ซุ่มซ่อนมังกรสันโดษ
การผจญภัยของคู่แฝดจอมหาเรื่องที่ทำให้ชีวิตของคนในยุทธภพวุ่นวาย
Tags: กำลังภายใน แฝด มังกร

ตอน: 05 จอมมารในร่างเทพบุตร

ซุ่มซ่อนมังกรสันโดษ บทที่ 5 จอมมารในร่างเทพบุตร

ฟางเสียงเดินตามแม่นางทั้งสอง ปล่อยให้หลินชิงเสียเป็นผู้นำทาง อุโมงค์สายนี้มิมีผู้ใดรู้ว่าจะสิ้นสุดยังที่ใด หากหลินชิงเสียพอคิดเดาเส้นทางได้บ้าง เส้นทางสายนี้สว่างไสวด้วยมุกราตรี

“ใกล้ทางออกแล้ว” ยี่เอ๋อมีแววตาเป็นประกาย นางกระหายใคร่ดื่มกินอาหารยิ่งนัก หลายเพลาที่ผ่านนางต้องอาศัยยาคืนกำลังจากคนที่นางไม่ชอบหน้าที่สุด

“เจ้าอย่าคิดหวังหลุดรอด” เสียงเหี้ยมเกรียมดังขึ้นจากด้านหน้า มันผู้นี้หน้าตาทุเรศดุดัน มารดามันคงไม่ตั้งใจให้เกิด ผิวกายของมันดำมิด ขัดกับเสื้อผ้าสะอาดคล้ายบัณฑิต

“เจ้าเป็นใคร อย่าขวางทางเรา” ยี่เอ๋อท้าวเอวไม่เกรงกลัว แม้นางไม่มีกระบี่อยู่ในมือ หากจิตใจของนางห้าวหาญ ยิ่งทั้งหิวทั้งกระหาย ทั้งยังต้องอยู่ร่วมกับบุรุษปากเปราะมอซอมานาน ก็ยิ่งให้หงุดหงิดเป็นกำลัง

ฟางเสียงไม่พูดจา หาสนใจวาจาใครไม่ มันเดินผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ โดยมิกลัวเกรงอันตราย

มือหนักหน่วงยกขึ้นขวาง กวาดเอาร่างของเด็กหนุ่มลอยปลิวกลับไปตามทาง ก่อนเข้ามาพัวพันกับยี่เอ๋อที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ มันเกาะเอวนางคล้ายหยอกล้อ จนยี่เอ๋อต้องปัดป้องสุดชีวิต

หลินชิงเสียไม่ทันระวัง นางเพียงหันหลังคิดเข้าไปพยุงฟางเสียง ทำให้ถูกอีกคนไร้เสียงฝีเท้าเข้ามากระชากแขน สะบัดนางจนล้มลงกับพื้น

“หญิงงามแท้จริง เจ้าเรือนอายุน้อยเช่นเจ้าน่าดูชมไม่น้อย” ชายร่างสูงใหญ่กำยำอาศัยจังหวะนางเผลอ เข้าคร่อมร่างของนางเอาไว้ มือมันลูบไล้เรือนร่างอรชร

“ปล่อยข้า” หลินชิงเสียสูญเสียวรยุทธ์ ยากนักป้องกันตัว เพียงใช้มือปัดป่ายป้องกัน

ยี่เอ๋อใช้พลังฝ่ามือปกป้อง นางถูกคุกคามเช่นกัน เพียงสำนึกเสียใจที่ไม่ยอมฝึกปรือฝีมือให้กล้าแข็ง มิเช่นนั้นคงไม่มีวันเช่นนี้ ให้ผู้คนข่มเหงรังแกนาง

“หญิงงามที่ดี” ชายอัปลักษณ์กำลังหยอกล้อนางอย่างสนุกสนาน มันชมชอบให้สตรีโวยวาย เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ใคร่ให้ลุกโหม

ฟางเสียงปัดฝุ่นลุกขึ้น มองสตรีร่วมชะตากรรมทั้งสอง มันกอดอกมองคล้ายมิใช่ธุระของมัน ทั้งยังสบสายตากับยี่เอ่อที่กำลังสู้ด้วยชีวิตด้วยสีหน้าราบเรียบ มันเพียงมองรอให้ทั้งหมดเสร็จธุระเท่านั้น

“เจ้าคนไร้หัวใจ” ยี่เอ๋อด่าทอมันอย่างขุ่นเคืองพยายามกลั้นน้ำตา

ทำเอาเศษสวะทั้งสองชะงัก มองเด็กหนุ่มที่ยืนมองการกระทำของพวกมันนิ่ง “เจ้าเด็กบ้า ไม่คิดช่วยเหลือพวกนางเลยรึ”

“มิใช่ธุระ เหตุใดข้าต้องช่วยพวกนาง เมื่อพวกเจ้าตายไปเพราะมีสัมพันธ์กับนาง ข้าจึงรอดพ้นโดยง่าย” ฟางเสียงมีประกายประหลาดจากดวงตามัน รอยยิ้มมันช่างกวนประสาทยิ่ง

