ซุ่มซ่อนมังกรสันโดษ
การผจญภัยของคู่แฝดจอมหาเรื่องที่ทำให้ชีวิตของคนในยุทธภพวุ่นวาย
Tags: กำลังภายใน แฝด มังกร

ตอน: 04 อึดอัดขัดแย้ง

ซุ่มซ่อนมังกรสันโดษ บทที่ 4 อึดอัดขัดแย้ง

ฟางสงปลุกสหายมันแต่เช้า พาเดินตรงไปยังห้องโถงกว้าง มีคุณหนูผู้ดีที่งดงามนางหนึ่งนั่งอยู่ เพียงมองไปยังเจ้าบ้านสีหน้าช่างเคร่งขรึม ต่างกับฮูหยินที่ยิ้มอ่อนโยนให้มันอย่างอบอุ่น

“น้อมคารวะท่านลุงรองและท่านป้า” ฟางสงประสานมือนอบน้อม

หลี่เปียวทำตาม มันถึงได้รู้ว่าสหายพามันมาเยี่ยมญาติ สร้างความกระอักกระอวนใจแก่มันยิ่ง แท้จริงสหายมันเกี่ยวพันกับบ้านตระกูลจูซึ่งเป็นตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองซันหมิง เรียกได้ว่า งานค้าขายต่างๆ ในเมืองซันหมิงล้วนผ่านมือเจ้าบ้านตระกูลจู

ผู้ใดคิดค้าขายได้กำไรควรเข้ามาปรึกษา...มิเช่นนั้นทำการค้าผิดพลาดโทษใครได้

เจ้าบ้านตระกูลจูเป็นพ่อค้าวาณิชครอบคลุมมณฑลฝูเจี้ยนและมณฑลที่ล้อมรอบ ทำการค้าด้วยความสุจริตมิคิดคดโกงผู้ใด หากการค้าระดับนี้ สร้างความขุ่นเคืองแก่ผู้คนมากมาย ทั้งขุนนางฉ้อราษฎร์และพ่อค้าคิดคด แต่ฟังว่าเจ้าบ้านตระกูลจูมีเส้นสายใหญ่ในราชสำนัก จึงทำกิจการต่างๆ เรื่อยมาอย่างมั่นคง เพียงแต่ไม่มีผู้ใดทราบตระกูลจูเกี่ยวพันกับเด็กร้ายกาจตระกูลฟางถึงขั้นญาติสนิท

“สงน้อยไฉนต้องมากพิธี ท่านพ่อมิได้ตั้งแง่กับเจ้าเช่นท่านอาเขยหรอก” เสียงหัวเราะคิกคักสดใสของนางดังไพเราะยิ่ง เสริมส่งให้วัยนางงดงามยิ่งนัก

“พี่ชิงชิง อย่าได้กล่าวล้อเล่น ท่านแม่ข้าสั่งความไว้ เมื่อเดินทางมายังมณฑลฝูเจี้ยน ให้แวะคารวะท่านลุงรองเสมอ” ฟางสงเรียบร้อยผิดตา แม้มันไม่ซุกซนเท่าฝาแฝดของมัน แต่ปกติมิใช่อ่อนน้อมเพียงนี้

“ฮึ มารดาเจ้าสบายดีอยู่ บิดาเจ้ายังอยู่ดีหรือไม่” ท่านลุงรองมันไม่สู้ชมชอบน้องเขยนัก

“ย่อมสบายดี” ฟางสงมีประกายตากล้า มันมิชมชอบให้ผู้ใดลบลู่บิดามัน หากกับคนผู้นี้...มันยังคงต้องอดทนอยู่มาก

“สงน้อยหลานเราเดินทางมาพร้อมเสียงน้อยมิใช่หรือ ไฉนมาเพียงผู้เดียวเล่า เสียงน้อยน้องเจ้าไปที่ใด” ท่านป้ามันจึงต้องเป็นผู้ไกล่เกลี่ยแทน

จูเจี้ยนซือลุกเดินหนี อาจไม่ชมชอบบิดามันอยู่หลายส่วน ที่บังอาจช่วงชิงน้องสาวคนเล็กที่รักยิ่งจากไป จึงพาลไม่ชมชอบหลานชายเช่นกัน

