ซุ่มซ่อนมังกรสันโดษ
การผจญภัยของคู่แฝดจอมหาเรื่องที่ทำให้ชีวิตของคนในยุทธภพวุ่นวาย
Tags: กำลังภายใน แฝด มังกร

ตอน: 06 สลับซับซ้อน

ซุ่มซ่อนมังกรสันโดษ บทที่ 6 สลับซับซ้อน

ฟางเสียงหาที่นอนได้ไม่ยากนัก มันพาเพื่อนและสหายไปพักพิงยังบ้านชาวบ้านผู้หนึ่ง คนผู้นี้ประกอบอาชีพตีเหล็ก รายได้ไม่สู้ดีมากหลาย หากเจ้าของร้านตีเหล็กนี้กลับไม่มีท่าทีทุกข์ร้อน ยังคงต้อนรับมันด้วยมรรยาทอันดี

ทุกสิ่งที่เกิดล้วนสร้างความแปลกใจให้ผู้มาด้วย ฟางสงขบคิดไม่เข้าใจ พี่น้องของมันเที่ยวรู้จักผู้คนมากมาย หากคืนนี้มีเรื่องทะเลาะวิวาทเหนื่อยยากแล้ว แถมมันและสหายล้วนมีอาการบาดเจ็บจึงมิคิดถามไถ่ รับยาคืนกำลังและสมานแผลมา ไม่พูดไม่จาหลับสนิทยิ่ง คล้ายดังได้กินยานอนหลับขนานใหญ่

ยี่เอ๋อที่ติดตามมันมาก็เช่นกัน ไม่อาจสักถามมันสักคำเดียว นางหลับบนเตียงแข็งแต่สะดวกสบายของเจ้าของบ้าน ปล่อยให้บุรุษหนุ่มทั้งหลายหาที่หลับนอนนอกห้องโถง ไม่ทราบเรื่องราวใด นางหลับใหลไม่รู้เรื่องเช่นเดียวกัน ทั้งที่ตั้งใจเอาไว้จะระวังมิให้ผู้ใดล่วงเกินนาง แม้ไม่มีผู้ใดแสดงท่าทีล่วงเกินนาง ทว่าแต่ละผู้คนล้วนเป็นตัวร้ายมีชื่อเสียงเรื่องนารีอยู่มาก

หลี่เปียวเองมีบาดแผลอยู่กับตัว เมื่อฟางเสียงลงยาให้มัน ยังไม่ต้องคิดถึงเรื่องพูดจา มันหลับแทบทันที หลับสนิทคล้ายไม่เคยหลับมาก่อน

เช้าวันรุ่งขึ้น เสียงตีเหล็กดังขึ้นเป็นจังหวะ น้ำหนักที่ตีลงไม่เรียกว่ามากน้อยเกินพอดี เจ้าของร้านผู้นี้เรียกมีฝีมือตีเหล็กยิ่งนัก หากผู้ใดบอกว่ามันเป็นนักสร้างศาสตราวุธย่อมไม่มีผู้ใดคัดค้าน

“เถ้าแก่ท่านจัดสร้างอาวุธใด” ฟางเสียงถามไถ่ขึ้น

“อาวุธข้าสร้างสรรค์เพียงความสนุกเท่านั้น” เถ้าแก่เหลียงวัยแปดสิบหัวเราะในคำถาม แปลกนักที่เด็กน้อยอย่างมันจะถามไถ่ ด้วยเด็กหนุ่มน้อยนี้มิน่าสนใจวิชาตีดาบ

“ถ้าเช่นนั้นมอบให้ข้าได้หรือไม่ ข้าชมชอบความสนุกยิ่ง” ฟางเสียงขอได้ไม่ลำบาก มันหน้าด้านเพื่อหาความสนุกเท่านั้น

“ย่อมได้ อาวุธนี้ข้าสร้างให้คนผู้หนึ่ง มันบังคับข้าให้สร้างขึ้นแต่ข้าพอใจยกให้เจ้า ด้วยข้ารู้ว่าเจ้าจะใช้มันก่อกวนผู้คนได้มากมาย” เถ้าแก่เหลียงผู้นี้มิใช่ใคร เป็น ‘ปีศาจสุขสันต์’ นิยมชมชอบให้ผู้คนลำบาก มันย่อมเป็นสหายเที่ยงแท้ของฟางเสียง

“ดี เถ้าแก่ท่านอย่าลืมบอกแก่มันด้วยว่า ข้าฟางเสียงเป็นผู้ขโมยไป” ฟางเสียงหัวเราะขบขัน มองดูดาบสั้นสีเงินยวงปลายด้ามสลักคำ ‘ปฐพีไร้พ่าย’ อย่างพอใจ

ปีศาจสุขสันต์แห่งหอนิรันดร์กาล เป็นผู้แฝงกายในยุทธภพ หากมิได้หลบหลีกเร้นกายเช่นสหายร่วมสำนัก เนื่องด้วยวาจามันเป็นเอก วรยุทธ์ย่อมไม่เป็นรอง ฝีมือสร้างศาสตรายิ่งมิต้องพูดถึง ในชีวิตมันเป็นรองเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้น คือผู้เฒ่าศาสตราแห่งผามังกรฯ เท่านั้น ผู้ที่มันยกย่องยิ่งนัก