“หมายความเช่นไร” เศษสวะทั้งสองต่างลุกถอยหนี แต่ก็มิได้ทิ้งห่างพวกนนางเท่าไรนัก

“เมื่อครู่ตอนที่ข้าเดินออกมากับพวกนาง ข้าได้แอบวางยาพวกนาง นางจะได้ไม่อาจลงมือกับข้าที่ไร้วรยุทธ์ หากพวกเจ้าล่วงเกินนาง เจ้าต้องตายเพราะพิษร้ายที่ข้าวางไว้ ไยไม่ใช่ข้ารอดอยู่ผู้เดียว” ฟางเสียงมีรอยยิ้มแฝงแววเยาะหยัน

“เด็กโสมมคิดหลอกลวงบิดา” ชายอัปลักษณ์หาเชื่อคำพูดมันไม่

“เจ้าไม่เชื่อก็ทดลองดู ข้าจะอยู่เป็นพยานเอง” ฟางเสียงนั่งลงที่พื้น มันรอคอยดังคำมัน

ชายร่างสูงชะงัก มันถอยหลังไม่กล้าแตะต้อง ด้วยมิมีแววตาหลอกลวงเลยแม้แต่น้อย

“ข้าคิดว่าท่านคือผู้เมตตา แต่กลับไร้ปราณีถึงเพียงนี้ แม้ท่านช่วยชีวิตข้า กลับลอบทำร้ายด้วยวิธีต่ำช้าเลวทราม” หลินชิงเสียมองมันอย่างผิดหวัง และต้องเจ็บปวดยิ่งเมื่อสีหน้าฟางเสียงไร้ความรู้สึกใด

ยี่เอ๋อที่เคยด่าทอเก่ง กลับพูดไม่ออก นางหมดกำลังใจในชีวิต มิคาดในชีวิตของนางต้องเจอกับคนโฉดเช่นนี้ คนชืดชาไร้ไมตรีเป็นจอมมารในร่างเทพบุตร

เศษสวะใต้สังกัดของหิมะทมิฬและบุรุษเหล็กต่างลังเล ถอยหลังออกมาจากหญิงงามทั้งสองอย่างรังเกียจ และนั้นเอง ฟางเสียงซัดฝุ่นผงไร้สีใส่มันกำหนึ่ง

“ยังไม่รีบถอยออกมาอีก” ฟางเสียงร้องตะโกน พร้อมลากจูงยี่เอ๋อและหลินชิงเสียหนีไปอีกทาง

เศษสวะทั้งสองร้องโหยหวนได้ไม่นาน ผิวกายของมันค่อยๆ สลายจากภายในสู่ภายนอก ร้อนรุ่มคล้ายร่างกายจะระเบิด ก่อนของเหลวในกายเดือดพล่านดังน้ำในกาต้มเดือด ผลจากพิษเพลิงแผดเผา

พิษร้ายพิสดารในครอบครองของฟางเสียงมากมายนัก...ไม่ทราบมันจัดหาได้จากที่ใด สตรีทั้งสองต่างมองมันอย่างสงสัย ผงเหล่านั้นติดที่กายพวกนางอยู่มิใช่น้อย...ไฉนไม่มีผลต่อนางทั้งสอง

“เจ้าใช้ยาอันใด ไฉนเราสองไม่เป็นไร” ยี่เอ๋อค่อยพูดออกเมื่อสติกลับคืน

“ข้าคิดคำนวณออกแต่แรก จึงให้เจ้าทั้งสองกินยาต้านพิษเอาไว้ก่อน เฮ้อ เรื่องแค่นี้พวกเจ้าไฉนไม่รู้จักคิด ต้องให้ข้าอธิบาย” ฟางเสียงไม่ใส่ใจ มันเดินตามทางเดินอย่างไร้จุดหมาย

ทั้งสองนางล้วนสำนึกเสียใจด้วยเข้าใจมันผิดไป วาจาที่กล่าวหาหนักหน่วง ความคิดตำหนิว่าเช่นกัน หากในใจล้วนปีติยินดีด้วยแฝงความพิเศษประการหนึ่ง บุปผางามเติมเต็มแต่งแต้มด้วยกลิ่นหอมแห่งรัก

เพียงน่าสงสาร...นางทั้งสองหลงรักบุรุษไร้หัวใจเช่นมัน

*************************************


เวลาพลบค่ำไร้เสียงผู้คน ฟางสงกลับมาอีกครั้งพร้อมดาบในห่อบนหลังมัน แอบย่องจากทางด้านหลังเห็นคนผู้หนึ่งหลับยามอยู่ จึงจัดการเด็ดศีรษะมัน เสียงขวับแผ่วเบา โลหิตหลั่งไหลนองพื้น ดาบทื่อยังใช้การได้ดีราวปังตอสับหมู

หลี่เปียวเห็นความเร็วคล้ายดังฟาดฟันด้วยกระบี่อ่อน ท่วงท่าของสหายมันไม่คล้ายใช้อาวุธหนัก เรียบง่ายหากชัดเจนยิ่งนัก “ดาบเจ้าไม่คล้ายมีน้ำหนัก”

“ข้าเพียงมีโทสะมากมายให้ระบายออกเท่านั้น” ฟางสงขุ่นเคืองที่ไม่อาจช่วยเหลือพี่น้องของมันออกมา ทำให้จิตใจมันถูกรบกวน

“เจ้าอย่าได้คิดมาก ข้าเชื่อว่าเสียงน้อยต้องปลอดภัย” หลี่เปียวปลอบ มันยังเข้าใจว่าสหายมันไม่ใส่ใจห่วงใยพี่น้อง