หลี่เปียวเห็นญาติพบหน้ากันให้ประหลาดใจ ไฉนลุงรองของสหายมันจึงไม่ต้อนรับหลานชาย

“ต้องขออภัยแทนท่านลุงรองเจ้า หลายวันมานี้กิจการค้าขายไม่เรียกว่าดีมากนัก สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้กับลุงรองเจ้าไม่น้อย สงน้อยอย่าได้คิดมาก” จูฮูหยินออกรับแทนสามี นางรู้ดีเรื่องราวสกุลจูช่างวกวนยิ่งนัก สามีนางหวงแหนน้องสาวคนนี้ยิ่งกว่าสิ่งใด

“ท่านป้าอย่าได้กังวล ข้ารู้จักท่านลุงดีอยู่” ฟางสงรับทราบความลำบากใจของท่านป้าไม่น้อย มันไม่ต้องการก่อกวนเรื่องราวในครอบครัวอีก

จูฮูหยินถอนหายใจยาว ก่อนลุกขึ้นขอตัวตามสามีไป

จูชิงชิงมีรอยยิ้มหวาน หันไปมองญาติผู้น้องที่เดินทางมาไกล “เจ้าอย่าได้ถือสาท่านพ่อเลย ควรทราบว่าท่านพ่อต้องจากบ้านมา เนื่องด้วยไม่ชมชอบหน้าบิดาเจ้า ว่าแต่เสียงน้อยไปยังที่ใด”

“เสียงน้อยซุกซนนัก โดนนครเหนือฟ้าจับตัวไป ผู้น้องมาที่นี่เพื่อมารอรับห่อของ ไม่เช่นนั้นคงรอเสร็จเรื่องราวค่อยมาเยี่ยมเยียนพร้อมเสียงน้อย พี่สาวข้าสบายดีหรือ ฟังว่าท่านหมั้นหมายกับบุตรชายแม่ทัพใช่หรือไม่” ฟางสงไม่ถือสาจริง เพียงมันขัดเคืองเล็กน้อยเท่านั้น

“เสียงน้อยซุกซนจริง แต่เจ้าก็เช่นกัน ไม่พบหน้ากันนาน ยังรู้เรื่องราวรวดเร็วเช่นเดิม ถูกต้องข้าหมั้นหมายแล้ว เพียงรอคอยเวลาเท่านั้น” จูชิงชิงค้อนญาติผู้น้องน้อยๆ สีหน้านางเอียงอาย หากวาจานางหาเป็นห่วงญาติผู้น้องอีกคนไม่

หลี่เปียวเห็นทั้งสองคุยกันไม่คล้ายห่วงใยฟางเสียงแม้แต่น้อยให้ประหลาดใจ มันสงสัยเหตุผลใดทั้งสองจึงเชื่อมั่นในความปลอดภัยของฟางเสียงยิ่ง

*************************************


หลี่เปียวมองสหายมันที่กำลังนั่งลงรอคอยอย่างเฉื่อยชา สหายของมันกำลังดื่มสุรายอดใบไผ่เขียว มองพูดคุยกับพี่สาวของมันด้วยรอยยิ้ม

“สงน้อยไม่ยินยอม สร้างความวุ่นวายแก่ผู้อื่นยิ่ง” จูชิงชิงสะบัดหน้า นางขุ่นเคืองพี่น้องของนาง

“ท่านขอร้องให้ข้าประลองกับว่าที่พี่เขยข้า เกิดข้าพลาดพลั้งทำร้ายคนของท่านจะมีหน้าพบท่านได้เช่นไร” ฟางสงยกจอกร้องขอพี่สาว

“หากขาดใจตายเพราะเจ้า ยังคู่ควรกับข้าอยู่หรือ” จูชิงชิงขมวดคิ้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าญาติผู้น้อง นางจึงมิต้องระวังกิริยาดังคุณหนูตระกูลผู้ดีทั่วไป

“พี่ชิงชิง” ฟางสงยังกล่าวไม่จบคำ มองไปยังคนรับใช้ห้าคน ช่วยกันยกห่อผ้าป่านสีขาวเดินเข้ามา น้ำหนักของในห่อคงไม่น้อย

หลี่เปียวเคยเห็นสหายมันยกห่อประหลาดนั่นดังยกปุยนุ่น ไฉนท่าทางของข้ารับใช้ถึงได้ทรมานเช่นนั้น มันหันไปมองหน้าสหายมันเห็นรอยยิ้มพอใจ แสดงเด่นชัดนั่นคือสิ่งที่สหายมันรอคอย