มันเป็นผู้เดียวที่ผามังกรฯ ปล่อยปละละเว้น จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อห้าสิบปีก่อน เนื่องด้วยหอนิรันดร์กาลเป็นฝ่ายอธรรมกลับฮึกเหิมคิดบุกทำลายผามังกรฯ ผู้รักสันโดษจึงต้องแพ้พ่าย เพียงมิมีใครทราบ ว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร

เพียงคืนเดียวเท่านั้น หอนิรันดร์กาลจึงไร้ซึ่งที่สิงสถิต แต่ไม่มีใครในหอนิรันดร์กาลต้องล้มตาย เพียงเหลือคำกล่าวสลักไว้อย่างงดงามบทพื้นศิลาจำแลงที่แข็งแกร่ง

จดจำไว้หอสวะ...ผู้ใดคิดเกี่ยวข้อง...เพื่อนพ้องจักตายสิ้นเหลือเพียงโลงหินไว้มองดู

จงหลบเร้นแอบซ่อน... มิเช่นนั้นสหายท่านจักตายเหลือไว้เพียงซากมิอาจจำแนก

ข้าผู้สันโดษส่งสารเตือนมาแก่ท่านทั้งหลาย...เราสองมิใช่เพื่อนเล่นแต่วัยเยาว์...ฉะนั้นให้ระวังไว้

จากนั้นหอนิรันดร์กาลเหลือไว้เพียงซากถูกทำลายสิ้นไม่เหลือเค้าโครงเดิม ผู้คนในสำนักต่างตื่นขึ้นมาพบความอดสู นึกรู้ได้ทันที ชาวผามังกรฯ จับพวกมันเปลื้องผ้าเวลาหลับ จับแขวนไว้ใต้ต้นไม้ แต่ละผู้คนล้วนอับอาย เมื่อสหายร่วมสำนักต่างมองหน้ากัน ก่อนปลดตัวเองลงจากต้นไม้ใหญ่ ซึมเซา

ควรทราบหอนิรันดร์กาลรวบรวมไว้ด้วยผู้มีฝีมือนิสัยประหลาด การจัดเป็นฝ่ายอธรรมย่อมไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพียงมีนิสัยพิสดารไม่อาจเข้าพวกกับผู้ใด แต่ยังคงไว้ด้วยยอดยุทธ์ที่ผู้คนมิอาจประมาทได้ หากเพียงคืนเดียว พวกมันหลับใหลราวตาย ค่อยสำนึกเสียใจในความทะนง

ปีศาจสุขสันต์กลับรอดมาได้ มันไม่ทราบว่ามันได้พบและถกปัญหาอาวุธกับผู้เฒ่าศาสตรา ทำให้มันแคล้วคลาดจากเรื่องร้าย เพียงทิ้งอักษรไว้บนตัวมัน ‘ยินดีได้พบพา’

ฟางเสียงเก็บมีดสั้นไว้ในอกเสื้อยิ้มแย้มแจ่มใส ก่อนเดินเข้าไปหาผู้ร่วมทางที่ยืนฟังมันกล่าววาจากับเถ้าแก่ร้าน “ตื่นแล้วหรือ ไปยังบ้านพี่ชิงชิงกันเถอะ”

“เจ้ารู้จักกับเถ้าแก่ตั้งแต่เมื่อไร” ฟางสงถามทันที แม้รู้ดีอาจมิได้คำตอบที่ดี

“เมื่อคืน” ฟางเสียงบิดตัวไปมาอย่างเกียจคร้าน หาสนใจตอบคำไม่

“ไม่คล้ายเพิ่งรู้จักกัน” หลี่เปียวเพียงบ่นอย่างสงสัย

“ข้าไม่รู้จักมัน เพียงมีคนผู้หนึ่งจัดหาให้” ฟางเสียงมองพี่น้องของมัน คล้ายบ่งบอกความจริง

“อ๋อ เป็นเช่นนี้เอง ไปกันเถอะ” ฟางสงรู้ได้ทันที ที่แท้ข้ารับใช้เงาจัดหาให้ คงเป็นผู้ใดที่บิดาสามารถไหว้วานได้จึงตระเตรียมไว้ให้แก่พวกมันพี่น้อง

ยี่เอ๋อพูดมากกลับไม่ถามไถ่ เริ่มเคยชินกับนิสัยไม่ยอมเอ่ยวาจาเปิดเผยเรื่องราวของมัน จึงเดินนำออกจากร้านไป ตามด้วยบุรุษหนุ่มทั้งสาม

หลี่เปียวเช่นกัน มันเลิกติดตามหาเรื่องราวแล้ว ต่อให้มันเอาเหล็กร้อนมาง้างปาก คงยากนักที่สหายมันจะบ่งบอกความใด ยังรอคอยเวลาไว้ประเสริฐสุด

****************************************


ญาติมันมิยินยอมเปิดประตูต้อนรับ ด้วยยังคงขุ่นเคืองเรื่องราวในวันวาน ฟางเสียงให้โมโหสตรีมีรักเช่นญาติผู้พี่มัน จึงเท้าเอวร้องด่าทอมากมาย

“หากพวกเจ้าไม่เปิดประตูต้อนรับข้า ข้าจะไสหัวไปในบัดดลและจะกลับมาพร้อมหัวของว่าที่พี่เขยข้า ให้คุณหนูเจ้าต้องเป็นม่ายตั้งแต่ยังไม่แต่งงาน”