“หากข้าไม่รับปากท่านพ่อเอาไว้จะไม่เปิดเผยวิชาโดยง่าย เพียงใช้วรยุทธ์อยู่ไม่กี่ท่าที่ผู้คนล้วนรู้จัก ยังคงรับมือคนเหล่านั้นไม่ยากนัก และไม่พลาดพลั้งทำให้เสียงน้อยต้องตกลงไปยังประตูกลของพวกมัน” ฟางสงระบายความในใจต่อสหาย

เมื่อยึดถือเป็นสหาย มิต้องปิดบังให้มาก หากภาระแห่งพันธะสัญญาที่มันให้ไว้แก่บิดามัน จึงมิอาจเล่าออกมาจนหมดสิ้น เพียงยังต้องพิสูจน์กันด้วยเวลา เนื่องด้วยคำเตือนยังคงอยู่ในสมองของมันเสมอ

ยุทธภพมีผู้คน...ผู้คนล้วนสวมหน้ากาก...จนใจมิอาจแยกแยะหมดสิ้น...ระวังไว้จึงประเสริฐ

“เมื่อมีแขกมาเยือนไยมิเข้ามาทักทาย” เสียงไพเราะเพราะพริ้งมิใช่ของผู้อื่น...ยังเป็นเทพอัปสรผู้งดงาม

“ผู้เยาว์ย่อมต้องทักทาย” ฟางสงเปิดประตูอย่างสุภาพ ท่าทางคล้ายคุณชายตระกูลใหญ่ของมันสง่างามไร้ที่ติ

เทพอัปสรมองเด็กหนุ่มวัยเยาว์นัยน์ตาหยาดเหยิ้ม นางรับปากสหายจะสืบสาวราวเรื่องของเด็กหนุ่มผู้นี้ หากนางยังเป็นผู้เจนจัดในยุทธภพ เห็นวัตถุขนาดใหญ่เทอะทะด้านหลังของมัน ทั้งที่เมื่อคืนก่อนมันมิได้พกพามา ย่อมต้องระมัดระวังไว้ “คุณชายเช่นเจ้าชื่อเรียงเสียงใดโปรดบอก”

“ผู้เยาว์นามฟางสง เรื่องอื่นใดมิอาจบอก เนื่องด้วยท่านพ่อข้าเข้มงวดนัก ห้ามมิให้เปิดเผยออกไป” ฟางสงมีท่าทีนอบน้อม วันนี้มันมาช่วยคนย่อมต้องใจเย็นกว่า

“ไฉนไม่อาจบ่งบอกออกมา หรือมิไว้ใจพี่สาวเช่นข้า เราสองอาจต้องแนบชิดให้สนิทกันมากไว้จึงถูกต้อง” เทพอัปสรลุกขึ้นจากเก้าอี้ ดูท่าทางนางมีความมั่นใจในเสน่ห์หญิงงามอยู่หลายส่วน

“ขอพี่สาวท่านอย่าได้สร้างความลำบากใจแก่ข้า” ฟางสงตั้งรับมัน คว้าเอาดาบล่าพยัคฆ์ออกจากหลัง เมื่ออีกฝ่ายจู่โจมด้วยแส้อ่อนสีขาว

แส้ขาวแลดูอ่อนพลิ้ว หากแฝงพลังลมปราณร้อนสายหนึ่ง แต่ไม่อาจสร้างความลำบากใจแก่เด็กหนุ่ม เทพอัปสรขมวดคิ้วสงสัย ดาบสีดำสนิทที่ใช้ แลดูธรรมดาไร้พิษสง อาจดูน่าเกะกะไปสำหรับมัน

ฟางสงต้านรับมันสลายพลังจนหมดสิ้น ก่อนเสริมลมปราณไร้เมตตาที่ฝึกปรือออกไป ต้านพลังที่ไหลเวียนออกมาอย่างต่อเนื่อง รุกด้วยท่าหนึ่งดาบดับพยัคฆ์ เพียงพุ่งดาบออกไปยังเทพอัปสร หากดาบนั้นพลันเกิดลมปราณเยือกเย็นเหน็บหนาวแผ่ผ่านภาวะกดดันที่สร้างขึ้น

เทพอัปสรให้ตะลึงลาน เด็กหนุ่มรูปงามแผ่รังสีอำมหิตดุดัน นัยน์ตาสีดำลึกล้ำเกินหยั่งรู้ นางสะบัดถอยหนี แม้เห็นดาบได้ชัดแจ้ง แต่ไม่อาจหลบหลีกคล้ายกับดาบนั้นตั้งใจปลิดชีพนางลงให้จงได้ จึงสะบัดแส้หยั่งรากลงดินรับมือ พลันแส้นางผ่าออกรับดาบ แรงปะทะทำให้นางต้องถอยหนี

“ดาบล่าพยัคฆ์” เสียงแหบแห้งของบุรุษเหล็กดังขึ้น มันให้กรงเล็บจิกไหล่เทพอัปสรให้ล่าถอยมาตั้งหลัก มองดาบล่าพยัคฆ์ให้มือเด็กหนุ่มไร้ชื่อเสียงให้คิดหนัก

ฟางสงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว แววตานิ่งสงบไร้ความรู้สึก จิตใจมันเวลานี้มั่นคงดุจหินผา เข้าขอบเขตสมาธิไร้ความประมาท ประหนึ่งเทพยดาหินสลัก

