่นเจ้ายังหวังชื่นชมหญิงงามหรือ อาศัยความสามารถอันใดให้สตรีหลงใหลเจ้า ไป กลับไปนอนกอดมารดาเจ้าให้สบายเถอะ” ชายฉกรรจ์คุมสวนชมวิหคหัวเราะเสียงดัง

หญิงงามค้างสวนพลอยหัวเราะไปด้วย ทว่ามิอาจกระทำการอันใดมากกว่านั้น มันสะอึกหนึ่งครั้งก่อนทรุดลงบิดตัวเป็นเกลียวจนน้ำตาไหลพรากด้วยความกลัว

ฟางสงเพียงปัดข้อมือหนึ่งครั้ง ไม่ทราบใช้กระบวนท่าอันใด ชายฉกรรจ์ทรุดลงเข่าแตะพื้นร้องทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ทว่าดวงตาคู่งามมองดูด้วยสีหน้านิ่งเรียบไร้ความรู้สึกอันใด

“คุณชายได้โปรดเถอะ” ซานเหนียงเจ้าของสวนรีบวิ่งเข้ามาดู เมื่อเห็นคนคุมสวนแทบล้มประดาตาย

“ใครให้คนของเจ้าก่อกวนความสำราญของข้า ไม่ต้องกลัวไป ข้าเพียงยั้งมือไว้ไม่ให้มันตาย รออีกสามชั่วยามมันก็จะหายดีเอง ยังไม่รีบนำทางข้าอีก ข้ามาเพื่อพักผ่อนเท่านั้น” ฟางสงเสียงดังกังวานไม่แสดงออกถึงความรู้สึกอันใด ทว่าท่าทีมันกลับข่มขวัญผู้คนให้กระเจิงไกล

“เจ้าค่ะ คุณชาย” ซานเหนียงรีบนำทาง ก่อนหันมาสั่งให้คนมาพาอาเต้าออกไปให้พ้นหน้าสวน

นางยิ้มประจบเอาใจต่อหน้า หากนางได้เตรียมบางอย่างให้คนที่บังอาจมาหาเรื่องหน้าสวนของนาง ก่อนหันไปมองชายหนุ่มรูปงามซูบผอมคล้ายบัณฑิตขี้โรคที่ยืนรออยู่ที่ชั้นสอง

“คุณชายต้องการเชยชมนกตัวไหนดีเจ้าคะ” ซานเหนียงยังคงเอาใจลูกค้าหน้าใหม่ด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง

“นกที่สวยที่สุดสิ” ฟางสงตอบง่ายๆ มันเริ่มง่วงต้องการพักผ่อน

“เห็นทีคุณชายมาช้าไป คุณชายกังเหมาพวกนางเอาไว้หมดแล้วเจ้าค่ะ” ซานเหนียงแสร้งทำหน้าลำบากใจ

“ใครกัน ขอมาให้ข้าสักสามคนแล้วกัน ข้าเบื่อล้อเล่นผู้คน” ฟางสงส่ายหน้า ก่อนควักตั๋วเงินสามพันตำลึงยื่นให้

ซานเหนียงมองเงินในมือลูกค้าใหม่ตาโต ผู้ใดสามารถรู้ได้...เด็กหนุ่มวัยเยาว์ผู้นี้ร่ำรวยมหาศาลแจกจ่ายเงินตรามากมายด้วยเพียงพอใจใช้จ่าย

“เห็นจะไม่ได้กระมัง เพราะข้าไม่มีวันยกพวกนางให้แก่เจ้า” กังเหลียงนั่งลงที่ราวบันไดมิได้เห็นเด็กหนุ่มรูปงามนั้นอยู่ในสายตา ทว่าเป็นเพราะคำพูดเป่าหูของซานเหนียงทำให้ผู้คนเข้าใจผิด

“ข้าเพียงต้องการแค่สามนางเท่านั้น ไฉนท่านไม่คิดแบ่งปันความสำราญแก่ผู้อื่นบ้าง” ฟางสงหามีท่าทีแตกต่างจากอีกฝ่ายไม่ มันคลี่พัดอย่างเฉื่อยชา...ทว่าลายบนพัดกลับสร้างความรำคาญใจแก่ผู้คน