เด็กรับใช้ได้ยินวาจาเช่นนั้นย่อมเกิดความลังเลใจบ้าง มันได้เห็นความร้ายกาจของคุณชายฟางสงมาก่อน เมื่อเห็นคุณชายฟางเสียงอีกคน มันยิ่งเข้าใจผิดคิดว่าคนผู้นี้ย่อมมีความสามารถไม่แตกต่างกัน

“คุณชายฟางท่านอย่าได้ทำเช่นนี้ ข้าจะไปเรียนคุณหนูก่อน” มันรีบรุดเข้าบ้านไปตามคุณหนูของมันอย่างหวั่นเกรง

“เจ้าดีแต่ใช้วาจาข่มขู่ผู้คน เจ้ามีความทุเรศใดมาแสดงให้แก่มัน” ยี่เอ๋อส่ายหน้ากับความกะล่อนของฟางเสียงยิ่งนัก แต่ต้องยอมรับว่า...นี่เป็นเสน่ห์ของมันอย่างหนึ่ง ซึ่งแม้นางก็ไม่อาจรู้ตัว

“เรื่องแสดงกำลังมิใช่ธุระข้า ยังเป็นสงน้อยประเสริฐกว่า ข้ามีเพียงวาจาเท่านั้นเป็นอาวุธ” ฟางเสียงเดินเข้าไปใกล้นาง ใช้สายตาแทะโลมนางอย่างเปิดเผย

“เจ้ามองอันใด มาให้ข้าควักลูกตาแต่โดยดี” ยี่เอ๋อทำท่าจะควักลูกตามัน กลบเกลื่อนสีหน้าสีแดงเข้มเต็มไปด้วยความขัดเขินใจยิ่งนัก

“พอเถอะ เจ้าอย่าได้ล้อเล่นมากความ” ฟางสงมักเห็นหญิงงามเป็นอาหารตากลับไม่อยู่ในบุคลิกเดิม มันมิเคยบังคับผู้ใด เห็นชัดว่าสตรีนางนี้มีน้องชายมันอยู่ในหัวใจแน่แล้ว ยิ่งไม่น่าสนใจสำหรับมัน

จูชิงชิงเท้าเอวมองญาติผู้น้องทั้งสองอย่างขุ่นเคือง นางเห็นฝาแฝดทั้งสองยังอยู่ดีจึงกล่าว “ปีศาจน้อยอย่างเจ้ายังกล้ากลับมา”

“พี่ชิงชิงท่านดุร้ายยิ่งนัก ข่มขวัญกล้าของสงน้อยจนลนลาน ผู้น้องจึงต้องเป็นผู้มาไกล่เกลี่ย สงน้อยเจ้ายังไม่รีบคุกเข่ารับผิดอีก” ฟางเสียงทำท่าพินอบพิเทามากมาย ก่อนเข้าไปใกล้ประจบประแจง

จูชิงชิงได้ยินวาจาปากหวานของมันให้ใจอ่อน...เผลอยิ้มให้มันครั้งหนึ่ง ด้วยเอ็นดูน้องชายฝาแฝดคู่นี้มากอยู่

ฟางสงขมวดคิ้วไม่ยินยอม มันมิใช่ผู้ผิดแม้ยอมรับว่าทำร้ายผู้คน แต่การประลองย่อมมีผู้บาดเจ็บ จึงหันหลังไม่ยินยอม...สร้างความลำบากใจแก่สหายมันยิ่งนัก

“เจ้ามาแล้วไม่คิดเอ่ยขอโทษก็จงกลับไป” จูชิงชิงเม้มปากไม่พอใจ หันหลังให้อีกคนอย่างแง่งอน

“สงน้อยไปเถอะ เรื่องราวใดไม่คิดกล่าวก็อย่าได้ใส่ใจ” ฟางเสียงพาดมือที่บ่าแฝดพี่ พากันเดินจากไป หาได้สนใจคืนดีแท้จริงไม่

“เดี๋ยวก่อน” จูชิงชิงเห็นพี่น้องของนางไม่ยอมลงให้นาง สร้างความประหลาดใจแก่นาง

“รออันใด ท่านไม่ยอมรับเรา เราได้แต่เดินจากไป” ฟางเสียงเป็นฝ่ายเจรจา ยักท่าไม่สนใจพี่สาวอีก

นางรู้สึกเสียดายพี่น้องอย่างฝาแฝดพิสดารเช่นนี้ จึงลดทอนความขุ่นเคืองใจลงหลายส่วน ได้แต่ถอนใจยาว กล่าววาจาง้องอน “พวกเจ้าจะทอดทิ้งพี่สาวเช่นข้าจริงๆ”

“ผู้ใดทอดทิ้งท่าน ท่านต่างหากทอดทิ้งเรา” ฟางสงไม่ยอมหันมามอง มันยังคงนิ่งเฉยตามบทบาทที่กำหนดไว้

แท้จริงพวกมันดำเนินตามแผน โดยมิได้นัดหมาย เพียงสบตาก็เข้าใจ ด้วยซุกซนกันมานานแสนนาน สร้างความวุ่นวายใจให้แก่ผู้คนมามากหลาย

“เมื่อท่านมีพี่เขย กลับลืมเลือนพี่น้องอย่างเรา เราให้เสียใจยิ่งนัก” ฟางเสียงสมทบอย่างชาญฉลาด ผู้วางแผนอันหลอกลวงผู้คนย่อมเป็นมัน

