ซุ่มซ่อนมังกรสันโดษ
การผจญภัยของคู่แฝดจอมหาเรื่องที่ทำให้ชีวิตของคนในยุทธภพวุ่นวาย
Tags: กำลังภายใน แฝด มังกร

ตอน: 02 แฝดปริศนา

ซุ่มซ่อนมังกรสันโดษบทที่ 2 แฝดปริศนา

ยามแสงตะวันเบิกฟ้ารับอรุณ...ยามรุ่งแห่งปราการในสายหมอก เพียงนั่งมองจากปราการกลับได้เห็นความสวยงามที่ธรรมชาติสร้างไว้...ไม่ทราบเป็นผู้ใดสร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมา ทว่าย่อมบังเกิดขึ้นจากความตั้งใจของคนผู้หนึ่ง ซึ่งสามารถมองเห็นความงดงามที่ผู้คนไม่อาจกระทำ

ปราการในสายหมอก...ผู้ใดช่างกล่าวนามให้แก่สถานที่แห่งนี้ ลานโล่งบนเนินสูงเบื้องหลังชิดติดหน้าผากว้าง ผู้สร้างป้อมนี้ต้องอาศัยวันเวลาขุดหน้าผาให้กลายเป็นที่อาศัยพักพิง ด้านข้างโอบล้อมด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ตกแต่งสถานที่อันพิเศษนี้

ลานที่เคยโล่งไร้ผู้คนยามนี้กลับเนื่องแน่นไปด้วยชาวยุทธ์มากมาย ต่างเลือกนั่งสนทนากันตามสำนักค่าย เพียงมีบทสนทนาไม่แตกต่างกัน เนื่องด้วยเรื่องราวที่กล่าวขาน ย่อมเกี่ยวข้องกับความโหดเหี้ยมของผามังกรฯ และความฮึกเหิมของนครเหนือฟ้า

“มันช่างโหดเหี้ยมนัก แม้ข้าไม่รู้ว่าคนตายเป็นผู้ใด หากมันทรยศต่อผามังกรฯ เป็นต้องทุกข์ทรมาน” ซาล้อซุง...กระบองเงินหนึ่งในสองพี่น้องกระบองคู่ ให้รู้สึกเหน็บหนาวยามนึกถึงร่างบุรุษไร้หน้า ถูกแขวนอยู่หน้าประตูเมืองทิศเหนือแห่งฝูโจว

มิมีผู้ผ่านเมืองในยามเช้านั้นสามารถลืมเลือนได้...แม้ไม่เห็นด้วยตา เพียงเห็นเลือดไหลเป็นทางยาวสามารถคาดคิดด้วยต่างเคยพบเห็นภาพเช่นนี้อยู่บ้าง ในหนึ่งปีต้องมีอย่างน้อยหนึ่งครั้งที่เกิดเรื่องราวเช่นนี้

“คนทรยศสมควรโดนเช่นนั้น” หลี่เปียวหันหน้าคิดเข้าร่วมการสนทนากับสองพี่น้องกระบองคู่ ด้วยเรื่องนี้อยู่ในความสนใจของผู้คน ทั้งมันเองพบเห็นเรื่องราวนี้ด้วยตนเอง

“คุณชายหลี่เห็นด้วยเช่นนั้นหรือ ข้าเองคิดเห็นเช่นกันไม่แตกต่าง” ซาฟ่งฟางพยักหน้าเห็นด้วย

โทษทัณฑ์เช่นนั้นเหมาะสมกับคนทรยศ...เพียงบังเกิดความสงสัยขึ้นในใจ เหตุใดคนผู้นั้นจึงต้องโทษทัณฑ์

“ท่านอยากทราบใช่หรือไม่ว่าคนผู้นั้นมีความผิดอันใด” หลี่เปียวอ่านความในใจของซาฟ่งฟางได้ไม่ยากนัก ด้วยมันบังเกิดความรู้สึกไม่แตกต่าง

“โทษเบาที่สุดของคนทรยศสำหรับผามังกรฯ คือโทษตาย หากโทษเป็นร้ายแรงกว่าหลายร้อยเท่านัก” เซียะบ่อจื้อ ...ทพพิณกวีแห่งยุคถ่ายทอดวาจา ที่ได้รับทราบจากอาจารย์ผู้ล่วงลับออกมา แล้วต้องทอดถอนหายใจ

“ท่านเซียะไฉนทราบ ผามังกรฯ นั้นลึกลับจนผู้คนไม่อาจล่วงรู้เรื่องราว” หลี่เปียวฉงนสงสัยด้วยไม่อาจทำความเข้าใจ

“อาจารย์ปู่ข้าเคยเป็นอาคันตุกะแห่งผามังกรฯ มาก่อน จึงถ่ายทอดแก่ศิษย์ทุกรุ่น อาจารย์ปู่กล่าวไว้ ผู้ใดต้องการเข้าไปยังที่แห่งนั้น ต้องเสาะหาเจ้าผามังกรฯ ให้พบ คนผู้นี้ปะปนอยู่ในหมู่ชาวยุทธ์ยากนักจักแยกแยะได้” เซียะบ่อจื้อทอดถอนหายใจอีกครั้ง เพียงเสียดายแม้เสาะหาทั้งชีวิต ทว่าไม่อาจพบเจอ

“เราท่านอาจเดินทางผ่านเข้าไปยังที่แห่งนั้นแล้ว เพียงเสียดายไม่ทราบเป็นผามังกรฯเท่านั้นเอง” หย่งซื่อเผลอเหม่อมองไกล สิ่งที่กล่าวล้วนออกมาจากใจในความทรงจำที่ผ่านมานาน

“ท่านกระบี่เทพคล้ายมีเรื่องราวเกี่ยวข้อง” เซียะบ่อจื้อกระตือรือร้นใคร่รู้

มีเรื่องราวที่มันไม่อาจเปิดเผยแก่ผู้ใด...เพียงเคยได้ยินอาจารย์ปู่กล่าวแก่อาจารย์ สถานที่แห่งนั้นมีบทเพลงโบราณหายากที่สุดในแผ่นดิน ตัวมันเป็นผู้ลุ่มหลงในดนตรีจึงต้องการสืบเสาะหามาฟังประดับหู

“ไม่อาจแน่ใจ ข้าเพียงได้ยินเรื่องราวมาบ้างเท่านั้น” หย่งซื่อไม่คล้ายบอกความจริง เพียงเก็บงำเอาไว้อยู่หลายส่วน เรื่องราวบางอย่างเกี่ยวพันถึงคนในไม่อาจเปิดเผยแก่ผู้ใดแม้แต่ศิษย์ของตน

“หามีผู้ล่วงรู้ไม่ นอกจากได้รับเกียรติเป็นอาคันตุกะที่มีค่าแห่งเจ้าผามังกรเท่านั้น” เซียะบ่อจื้อถอนหายใจอีกครั้ง มันต้องการฟังบทเพลงสักครั้งด้วยได้ยินคำรำพันของอาจารย์ปู่บ่อยครั้ง...บทเพลงไพเราะยิ่งแม้ตายไม่อาจลืมเลือน

“หากไม่มีผู้ใดล่วงรู้ไฉนพวกท่านจึงมีเรื่องเล่าขานมากมาย” เสียงเด็กหนุ่มฟางเสียงดังกังวานขึ้นมากลางวงสนทนา หากเจ้าตัวยืนนิ่งอยู่เคียงข้างพี่ชายฝาแฝดไกลออกไปจากวงสนทนาไม่มากนัก