“พัดเจ้าดูนอบน้อมหากแฝงไว้ด้วยความทระนงยิ่งนัก ใช่ต้องการจบชีวิตในสวนชมวิหคนี้หรือไม่” กังเหลียงลุกขึ้นยืนพร้อมก้าวเท้าลงจากชั้นสอง...มันให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่ง

มังกรนิทรา...ผู้ใดคิดก่อกวนใช่รนหาที่ เขียนภาพเช่นนี้บนพัดใช่ต้องการเปรียบตัวเองเป็นมังกรสูงส่ง หยิ่งทะนงและเชื่อมั่นในความสามารถ...ไม่จำเป็นต้องระแวดระวังสิ่งใด

“ข้าเพียงต้องการแสดงความชื่นชมในตนเองอย่างถูกต้องเท่านั้นเอง ไฉนท่านไม่เห็นด้วย” ฟางสงหัวเราะขบขัน ราวกับไม่มีผู้ใดทำให้เด็กหนุ่มผู้นี้ลดความทะนงลงได้

กังเหลียงชักกระบี่ออกจากฝัก ฉายากระบี่ปราณีขัดแย้งกับกระบวนท่าดุดันโหดเหี้ยมยิ่งนัก ทุกท่วงท่าที่ลงกระบี่แฝงพลังลมปราณหนักหน่วง แต่กลับต้องตระหนก เมื่อเด็กหนุ่มหน้าอ่อนเพียงขยับพัดไปมา คล้ายต้องการขับไล่แมลงน้อยที่เข้ามารบกวน

“แม่นกท่านยังไม่รีบไปเชิญนกน้อยที่งดงามสามนางออกมาพบข้าอีก หรือต้องให้คนผู้นี้เหนื่อยตายเสียก่อน” ฟางสงสั่งชัดถ้อยชัดคำ...มิได้ใส่ใจต่อคู่ต่อสู้สักน้อยนิด ย่อมสร้างความเดือดดาลแก่ผู้คน

“เจ้า” กังเหลียง...ศิษย์ห้าแห่งสำนักกระบี่เทพเสียหน้าอย่างรุนแรง แต่ไม่อาจเอาชัยเด็กหนุ่มสามหาวผู้นี้ในกระบวนท่าที่แสดงออก

ฟางสงกลับรู้สึกเบื่อหน่าย จึงหมุนวนลมปราณที่อีกฝ่ายนำมาฝากไว้คืนสู่ผู้เป็นเจ้าของ จนร่างบัณฑิตขี้โรคปลิวลอยไปกระแทกเสา กระอักเลือดออกมาคำโต “พี่ท่านคงใช้แรงกายกับหญิงงามมากเกินไป ทำให้มึนงงไม่อาจแยกแยะแล้วกระมัง”

กังเหลียงตาแดงกร่ำด้วยความโกรธ ให้รู้สึกยอกย้อนในวาจามันยิ่งนัก ทว่าต้องยอมรับในฝีมือมัน ด้วยไม่อาจมองเห็นท่วงท่าที่มันแสดงออกมา จึงมิอาจทราบ...วรยุทธ์มันได้รับถ่ายทอดจากผู้ใด

“โบกพัดสราญรมย์...ข้าได้ยินคำเล่าขานมานานแล้ว ไม่ทราบว่าสหายวัยเยาว์เป็นอะไรกับเทพบุตรสราญรมย์” บุรุษผู้หนึ่งยืนกอดอกมองดูท่าทีผู้อื่นอยู่นาน

เมื่อเป็นผู้สนใจศึกษา...ยามได้เห็นวรยุทธ์ลึกลับย่อมไม่อาจหยุดวาจาไม่ไถ่ถาม เพื่อระบายความสงสัยในใจออกมา...