“เจ้าได้ดาบนี้จากที่ใด” บุรุษเหล็กถามขึ้นอย่างสนใจ

มันศึกษาศาตรามาเนิ่นนาน สนใจวัสดุมากมายที่ชาวยุทธ์นำมาใช้สร้างอาวุธ จึงมีความรู้อยู่บ้าง ดาบในมือเด็กหนุ่มคือดาบที่ลื่อเลื่องในซีเซี่ย เพียงเวลาที่เนิ่นนานผู้รู้ทั้งหลายต่างล้มหายตายจาก เป็นเพียงตำนานเล่าขานที่น้อยคนนักจะรับทราบ

หลี่เปียวเพียงชมการต่อสู้อันยอดเยี่ยม เห็นได้ชัดที่สวนหิน สหายมันหาได้แสดงความสามารถออกมามากนัก ยังคงเก็บงำเอาไว้อยู่หลายส่วน และมันอาจได้รู้ประวัติดาบจากปากของบุรุษเหล็กอีก จึงยืนเงียบไม่เคลื่อนไหว

ฟางสงนิ่งเงียบสงบ ไม่ตอบคำ มันมิได้รับฟังวาจาของอีกฝ่าย นัยน์ตามันจับจ้องบุรุษเหล็กและเทพอัปสร คล้ายราชสีห์จับจ้องเหยื่อรอตะปบ

“เด็กร้ายกาจ” บุรุษเหล็กสะกิดเท้ารวดเร็วขึ้นสูงเหนือศีรษะ

ฟางสงมิได้เงยหน้ามอง มันหลับตาฟังเสียงลมเสียดสีหยั่งคำนวณทิศทาง แล้วตวัดดาบขึ้นรับกรงเล็บเหล็กเสียงปะทะดังปัง ดาบและกรงเล็บต่างกระเด็นออกจากกัน หากบุรุษเหล็กพลังลมปราณเหนือล้ำกว่า ฟางสงจึงกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง แต่บุรุษเหล็กเพียงรู้สึกแขนชา แสดงว่าพลังลมปราณของอีกฝ่ายนั้นนับว่าใช้ได้

“ยอดเยี่ยม ถือว่าเจ้ายังมีฝีมืออยู่บ้าง” บุรุษเหล็กพยักหน้ายอมรับ กลับสมใจยิ่งที่ได้เห็นฝีมือเด็กหนุ่มรุ่นเยาว์

“ท่านกลับมีเวลาชื่นชมมัน ยังมิรีบปลิดชีพมันอีก จะปล่อยมันไว้เป็นภัยในวันหน้าอีกหรือไร” หิมะทมิฬยื่นฝ่ามือออกมา เป็นเหตุให้หลี่เปียวต้องใช้กระบี่ออกมา

หิมะทมิฬฝีมือสูงกว่า มันใช้ฝ่ามือรับกระบี่ได้อย่างง่ายดาย กระบี่อ่อนใบไผ่เขียวพลิ้วไหวไม่ต้านรับโดยตรง ด้วยหลี่เปียวผ่อนลมปราณกลับทันที มันใช้ท่าอินทรีย์คืนรังหลบหลีกฝ่ามือที่ตามติด แต่เมื่อผ่านหน้าฟางสงที่กำลังเดินลมปราณเพื่อคืนกำลัง จึงหันฝ่ามือเข้าหา

บุรุษเหล็กยื่นมือออกช่วยเหลือ รับฝ่ามือแทน ก่อนบอกให้ทั้งหมดหยุด “หยุดมือ”

หิมะทมิฬรู้มิอาจสู้อีกฝ่าย จึงหดมือกลับ ยืนนิ่งเหม่อมองแล้วให้ขุ่นเคืองใจนัก “ท่านไฉนช่วยเหลือมัน”

“เรื่องบางอย่างข้าต้องรู้ เจ้าได้ดาบล่าพยัคฆ์จากผู้ใด” บุรุษเหล็กหันไปถามฟางสงโดยมิสนใจพวกเดียวกัน

“จนใจมิอาจเปิดเผย” ฟางสงรักษาสัจจะ มันรับปากมารดาไม่บ่งบอกผู้ใด pอมต้องปิดปากไว้ประเสริฐสุด อันบุตรชายมิอาจรักษาสัญญาแก้มารดาได้ ยังถือเป็นบุรุษที่ดีงามอยู่หรือ...

“เป็นเจ้าผามังกรฯ มอบให้” ฟางเสียงเป็นผู้เปิดเผย มันมีรอยยิ้มประหลาดประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา พร้อมยื่นมือเข้าแทรกแทน

มันและสตรีทั้งสองนางแอบฟังเรื่องราวอยู่หลังม่านนานพอดู จนกระทั่งแฝดพี่มันย่ำแย่ จึงค่อยแสดงตัวออกมา เพียงถ่วงเวลาได้สักเล็กน้อย ย่อมเป็นเรื่องควรกระทำ

ทั้งหมดต่างตะลึงลาน เมื่อนามที่ไม่อาจเกี่ยวข้องปรากฏในการสนทนานี้ ดูท่าทางมันแล้วคงมิเคยเกรงกลัวใคร ไม่ทราบจิตใจมันเพาะสร้างจากสิ่งใด จึงแกร่งเช่นนี้