“ข้ายอมรับผิดแล้ว เป็นข้าผิดเอง เจ้าอย่าได้ทอดทิ้งข้า” จูชิงชิงหลั่งน้ำตาร้องไห้เสียใจ นางมีพี่น้องไม่มากมาย ยิ่งนางเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของบิดา ย่อมต้องเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวยิ่ง

เมื่อแฝดทั้งสองเดินทางมาเยี่ยมเยียนคราใด มักพกพาความสนุกสนานมาให้นาง นางจึงรักพี่น้องผู้นี้ยิ่งนัก

“พี่สาวข้าอย่าร้องไห้ เป็นพวกเราล้อเล่นมากไป” ฟางสงกลับเป็นฝ่ายรีบเข้ามาโอบกอด ปลอบใจพี่สาวของมันอย่างอ่อนโยน มันมิใช่บุรุษที่ชมชอบน้ำตาของสตรี

ฟางเสียงเพียงแลบลิ้น เดินเข้ามาลูบหลังพี่สาวของมันเบาๆ “พี่สาวอย่าร้องไห้ พวกข้ากลัวน้ำตาของท่านยิ่งนัก”

หลี่เปียวค่อยพยักหน้า สหายมันทั้งสองตอนนี้ ไม่เพียงไม่ผิดยังสามารถเป็นผู้น่าสงสารอีกด้วย แผ่นดินนี้กว้างใหญ่ยิ่งนักจะหาผู้ใดกะล่อนเท่าสหายมันเป็นไม่มี

“พวกเจ้า” หวังจงคิดเยี่ยมคนรักกลับต้องเป็นภาพบาดตาบาดใจ เด็กหนุ่มสองคนกำลังโอบกอดคนรักมัน

จูชิงชิงหยุดร้อง นางหันมามองคู่หมั้นนางอย่างงุนงง นางลืมไปว่าไม่เคยเฉลยเรื่องราวเกี่ยวกับพี่น้องของนางให้คู่หมั้นฟัง จึงทำหน้าไม่เข้าใจในท่าทางของคนรัก

หวังจงกำมือแน่นมองฝาแฝดอย่างมึนงง คนหนึ่งสวมชุดที่มันจดจำได้ พร้อมห่อผ้าใหญ่ที่เบื้องหลังย่อมเป็นอาวุธที่มันเคยปะทะ แต่อีกคนแต่งกายมอซอ ท่าทางซุกซน แม้รู้พวกมันเป็นฝาแฝดกัน หากมิอาจทราบความสัมพันธ์ที่ทั้งสองมีกับคู่หมั้นมัน

ฟางเสียงยิ้มพรายมิเกรงกลัวผู้ใด วาจามันจึงก่อเรื่องอีกเช่นเคย “ท่านเล่าเป็นใคร หรือเป็นเพียงแมลงน้อยเกาะตามชายกระโปรง”

ฟางสงส่ายหน้า วันนี้มันไม่อยากปะมือกับว่าที่พี่เขยอีก จึงยกมือขึ้นประสานคารวะแก่หวังจง “พี่เขยท่านอย่าได้กังวลไป วาจาของเสียงน้อยเพียงกล่าวล้อท่านเล่นเท่านั้น เราสองเป็นบุตรชายของท่านแม่ ผู้เป็นน้องสาวของท่านพ่อพี่ชิงชิง มาครั้งนี้ มาเยี่ยมเยือนเท่านั้น มิได้ต้องการสร้างความลำบากใจแก่พี่เขยแม้แต่น้อย”

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ พี่จงอย่าได้ฟังวาจาเหลวไหลของของเสียงน้อย เด็กน้อยนี้ซุกซนยิ่งนัก กลั่นแกล้งผู้คนตลอดเวลา” จูชิงชิงรีบสาวเท้าเดินมาหาคู่หมั้น ไม่สนใจท่าทางเบื่อหน่ายของญาติผู้ซุกซนของนางอีก

“เป็นข้าเข้าใจผิดไป ขออย่าได้ถือสา” หวังจงเชื่อฟังคำคู่หมั้นมันยิ่งนัก ด้วยรักยิ่งกว่าสตรีนางใดที่มันเคยรู้จัก เพาะปลูกต้นรักร่วมกัน

“เอาเถอะ ข้าเบื่อหน่ายยิ่ง พวกเจ้าต่างก็ขัดขวางความสนุกของข้า ไปคารวะท่านลุงท่านป้าให้เรียบร้อยเถอะ จะได้ออกเดินทางกัน” ฟางเสียงทำท่าเบื่อหน่าย เดินเข้าบ้านตระกูลจูอย่างองอาจ หาสนใจผลลัพธ์ที่ได้รับไม่

มันเป็นผู้หนึ่งที่นิยมทิ้งปริศนา ทว่ามิยินยอมไขให้รับทราบโดยง่าย ด้วยมันมิเคยสนใจสิ่งใดมากมาย และมิมีสิ่งใดที่มันไม่เคยพบเจอมา ดังนั้นมิว่าเรื่องราวใด ย่อมธรรมดาสามัญสำหรับเด็กหนุ่มมอซอเช่นมัน

****************************************


หลี่เปียวนัดหมายให้สำนักกระบี่เทพมารับคนที่อารามบัวหยก ตามความเห็นที่ถกเถียงกันอย่างจริงจังของฝาแฝดทั้งสอง ซึ่งนิยมชมชอบในหอนางโลมยิ่งกว่า แต่มันต้องรีบขัดเมื่อยี่เอ๋อเป็นศิษย์รักของกระบี่เทพ และนางเป็นสตรีที่ดีย่อมไม่ยินยอมพร้อมใจอย่างแน่นอน ที่ต้องพำนักในหอคณิกา