“เรื่องนั้นมิใช่ธุระท่าน อีกทั้งข้าเพียงต้องการพักผ่อนเท่านั้น” ฟางสงบอกปัดหาอธิบายสิ่งใดไม่ หากคงรอยยิ้มภูมิใจอยู่ในดวงหน้าอ่อนเยาว์งดงามราวเทพบุตร

“ข้าหลี่เปียว...ศิษย์หมู่ตึกสายฟ้า นั้นคุณชายกังเหลียง...ศิษย์สำนักกระบี่เทพ แล้วท่านล่ะ” หลี่เปียวให้รู้สึกสนใจในความเป็นมาของเด็กหนุ่มรูปงาม จึงต้องการผูกมิตรไว้ด้วยอาจทราบความนัยของวรยุทธ์ ที่สูญหายไปกว่ายี่สิบปีที่มันได้ยินอาจารย์พูดถึง

“ข้าฟางสง...ไร้สำนัก มิได้เป็นศิษย์สำนักใด จึงมิเคยมีอาจารย์ให้เป็นภาระ” ฟางสงหาได้ต่อความต่างๆ ไม่ ด้วยมันต้องการพักผ่อน จึงรับหญิงงามที่ซานเหนียงจัดหาให้มองแต่ละคนอย่างพอใจ

“คุณชายฟางเชิญค่ะ” นกกระจิบเชิญชวนฟางสงไปยังเรือนของตน

“เชิญเจ้าหาความสำราญให้เต็มอิ่ม ข้าเองก็คงต้องไปต่อภารกิจเช่นกัน” หลี่เปียวเก็บความสนใจเอาไว้อย่างแยบยลด้วยโอบหญิงงามนางหนึ่งเดินกลับไปยังห้องพัก...ไม่คิดเซ้าซี้ผู้คนเพื่อสร้างความรำคาญ

คิดกระทำการอันใดให้รอบคอบ...ย่อมต้องรู้จักรอคอยโอกาส

เพียงเด็กหนุ่มผู้นี้ ดูท่าทีเป็นผู้ไม่อาจประเมินเพียงภายนอก หลี่เปียวย่อมต้องผูกมิตรผู้คนไว้ อาศัยคำกล่าวเตือนสติตน

เป็นมิตรย่อมดีกว่าเป็นศัตรู...

กังเหลียงโดนลบหลู่ในสวนชมวิหค เป็นเรื่องที่ต้องถูกเล่าลือในวันรุ่งขึ้นเป็นแน่ สร้างความแค้นขึ้นในใจยิ่งนัก ทั้งหลี่เปียวยังดูหมิ่นด้วยสายตาอีกด้วย จึงได้แต่พกพาความแค้นกลับยังเรือนพัก...

*****************************************


ยามอาทิตย์อีกวันลาลับฟ้าอีกครา เสียงเอะอะดังขึ้นรบกวนความสงบแก่ผู้โหยหาความสำราญในสวนชมวิหกแห่งนี้ เนื่องด้วยฟางสงหาได้กลับไปยังโรงเตี๊ยมไม่ ยังคงเสพสุขกับนกน้อยในสวนนี้อย่างพอใจ ทิ้งให้ฝาแฝดนอนอยู่ในโรงเตี๊ยมเฝ้าข้าวของ

“สงน้อยออกมา” ฟางเสียงพาดห่อผ้าป่านสีดำชุบน้ำมันหุ้มสิ่งของที่บ่า

เพียงผู้คนเห็นห่อของนี้กลับต้องประหลาดใจในความใหญ่ยิ่งของสิ่งนั้น ไม่ทราบในนั้นเป็นศาสตราวุธชนิดใด จึงมีขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ ทว่าเด็กหนุ่มรูปร่างอ้อนแอ่นกลับแบกไว้บนบ่าคล้ายสิ่งนั้นเป็นเพียงปุยนุ่น