“เป็นคุณชายฟางทั้งสองนี่เอง เหตุใดท่านไม่มาร่วมวงสนทนากับพวกเราเล่า” หลี่เปียวคิดผูกมิตรกับผู้คน จึงเดินออกมาจากกลุ่มเข้าไปเชื้อเชิญสหายใหม่ทั้งสองด้วยตนเอง

“เด็กโอหังเช่นเจ้ากล่าววาจาให้ผู้คนลำบากใจได้ถึงเพียงนี้ หรือไม่เคยกลัวฟ้าเกรงดินเช่นนี้” หนานกงเป่าให้รู้สึกระอากับเด็กร้ายกาจไม่รู้ความเช่นแฝดทั้งสอง

“หรือมีสิ่งใดเสียงน้อยกล่าวไม่ถูกต้อง พวกท่านต่างกล่าวว่าที่แห่งนั้นเป็นที่ลึกลับ หากไฉนจึงมีรายละเอียดพูดคุยกันมากมาย” ฟางสงเข้าข้างแฝดน้อง รอยยิ้มเป็นประกายกล้าหาได้กลัวเกรงผู้ใดไม่ พลางคลี่พัดมังกรนิทราโบกไปมาอย่างไม่ใส่ใจ

“เด็กน้อยนี้พัดเจ้าได้มาอย่างไร” เซียะบ่อจื้อชื่นชมภาพวาดบนพัดของเด็กหนุ่มแทบลืมการสนทนาไปสิ้น

“เป็นเสียงน้อยวาดให้เพื่อถ่ายทอดตัวตนของข้า” ฟางสงภาคภูมิใจในภาพวาดไม่น้อย

มังกรหลับใหลคือความสงบ หากล้อมรอบไปด้วยภูเขาตระหง่านไร้อันตราย คล้ายเฉื่อยชาไร้สิ่งรบกวน แต่เมื่อใดมีผู้รบกวน มังกรมิอาจปล่อยให้ผู้คนลอยนวล

“ยโส เปรียบตนเป็นมังกร ฮึ” กังเหลียงไม่พอใจอยู่เป็นทุน เมื่ออยู่กับคนหมู่มากย่อมแสดงความกล้าหาญออกมาบ้าง ทั้งอาจารย์มัน...หย่งซื่อ...กระบี่เทพอยู่ที่นี่แล้วย่อมไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใด

“นั่นใช่บัณฑิตขี้โรคที่เคยพ่ายแพ้สงน้อยที่สวนชมวิหคหรือไม่” ฟางเสียงหัวเราะขบขัน เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ได้รู้

“เจ้า” กังเหลียงโกรธจนหน้าแดง เมื่อโดนลบหลู่ต่อหน้าชาวยุทธ์มากมาย จึงเสือกไสกระบี่ออกจากฝักพุ่งตรงไปยังเด็กหนุ่มมอซอ

ฟางสงไม่คอยให้กระบี่ถึงตัวคู่แฝดใช้พัดปัดเบาๆ คล้ายรับปุยนุ่น พลางตวัดถุงผ้าป่านด้านหลังรับกระบี่อีกครั้ง หากคราวนี้ยืนนิ่งปล่อยให้อีกฝ่ายประเด็นไปไกล จนกระอักเลือดออกมา มันส่ายหน้าที่อีกฝ่ายไม่รู้จักประเมินความสามารถของคู่ต่อสู้

“ศิษย์พี่” ยี่เอ๋อรีบเข้าไปประคองศิษย์พี่ห้า เห็นเลือดไหลที่มุมปากให้ตระหนกตกใจยิ่ง

กังเหลียงแทบสิ้นสติด้วยแรงปะทะรุนแรงที่ได้รับกลับมา เป็นพลังลมปราณของอีกฝ่ายผสานกับพลังที่ตนเองเป็นผู้ใช้ออก ทว่าในใจบังเกิดความสับสน ไม่คาดคิดชาวยุทธ์อายุเยาว์มีฝีมือปานนี้

ชาวยุทธ์ต่างมองเด็กหนุ่มฝาแฝดแปลกหน้า คนหนึ่งยืนอยู่แถวหน้า ส่วนอีกคนล้มลงนอนที่โคนต้นไม้เหมือนรอคอยให้อีกคนเสร็จภารกิจที่เกิดจากวาจาตน...คนหนึ่งโอหังหากไร้วรยุทธ์ และอีกคนองอาจกลับมีวรยุทธ์พิสดาร ความแตกต่างที่เกิดจากคนที่เหมือนราวคนเดียวกัน

“คุณชายฟางสงท่านไม่ทำเกินไปหน่อยหรือ คุณชายกังเจ็บหนักกว่าครั้งก่อนอีกในครานี้ เห็นทีต้องพักฟื้นกันนาน” หลี่เปียวมีรอยยิ้มประหลาดให้กับสหายใหม่

“ใครสอนวิชาเจ้า” หนานกงเป่าถามได้ตรงใจผู้อื่นยิ่งนัก

“ไม่มี ข้าไม่เคยมีอาจารย์ เพียงฝึกฝนจากตำราเท่านั้น” ฟางสงเก็บถุงผ้าป่านเอาไว้ที่เบื้องหลัง มันใหญ่เทอะทะกว่ารูปร่างผอมบางของเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่น้อย

“ข้าไม่เคยเห็นวิชาของเจ้ามาก่อน เจ้าจะบ่งบอกไว้เป็นความรู้กับเราบ้างได้หรือไม่” หย่งซื่อเข้าไปดูอาการของศิษย์นับว่าหนักไม่น้อย แต่ความสนใจในที่มาที่ไปของเด็กหนุ่มมีมากกว่านัก

**************************************


สายลมโบกพัดพาฝุ่นผงลอยคุ้งไปทั่วบริเวณ ฟางสงสวมเสื้อผ้าชุดสีขาวสะอาดยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวไร้คำตอบ คล้ายไม่ใส่ใจผู้ถามจะเป็นผู้ใดก็ตาม กับฟางเสียงที่นอนพักสายตาอยู่ไม่ไกลคล้ายตัดเรื่องราวความวุ่นวาย เพื่อพักผ่อน

“คราครั้งก่อนเจ้าใช้วิชาโบกพัดสราญรมณ์ มาวันนี้กลับใช้วิชาที่ไม่มีผู้ใดรู้จักอีก ข้านับถือเจ้าแล้ว” หลี่เปียวเอ่ยวาจาเพื่อเปิดเผยความจริงบางประการ

รอยยิ้มสุภาพภาคภูมิใจเผยที่มุมปากของฟางสง ก่อนโบกพัดไปมาอย่างสบายอารมณ์ เมื่อมีผู้มาชื่นชมต่อหน้าเช่นนี้ผู้ใดไม่ชมชอบบ้าง

ฟางเสียงตื่นขึ้นอีกครั้ง มองเห็นแฝดพี่กำลังพอใจในวาจาชมของคนอื่น “สงน้อย เจ้าอย่าได้ตื่นเต้นกับวาจาของคุณชายหลี่มากนัก คนผู้นี้ใช่ตัวดีอันใด เพียงต้องการอยากสอบถามเจ้าเกี่ยวกับเทพบุตรสราญรมณ์เท่านั้น”