“คู่มือที่ดี” ฟางสงรับห่อมา มันถือราวกับวัตถุนั้นไร้น้ำหนักใด มันกล่าวคล้ายปลอบโยนวัตถุในห่อ

“นี่หรือดาบของเจ้า เรียกหามันว่าดาบล่าพยัคฆ์ใช่หรือไม่ ไฉนเจ้าใช้เพียงตบตีสุนัขเท่านั้นเล่า” จูชิงชิงมีท่าทางตื่นเต้นไม่น้อย นางไม่เคยเห็นมันมาก่อน หากเคยได้ยินคำเล่าขานจากปากบิดา เมื่อครั้งที่ฟางสงได้รับสืบทอดจากมารดามัน

“มิผิด มิผิด มันเรียกหาดาบล่าพยัคฆ์จริงๆ เพียงแต่มิได้จำกัดเพียงพยัคฆา แม้เป็นสุนัขหรือมังกรย่อมสามารถล่าได้เช่นกัน” ฟางสงแก้ห่อออกอย่างแช่มช้า จุดประสงค์มันต้องการเปิดเผยต่อสหายและญาติผู้พี่มัน

ดาบสีดำทั้งหมดค่อยๆ เผยสู่สายตา แผ่พลังอำมหิตสายหนึ่งสู่จิตใจหลี่เปียว มันช่างเหน็บหนาวยิ่ง บนดาบไร้อักษร...หรือมันมิอาจมองเห็นอักษรที่แอบซ่อนอยู่

ถูกต้อง มีอักษรสลักไว้บนดาบหากไม่มองดูให้ดีไม่อาจมองเห็น ‘ล่าพยัคฆ์’ ทว่าบนดาบมีอักษรซ่อนอยู่อีกคำ ‘ไร้เมตตา’ สองคำสร้างความรู้สึกไร้ซึ่งปราณี แต่ประหลาดดาบนั้นมีขนาดใหญ่ยิ่ง ดูไม่เหมาะแก่การเป็นอาวุธคู่มือ

“ดาบเจ้าไร้คม ใช่ไว้เพียงมีไว้ตบตีผู้คนเท่านั้น” จูชิงชิงเป็นคุณหนูตระกูลผู้ดี นางจึงไม่อาจเข้าใจในศาสตรา

“ดาบข้าไร้คม บ่งบอกให้ผู้ใช้แสดงความสามารถออกมา มันย้ำเตือนใจให้รู้ มิมีศาสตราใดปกป้องชีวิตเจ้าเท่าตัวเจ้าเอง จงอย่าฝากชีวิตไว้กับสิ่งไร้ชีพ หากจงฝากมันเอาไว้ด้วยฝีมือตน และจงใช้มันดังแขนขา เจ้าเห็นด้วยหรือไม่ พี่เปียว” ฟางสงหันไปถามสหายมัน

“เฮ้อ ตัวข้าฝึกปรือวิชามานาน ยังไม่อาจเข้าถึงแก่นแท้แห่งกระบี่ ฟังเจ้าวันนี้เพิ่มพูนความรู้มากนัก” หลี่เปียวออกปากชื่นชมสหายมัน แม้อายุของฟางสงจะน้อยกว่ามันถึงสามปี หากต้องยอมรับสหายมันเจนจัดในวรยุทธ์กว่ามันนัก

“สิ่งเหล่านี้เป็นเสียงน้อยสอนสั่ง มันเป็นหนอนหนังสือตัวใหญ่ มักโยนหนังสือทิ้งเมื่อมันอ่านจบ ก่อนบ่นสิ่งที่มันเรียนรู้อย่างไม่ใส่ใจให้ข้าฟังเสมอ” ฟางสงนึกถึงความซุกซนของแฝดน้องมัน

“อันว่าอักษราบนกระดาษ จะมีประโยชน์อันใด หากมิมีผู้ใดอ่าน อันว่าดาบกระบี่มิรู้จักใช้ ยังเป็นเศษเหล็กรอวันผุกร่อน” วาจาโอหังของมันสั่งสอนพี่ชายมันอย่างไม่ตั้งใจ คล้ายกล่าวลอยๆ ให้แสงเทียนฟัง หารู้ไม่ว่าฟางสงที่นอนอยู่ได้ยินวาจาและจดจำขึ้นใจ