“เสียงน้อย...เจ้าเข้ามาทำวุ่นวายเช่นนี้ได้อย่างไร” ฟางสงปล่อยให้หญิงงามอิงแอบด้วยลุ่มหลงในรสรักของเด็กหนุ่มเช่นมัน หากไม่บอกย่อมมิมีผู้ใดล่วงรู้...เด็กหนุ่มผู้นี้มีความสามารถยิ่งกว่าชายใดที่ผ่านมา

“เจ้าช่างโง่งมนัก ดาบเจ้าอยู่ที่ข้า เกิดอันตรายใดสามารถปกป้องตนเองได้รึ” ฟางเสียงโยนดาบใหญ่ในห่อผ้าให้ฝาแฝด

แท้จริงมันหาได้ใส่ใจในความปลอดภัยของพี่น้องมันไม่ เพียงต้องการสร้างเรื่องราวให้พี่น้องต้องเดือดร้อนใจเท่านั้น

“เจ้าตัวโง่งมเห็นจะเป็นเจ้า ข้ามาชมนกน้อย ไฉนต้องพกอาวุธก่อกวนผู้อื่นให้ตกใจ” ฟางสงรับห่อผ้าป่านเอาไว้อย่างมั่นคง ทำราวกับของในห่อนั้นไร้น้ำหนักให้ผู้คนต้องตกใจ

“แล้วทิ้งให้เป็นธุระของข้าหรือไร” ฟางเสียงนั่งลงอ้าขากว้าง หลังพิงพนัก พาดแขนไปด้านหลังอย่างสบายอารมณ์ แลดูเกียจคร้านยิ่ง

“เอาล่ะ ข้าขี้เกียจทะเลาะกับเจ้า” ฟางสงเดินเข้ามายืนมองคู่แฝดด้วยรอยยิ้มประจบ เป็นฝาแฝดกันมาหลายปี มีหรือเพียงเท่านั้นไม่อาจทำความเข้าใจ...

ผู้คนในสวนชมวิหกย่อมต้องลอบชื่นชมความงดงาม ดังสวรรค์สรรค์สร้างให้มีเพียงคู่เดียวที่เหมือนกันราวแกะจากพิมพ์เดียวกัน ทว่ายามเมื่อฝาแฝดนี้ยืนเคียงข้างกัน...กลับมองเห็นความแตกต่าง ไม่ว่าจะท่วงท่าและการแต่งกาย

“เจ้าคิดค้างคืนที่นี่ด้วยหรือไร” ฟางสงยิ้มด้วยเล่ห์กล เดินทางด้วยกันหลายวัน มันมิเคยเห็นคู่แฝดมันเข้าหอคณิกาที่ใด จึงคิดเย้าแหย่ก่อกวน...เพียงเป็นมันต้องขมวดคิ้วสงสัย

“ใช่ แม่เล้าได้ยินว่าที่นี่มีหงส์น้อย ข้าต้องการนาง” ฟางเสียงตะโกนเสียงดังไม่เกรงกลัวใคร เรียกเจ้าของสถานที่อย่างหยาบคายหามีท่าทีใส่ใจไม่

“คุณชายคะ คือว่าแม่นางหงส์น้อยไม่รับแขก นางเป็นนางรำที่มีค่าของเรา” ซานเหนียงให้ตระหนกตกใจ เมื่อหญิงงามที่เด็กหนุ่มเรียกหา เป็นสตรีที่มีความงามที่สุดในสวนชมวิหก ทั้งยังเลือกรับรองผู้มาเยือนอย่างละเอียด

“ไปบอกนางว่า ฟางเสียงมาแล้ว หากนางไม่ออกมาพบข้า ข้าจะทอดทิ้งนางแล้ว” ฟางเสียงพูดคล้ายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ทำเอาผู้คนงุนงงยิ่ง

ผู้ใดคาดคิด...เด็กหนุ่มผู้หนึ่งจักสามารถเรียกหาหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองฝูโจวมารับใช้...