“เจ้าเกี่ยวข้องอันใดกับคนผู้นั้น” เทพอัปสรเป็นผู้ถามอย่างสงสัย นางเก็บงำวาจาอยู่นานหากไม่ถามคงจะมิได้แล้ว

“เมื่อครั้งข้ายังเยาว์วัย ท่านพ่อข้าได้ต้อนรับคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้ประหลาดนักชมชอบอาหารบ้านข้าอย่างยิ่ง เพียรถามสูตรอาหารจากท่านแม่ข้า จนท่านแม่ข้าใจอ่อนมอบตำราอ่านให้ ด้วยมันอยู่ฝึกหัดทำอาหารอยู่หลายวัน พบเห็นสงน้อยจึงจับสงน้อยทดสอบ และมอบดาบพร้อมคัมภีร์ให้ แต่มิได้รับมันเป็นศิษย์ ภายหลังจึงรู้ว่าคนผู้นั้นคือเจ้าผามังกรฯ เรื่องก็เป็นเช่นนี้ ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ” ฟางเสียงปั้นเรื่องโกหกได้น่าเชื่อถือ จนบุรุษเหล็กพยักหน้าช้าๆ

“ฟังว่าผู้สร้างดาบนี้เป็นสตรีนางหนึ่ง ผู้ซึ่งเกี่ยวพันกับผ่ามังกรฯ ชาวซีเซี่ยล้วนยำเกรงนาง เนื่องฤทธิ์เดชมันมิใช่น้อย ข้าเห็นทีจะต้องขอดูชมสักระยะกระมัง” บุรุษเหล็กแท้จริงต้องการทราบเกี่ยวกับดาบ โลหะที่สร้างสรรค์ออกมาเป็นโลหะพิเศษที่มันเสาะค้นหา

ฟางสงกระชับดาบของมันแน่น เตรียมตัวระมัดระวังเอาไว้ให้มากกว่าเดิม แน่นอนมันมิยินยอมมอบดาบคู่มือให้โดยง่าย

“ท่านต้องการชมดูยังคงต้องถามไถ่เจ้าผามังกรฯ ก่อนกระมัง เนื่องด้วยคนผู้นั้นเป็นผู้มอบให้แก่สงน้อย พี่น้องข้าคงไม่ยินยอมมอบให้ท่านได้โดยง่าย และหากท่านใช้กำลังยึดมาดู ท่าทางผามังกรฯ คงไม่ยอมปล่อยเอาไว้” ฟางเสียงคาดเดาไร้สาระ พูดจาให้ผู้คนปั่นป่วน

“บุรุษเหล็กท่านอาจลืมสาเหตุที่เรามายังที่นี่กระมัง” หิมะทมิฬกล่าวไม่จบคำตะปบไหล่ฟางเสียงที่อยู่ใกล้มันมากที่สุด

“บอกมาไข่มุกบุปผาสวรรค์อยู่ที่ใด” หิมะทมิฬมองไปยังหลินชิงเสียที่ปิดปากแน่นไม่ยอมเอ่ยคำ

ฟางสงเห็นอย่างนั้นจึงรีบสอดมือเข้าช่วยเหลือแฝดน้องของมัน แต่บุรุษเหล็กไม่ยอมปล่อยมันให้ช่วยเหลือคนได้โดยง่าย อีกทั้งยังต้องการหยั่งเชิงวิชาของเด็กหนุ่ม

“พอเถอะ” หลินชิงเสียแทบเสียสติ เมื่อเห็นฟางเสียงโดนบีบไหล่ แม้มันไร้สีหน้าเจ็บปวด แต่นางกลับปวดร้าวแทน เป็นความรู้สึกที่นางเองไม่อาจทำความเข้าใจ

ทุกคนจึงหยุดมือ หันมามองนาง ยี่เอ๋ออยู่ใกล้นางที่สุด จึงกุมมือนางเอาไว้ ในใจนางเป็นห่วงฟางเสียงเช่นกัน เพียงแต่นางยังไม่ถึงกับมีท่าทีชัดเจนเท่า ด้วยมองเห็นสีหน้าซีดเผือดของหลินชิงเสียคล้ายไม่เหลือเลือดฝาด

“ไข่มุกบุปผาสวรรค์ไม่ได้อยู่ในเรือน เมื่อสิบปีก่อนท่านอาจารย์ได้มอบหมายให้อาจารย์น้า เดินทางไปยังผามังกรฯ เพื่อมอบให้เจ้าผามังกรฯ เก็บรักษาไว้ เนื่องด้วยเจ้าผามังกรฯ รุ่นก่อนได้มีเรื่องติดค้างอาจารย์ข้า จึงรับปากช่วยเหลือเป็นธุระให้อาจารย์ข้าเรื่องหนึ่ง แต่เวลาผ่านไปนาน อาจารย์ข้าทราบว่าไม่นานอาจเกิดเรื่องกับที่นี่ จึงทำเช่นนั้น” หลินชิงเสียบ่งบอกตามความจริงที่นางได้รับทราบจากอาจารย์ นางเป็นเจ้าเรือนได้ไม่นานนัก ยังขาดฝึกฝนทำให้ไม่รู้เรื่องอีกมาก

“โกหก” หิมะทมิฬไม่อาจยอมรับได้ แม้มันจะพยายามเสาะหาจนทั่วเรือน แต่ไม่พบ

เสียงกำแพงปริแตกดังขึ้น ผู้สวมหน้ากากหนังมนุษย์ผู้หนึ่งเดินเข้ามายังโพรงที่ทำลายอย่างองอาจ ตวาดเสียงดังอย่างน่าเกรงขราม “ผู้ใดคิดหาเรื่องกับเรือนบุปผาสวรรค์คือศัตรูของผามังกรฯ”