“เสียงน้อย เรื่องนั้นข้ายังดูออกหรอก ผู้ใดใช้ให้เจ้าบ่งบอกออกมา ทำลายความพอใจของข้าเช่นนั้น” ฟางสงรู้ความประสงค์ของหลี่เปียวแต่แรก หากไม่ต้องการเปิดเผยเรื่องของอีกฝ่าย เพราะพอใจในการคบหาคนผู้นี้ไม่น้อย

“เจ้ากลับทราบจิตเจตนาของข้าแต่แรก ควรบอกออกมา ข้าจะได้ไม่ต้องดำเนินอุบายต่อให้เสียหน้า” หลี่เปียวหัวเราะในความฉลาดทันคนของฝาแฝด

“เรากลับไม่ต้องการบอกท่านก่อน อยากเห็นความสามารถในการใช้ไหวพริบของท่านอยู่บ้าง เพื่อดูว่าท่านเหมาะสมเป็นสหายเราหรือไม่” ฟางสงบอกกับว่าที่สหายใหม่ด้วยรอยยิ้ม เนื่องด้วยรู้ว่าคนผู้นี้หาได้มีพิษภัยใดไม่

ฟางเสียงยักไหล่ ก่อนหันไปมองกังเหลียงที่กำลังหน้าตาเขียวคล้ำคล้ายคนถูกพิษ “สงน้อยเอายาถอนพิษให้มันก่อนเถอะ เดี๋ยวจะตายเสียก่อน ข้ายังไม่อยากมีเรื่องราวใดกับสำนักกระบี่เทพ เนื่องด้วยวันหน้าอาจมีเรื่องต้องสะสางกันอีก”

หย่งซื่อรีบหันไปมองศิษย์ไม่เอาไหนของตนแทบทันที เห็นยี่เอ๋อกำลังตะลึงลาน เมื่อต่างก็สนใจในคำสนทนาและเด็กหนุ่มฝาแฝดแปลกหน้าที่ก้าวล้ำเข้ามายังที่แห่งนี้

“ลูกเหลียง” หย่งซื่อกำลังจะจับชีพจรเพื่อถ่ายทอดลมปราณเพื่อขับพิษ

“ข้าขอเตือนท่าน อย่าได้ใช้ลมปราณขับพิษ พิษบุปผาแดงนี้จะสะท้อนกลับผ่านฝ่ามือของท่าน และแม้แต่คุณหนูนางนั้นก็อาจได้รับพิษด้วย รับยาถอนพิษเถอะ” ฟางสงโยนยาหนึ่งเม็ดให้หย่งซื่อ

“เสียงน้อยทำยาพิษตกหล่นโดนถุงข้าเช่นนั้นหรือ” ฟางสงถอนหายใจ

“เปล่า เจ้าวางมันทับถุงยาหรือไม่ อาจบางทีตอนที่ข้าทานอาหารเช้า เจ้าวางมันเอาไว้ใกล้ถุงยาข้าเป็นได้” ฟางเสียงคล้ายไม่ใส่ใจ

“พวกเจ้าทำเกินไปแล้ว เจ้าเป็นอะไรกับนครเหนือฟ้า” ซาฟ่งฟางพูดขึ้นหลังฟังมานาน

“นครเหนือฟ้าเป็นสถานที่อันใด ไฉนเราต้องเกี่ยวข้องด้วย” ฟางเสียงย้อนถาม รอยยิ้มที่ปรากฏเป็นรอยยิ้มเหยียดเยาะอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด

ซาฟ่งฟางตะลึงลาน เห็นเด็กหนุ่มรุ่นอ่อนกว่าเค้าไม่กี่ขวบปี หาได้ใส่ใจต่อชาวยุทธ์นับพันที่มารวมกันอยู่ที่นี่

“พอเถอะ ท่านพ่อสั่งเรา อย่าได้เที่ยวหาเรื่องผู้อื่น เจ้าก็อย่าได้กวนโทสะผู้คนเลย” ฟางสงพยายามระงับความขัดเคืองใจ

“พวกเจ้าคิดหยุดก็หยุดหรือ น้องห้าเกือบตายเพราะเจ้าทั้งสองคน” ปาต้าหนิ่วโมโหแทนศิษย์น้องของตน

“เป็นเหตุสุดวิสัย เสียงน้อยไม่ได้ตั้งใจ ส่วนข้าเองไม่คิดใช้พิษ เมื่อการฆ่าศิษย์น้องเจ้าเป็นเรื่องง่ายดาย เพียงพลิกฝ่ามือเท่านั้น เจ้าก็อย่าได้ใส่ใจเลย ยาถอนข้าก็ให้ไปแล้ว เจ้ายังต้องการสิ่งใดอีก” ฟางสงส่ายหน้าที่เรื่องไม่อาจจบได้โดยง่าย

“เด็กน้อยเจ้าสมควรบ่งบอกที่มาที่ไปของพวกเจ้าบ้าง ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกเจ้าใช่คนของนครเหนือฟ้าหรือไม่” หย่งซื่อถอนหายใจกับความดื้อรั้นของเด็กหนุ่มทั้งสองนี้

“จนใจไม่อาจบอกท่านได้ บิดาข้าสั่งไว้ ข้าไม่อาจขัด ขออภัย” ฟางสงกล่าววาจานอบน้อมหากท่าทางไม่ได้นอบน้อมดังวาจา

“เอาเป็นว่าหากเราสองคนเป็นคนของนครบ้าอะไรนั้น คงไม่มาปรากฏตัวให้ท่านเห็นเช่นนี้ และเที่ยวก่อเรื่องไปทั่วเพื่อดึงความสนใจหรอก พวกท่านสบายใจได้ เพราะถึงเราจะโง่เขลา หากเป็นคนร้ายย่อมไม่เปิดเผยตัว” ฟางเสียงเบื่อหน่ายกับความสงสัยไร้สาระ

“เด็กน้อยนี่กล่าววาจาได้สะใจข้ายิ่งนัก นครบ้าอะไรนั่นหรือ เห็นทีเจ้ายังไม่ได้พบเจอของจริงกระมัง” หนานกงเป่าเริ่มพอใจวาจาโอหังของเด็กแฝดเสียแล้ว

“ข้าหาได้เคยเยี่ยมเยือนนครบ้านั่นไม่” ฟางเสียงกล่าวจบคำ

สิ้นเสียงของฟางเสียงอยู่ๆ แฝดพี่ก็กระโดดพลิ้วกายเข้ามาขวาง ใช้พัดโบกไปมารับบางสิ่งเอาไว้ในพัด “ระวังวาจาเจ้าสักหน่อย เสียงน้อย เห็นทีจะมีคนของนครบ้านั่นมาที่นี่แล้วกระมัง”

“ช่างมันเถอะ มีเจ้าอยู่ ข้ายังต้องเกรงกลัวอันใด” ฟางเสียงหาแยแสใส่ใจไม่

“เด็กน้อยโอหังสักวันเจ้าต้องได้รับบัญชาแห่งฟ้า” เสียงไร้ที่มาเอ่ยตักเตือนเด็กแฝดทั้งสอง

“ข้าจะเฝ้านับวันคอยทีเดียว” ฟางเสียงหาได้ใส่ใจไม่ ยังคงไม่ระวังในคำเตือนของอีกฝ่าย