“เสียงน้อยเจ้ารู้จักนางเมื่อใดกัน ข้าถึงไม่รู้” ฟางสงให้รู้สึกแปลกใจยิ่ง

ฟางเสียงมิได้ตอบคำ ทั้งหยิบถั่วลิสงอบแห้งในจานขึ้นมา โยนใส่ปากมิสนใจในความสงสัยของผู้คน ยามนั้นฟางสงทำได้เพียงรอคอยมองดูความสามารถในการเรียกสตรีนางหนึ่งมารับใช้

ผู้คนต่างสนใจในความโอหังของเด็กหนุ่มมอซอผู้นี้ยิ่ง...ให้ต้องการรับทราบความเป็นจริงที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเฉื่อยชา อันแตกต่างกับท่าทีสงบนิ่งไม่แสดงออกของเด็กหนุ่มอาภรณ์ขาวอีกผู้หนึ่ง

เพียงไม่นานนัก หญิงงามผู้หนึ่งในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มตัดกับลายหงส์สีทองปักลายงดงาม ประดับผมสีดำขลับด้วยปิ่นปักผมสีทองงดงาม ทั้งสวมสร้อยร้อยกระพรวนส่งเสียงไพเราะไว้ที่ข้อเท้าขาวเนียนเปลือยเปล่าเปิดเผยยิ่งนัก นางรีบวิ่งมานั่งที่พื้นและซบลงที่ขาเด็กหนุ่มมอซอแน่น มิมีท่าทีรังเกียจอันใด

บุรุษต่างวัยย่อมต้องมองนางตะลึงลาน หญิงนางรำผู้นี้ช่างมีความงดงามตราตรึงใจผู้พบเห็นยิ่ง ไม่ว่าจะท่วงท่าการเดินเหินล้วนน่าจับตาคล้ายล่องลอยอยู่เหนือเมฆ

“ท่านจะทอดทิ้งข้าเช่นนั้นหรือ” หงส์น้อยตัดพ้ออ่อนหวาน ริมฝีปากสีชาดห่อเข้าไว้ด้วยจริตมารยา

“แม่เจ้าไม่ยอมไปตามเจ้าให้ข้า” ฟางเสียงแตะปลายคางนางเชยขึ้นมองพร้อมรอยยิ้มพึงพอใจ

ฟางสงเหม่อมองหญิงงามที่แฝดน้องครอบครองอยู่อย่างเสียดาย ทว่าสตรีงามในโลกหล้ามากมาย ความเสียดายในสตรีย่อมมิจริงจังนัก เพียงรู้สึกขัดกับรอยยิ้มท้าทายของพี่น้องหากไม่สำเร็จ

เมื่อเป็นพี่น้องย่อมต้องรู้สึกสะกดใจ...มิให้ช่วงชิงสิ่งใด ด้วยสายเลือดย่อมสำคัญยิ่ง...ไม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทน

ฟางเสียงสามารถเข้าใจคู่แฝดได้เช่นกัน จึงสั่งหงส์น้อยดังใจคิด “พรุ่งนี้เจ้าค่อยปรนนิบัติสงน้อยเถอะ”

“ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณชายสงค่ะ” หงส์น้อยก้มหน้าลงเอียงอาย นางย่อมปรนนิบัติอย่างเต็มใจด้วยคุณชายทั้งสองดวงหน้าละหม้ายคล้ายกันยิ่ง

“ขอเพียงเจ้าไม่เรียกข้าว่าเป็นเสียงน้อยก็เพียงพอ” ฟางสงตอบรับความหวังดีที่แฝดน้องมีให้ไม่ใส่ใจใคร มันหัวเราะเสียงดังโอบนกน้อยนางอื่นเดินกลับไปยังเรือนรับรอง

เมื่อเป็นพี่น้อง...ย่อมสามารถแบ่งปัน...