“พวกเจ้าต้องการให้ข้าเฉาตายกระมัง” ฟางเสียงขุ่นเคืองที่ต้องเดินทางมายังอารามบัวหยก

“เราจำเป็นต้องส่งนางให้ถึงมืออาจารย์นาง ไม่เช่นนั้นยังคงทำตามความคิดเจ้า” หลี่เปียวเบื่อหน่ายอธิบายแก่สหาย ตัวมันเองใช่จะชมชอบนักบวชหญิง แต่มิอาจล่วงเกินสำนักกระบี่เทพ

“ประเสริฐเดินทางมาเหนื่อยยาก สุดท้ายยังต้องพบปะนักบวชหญิง” ฟางสงเห็นชอบตามพี่น้อง มันอยากสุราในไหแห่งหอสุขสันต์ฟังว่าสุรารสเลิศนารีงดงามน่าเคล้าคลึงยิ่งนัก

อันสตรีซื้อหาได้ มันย่อมต้องทดลองดู เพียงสตรีมีภาระ ยากนักจะแตะต้อง เมื่อขึ้นชื่อว่า ‘ภาระ’ ย่อมต้องสร้างปัญหาแก่มัน เนื่องด้วยวัยเพียงสิบห้า ย่อมไม่ต้องการตบแต่งผู้ใดเป็นภรรยา

“เจ้าไม่ต้องกลัวไป เสร็จสิ้นธุระ ข้าจะพาเจ้าไปยังหอสุขสันต์ ในเมืองหนิงเต๋อแห่งนี้ สถานที่นี้ยอดเยี่ยมที่สุด” หลี่เปียวแอบกระซิบ แต่ไม่วายยี่เอ๋อได้ยิน ทั้งยังต้องฟังสตรีดุด่า

“ในสมองพวกท่าน มีเพียงสุรานารีเท่านั้นหรือ ทว่าข้ากลับไม่แปลกใจนัก” ยี่เอ๋อส่ายหน้าในความเจ้าชู้ของบุรุษทั้งสาม แม้เดินทางร่วมด้วย ทว่าพวกมันมิเคยเอาใจนางมาก

สตรีดีมิมีผู้ใดชมชอบ...กลับมองหาหญิงงามกลางเมือง

“สุรานารีดีย่อมเป็นสุนทรีย์แห่งชีวิต เจ้าจะให้พวกข้าอดทนรอจนตบแต่งสตรีเช่นพวกเจ้าเป็นภรรยาก่อนหรือ จึงค่อยปลดปล่อยไฟราคะสุมทรงในอกข้า เมื่อนั้นพวกเจ้าไม่ต้องตายในอ้อมกอดพวกข้าหรือไร” ฟางเสียงกล่าววาจาหยาบคาย ทั้งรอยยิ้มมันช่างกวนประสาทผู้คนนัก ให้มันหล่อเหลาเพียงไร มันกลับสร้างความวุ่นวายใจกู้คนได้มากขึ้น

“เจ้า” ยี่เอ๋อกำมือเข้าทุบอกมันอย่างลืมตัว เผลอปล่อยพลังวัตรสายหนึ่งด้วยความโกรธ

ฟางสงจึงรีบเข้าไปช่วยเหลือยึดถือมือนางเอาไว้อย่างมั่นคง ก่อนเตือนสตินางให้ใจเย็นลง “ยี่เอ๋อโปรดใจเย็น เสียงน้อยชอบกล่าววาจาเหลวไหล เจ้าอย่าได้ถือสา”

ยี่เอ๋อค่อยสงบลง สะบัดหน้าหนีไม่ยอมมองคนซุกซนหยาบคายอีก เดินนำไปยังเบื้องหน้า มิเพียงมิเคยเอาใจใส่ทั้งยังชอบก่อกวนให้ผู้อื่นวุ่นวายอยู่เสมอ

“ไฉนเจ้าจึงชอบก่อกวนนางให้โมโห หรือเจ้าจักชมชอบนางแล้ว” หลี่เปียวกระทุ้งสีข้างสหายมันเบาๆ พยายามสังเกตท่าทางสบายใจของมันให้ละเอียด

“หึ ชาตินี้ข้าไม่มีวันตบแต่งกับสตรีใด” ฟางเสียงยิ้มประหลาด รอยยิ้มเช่นนี้มักแฝงความลับเอาไว้มากมาย

ทุกคนจึงหยุดเท้า เมื่อเห็นสตรีแต่งกายชุดขาวล้วนยืนต้อนรับอยู่ถึงห้านาง แต่ละนางมิใช่หญิงงาม ยังคงมีความไม่สมบูรณ์ในดวงหน้าอยู่บ้าง หากบุคลิกเสริมส่งให้ความงดงามนั้นเป็นไปตามธรรมชาติสร้างไว้

“ท่านใช่คุณชายฟางทั้งสอง คุณชายหลี่ และคุณหนูยี่เอ๋อหรือไม่” สตรีนางหนึ่งเอ่ยถามด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น