ฟางสงตวัดพัดออกไปยังตำแหน่งของแฝดน้อง รอยยิ้มปรากฏบนดวงหน้าเกลี้ยงเกลาของเด็กหนุ่ม เสียงโอยเบาจนคนทั่วไปไม่อาจแยกแยะ พร้อมเสียงเท้าแผ่วเบาที่จากไปอย่างเงียบๆ

“มันไปแล้วหรือ” ฟางเสียงถามขึ้น รู้ดีอยู่ในความสามารถของแฝดพี่

“ย่อมเป็นเช่นนั้น” ฟางสงโบกพัดไปมาคล้ายไม่มีเรื่องราวใด

เหล่าชาวยุทธ์ต่างตะลึงลานในวรยุทธ์และความสามารถของเด็กหนุ่มทั้งสอง วิชาที่เด็กหนุ่มนามฟางสงใช้คล้ายเรียบง่ายกลับแฝงความพิเศษยากคาดคำนวณ ส่วนเด็กหนุ่มนามฟางเสียงไร้วรยุทธ์กลับเชื่อมั่นในความปลอดภัยคล้ายประมาท และกล้าเอ่ยวาจาดูหมิ่นนครเหนือฟ้าอย่างไม่กลัวตาย

**************************************


ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่ว เสียงกิ่งไม้เสียดสีด้วยสายลมพัดผ่าน ชาวยุทธ์ต่างสงบนิ่งคิดเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเด็กแฝดทั้งสอง มันเป็นผู้ใด บิดามันคือใคร มีเพียงความจริงหนึ่งเดียวที่ควรทราบ คือ...พวกมันเชื่อฟังบิดายิ่งกว่าสิ่งใด

“สหายวัยเยาว์ทั้งสองนับว่ากล้าหาญยิ่ง การประกาศต่อกรกับนครเหนือฟ้าโดยเปิดเผยใช่ไม่เกรงกลัวบัญชาแห่งฟ้าบ้างเลยรึ” อู๋เจี้ยนผิงปรากฏตัวอย่างเงียบๆ เมื่อเห็นชาวยุทธ์ต่างสนใจเด็กหนุ่มฝาแฝดท่าทางไม่เกรงกลัวใคร

“บัญชาแห่งฟ้าคืออะไร พวกเราหาได้สนใจไม่ ส่งมาก็ส่งคืน ไม่รับแล้วจะทำอะไรได้” ฟางเสียงแคะหูคล้ายเป็นเรื่องไร้สาระ

อู๋เจี้ยนผิงมองท่าทางของเด็กหนุ่มมอซอคล้ายไม่ใส่ใจในคำเตือนของผู้ใด ให้ถอนใจ...เด็กรุ่นใหม่มีเพียงความประมาทเท่านั้นที่เป็นเพื่อนแท้

“เจ้าอาจยังไม่รู้จัก ขอเราบ่งบอกเจ้าสักครั้งเถอะ ผลที่ผู้ได้รับบัญชาแห่งฟ้าต้องตายเท่านั้น” ซาฟ่งฟางบอกแก่เด็กหนุ่มอ่อนประสบการณ์ทั้งสอง

“รีบมาเถอะ คนของข้าจะได้ไม่เบื่อ” ฟางเสียงพยักหน้าช้าๆ รับรู้

“เจ้าไม่กลัวตายรึ” ยี่เอ๋อเห็นแต่คนที่กลัวบัญชาแห่งฟ้า ให้ประหลาดใจเมื่อฝาแฝดทั้งสองไม่มีท่าทีเช่นนั้น

“ทุกคนล้วนต้องตาย เพียงแต่ตายอย่างไรให้ดีที่สุดนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” ฟางสงเอ่ยปรัชญา มันโบกพัดไปมาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนให้กับหญิงสาวผู้งดงาม

ยี่เอ๋อนิ่งงันกับรอยยิ้มของอีกฝ่าย จิตเจตนาส่งออกมาชัดเจน นางเหม่อมองไม่รู้ตัวจนกระทั่งปาต้าหนิ่ว...ศิษย์พี่ต้องเตือนสตินาง

“ไปเหอะ ข้าหิว ยังไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องข้าแม้แต่น้อย” ฟางเสียงสังเกตแฝดพี่ออก ท่าทางหว่านเสน่ห์ไปทั่ว อาจทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากมากมายตามมา ยิ่งกับคุณหนูนางหนึ่งซึ่งมีปัญญาเสาะหาพวกมันพบ

“พวกเจ้าเพิ่งมา ไฉนรีบกลับไม่อยู่ร่วมงานก่อนหรือ” หลี่เปียวเอ่ยคำ หลังนิ่งฟังผู้อื่นพูดจา

“คงยังเป็นเช่นนั้น หากเรายินดีที่ได้เป็นสหายกับเจ้า เพียงแต่เจ้าอาจต้องรบกวนถามอาจารย์เจ้าก่อน ว่ายินยอมหรือไม่” ฟางสงผูกมิตรไมตรี

“หากจะมีสหายยังต้องให้อาจารย์ยินยอม เห็นทีไม่คู่ควรเป็นสหายเรากระมัง” ฟางเสียงเอามือพาดที่คอ พูดกระทบกระเทียบออกมาอย่างเห็นได้ชัด

แฝดน้องหันหลังเดินจากไปไม่สนใจอีก ฟางสงมองตามก่อนหันหลังเดินจากไปอีกคน มันเอามือตะปบคอแฝดน้องมันก่อนทะยานขึ้นเหนือทิวไม้...หายไปจนลับตา

เด็กแฝดทั้งสองจากไปแล้ว กลับเพิ่มความยุ่งยากใจให้กับเหล่าชาวยุทธ์อีกมากหลาย ทั้งนครเหนือฟ้าเสี้ยนหนามของยุทธภพ ความเหี้ยมโหดของผามังกรฯ และยังเด็กหนุ่มฝาแฝดที่ประกาศศักดาออกมา สร้างความบาดหมางกับผู้คนไปทั่วไม่เว้นนครเหนือฟ้า…

**************************************


ฝาแฝดทั้งสองหลังก่อกวนความสงบของการชุมนุม นั่งสงบบนเรือแพต่อเองอยู่บนทะเลกว้างอย่างสบายใจ ฟางเสียงนั่งท่าเกือบนอนปล่อยให้แฝดพี่เป็นผู้พาย หากฟางสงเพียงขยับข้อมือเพียงเล็กน้อยเรือแพก็เคลื่อนไปไกลตามทิศทางที่ต้องการ

“เจ้าไม่น่าไปก่อกวนนครบ้านั่นเลย” ฟางสงออกขบขันในความวุ่นวายของแฝดน้อง

“ข้าเพียงเห็นเจ้าอยู่ว่าง ไม่เช่นนั้นคงได้วุ่นวายกับอิสตรีผู้มีภาระแน่นอน” ฟางเสียงล้มลงนอนเอาง่าย มันแทบไม่เหลือที่ว่างให้แฝดพี่ของมัน

“เมื่อออกท่องเที่ยวหากมีอิสตรีให้เชยชมย่อมเป็นเรื่องดี” ฟางสงหยิบพัดออกมาโบกเบาๆ

“นั่นคือความยุ่งยากของเจ้า เจ้าคงอยากมีเมียเต็มทีแล้วกระมัง” ฟางเสียงโดนฟาดจนต้องลุกขึ้นนั่ง “เจ้าพี่บ้า ทำข้าทำไม”