ซานเหนียงมองหญิงงามอันดับหนึ่งเพียงนางเดียวที่นางไม่อาจบีบบังคับ...ไม่อาจเชื่อสายตาตน...เพียงเด็กหนุ่มมอซอหามีความดีอันใดไม่ออกปาก...นางหงส์กลับยินยอมปฏิบัติตามอย่างง่ายดาย

“ไปเถอะ ข้าต้องการพักผ่อนแล้ว” ฟางเสียงบิดไปมาอย่างเกียจคร้าน โอบร่างหญิงงามนาม ‘หงส์น้อย’ ไว้ ปล่อยให้นางเป็นผู้นำทาง

หลี่เปียวมองฝาแฝดแล้วให้แปลกใจยิ่ง หญิงงามที่แม้แต่มันยังไม่อาจเชยชมคล้ายตกอยู่ในอาณัติสิทธิขาดของเด็กหนุ่มนาม...ฟางเสียง

ความเป็นมาอันน่าสงสัยนี้ย่อมสร้างความปั่นป่วนแก่ผู้พบเห็น เพียงยามนี้ไม่อาจบังคับให้เด็กโอหังทั้งสองเปิดปากอธิบายเรื่องราวความเป็นมา จึงทำได้รอคอยรับทราบเรื่องราวต่อไป

*****************************************


ฟางสงเดินผ่านสวนดอกไม้หลากสีท่ามกลางละอองสายฝนที่ปะพรมความชุ่มฉ่ำให้พื้นดิน เสียงกบร้องเบาๆ ขับกล่อมประสานกับเสียงหยดน้ำกระทบหิน มันเผยรอยยิ้มพึงพอใจหากในใจพลันครุ่นคิดถึงความสัมพันธ์ของพี่น้องมันกับหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งนครฝูโจว

“เชิญคุณชายฟางสง นายหญิงข้าโศกเศร้ายิ่ง” หญิงรับใช้รายงานอย่างเศร้าสร้อย นางกลับเป็นหญิงรับใช้ที่งดงามไม่เป็นรองนกน้อยในสวนนี้ และไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านายหญิงของนาง เพียงให้ความรู้สึกแตกต่าง...

“เกิดเรื่องอันใด หรือเสียงน้อยมิให้ความสุขกับนาง” ฟางสงกล่าววาจาหยอกล้อด้วยมันอารมณ์ดียิ่ง

“คุณชายฟางสง...โปรดอย่ากล่าวเช่นนั้น คุณชายฟางเสียงเมตตาไม่น้อย เพียงแต่นายหญิงข้าเสียใจที่คุณชายฟางเสียงจากไปยามรุ่งสางไร้วาจาล่ำลานางเท่านั้น” เหยียนอิงเผลอแก้ต่างแทนคุณชายแสนดีในสายตานาง

นางย่อมเป็นอีกผู้หนึ่งซึ่งลุ่มหลงฟางเสียง ด้วยกิริยาท่าทางนางบ่งบอกชัดเจน ทำให้มันต้องคลี่พัดแล้วครุ่นคิด ฝาแฝดมันหาได้เจ้าสำราญเช่นเดียวกันไม่...ไฉนจึงก่อกวนให้หญิงงามสองนางกังวลใจได้มากมายนัก

“เชิญคุณชาย” เหยียนอิงไม่อาจรบกวนความคิดของคุณชายท่านนี้ จึงนิ่งเงียบเก็บวาจาไว้

ฟางสงเพียงพยักหน้า ก่อนผลักประตูเข้าไป เห็นนางหงส์ผู้งดงามนั่งอยู่บนตั่งพิงขอบหน้าต่างเหม่อมองอย่างล่องลอย คล้ายต้องการส่งความรู้สึกถึงบุรุษอันเป็นที่รัก ‘น้องข้าเห็นทีสร้างความเจ็บปวดแก่หญิงงามแล้วกระมัง’

“หงส์น้อยนึกถึงเสียงน้อยอยู่กระมัง” ฟางสงโบกพัดไปมาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“คุณชายสง” หงส์น้อยก้มลงด้วยสะเทิ้นอาย ถึงอย่างไรคุณชายท่านนี้ละม้ายคล้ายอย่างยิ่ง

“เป็นไรไป หรือมีเพียงเสียงน้อยในใจเจ้าเท่านั้น” ฟางสงเดินเข้าไปใกล้ คุณชายรูปงามแตะพัดที่ปลายคางนางเบาๆ เชยขึ้นมองดวงหน้าอ่อนหวานงามจับตาของนางก่อนยิ้มพอใจ