กำไลสีดำสลักเป็นรูปมังกรกลืนกินหางสวมอยู่ที่ข้อมือของคนผู้นั้น ย่างก้าวที่เดินเข้ามามั่งคงดุจหินผาแฝงไว้ด้วยลมปราณหนักแน่นสายหนึ่งแผ่กระจายจนผู้คนต้องต้านรับ

ฟางเสียงกระเด็นล้มลง เช่นเดียวกับหลินชิงเสียที่สูญเสียวรยุทธ์ จนยี่เอ๋อต้องช่วยพยุงอย่างทุลักทุเล

หิมะทมิฬถอยไปยังพรรคพวกของตน บุรุษเหล็กเกร็งพลังลมปราณเพื่อรอคอยโอกาส เทพอัปสรก็เช่นกันไม่อาจประมาทต่อผู้ครอบครองกำไลมังกร

“ท่านอย่าได้ยุ่งเรื่องราวของผู้อื่น” หิมะทมิฬเค้นความกล้าเอ่ยวาจา

“เฮอะ ข้ามิชมชอบยุ่งเรื่องราวใด หากมิใช่เป็นคำสั่งจากเบื้องบน พวกเจ้าได้ฟังแล้วใช่หรือไม่ ยังไม่รีบไสหัวไปให้แก่บิดา หรือต้องการหาความกับผามังกรฯ” ผู้ครอบครองกำไลมังกรหาได้ใส่ใจในนครเหนือฟ้าไม่

“เจ้าได้ยินแล้วไม่ใช่รึ ผามังกรฯ เชียวนะ ยุ่งยากยิ่ง” ฟางเสียงได้ทีขู่ทับ มันพยายามประคองตนให้ลุกขึ้นหาได้เกรงกลัวไม่

เสียงหัวเราะในลำคอขู่ขวัญผู้คนได้ผลชะงัด ผู้ครอบครองกำไลมังกรมองผู้บุกรุกทั้งสาม ก่อนหันไปมองศิษย์ของเจ้าเรือนคนก่อน เป็นหลานศิษย์ของอาคันตุกะอันทรงเกียรติ “เจ้าไม่ต้องกลัวไป ข้ารับปากอาจารย์น้าเจ้า เพียงแต่ติดขัดบางอย่าง ข้าจึงมาช้ากว่ากำหนด เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะรับโทษทัณฑ์จากนายเหนือชีวิตข้าแล้ว”

หลินชิงเสียหลั่งน้ำตาซาบซึ้งในเอื้ออาทรของผู้มาเยือนยิ่งนัก นางมิต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไป โอกาสรอดของศิษย์พี่ศิษย์น้องมีมากขึ้นเหลือคณา

“ยังยืนอยู่ทำไร ผู้อื่นขับไล่ไฉนยังไม่ไปอีก” ฟางเสียงยังคงปากเปราะ ออกปากขับไล่ทั้งสามอีก

“การที่เราจากไปไม่ใช่เพราะหวาดกลัวต่อผามังกรฯ เพียงแต่เจ้านครเราให้เกียรติต่อผามังกรฯ เมื่อธุระที่ได้รับมาไม่อาจกระทำ ขอถามท่านสักครั้ง ไข่มุกบุปผาสวรรค์ใช่อยู่ในความดูแลของผามังกรฯ หรือไม่” บุรุษเหล็กกล่าวแทนพรรคพวก แม้รู้ดีว่าจะได้คำตอบเช่นไร

“นี่มิใช่ธุระของเจ้า และข้ามิอาจตอบ หน้าที่ข้าคือกำจัดภัยให้พ้นที่นี่เท่านั้น เรื่องราวอื่นๆ คงต้องรบกวนท่านไปหาคำตอบจากที่อื่นแล้ว” ผู้ครอบครองกำไลมังกรไม่ยอมตอบคำ ทว่าท่วงท่าสงบสามารถสยบผู้คนได้

“ควรทราบ เราทั้งสามได้รับคำสั่งมา จึงมิอาจกลับไปมือเปล่า” เทพอัปสรอ่อนข้อต่อคนผู้นี้ไม่น้อย

“ไปเสีย มิฉะนั้นอย่าหาว่าข้าไร้ไมตรี หรือพวกเจ้าต้องการหาเรื่องที่นี่ก็เข้ามาเถอะ” วาจานี้กล่าวด้วยความทะนงไร้ความเกรงกลัว

บุรุษเหล็กเห็นไม่ได้ความ การจะหาเรื่องผามังกรฯ ไม่อยู่ในความคาดหมายจึงคิดกลับไปปรึกษา เพื่อขออำนาจในการกระทำการต่อไป จึงสะกิดสหายทั้งสองของมันจากไป ทั้งหิมะทมิฬและเทพอัปสรเดินตามออกไปเช่นกัน

เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง ผู้ครอบครองกำไลมังกรจากไปไม่ล่ำลา ทำเอาคนหนุ่มสาวต่างมองหน้ากันไปมาอย่างไม่เข้าใจ ฟางเสียงนั่งลง มันเอามือบีบนวดที่ไหล่ของมันเบาๆ “ไอ้ผีตายซากนั่นทำข้าปวดไหล่หมด”