“ใครใช้ให้เจ้าหยาบคายกับข้าและไม่ยอมฝึกวิชา หากเจ้าฝึกวิชาสักน้อยนิดเพียงเสี้ยวของท่านพ่อ เจ้าก็มีความสำเร็จอยู่บ้าง นั่นคือความยุ่งยากของเจ้าที่ปากปีจอ” ฟางสงนั่งลงบ้างปล่อยให้สายน้ำพาทั้งสองเดินทางต่อไป

“ฮ่าๆๆ หากข้าปากปีจอ เจ้าก็เช่นกัน” ฟางเสียงหัวเราะเสียงดังกวนโทสะ

ฟางสงโบกพัดอีกครั้งทำให้แฝดน้องตกน้ำ และนั่งมองจนพอใจ เมื่อฟางเสียงพยายามตะกายขึ้นมา มันก็โบกพัดเบาๆ ให้น้องชายมันตกน้ำลงไปอีก

“สงน้อย เจ้าทำเกินไปแล้ว” ฟางเสียงเกาะเรือแพด้วยมือข้างเดียว แม้มันไร้วรยุทธ์ หากเรี่ยวแรงมันมีไม่น้อย

“ข้าสอนสั่งเจ้าแทนท่านพ่อ มาบิดาจะสั่งสอนเจ้าเอง” ฟางสงโบกพัดให้มือของน้องมันหลุดจากแพ ก่อนตวัดผ้ารัดเอวของมันรัดข้อมือเอาไว้อย่างมั่นคง ก่อนใช้วิชาบังคับสายน้ำให้เรือแพเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว

“เจ้าสุนัข” ฟางเสียงไม่ลดละ ยังคงอ้าปากด่าพี่ชายมันได้ทุกครั้งที่มันมีโอกาส

ฟางสงนั่งฟังน้องมันด่าไปเรื่อย เสียงอู้อี้น่ากลัวน้องมันจะดื่มน้ำเข้าไปมาก “เจ้ายอมแล้วหรือไม่”

“ยอมให้เจ้าเป็นพ่อข้าหรือ...ฝันไปเถอะ เชิญกระดิกหางให้สบาย” ฟางเสียงยังคงด่าพี่น้องของมันต่อ

“คุณชายรองโปรดปล่อยปะละเว้นคุณชายสามด้วยเถอะขอรับ” เสียงดังแว่วมาตามสายลม ข้ารับใช้เงาร้องขอ เมื่อรู้ว่าคุณชายสามของมันต้องไม่ยินยอมแพ้แน่แล้ว

“ข้าสั่งสอนน้องข้า ใครใช้ให้เจ้าสอด” ฟางสงโบกพัดอย่างสบายอารมณ์

“ไม่ต้องไปขอร้องมัน ข้าก็ไม่ยอมแพ้มัน” ฟางเสียงผู้โอหังไม่ยอมง่ายๆ

ฟางสงถอนหายใจตวัดสายรัดเอวพาร่างพี่น้องของมันขึ้นเรือแพ ก่อนแกะสายรัดเอวตวัดไว้ยังตำแหน่งเดิมของมัน “ข้ายอมแพ้ความดื้อรั้นของเจ้าแล้ว ในโลกหล้านี้มีเพียงเจ้าที่เป็นความยุ่งยากเป็นแน่”

ฟางเสียงสะบัดหน้าหนี มันโกรธและเคืองพี่น้องมันไม่น้อย หากมันแอบแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ มันกำลังรอคอยเวลาแก้มือคืนแฝดพี่มัน

“จะรีบไปไหน เสียงน้อย” ฟางสงมองแฝดน้องของมันสละเรือแพก่อนมัน

“ข้าหนาวจะไปหาไฟอุ่นให้หายหนาว ใครใช้ให้เจ้าทำเสื้อผ้าข้าเปียกเล่า” ฟางเสียงทำท่าไม่สนใจแฝดพี่ของมัน

“เดี๋ยวข้าจัดหาคืนให้เจ้าก็ได้” ฟางสงอ่อนใจกับพี่น้องจอมดื้อของมัน มันต้องยอมลงให้เสมอ เมื่อพี่น้องมันไม่เคยยอมลงให้มันสักครั้ง

“ใครอยากได้ของเจ้า...แต่ก็ได้ ถ้าเจ้าอยากชดใช้ให้ข้าจริง ก็เปลี่ยนเสื้อผ้ากับข้าซะ” ฟางเสียงท้าวเอวยืนมองคู่แฝดของมัน

ฟางสงมองพี่น้องของมันอย่างหวาดระแวง มันเคยโดนเอาคืนได้แสนสาหัสนัก เมื่อครั้งที่มันตบกระบี่ใส่พี่น้องมันเพียงล้อเล่นเท่านั้น

ฟางเสียงเอาคืนเช่นไรหรือ มันหลอกให้พี่น้องมันกินหญ้าเย็นเยือก ทำเอาสงน้อยต้องไข้ขึ้นสามวันสามคืน ไม่ว่าจะแก้ไขด้วยวิธีใดก็ไม่อาจเป็นผล จนมารดาต้องช่วยเหลือลูกชายคนรองให้หายขาด หากไม่มีใครกล้าลงโทษมัน เพราะมันต้องหาเรื่องเอาคืนอีกแน่ ยิ่งใครเพาะสร้างความแค้นให้มัน มันยิ่งลงมือหนักขึ้น แม้มันจะไร้วรยุทธ์ก็ตาม

“ว่าไง เจ้ากลัวด้วยหรือ สงน้อย ในเมื่อเจ้าทะนงตนว่าเป็นผู้ชำนาญในการยุทธ์นัก ไฉนกลัวข้าผู้ไร้ซึ่งวรยุทธ์ด้วย” แววตามันแวววับไม่ผิด แฝงแววเยาะหยันพี่น้องของมันอย่างเห็นได้ชัด

“ผู้ใดกลัวเจ้า มาแค่เปลี่ยนเสื้อกับเจ้าจะเป็นไร พิษใดข้าก็ไม่เกรงกลัวหรอก” ฟางสงถอดเสื้อคุณชายผู้ดีของมันออก ยื่นให้พี่น้องของมัน

ฟางเสียงเพียงผิวปาก และรับเสื้อของแฝดพี่มันมา มันโยนขึ้นฟ้าให้นกเหยี่ยวทะเลทรายที่มันเลี้ยงไว้ใช้กงเล็บจิก และบินหนีไปอย่างรวดเร็ว “ฮ่าๆๆ หนาวไหม เจ้าพี่บ้า”

ฟางเสียงถอยหลังให้พ้นพี่มัน หากฟางสงเป็นวรยุทธ์จึงตามติดได้ไม่ยากนัก มันตะปบแขนน้องมันทว่าแขนน้องมันลื่นจนไม่อาจจับติด

“เจ้าใช้ปลาไหลทองหรอกรึ” เพียงกล่าวเท่านั้น ฟางสงนั่งลงเดินลมปราณ มือสองข้างของมันวางทาบกันระดับอกเพื่อขับพิษ ไหลเวียนลมปราณเพื่อรวบรวมพิษ ที่แทรกซึมเข้าสู่ผิวหนังของมันอย่างรวดเร็ว