“คือข้า” หงส์น้อยไม่อาจเอ่ยคำ...ใจนางเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเมื่อคำสั่งยังคงวกวนในความคิด

ฟางสงจุมพิตที่หน้าผากนวลเบาๆ เพื่อปลอบโยนหญิงงามผู้ไร้ความหวังต่อบุรุษอันเป็นที่รัก มันย่อมรู้ดี...ฝาแฝดมันเป็นเยี่ยงไร...เฉยชาต่อหญิงงามเพียงมีไว้ระบายความต้องการเท่านั้น...

*****************************************


ยามค่ำคืนเดือนหงาย แสงจันทราสาดส่องทั่วแผ่นดิน ฟางเสียงยืนนิ่งอาบแสงจันทร์บนเรือโดยสารน้อย เดินทางไปยัง ‘ปราการในสายหมอก’ อันเป็นที่พักพิงของเหล่าชาวยุทธ์ผู้มาชุมชุนกันตามเทียบเชิญจากทุกสารทิศ รอยยิ้มเปิดเผยเย่อหยิ่งดูหมิ่นผู้โง่เขลาทั้งหลาย หากไม่ใช่เรื่องสนุกแล้ว...ฟางเสียงย่อมมิได้ใส่ใจเยี่ยมชม

“คุณชายถึงแล้วขอรับ” คนแจวเรือชราส่งคนลงยังที่หมายอย่างปลอดภัย โล่งใจมิได้ถูกปล้นกลางทาง

“เอาไป” ฟางเสียงหยิบเงินหนึ่งตำลึงทองแจกจ่ายแก่คนแจวเรือผู้ซื่อสัตย์คล้ายหยิบอัฐไร้ค่า

“ข้าไม่มีเงินมากมายคืนท่าน” คนแจวเรือวัยใกล้ฝั่งถือเงินมือสั่น ร้องลั่นด้วยตกใจกับเงินตำลึงทอง

“ใครใช้ให้เจ้าคืนเงินข้า ไปเถอะ เงินทองข้ามีมากมายต่อให้เจ้าปล้นข้าห้าพันครั้ง เงินทองข้าก็ไม่อาจหมดสิ้น” ฟางเสียงหัวเราะเสียงดัง วาจามันไม่คล้ายแยแสใส่ใจเงินตำลึงทองนั่นไม่

“เด็กสามหาวเช่นเจ้ายังมีหน้าป่าวร้องให้โจรถ่อยทั้งหลายตามมาปล้นฆ่าอีกหรือ” หนานกงเป่าย่อมจดจำเด็กหนุ่มมอซอยโส ยิ่งทำท่าร่ำรวยอย่างโง่เขลาแล้วยิ่งรู้สึกขัดตากว่าเดิม

“เจ้า...มิต้องเป็นห่วงข้า เมื่อข้ามาถึงที่นี่เพียงลำพัง ย่อมสามารถรับประกันความปลอดภัยในชีวิตข้า คู่แฝดข้าย่อมสามารถปกป้องข้าได้” ฟางเสียงยักไหล่มิใส่ใจในคำเตือน

“ผู้ใดสามารถปกป้องตนเองได้เท่าตัวเราเอง” หย่งซื่อเห็นเช่นนั้นจึงเข้าตักเตือน แม้ไม่ถูกใจในความทระนงของอีกฝ่าย หากจิตใจแห่งความเมตตาเสริมส่งให้ต้องเอ่ยปาก

“ขอบคุณท่านที่เป็นห่วง แต่ข้าไม่เคยต้องป้องกันตัวเอง เมื่อมีพี่น้องที่แสนดีอยู่มากมายไยต้องกังวลไป” ฟางเสียงยิ้มคล้ายไม่แยแส เป็นมันไม่เคยใส่ใจในเรื่องใดให้มากความ