“กล่าวได้ประเสริฐ มิคาดเสียงน้อยมีวาจาคมคายยิ่งนัก” หลี่เปียวนับถือในความคิดมันเช่นกัน ต้องยอมรับในความสามารถด่าทอบ่นกล่าวของมัน

“เอาเถอะ ข้ายังยืนกรานให้เจ้าสู้กับทวนตะวันตัดจันทราในเย็นวันนี้ ก่อนที่เจ้าจะไปช่วยเสียงน้อย ข้าอยากเห็นความสามารถของดาบล่าพยัคฆ์ เนื่องด้วยเห็นความสามารถของทวนตะวันตัดจันทราของคุณชายหวังมาแล้ว ไม่เช่นนั้นคนผู้นั้นยังคงไม่เหมาะสมจะเป็นเขยขวัญตระกูลจู” จูชิงชิงยังคงยืนยันความต้องการเดิม และทวีความปรารถนามากขึ้นเมื่อเห็นดาบล่าพยัคฆ์ที่บิดาเคยเล่าขานเป็นนิทานก่อนนอน

ดาบล่าพยัคฆ์สร้างสรรค์ด้วยฝีมือสตรีนางหนึ่งเมื่อสองร้อยปีก่อน มันเป็นของเล่นชั้นยอดของนาง เที่ยวกวัดแกว่งไกวไปทั่วซีเซี่ย จนชาวซีเซี่ยต่างไม่ต้องการหาเรื่องราวใส่ตัว ภายหลังนางเล่นจนพอใจ ดาบล่าพยัคฆ์จึงหายไปไม่มีผู้ใดกล่าวถึงอีก

ฟังว่าดาบล่าพยัคฆ์ตอนสร้างขึ้น มีเสือขาวตัวใหญ่เข้ามารบกวน ขณะนางตีเหล็กประหลาดที่ได้รับมา นางตีเหล็กร้อนนานกว่าสามเดือน มีความหงุดหงิดรำคาญใจอยู่เป็นทุน เมื่อเสือกระโดดตะปบ นางจึงตวัดดาบร้อนนั้นฟันผ่าตั้งแต่หัวจรดปลายหางแบ่งเสือขาวออกเป็นสองซีกเท่าเทียมกัน

ดาบไร้คม...ผู้ลงดาบไร้เมตตา

ภายหลังนางบัญญัติเพลงดาบล่าพยัคฆ์ขึ้นแปดท่า ใช้ชีวิตมนุษย์เป็นผู้ทดลองประสิทธิภาพของเพลงดาบ แต่เพลงดาบฝึกปรือไม่ยาก ทว่าพลังลมปราณฝึกปรือยากยิ่ง

ฟางสงได้รับมันจากมารดากับตำราสองเล่ม มารดาสั่งไว้ ให้มันจดจำเนื้อหาไว้ให้ขึ้นใจภายในเจ็ดวัน มันน้อมรับปฏิบัติตาม เมื่อเวลาผ่านพ้น มารดามันจึงเรียกคืนพร้อมทำลายตำราต่อหน้ามัน และมิได้ถ่ายทอดสิ่งใดกับมันอีก เหมือนดังเพียงนี้ก็เพียงพอสำหรับมัน

“ย่อมได้ เมื่อพี่ชิงชิงกล่าวเช่นนี้ ผู้น้องมิอาจขัดแล้ว” ฟางสงถอนหายใจยาวเห็นทีมันมิอาจหลีกเลี่ยง

หลี่เปียวมิต้องการขัด มันต้องการเห็นเพลงดาบล่าพยัคฆ์อยู่ไม่น้อย วรยุทธ์ที่มิเคยมีผู้ใดกล่าวขาน มันเพียงเคยเห็นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ทว่าโอกาสมาถึงมันแล้ว

*************************************


หวังจงแห่งตระกูลแม่ทัพพกพารอยยิ้มมาเยี่ยมเยือนคู่หมั้นของมัน รูปร่างสูงโปร่งผอมเกร็งคล้ายบัณฑิตมากกว่าจะเป็นรองแม่ทัพอายุเยาว์ ตำแหน่งมันมิใช่ได้มาจากการที่บิดามันเป็นแม่ทัพใหญ่ หากเพลงทวนตะวันตัดจันทราที่ได้รับถ่ายทอดมา มันสามารถใช้ออกได้อย่างสมบูรณ์ไร้ผู้กังขา บรรดาพี่น้องมันล้วนนับถือเพลงทวนของมันยิ่งนัก