ปลาไหลทองเป็นยาพิษที่เกิดจากการเพาะบ่ม จากซากของปลาไหลไฟที่ถูกเลี้ยงอยู่ในอ่างพิษสามสิบชนิด ที่ไม่ร้ายแรงมากนักจนนานกว่าสี่สิบเก้าวัน ก่อนนำปลาไหลทั้งหมดมาเคี่ยวและบดเนื้อของมันจนเหลว และผสมกับยางไม้ของดอกหญ้าไฟที่ขึ้นอยู่บนภูเขาไฟ จนกลายเป็นของเหลวใสลื่น

คนที่ถูกพิษจะเกิดอาการเห็นร้อนรุ่มดังไฟเผา ก่อนเห็นเพศตรงข้ามเป็นเครื่องเล่น และถ่ายทอดพิษในกายให้อีกฝ่าย จนเกิดภาพหลอนทุรนทุราย ความน่ากลัวจะเกิดขึ้นในใจของผู้ถูกพิษ จนเห็นภาพสิ่งที่ตนเองกลัวที่สุด จนกระทั้งผ่านไปครบสี่สิบเก้าวันจึงตายไปพร้อมใบหน้าที่หวาดกลัวที่สุด

“ฮ่าๆๆ เป็นไงโดนเข้าไปบ้าง ใครใช้ให้เจ้ากวนโทสะข้า” ฟางเสียงลงมือหนักข้อกับพี่ชายฝาแฝดของมันไม่น้อย หากมันก็มั่นใจว่าพี่มันต้องไม่ตายอย่างอนาถ ทว่าเหตุใดมันกลับมีสติทั้งที่มันเคลือบปลาไหลทองเอาไว้ที่ผิว

“คุณชายสามปล่อยปละละเว้นคุณชายรองสักครั้งเถอะ” ข้ารับใช้เงายังคงต้องช่วยรอมชอมฝาแฝด ผู้เป็นบุตรชายของนายท่านอย่างอดทน

“ข้าสั่งสอนพี่รองเกี่ยวอะไรกับเจ้า” ฟางเสียงยักไหล่ไม่สนใจ ยังคงยืนเฉย

“เรื่องของข้า เจ้าไม่ต้องยุ่ง” ฟางสงส่งเสียงกังวานไม่ยอมรับความช่วยเหลือของแฝดน้อง

“สงน้อยสลายพิษนี้ไม่ยากหรอกเจ้าไม่ต้องห่วง ข้าลดทอนความร้ายกาจของพิษลงแล้ว เพียงแต่สลายพิษปลาไหลทองได้แต่ยาบางอย่างไม่อาจสลายด้วยพลังวัตรของเจ้า ข้าขอให้เจ้าโชคดี ปีศาจราคะ” ฟางเสียงผิวปากเรียกเหยี่ยวเผือกอีกครั้ง ก่อนวางเสื้อผ้าพี่น้องลง

**************************************


เสียงฝนตกพร่ำๆ ในฤดูที่เทพสายฝนปะพรมความชุ่มชื่นสู่พื้นดิน ดอกไม้ประดับด้วยหยดน้ำ เคลื่อนไหวเบาๆ ปล่อยหยดน้ำลงสู่พื้นหินในสวนชมวิหค หงส์น้อยเหม่อมองสายฝนอย่างมีความหวังในชีวิต เมื่อนางถูกบังคับให้ต้องเลือกเดินทางชีวิตที่ผิดพลาด

ฟางเสียงนอนอยู่บนเตียงนุ่มของนาง คนที่นางรักเพียงคนเดียวที่นางไม่อาจครอบครอง นางนั่งลงที่ข้างเตียงโดยมีเหยียนอิงนั่งพัดวีเบาๆ ให้คุณชายที่นายหญิงรัก

“ไม่เอาน่า ข้าง่วง มานี่เถอะ” ฟางเสียงไม่ลืมตายกมือขึ้นรวบนางเข้ามาซุกกอดหาความอบอุ่นให้ร่างกาย หงส์น้อยทำตามอย่างว่าง่าย ขอเพียงได้ใกล้ชิดคนที่นางรักก็เพียงพอสำหรับนาง

“เจ้าด้วยอิงเอ๋อ” ฟางเสียงออกคำสั่งให้เหยียนอิงเข้ามากอดมัน เพื่อที่มันจะได้ไม่เหน็บหนาว หากหญิงรับใช้ผู้นี้ยินดีด้วยความเต็มใจ

หญิงงามสองนางล้วนผูกพันกับมันที่นอนนิ่งไม่ใส่ใจ หงส์น้อยมองฟางเสียงพร้อมครุ่นคิดไปถึงอดีตของนาง…

**************************************


ตระกูล ‘ซู’ เป็นตระกูลพ่อค้าในเมืองหวยโหยว หงส์น้อยจำได้เมื่อนั้นนางเพียงอายุสิบแปดเท่านั้น ท่ามกลางฤดูหนาวที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวบริสุทธิ์ นางสวมชุดขนสัตว์สีขาวออกไปทานอาหารกลางวันกับเพื่อนของนางที่เป็นลูกสาวตระกูล ‘โจว’ ขุนนางผู้ใหญ่

วันนี้เป็นวันแห่งเสียงหัวเราะเช่นเดียวกับทุกวัน ซูเสี่ยวหงส์ยิ้มแย้มแจ่มใสรับสายลมหนาวที่เข้ามาบางเบา เพียงไม่มีใครคาดคิดว่า ตระกูลซูห้าสิบชีวิตต้องตายอย่างน่าอนาถ เหลือเพียงนางหงส์น้อยเท่านั้นที่ถูกมารสายลมแห่งนครเหนือฟ้าจับตัวไป

นางถูกมันย่ำยี แม้ตายก็ตายไม่ได้ หนีก็ไม่รอด ต้องถูกคนของมันจับกลับมาทรมานอย่างแสนสาหัส โทษฐานที่นางเป็นลูกสาวสกุล “ซู” ที่ครอบครองหยกสามสี ซึ่งมีพลังวัตรของนักพรตแห่งลัทธิเต๋าเอาไว้ ที่ร้ายกว่านั้นเมื่อมันเบื่อหน่ายนาง ก็โยนนางให้กับลูกสมุนของมันเป็นเครื่องเล่นของพวกมัน ความเจ็บช้ำของนางก่อเกิดความแค้นล้ำลึก

“อย่านะ” นางวิ่งหนีพวกมันออกมายังนอกตำหนักมารสายลม ได้ยินเสียงหัวเราะของสมุนมันดังไล่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนนางสะดุดชนกับเด็กชายวัยเพียงสิบสองปี หากใบหน้าของมันงดงามราวเทพจุติลงมาจากสวรรค์ ผิดกับเครื่องแต่งกายมอซอของมันทำจากผ้าป่านสีคล้ำดำ คล้ายไม่เคยผ่านการซักแม้แต่น้อย

“ปล่อยนังนั่นซะ มันเป็นของเล่นของพวกข้า” สมุนคนหนึ่งพูด ร่างของมันสูงใหญ่ หากปากของมันเลอะไปด้วยน้ำลายคล้ายหมาบ้า