“นั่นเพราะเจ้าไม่ยอมศึกษาวรยุทธ์” ฟางสงเข้าไปดูแฝดน้องของมัน

“ไม่ต้อง ข้ายังสบายดีอยู่ ที่ต้องห่วงคือโน้น เจ้าเรือนโน่น นางย่ำแย่แล้ว ไร้วรยุทธ์หมดสิ้น” ฟางเสียงทำท่าชี้ชวนให้แฝดพี่มัน แล้วมิสนใจใส่ใจแต่อย่างใด

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ฟางสงเดินตรงไปยังหลินชิงเสียที่กำลังงุนงง มันจับข้อมือของนางเดินพลังสายหนึ่งเพื่อตรวจสอบอาการของนาง

หลินชิงเสียค่อยรู้สึกตัว สีหน้าของนางเข้มขึ้น เมื่อคนผู้นี้คล้ายฟางเสียงยิ่งนัก สร้างความวุ่นวายใจแก่นางอย่างยิ่ง “ปล่อยมือข้าเถอะ ข้าถูกยาสลายพลังของพวกมัน”

“เดี๋ยวก่อน ข้าพาแม่นางผู้นี้มาให้เจ้า แปลกยิ่งนัก นางพยายามออกไปจากที่นี่” หลี่เปียวเห็นศิษย์เรือนบุปผาสวรรค์ผู้สวมชุดสีเขียวอ่อนอยู่ในห้องนี้ เมื่อวันที่ฟางเสียงตกลงไป กำลังจะหนีไปจึงจับมาสืบความ

“เรื่องสำคัญคงต้องกำจัดคนทรยศก่อนกระมัง” ฟางเสียงนั่งลงที่พื้น มันท้าวแขนมองหญิงสาวที่สหายมันจับไว้ ลัยังคงรอยยิ้มเอาไว้

“ศิษย์พี่ท่านไฉนต้องทำเช่นนี้” หลินชิงเสียผิดหวังเสียใจยิ่งนัก ที่ศิษย์พี่ทำร้ายคนในสำนักเอง

“ศิษย์น้องเจ้าเรือน พี่มิได้กระทำอันใดเลย” นางแก้ตัวเมื่อไม่มีทางรอดไปได้ ด้วยถูกล้อมไว้ทุกทางเช่นนี้

“ท่านทำร้ายพี่น้องเรา เอาเถอะไว้เรื่องต่างๆ สงบลง ข้าคงต้องปรึกษาหารือศิษย์พี่น้องเราเพื่อสรุปลงโทษท่าน” หลินชิงเสียพูดอย่างเป็นกลาง ต้องพยายามข่มใจให้เย็นลงไว้

“ศิษย์น้องท่านอย่าได้ทำเช่นนั้น” นางปากคอสั่น ก่อนใช้ฝ่ามือเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุม แต่มือหลี่เปียวเหนียวแน่น เกาะกุมนางไม่ปล่อยออกไป

ฟางเสียงเดินเข้ามาหานาง ก่อนยัดยาใส่ปากนาง “ทำเช่นนี้เจ้าจะได้ทัดเทียมกับแม่นางหลิน ปล่อยนางเถอะ พี่เปียว”

หลี่เปียวปล่อยมือจากนาง เมื่อเห็นฤทธิ์ยา นางกุมท้องปวดมวนทรมาน กรีดร้องอย่างเจ็บปวด สักพักค่อยสงบลง นั่งนิ่งมองฟางเสียงอย่างขุ่นแค้น

“เจ้าเอายาอะไรให้นางกิน” ยี่เอ๋อเห็นสภาพนางแล้วให้กังวลแทน

“ยาสลายพลังตามแบบฉบับข้า แต่ต่อไปนี้นางจะฝึกฝนวรยุทธ์อีกไม่ได้ เมื่อตัวยาแทรกซึมเข้าทุกอณุของร่างกายนาง” ฟางเสียงยิ้มแย้ม มันนิยมทำร้ายผู้คนด้วยความสนุก

“เจ้า” นางคิดเค้นด่าว่ามัน หากไม่อาจกระทำได้

ฟางเสียงหันหลัง มันเดินมาที่หลินชิงเสีย “เจ้าตัวร้อนหรือไร ไฉนหน้าแดงเช่นนี้” รอยยิ้มมันก่อกวนความวุ่นวายใจแก่ผู้คนยิ่ง

“เสียงน้อย เจ้าอย่าได้ชักช้า จะรักษานางก็รีบรักษาเถอะ เรายังมีธุระที่ต้องจัดการอีก” ฟางสงไม่ได้ใส่ใจท่าทางของนางเช่นกัน มันเก็บดาบของมันลงในห่อผ้า ไม่ต้องการให้ผู้คนยลโฉมอาวุธประวัติพิสดารมากนัก

“เรื่องที่เสียงน้อยเล่าเป็นความจริงหรือ” หลี่เปียวค่อยหันมาสนใจดาบล่าพยัคฆ์

“อย่าไปเชื่อวาจามัน เรื่องย่อมมิใช่เป็นดังคำมัน พี่เปียวควรทราบ เสียงน้อยนิยมชมชอบกล่าววาจาเหลวไหล หากฟังคำมันสมควรลดทอนสักหลายส่วน” ฟางสงนึกขันในวาจาของพี่น้องมัน ‘ช่างปั้นเรื่องราวหลอกลวงผู้คน’