“ย่อมมิผิด” หลี่เปียวอายุสูงวัยกว่าเป็นตัวแทนตอบ

“ท่านอาจารย์เชิญท่าน ท่านกระบี่เทพรอคอยท่านนานแล้ว” สตรีทั้งห้าเดินนำทางไปยังป่าไม้สีเขียวสด สีหน้ามิเปลี่ยนไปจากเดิม

ทั้งหมดต้องลัดเลาะไปตามไหล่เขา เห็นบ้านสร้างจากหินก้อนใหญ่มากมาย สลักป้ายเอาไว้ ‘อารามบัวหยก’ เดินผ่านเข้าไปเจอประตูใหญ่เปิดรอคอยอยู่ เห็นบุรุษสูงวัยผมสองสียืนไพล่หลัง เป็นกระบี่เทพที่รอคอยศิษย์รักนั้นเอง

“ท่านอาจารย์” ยี่เอ๋อวิ่งอย่างรวดเร็ว สวมกอดอาจารย์ดังบิดาให้กำเนิด

“ยี่เอ๋อเจ้าทำให้อาจารย์เป็นห่วงยิ่งนัก ขอบใจพวกเจ้าที่ช่วยเหลือนาง” หยงซื่อพยักหน้าให้เด็กหนุ่มทั้งสาม

หลี่เปียวประสานมือรับ หากสหายมันเพียงพยักหน้าตอบเท่านั้น แต่มิมีผู้ใดถือสา ด้วยชินชากับท่าทางยโสของพวกมัน

“อาจารย์ข้าต้องการพูดคุยกับคุณชายทั้งสอง เชิญทางนี้เถอะ” นักบวชหญิงเข้ามาเชื้อเชิญ

“เชิญ” ฟางสงรับคำอย่างว่าง่าย พาแฝดน้องของมันเดินตามนักบวชหญิง

ฟางเสียงพยักหน้าตามไป พวกมันล้วนมีเรื่องหนึ่งต้องกระทำ เป็นธุระที่บิดามันสั่งความเอาไว้ พวกมันมิอาจขัดขืน จึงเดินตามไปอย่างเรียบร้อย

แท้จริงพวกมันแสร้งอิดออดเท่านั้น ธุระหนึ่งเดียวที่บิดามันสั่งกำชับให้มาคำนับและมอบสิ่งของหนึ่งอย่างแก่เจ้าอารามบัวหยก

****************************************


เจ้าอารามบัวหยกนั่งอยู่บนอาสน์สำหรับสวดมนต์ นางกำลังท่องบทสวดที่พระพุทธองค์ทรงสอนอย่างเคร่งครัด ยากนักจะตัดใจจากกิเลสที่แผดเผา แม้นานเท่าไรกลับมีเรื่องหนึ่งที่นางมิอาจลืมเลือน

ฝาแฝดทั้งสองมีท่าทางเรียบร้อย รอจนกระทั่งศิษย์อารามบัวหยกจากไป จึงคุกเข่าลงคารวะเจ้าอารามบัวหยกอย่างนอบน้อม ก่อนหยิบกล่องไม้ผิวเรียบธรรมดาออกมา

“ผู้หลานขอคารวะ” ฟางสงเป็นผู้เอ่ยวาจา และวางกล่องไม้ลงบนพื้น

“ผู้ออกบวชย่อมมิมีญาติ เชิญคุณชายฟางทั้งสองตามสบาย” เจ้าอารามบัวหยกหันหน้ามาทางเด็กหนุ่มทั้งสอง ดวงหน้าอิ่มเอมในรสพระธรรมเสริมส่งให้มีความงดงามยากนักจะเปรียบเทียบ

“ท่านพ่อฝากของสิ่งนี้มาให้ท่าน ฟังว่าเวลาเนิ่นนานท่านมิอาจหลุดพ้น จึงได้นำของสิ่งนี้มอบให้แก่ท่าน หวังว่าจะสามารถทำให้ท่านบรรลุญาณ” ฟางเสียงกล่าววาจาเรียบร้อย

“มิคาดฟางเทียนหลงยังจดจำได้” เจ้าอารามบัวหยกเปิดกล่องไม้ออกหยิบผ้าเช็ดหน้าของสตรีที่วาดลวดลายด้วยดอกโบตั๋นโดดเดี่ยวบานสะพรั่ง พร้อมอักษร

ห่วงหาอาทรมิเคยสิ้น อาลัยยิ่งอาลัยรัก

ยากนักตัดสิ้นเยื่อใย...เหลือไว้เพียงความเดียวดาย

เจ้าอารามบัวหยกให้นึกถึงบุรุษรูปงามนามฟางเทียนหลง ห่วงหนึ่งเดียวที่มิอาจตัดรอน คนผู้นี้มิใช่คนชืดชาไร้ไมตรี เพียงในใจคนผู้นี้มีไว้ให้เพียงสตรีหนึ่งเดียวเท่านั้น

สามสิบปีก่อนที่มณฑลซันซี ภูเขาหลี่เหลียงซัน นางในวัยเยาว์ออกท่องยุทธภพเพื่อทำความเข้าใจในสรรพสิ่ง ก่อนปลงผมซึมซับโลกพระธรรมคำสอน

อนิจจา...วิบากกรรมชักนำให้เดินทางผ่านศาลาพักที่เชิงเขา เห็นบุรุษรูปงามท่าทางสง่าเปิดเผย กำลังนั่งมองกลหมากในกระดาน มิได้สนใจผู้คนผ่านไปมา ราวกับไม่มีสิ่งใดน่าสนใจเท่ากระดานหมากอันหนึ่ง