ฟางสงนั่งอยู่เคียงข้างพี่สาวยิ้มแย้มแจ่มใส มันแตะแขนพี่สาวอย่างสนิทสนม ภาพที่แสดงออกถึงความใกล้ชิด คล้ายคู่สามีภรรยาใหม่ จนผู้คนเข้าใจผิด

“เจ้าเป็นใคร ไฉนใกล้ชิดชิงชิง” หวังจงมองบุรุษรูปงามที่นั่งอยู่เคียงข้างคู่หมั้นของมันอย่างขุ่นเคือง

“คนผู้นี้สนิทชิดเชื้อกับข้ามาเนิ่นนาน ท่านเป็นผู้มาทีหลังยังคงต้องรอคอย” จูชิงชิงยั่วยุโทสะคนรักนาง แกล้งขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม

หวังจงสีหน้าแดงกร่ำด้วยความโกรธ มันเป็นคุณชายที่ใครๆ ต้องนบนอบ หากคู่หมั้นของมันกลับเฉยชาคล้ายมันมิใช่คนสำคัญ “เจ้ากล่าววาจาเช่นนี้ได้อย่างไร ไฉนไม่คิดให้เกียรติข้าบ้าง”

“เจ้าบังอาจกล่าววาจาล่วงเกินชิงชิงเช่นนั้นหรือ นางจะกล่าววาจาใดย่อมกระทำได้เมื่อที่นี่เป็นบ้านของนาง” ฟางสงทราบจิตเจตนาของพี่สาวมัน ที่ประสงค์สร้างโทสะระคนหึงหวงแก่คนรัก จึงร่วมผสมโรงอย่างแยบคาย

หลี่เปียวได้ยินชื่อเสียงแม่ทัพตระกูลหวังมานาน เมื่อได้ยินคำสนทนามันยังคาดเดาได้ คุณหนูจูต้องการให้คู่หมั้นแสดงความสามารถออกมาเต็มที่ ด้วยเกรงว่าเมื่อรู้เป็นญาติไม่อาจแสดงฝีมือออกมา

“เจ้าเป็นใคร บังอาจเรียกชื่อชิงชิงอย่างสนิทสนม” หวังจงกำพัดของมันแน่น ควรอยู่ที่มันจะหึงหวง เมื่อคนที่ยืนเคียงข้างนางหน้าตาหล่อเหลาหมดจดยิ่งกว่ามัน

“ข้าคือผู้รู้ใจนาง แล้วเจ้าเล่าเป็นใครถึงได้เรียกหาชื่อนางอย่างใกล้ชิด” ฟางสงเล่นตามบทที่พี่สาวมันวางไว้

“ข้าเป็นคู่หมั้นของนาง เรามีกำหนดนัดหมายแต่งงานกันเรียบร้อย ชิงชิงเจ้าถอยออกมา” หวังจงเดินเข้าไปเตรียมรั้งแขนคู่หมั้นมัน

ฟางสงกลับดึงรั้งนางไปอีกทางไม่ให้อีกฝ่ายจับต้อง หากพี่สาวมันทำท่าจะเดินไปหาคู่หมั้นนาง

“เจ้า” หวังจงโบกพัดเข้าหา วันนี้มันไม่ได้ตระเตรียมทวนมา เนื่องด้วยถือคติมาพบหญิงงาม ไยต้องพกพาอาวุธให้ผู้คนแตกตื่น

สองพัดปัดป่าย คุณชายรูปงามทั้งสองต่างต้องออกรับพัดของอีกฝ่าย ทั้งที่วาดพัดดังไร้เรี่ยวแรง หากแฝงพลังยุทธ์ที่หนักหน่วงปะทะกันที่ปลายพัด หากพัดที่ดีย่อมไม่บุบสลาย แต่พัดกระดาษของหวังจงแหลกละเอียด ทำให้สองคนต่างต้องถอยออกจากกัน

“เจ้า” หวังจงมองพัดธรรมดาของมันแหลกคามือ แต่มือของมันกลับไม่เป็นไรแม้แต่น้อย

ฟางสงคงรอยยิ้มไว้ที่ริมฝีปากของมัน พัดของมันสร้างจากวัสดุอันใดไม่มีใครทราบ แม้ตัวมันเองก็ไม่อาจรู้ มีเพียงพี่น้องของมันเท่านั้นที่รู้