“เฮ้อ ข้าเกือบเชื่อ เสียงน้อยเจ้านี่ช่างโกหกเหลือหลาย” หลี่เปียวหันไปมองฟางเสียงที่กำลังตรวจชีพจรตามคำพูดของแฝดพี่

“หากไม่ทำเช่นนี้มีหวังมันได้ถามต่อความอยู่ร่ำไป เอาล่ะ คงต้องฝังเข็มรักษา เพียงแต่ว่าข้าอาจต้องให้เจ้าถอดเสื้อผ้าให้ข้าได้ฝังเข็มและแช่ยาให้เจ้า” ฟางเสียงพูดพร้อมรอยยิ้มกริ่มเจ้าเล่ห์ สีหน้าของมันทำให้ผู้คนยากแก่การไว้ใจยิ่งนัก

หลินชิงเสียรีบถอยหลัง มองมันอย่างไม่ไว้ใจ จนยี่เอ๋อต้องมากั้นขวาง “เจ้าคิดล่วงเกินผู้อื่น”

“เสียงน้อย เจ้าอย่าได้กล่าววาจาเหลวไหล รีบบอกออกมา” ฟางสงคาดเดาออกว่าแฝดน้องมันกล่าววาจาเหลวไหล จึงต้องกล่าววาจาไกล่เกลี่ยด้วยสงสารสตรีทั้งสองยิ่ง

ความซุกซนของฟางเสียงหาเคยปราณีผู้ใดไม่...มันนิยมสนุกสนานเกินคาด

“ได้” ฟางเสียงยื่นยาเม็ดหนึ่งให้หลินชิงเสีย “กินซะ หากไม่ใช่เพราะสงน้อย ข้าคงไม่คิดช่วยเหลือเจ้าให้เสียเวลา”

หลินชิงเสียรับยามากิน นางก้มหน้าลง เมื่อวาจาของมันทำร้ายจิตใจของนางอย่างยิ่ง อันว่าผู้เป็นอยู่ในเรือนบุปผาสวรรค์ ย่อมไม่เคยสัมผัสแห่งรักชายหญิง และนางเป็นถึงเจ้าเรือนบุปผาสวรรค์ผู้ต้องครองตนในพรหมจรรย์นั้น นางต้องเจ็บปวดกับความรู้สึกนี้อย่างแน่นอน แต่วาจานั้นกลับตอกย้ำนางให้เจ็บปวดมากขึ้น

“อย่าได้คิดมาก วาจาของเสียงน้อยเป็นเช่นนี้เอง มันมิเคยหวังทำร้ายผู้คน” ฟางสงมองท่าทางของเจ้าเรือนออก น้องมันทำร้ายจิตใจหญิงงามอีกครั้ง

หลินชิงเสียมองฟางสง แม้หน้าตาจะละหม้ายคล้ายกันยิ่ง แต่อีกคนกลับจิตใจอ่อนโยนปลอบนาง ทำให้นางฉุกคิด นางได้แสดงท่าทางออกไปมากแล้วเช่นนั้นหรือ...เพียงได้อยู่ใกล้ชิดกันไม่นาน ความรู้สึกบางอย่างกลับแผ่ซ่านเข้ามาในจิตใจ เป็นความผิดพลาดที่นางต้องรีบยับยั้ง

ยี่เอ๋อเองมองดูเจ้าเรือนบุปผาสวรรค์ผู้ร่วมชะตากรรมกับนางมาชั่วระยะหนึ่ง เห็นความลำบากใจสายหนึ่งในดวงตาของนาง ก่อนหันไปมองเจ้าตัวปัญหาที่ไร้ท่าทีมีเยื่อใยอันใด ท่าทางน่าขัดเคืองยิ่ง

“ไปเถอะ เรายังคงต้องไปพบหน้าญาติอีก” ฟางเสียงได้รับคำบอกเล่าจากสหายของมัน เห็นเรื่องราวไม่อาจรอช้า จึงลืมเลือนสตรีหญิงงามทั้งสอง

มันมิเคยสนใจผู้ใด...ยิ่งสตรีใดคิดสร้างปัญหาให้แก่มัน...มันยิ่งต้องหลีกให้ห่าง

*************************************

สวัสดีปีนี้ค่า
คุณตุ้งแช่ --- ใช้เปลืองมากๆ ค่ะ อิอิ
คุณ konhin --- ใช่ค่า อิอิ สมัยโน้น อายุ 13 ก็มีเมียได้แล้วค่า อิอิ
ขอบคุณที่ติดตามนิยายนะคะ



เพลิงวารี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ม.ค. 2556, 12:17:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ม.ค. 2556, 12:17:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 1897





<< 04 อึดอัดขัดแย้ง   06 สลับซับซ้อน >>
ตุ๊งแช่ 2 ม.ค. 2556, 14:20:32 น.
หญิงงามกี่คนแล้วนี่ เห่อๆๆ


ใบบัวน่ารัก 2 ม.ค. 2556, 21:53:14 น.
มี ญ งามหลายคน
เสียงน้อยไม่มีหัวใจ หรือไม่มีใจ


konhin 3 ม.ค. 2556, 04:42:36 น.
น่าสงสารหญิงงามนัก แต่ความรักบังคับกันไม่ได้เนี่ยดิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account