ฟางเทียนหลงในกาลนั้นมุ่งมั่นเอาชนะเจ้าของกระดานหมาก คนผู้นี้นั่งเล่นอยู่หลายชั่วยาม ผ่านไปหลายวันยังไม่อาจเอาชนะได้ หมากตานี้เพียงตาเดียวเล่นได้ไม่จบสิ้น รอคอยวันตัดสิน

“ท่านเล่นหมากกระดานกับผู้ใด” นางถามอย่างสนใจ หากไร้สำเนียงตอบกลับ

ฟางเทียนหลงยังคงทิ้งความสนใจทั้งหมดลงในกระดานหมาก หมากดำขาวล้วนเท่าเทียมกัน จึงไม่ได้ใส่ใจตอบคำ เพียงแตะนิ้วที่ปลายคาง เงยหน้าขึ้นมองไม่ได้จับตาที่ใด

“ท่านยังตัดสินใจไม่ได้อีกหรือ” นางก้มลงมองเห็นทางชนะ จึงคิดช่วยเหลือ มิคาดชายหนุ่มรูปงามผู้นี้โบกพัดเบาปัดมิให้นางเข้าเกี่ยวข้อง

“แม่นางท่านอย่าได้ยุ่งเกี่ยว เรื่องราวนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตข้า หากมิใช่ข้าเป็นผู้เล่น นางผู้นั้นต้องปฏิเสธข้าเป็นแน่” ฟางเทียนหลงกล่าวจบ กลับก้มลงมองหมากในกระดานต่อ จากนี้วางหมากสีขาวลงในกระดาน

สตรีหญิงงามนางหนึ่งรูปเค้าโครงหน้าหมดจดสมบูรณ์ยิ่งกว่าสตรีนางใดในหล้า ทรวดทรงองค์เอวคล้ายนางอัปสรอรชรอ่อนช้อยงดงาม ท่าเยื้องย่างกรีดกรายสูงส่งราวนางพญาหงส์ ทุกก้าวย่างล้วนลงน้ำหนักสม่ำเสมอไม่มีขาดเกิน สวมชุดหญิงชาวบ้านธรรมดาสีดอกท้ออ่อนหวาน

นางยิ่งพิศมองก่อนก้มลงสร้างความอับอายแก่นาง ด้วยความงามดังสวรรค์สร้างไว้ ให้บังเกิดความรู้สึกสวรรค์ช่างลำเอียง ให้นางงดงามด้อยกว่าสตรีนางนี้

“ท่านไฉนไม่ยอมพ่ายแพ้ พี่ชายข้าทั้งสี่ไม่มีวันยกข้าให้แก่ท่านและข้าไม่อาจยอมแพ้ท่านได้ หมากกระดานนี้ให้จบสิ้นกันเถอะ ข้าไม่ต้องการมาพบท่านอีกแล้ว” คุณหนูห้าในวัยสิบแปดปีมีสีหน้าไม่สบายใจยิ่งนัก เมื่อเห็นบุรุษผู้นี้เดินทางสู่ความผิดหวัง

“หากข้ามิคู่ควรกับคุณหนูแล้วยังจะมีผู้ใดอีกในโลกหล้านี้”

ฟางเทียนหลงในอดีตได้รับการขนานนามว่าเป็นบุรุษสยบฟ้า ยุทธภพยกย่องให้เป็นเอกบุรุษฐานะสูงส่งกว่าผู้คน เพียบพร้อมด้วยรูปสมบัติและความสามารถยากนักหาผู้คนเทียบเทียม

เจ้าอารามบัวหยกมองคู่สนทนาให้ใจเต้น เมื่อได้เห็นยอดหญิงงามและยอดบุรุษ นางให้คิดอันว่าผู้คนล้วนสร้างกรรมไม่เท่าเทียมกัน คนผู้หนึ่งงดงาม แต่ผู้หนึ่งอัปลักษณ์ ผู้หนึ่งดีงาม แต่ผู้หนึ่งชั่วร้าย ธรรมดาแห่งโลกที่เวียนว่ายตายเกิด

“ท่านกลับไปเถอะ การเดินหมากของเราให้ถือเสมอกัน ข้าจะไม่ยอมให้พี่ชายข้าทำร้ายท่าน” คุณหนูห้าบอกเตือนเมื่อไม่เห็นหนทางที่คนผู้นี้จะชนะ

“หากมิใช่เพราะท่านรักข้าแล้ว ข้าคงไม่อยู่จนถึงที่สุด” ฟางเทียนหลงกลับรู้ความในใจนาง

“ผู้อื่นมิเคยบ่งบอกออกไปเช่นนั้น ท่านอย่าได้กล่าววาจาเหลวไหล” คุณหนูห้าให้ขุ่นเคืองขัดใจนัก จึงหันหลังตระเตรียมจากไป ด้วยนางไม่ต้องการการเดินหมากแสนทรมาน

“หากท่านไม่เดินหมากข้าถือว่าท่านพ่ายแพ้ ยังคงต้องตบแต่งเป็นภรรยาให้แก่ข้า” ฟางเทียนหลงโบกพัดในมือ สีหน้าเยือกเย็นยิ่ง มิมีท่าทีเดือกร้อนราวกับมันสมใจแล้ว

“ท่าน” นิ้วมือเรียวงามวางหมากสีดำลงบนกระดานอย่างมั่นคง สีหน้าขุ่นเคืองยังมีอยู่ชัด