“เมื่อนางอยู่ในอ้อมแขนของข้าย่อมเป็นของข้า เรื่องอะไรจะให้เจ้า” ใบหน้ายโสของเด็กน้อยวัยเยาว์องอาจอย่างไม่น่าเชื่อ

ชายฉกรรจ์ทั้งสามกรูเข้ามาล้อมมัน จนปิดบังแสงสว่างรอบๆ ให้เล็กลง ซูเสี่ยวหงส์จำได้ติดตา ฝ่ามือใหญ่ยักษ์ของมันทั้งสามฟาดลงมาพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมของมัน แต่เด็กชายผู้นั้นกลับยืนนิ่งกอดอกมองอย่างไม่สะทกสะท้านและเชื่อมั่น

ไม่ทันได้รู้ตัว แขนของมันคนหนึ่งบิดเกลียว โดนกระชากลอยไปยังต้นไม้ใหญ่ ก่อนถูกมัดด้วยด้ายบางอย่างที่กระชากซากร่างของมันขาดเป็นชิ้นหากยังถูกตรึงติดกับต้นไม้ต้นเดิมมิได้ร่วงหล่นลงสู่พื้นแม้เพียงชิ้นเดียว

คนที่สองยังไม่ทันเดินพลังวัตรก็โดนไม้ไผ่สิบท่อนเสียบไปมาอย่างง่ายดาย คล้ายชิ้นไม้ที่เตรียมย่างบนกองไฟ ก่อนที่น้ำมันจะราดรดลงบนตัวมันพร้อมท่อนไฟไร้ที่มา กลิ่นเนื้อไหม้สะอิดสะเอียนวนเวียนในความทรงจำของนางนานหลายวัน

คนสุดท้ายถอยหลังเตรียมวิ่ง หากมันชะงักงันพร้อมโดนแรงเหวี่ยงลอยไปยังทิศตรงข้าม และถูกกระชากด้วยด้ายที่มองไม่เห็นจนร่างกายของมันขาดวิ่นออกจากกันเป็นเสี่ยงกระจัดกระจายไปทั่วพื้น

มือของมันตกลงมายังกระโปรงที่ฉีกขาดของหงส์น้อย นางกรีดร้องจนสลบไป ไม่รู้ว่านานเพียงใด นางลืมตาขึ้นภายในห้องนอนเลิศหรูของคุณหนูผู้ดีบนเตียงนิ่มๆ ที่นางไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนาน กับกลิ่นหอมของกำยานดอกกุหลาบป่าทำให้จิตใจของนางสงบลง

“เจ้าดูแลยาของนางหรือยัง ยังไม่รีบไปเอามาอีก จะให้ข้าลงโทษเจ้าอีกกี่ครั้งกัน” เสียงเด็กชายคนนั้นนางจำได้

เด็กชายวัยสิบสองเข้ามาในห้อง มองหญิงงามอย่างเฉื่อยชา “เจ้าตื่นมาก็ดี กินยาซะ เดี๋ยวเจ้าเกิดตายขึ้นมา ข้าจะลำบาก”

“ขอบคุณ คุณชาย” ซูเสี่ยวหงส์ก้มลงคารวะ แม้คำพูดแข็งกระด้างหากนางก็รู้สึกถึงความห่วงใย

“เจ้าอยากแก้แค้นพวกมันหรือไม่ ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ฟางเสียงนึกสนุก เมื่อเห็นพวกสวะต้องทุกข์ทรมาน มันเพียงชมชอบการละเล่นเช่นนี้

“ข้าไร้เรี่ยวแรงจะแก้แค้น เพียงต้องการความตายเท่านั้น” ซูเสี่ยวหงส์น้ำตาไหลอาบแก้ม เมื่อนึกถึงความอัปยศที่ได้รับ

“ตายไปจะสนุกอย่างไรกัน สู้เอามันมาทรมานเล่นดีกว่า เอาอย่างนี้เถอะ ข้าไม่มีเวลามาเล่นเป็นเพื่อนเจ้า แต่ข้ามีคนผู้หนึ่งที่จะสอนการละเล่นให้เจ้าได้ แล้วข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง เพียงแต่ตอนนี้ข้าต้องกลับบ้านก่อนนะ เดี๋ยวท่านยายข้าจะว่าเอา” ฟางเสียงจับปลายคางของนางที่ก้มลงขึ้นมอง

แววตาของมันมีความเมตตาต่อนางไม่น้อยเช่นไร...รอยยิ้มของมันปลอบโยนนางไม่น้อยเช่นกัน

“เมื่อเจ้าเป็นคนของข้า ต่อไปนี้เจ้าไม่มีสิทธิตาย เว้นแต่เจ้าจะร้องขอต่อข้า หรือข้าเป็นผู้สั่งเจ้า เจ้าพร้อมจะเป็นคนของข้าหรือไม่” ฟางเสียงจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของนาง

“ขอเพียงคุณชายไม่รังเกียจข้า ข้ายินดี” หงส์น้อยไม่อาจเอ่ยปฏิเสธเด็กชายผู้งดงามได้

“ผู้ใดรังเกียจหญิงงามเช่นเจ้า ย่อมต้องควักลูกตาออกมาทำยาให้ข้าแล้วกระมัง” ฟางเสียงจูบซับน้ำตาทั้งสองข้างก่อนเดินออกมาจากห้องทิ้งให้นางมองตามอย่างเหม่อลอย

“เจ้าโชคดีเพียงไรที่ได้รู้จักคุณชาย จงจดจำเอาไว้ให้ดี เพราะท่านผู้นี้คือเจ้าชีวิตของพวกเรา” หญิงงามวัยไม่เกินสามสิบ ใบหน้างดงามหมดจดแฝงไว้ด้วยเสน่ห์ที่แม้สตรียังอาย

“ท่าน” หงส์น้อยตกใจเมื่อคนผู้นี้เข้ามาในห้องโดยที่นางไม่รู้ตัว

“ยังไม่รีบคุกเข่าเรียกหาข้าว่าอาจารย์อีก เมื่อพวกมันบังอาจทำร้ายเรา เราต้องทวงถามให้มันชดใช้อย่างสาสม” เสียงแค้นเค้นออกมาจากปากของผู้ที่กลายเป็นอาจารย์ของนาง

หงส์น้อยเพียงคิดถึงผู้สั่งสอนวิชาฟ้อนรำ และใช้เสน่ห์มัดใจให้ชายหนุ่มหลงใหลในตัวนาง หากบัดนี้นางจากอาจารย์มานาน จนใจนางมิอาจรู้ความเป็นไปของผู้เป็นอาจารย์ได้แม้แต่น้อย

**************************************


ชะตากรรมของเหยียนอิงนั้นแตกต่าง แม่ของนางขายนางให้ซ่องนางโลม ตั้งแต่นางอายุเพียงเก้าขวบ ทำให้นางต้องเป็นสาวใช้ในหอหญิงงามเมือง ผ่านวันเวลาไปอย่างช้าๆ โดนดุ โดนด่า โดนตี แทบทุกวัน จนกระทั่งนางอายุสิบสามปี ความงามของนางเริ่มฉายแววจนหญิงงามอื่นเริ่มอิจฉา มีเพียงพี่เง็กที่ดีกับนางที่สุด คอยมอบขนมให้นางกินอยู่เนื่องๆ