“เจ้า อย่าได้ดูหมิ่นอาจารย์ของพวกเรา” ดรุณีนางหนึ่งรูปร่างอรชรสวมอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ราวหิมะกลางเหมันต์นาม...หย่งยี่เอ๋อ ศิษย์คนเล็กของหย่งซื่อไม่พอใจวาจาไร้มรรยาทของเด็กหนุ่มมอซอตรงหน้า

ฟางเสียงเพียงมองนางด้วยหางตา ส่ายหน้าพร้อมบิดตัวอย่างเกียจคร้าน ก่อนก้าวเท้าคิดเดินออกไปไม่ใส่ใจวาจาของดรุณีน้อย ทว่าไม่อาจก้าวเดินเกินสามก้าว...กระบี่ประดับอัญมณีสีขาวรูปพระจันทร์เสี้ยวตวัดขวางทางเอาไว้ มิยินยอมให้ผู้โอหังจากไปโดยง่าย

“เจ้ายังไม่รีบขอโทษอาจารย์ข้าอีกหรือ” ยี่เอ๋อไม่ยอมลดละความพยายาม

“นี่เจ้า เป็นสตรีเช่นไร ไฉนเที่ยววาดกระบี่ใส่ผู้คน” ฟางเสียงหลบคมกระบี่เลี่ยงเดินไปอีกทาง หากนางไม่ยินยอมให้จากไป จึงตวัดกระบี่ติดตามไปไม่ปล่อยปละละเว้น

“ยี่เอ๋อ” หย่งซื่อเรียกศิษย์รักเอาไว้ไม่ให้ตอแยเด็กหนุ่มอายุสั้นคนนี้อีก

“ท่านอาจารย์” ยี่เอ๋อทำเสียงกระเง้ากระงอด อึกอักไม่พอใจ สุดท้ายต้องยินยอมเก็บกระบี่คืนฝัก สะบัดหน้าไม่มองมันให้ขุ่นเคืองใจ

“ไปเถอะ ศิษย์พี่เจ้าคงรอเราอยู่แล้ว อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับมัน” หย่งซื่อส่ายหน้าช้าๆ เห็นท่าทางยักไหล่ถือดีของเด็กหนุ่มแล้วต้องลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ...ปลงกับความยโสโอหังของชาวยุทธ์อายุเยาว์ที่มันเห็นจนชินตา

ฟางเสียงหันไปอีกทางไม่ได้ติดตามคนทั้งกลุ่ม แม้แรกเริ่มตั้งใจเดินเล่นเที่ยวชมผู้คนแต่มีเรื่องราวรบกวนจึงเปลี่ยนใจมุ่งหน้าเข้าป่ารกชักดงดิบท้ายเกาะ...นั่นย่อมเป็นที่นัดหมายที่มีผู้รอคอยมันเพียงคนผู้นั้นเป็นพี่น้องมัน...ฟางสง

*****************************************

สวัสดีค่ะ
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายกำลังภายในเก่าเก็บของเพลิงวารีเองค่า
เขียนเพื่อความสนุกนะคะ รสชาติใหม่และอายไม่คุ้นเคยค่ะ
โพสต์ยาวและต่อเนื่องไปเรื่อยๆ (ถ้ามีเนต) ไปจนกว่าจะจบค่ะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า ^^



เพลิงวารี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ธ.ค. 2555, 21:08:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ธ.ค. 2555, 21:27:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 1790





   02 แฝดปริศนา >>
ตุ๊งแช่ 29 ธ.ค. 2555, 21:25:17 น.
พระเอก วัยละอ่อนป่าวววว ฮิ้ววววว


konhin 30 ธ.ค. 2555, 01:34:22 น.
หุๆๆ แปลกตรงที่พระเอกกำลังภายในมีแฝดเนี่ยแหล่ะ รออ่านค้าาาา


ใบบัวน่ารัก 30 ธ.ค. 2555, 10:22:26 น.
บทการเจรจายืดไปหรือเปล่ายังกะหนังจีน
แบบละครรำน่ะ
เสียงน้อย กะ สงน้อย น้อยจริงหรือเปล่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account