“ท่านแพ้แก่ข้า” ฟางเทียนหลงรีบวางหมากจบกระดานด้วยรอยยิ้มภูมิใจ “ยังเป็นข้าที่รู้ใจคุณหนู”

คุณหนูห้าขมวดคิ้ว ไม่ยอมรับหากต้องยอมรับ คนผู้นี้อาศัยนางเดินหมากอย่างเหม่อลอยทำให้ต้องพ่ายแพ้ ทว่านางปรับสีหน้าให้เยือกเย็น

“อีกหนึ่งเดือนหากท่านเสาะหาบ้านข้าพบ จึงรู้ว่าสามารถตบแต่งกันหรือไม่” เมื่อกล่าวจบคำ...นางจึงพลิ้วกายหายไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นกลายน่าหลงใหล

ฟางเทียนหลงมองตามอย่างเลือนลอย สตรีหญิงงามทั่วหล้ามิอาจทัดเทียมคุณหนูห้าตระกูลจู หาไม่แล้วคงมิต้องเสียเวลา ด้วยตัวมันนั้นมิใช่บุรุษธรรมดา คิดเสาะสตรีธรรมดาย่อมมิใช่เรื่องยากอันใด

“ท่านโดนหลอกให้เล่นหมากกระมัง” นางถามไถ่ขึ้นอย่างเห็นใจ

เมื่อคนผู้นี้ชนะ ทว่าหญิงงามนางนั้นกลับไม่ยอมแต่งงานโดยง่าย คล้ายดังหลอกล่อให้เชื่อในข้อตกลง แล้วกลับเพิ่มข้อเสนอตามใจปรารถนา

“ไม่เป็นเช่นนั้น ข้าตกลงกับพี่ชายนาง หากสามารถผ่านข้อตกลงยากผ่านได้จนหมดสิ้น แม้ต้องประลองสักกี่หมื่นครั้ง ข้าก็พร้อมจะประลอง เพียงแต่หากข้าพ่ายแพ้ ยังคงให้นางลงดาบแทงลงใจข้าดีกว่า” ฟางเทียนหลงระบายความในใจออกมา ต้องผ่านความยากง่ายมามากมายนัก หากคราครั้งนี้ได้พบหน้านางทุกวันย่อมเป็นความสุขสันต์รัญจวนใจ จัดเป็นอาหารใจชั้นยอดแก่บุรุษสยบฟ้า

หลังจากนั้น เจ้าอารามบัวหยกจึงติดตามจนได้รับทราบความทุกข์ทรมานใจของบุรุษผู้ได้ชื่อ ‘สยบฟ้า’ แต่มิอาจสยบพี่ชายทั้งสี่ของนางได้ จนวันหนึ่งคนผู้นี้เมามายวาดภาพออกมามอบให้แก่นางก่อนจากไป คล้ายต้องการระบายแก่นางพร้อมทั้งเตือนใจนางอีกด้วย

ในใจเมื่อบังเกิดรักยากนักตัดรอนได้ ฟางเทียนหลงทราบดี หลังจากนางปลงผมจึงส่งมอบผ้าเช็ดหน้านั้นคืนแก่มัน วันนี้ทายาทของฟางเทียนหลงได้นำมันมอบคืนให้ ด้วยมันทราบดีหากยังมีสิ่งนี้อยู่ ก็มิอาจตัดภาระในใจลงได้อย่างแท้จริง

เจ้าอารามบัวหยกสะบัดมือเพียงหนึ่งครั้งโบตั๋นบานสะพรั่งกลายเป็นฝุ่นผง นางมองและหลับตาหันหลังกลับสิ้นเรื่องราวให้กังวลแล้ว เกิดสมาธิปล่อยวาง

ฝาแฝดฟางจึงทราบหันหลังเดินออกไปไม่ได้หันกลับไปมองอีก ภาระหน้าที่ที่บิดาสั่งไว้เสร็จสิ้น เหลือเพียงคำสัตย์ที่ต้องกระทำตาม

****************************************
สวัสดีค่ะ
คุณตุ้งแช่ --- หญิงงามมีหลายคนค่า อิอิ
คุณใบบัวน่ารัก --- ไม่มีใจค่า อิอิ
คุณkonhin --- แม่นๆ ความรักบังคับกันมิได้ค่า
ขอบคุณที่ติดตามนิยายนะคะ



เพลิงวารี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ม.ค. 2556, 15:52:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ม.ค. 2556, 15:52:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1552





<< 05 จอมมารในร่างเทพบุตร   07 สิ้นนางหงส์ >>
ตุ๊งแช่ 3 ม.ค. 2556, 16:18:09 น.
โห รุ่นพ่อ แสดงว่าก็ หล่อลากกก ใช่ไหมนี่

จะมีใครปราบแฝดนรกได้ไหมน้อ


ใบบัวน่ารัก 3 ม.ค. 2556, 19:52:23 น.
น่าเสียดาย เสียงไม่มีใจ
สงก็ยังไม่รู้
เทียนหลง อืม น่าอ่านเขียนเรื่องฟางเทียนหลงเถอะ
2ฟางก็ไม่แลหญิง หมันไส้ จับลงหม้อดีไหม


konhin 5 ม.ค. 2556, 00:32:37 น.
อืมมม รุ่นพ่อก็เจ๋ง รุ่นลูกต้องเจ๋งกว่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account