ความไว้ใจทำให้นางไม่สงสัยสิ่งใด จนกระทั่งพบขุนนางแซ่สือ พี่เง็กของนางพาเหยียนอิงเข้าไปในห้องพร้อมกับนาง และปล่อยให้มันย่ำยีความบริสุทธิ์ของนางเพียงวัยสิบสามเท่านั้น

เหยียนอิงพยายามต่อสู้ หากเรี่ยวแรงของเด็กหญิงตัวน้อยไม่อาจต้านทานชายร่างสูงโปร่ง พี่สาวที่นางไว้ใจร่วมมือกับขุนนางโฉดนั้น ทำร้ายนางเพื่อแลกกับเงินเพียงเล็กน้อย ก่อนโยนร่างสะบักสะบอมออกทางหน้าต่างในซอยเปลี่ยว

สายฝนตกกระทบร่างบอบบางของนางสร้างความเจ็บปวดยิ่งนัก เลือดไหลออกจากระหว่างขาของนางไม่หยุด เมื่อโดนสายฝนทำให้แสบเย็บเฉียบจนนางคิดว่าต้องตายแน่แล้ว เพียงมีร่มคันหนึ่งและดวงหน้าที่งดงามก้มลงมองสำรวจอยู่

“เจ้าตายหรือยัง” ฟางเสียงถาม มิได้สนใจไยดีมากนักทั้งยังปล่อยให้สายฝนชโลมร่างมัน

“ช่วยข้าด้วย” เหยียนอิงร้องขอความช่วยเหลือแผ่วเบา

“เอาเถอะ ไม่รู้ทำไมข้าต้องวุ่นวายกับเรื่องของเจ้า แต่ถ้าเจ้าเป็นคนของข้า ข้าก็จะช่วยชีวิตเจ้า แต่บอกก่อนนะ ข้าไม่ชอบคนไม่ซื่อสัตย์” ฟางเสียงยังคงมองร่างที่นอนหนาวสั่นอยู่บนพื้นหิน ท่าทางของนางคงหนักไม่น้อย

“ข้าขอสาบาน” เหยียนอิงละเมอเพ้อรับปาก

“ดี” ฟางเสียงพยักหน้าก่อนสติของนางจะหลุดลอยไป

นางตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงของคนผู้นั้นที่นางจดจำได้ หากนางต้องแปลกใจ เมื่อห้องนอนนี้เป็นห้องที่แสนอบอุ่นและสุขสบาย

“เจ้าดูแลนางให้ดี นางถือเป็นคนของเจ้าแล้ว จงสั่งสอนนางให้มากไว้ เมื่อนางเป็นคนของข้า นางจะได้ไม่ต้องแสดงความทุเรศออกไป” ฟางเสียงสั่งความก่อนจากไป มันไม่เข้ามาดูคนที่มันช่วยเอาไว้แม้เพียงเล็กน้อย

“ค่ะ คุณชาย เชื่อมือข้าเถิด” เสียงของสตรีสูงวัยดังขึ้น ก่อนเข้ามาดูเด็กหญิงที่นางเพิ่งอุปการะไว้

“เป็นยังไงบ้าง เด็กน้อย เจ้าดีขึ้นบ้างหรือไม่” น้ำเสียงอ่อนโยนทำให้เหยียนอิงน้ำตาไหล

“ข้า” นางพูดไม่ออก เมื่อชะตากรรมมันร้ายแรงนัก

“ไม่ต้องพูด ข้าพอดูออก เอาเถอะ ต่อไปนี้เจ้าจงเรียกข้าว่าอาจารย์ และจงเรียนรู้สิ่งที่ข้าจะสั่งสอนเจ้าทั้งหมด จดจำไว้หน้าที่ของเจ้าคือดูแลดอกไม้งามของคุณชาย เข้าใจไหม ส่วนความแค้นของเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง อาจารย์จะเป็นธุระสะสางให้เจ้าเอง” หญิงสูงวัยลูบผมของเหยียนอิงเบาๆ กับแววตาที่อ่อนโยนทำให้นางเชื่อใจอย่างหมดสิ้น

**************************************


หญิงงามทั้งสองต่างตกอยู่ในความคิดของตนจนกระทั่งสายฝนหยุดลง และมีเสียงขลุ่ยดังขึ้นมาแทนที่ เด็กหนุ่มที่นอนอยู่ผุดลุกขึ้นอย่างเบื่อหน่าย มันมองหญิงงามทั้งสองของมันพร้อมรอยยิ้ม หากแววตาของมันไร้ความรู้สึกใดๆ

“สงน้อยบรรเลงเพลงเช่นนี้ พวกเจ้าไปเตรียมกระดาษกับพู่กันให้ข้าที” ฟางเสียงล้างหน้าจากน้ำในอ่างที่หงส์น้อยเตรียมมา ก่อนลุกไปนั่งที่โต๊ะซึ่งเหยียนอิงจัดเอาไว้ให้มัน

มันวาดภาพดอกไม้สีขาวดำลงลายเส้นพลิ้วไหวราวปลาน้อยในสายชล บรรจงลงแต่งแต้มหมึกอย่างประณีตงดงาม ความสามารถของมันเหนือล้ำกว่าจิตรกรมากประสบการณ์ สมแล้วที่มันวาดภาพดังเทพยดาเสกสรร ยามลงพู่กัน แววตามันอ่อนไหว เคลิบเคลิ้มกับเสียงเพลงท่วงทำนองอ่อนหวาน กระชากวิญญาณพร้อมปลอบใจหญิงงามในสวนชมวิหค

มันพี่น้องเป็นบุรุษผู้รู้ใจสตรีที่เปลี่ยวเหงา ทั้งท่วงท่าและหน้าตาที่งดงามปานเทพบุตร ทำให้หญิงงามทั้งหลายต่างเหม่อมองชวนหลงใหล

**************************************
สวัสดีค่า
มาอีกแล้วค่า เจ้าสองแฝดนี่ก็ยังคงวุ่นวายไปเรื่อย นะคะ
พี่ตุ้งแช่---ละอ่อนมากๆ หงิหงิ
คุณ konhin ---มีนะคะ เรื่อง เซียวฮื้อยี้ ค่า ^^
คุณ ใบบัวน่ารัก --- มันเป็นนิายจีนค่า สำนวนติดมาจากการอ่านนิยายจีนเก่าๆ ค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามนิยายนะคะ




เพลิงวารี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ธ.ค. 2555, 23:26:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ธ.ค. 2555, 23:26:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 1420





<< 01 สงสัยในความเป็นมา   03 ลมโบกบุปผาพลิ้ว >>
ใบบัวน่ารัก 31 ธ.ค. 2555, 07:44:21 น.
มีคุณชายใหญ่ด้วย^^อยากรู้จักจัง
ทำไมอีกคนไม่มีวรยุทธหละ มิโดนฆ่าตาย
หรือซวยโดนหมาหมู่หรือ? แปลกๆ
อ่านไปก็ยังแปลกๆ


konhin 31 ธ.ค. 2555, 11:29:28 น.
หุๆๆ มีตัวละครปมเยอะดี ชอบ จะรอดูว่าใครเป็นใครกันแน่ค่ะ


ตุ๊งแช่ 31 ธ.ค. 2555, 20:02:08 น.
เอ๊ะ ตกลงแฝดสองหรือแฝดสาม อ่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account