“เจ้าไร้คุณสมบัติที่จะหมั้นหมายกับชิงชิง เห็นทีข้าต้องขัดขวางแล้วกระมัง” ฟางสงยังสวมบทอย่างยอดเยี่ยม

จูชิงชิงเห็นด้วย จึงพยักหน้าช้าๆ “พี่จงท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าลำบากใจยิ่งนัก สงน้อยอย่าได้สร้างความลำบากใจแก่เรา”

“ไม่ได้ ท่านไฉนเข้าข้างคู่หมั้นท่าน เราเองใช่ยังมีสิทธิในตัวท่านมิใช่น้อย ฝีมือเรายังคงใช้ได้” ฟางสงทำท่าจริงจัง เล่นเอาสหายมันงงงวย ด้วยมันทำท่าคล้ายพี่น้องมันยิ่งนัก ผิดกันที่เสื้อผ้าราคาแพง

หวังจงกำมือแน่น มันคิดเอามือเปล่าเข้าสู้แทน แต่แล้วเสียงทวนฝ่าอากาศตรงมายังตัวมันอย่างรวดเร็ว หากเมื่อมองที่ยังต้นทางไม่คล้ายมีผู้ใดอยู่ หวังจงมิได้ใส่ใจ มันตวัดทวนอย่างคล่องแคล้ว “เข้ามา”

ฟางสงหยิบดาบมันออกจากห่อของ ดาบล่าพยัคฆ์สีดำทมิฬแปลกพิสดาร มันจับชี้ลงพื้นยืนนิ่งท่ามกลางสวนหิน รูปร่างสมส่วนสง่าผ่าเผยด้วยวัยเพียงสิบห้าปี แต่ผู้คนกลับไม่อาจประมาทความสามารถของมัน

หวังจงสูงวัยกว่าขยับฝ่าเท้าอย่างรวดเร็วพร้อมเปล่งเสียงดังข่มขวัญกล้าของคู่ต่อสู้ ปลายทวนปัดแตะที่บ่าซ้าย แต่อีกฝ่ายไม่หลบ บังคับให้ต้องรับด้วยดาบ เสียงทวนดาบปะทะกันดังปัง จนผู้ไร้วรยุทธ์ต้องหูอื้อชั่วขณะ

หลี่เปียวรีบช่วยเหลือญาติผู้พี่ของสหายมัน เมื่อจูชิงชิงเป็นสตรีอ่อนแอไร้วรยุทธ์

ฟางสงกระโดดสูงยกดาบฟาดลงหมายทำลาย หากหวังจงใช้ความว่องไวหลบหลีก ดาบล่าพยัคฆ์ฟาดลงพื้นหินแผ่นเป็นฝุ่นผง ด้วยน้ำหนักมันมิใช่น้อย แต่ทวนพู่แดงพลันตอบโต้ แทงออกมานับพันสาย แท้จริงมีเพียงหนึ่งเดียว หากความรวดเร็วของหวังจงยังคงต้องนับถือ สายฟ้าสีแดงหลายสายฟาดฟันผ่านตาแสบสันทำผู้คนตาลาย

ฟางสงถีบปลายทวน สะกิดขึ้นให้พ้น ก่อนลงดาบที่สีข้างของอีกฝ่าย ฝ่าเท้าไร้เงาอันลื่อเลื่อง จึงกลับมาให้ผู้คนได้ลิ้มลอง ทำให้หวังจงชะงักสงสัย แต่ไม่อยู่ในเวลาขาดสติ จึงฟาดทวนแตะพื้นดีดตัวขึ้นลอยเหนือฟางสง พร้อมตวัดทวนลงหมายทิ่มแทงทำลาย ดาบจึงตกเป็นฝ่ายรับ ตอบแทนด้วยพลังวัตรรุนแรงสายหนึ่ง

หวังจงกระเด็นทำลายเสาศาลากลางสวน กระอักโลหิตออกมาหนึ่งคำ “ประเสริฐ” แววตามันเจ็บปวดและรวดร้าวไปทั้งตัว

“สงน้อยทำเกินไปแล้ว” จูชิงชิงเป็นฝ่ายหวาดวิตก นางวิ่งเข้าไปดูอาการคนรัก มือสองประคองดวงหน้า น้ำตาไหลรินอาบแก้มงามงอน ต่างฝ่ายต่างมองกันด้วยรัก

ฟางสงก้มลงส่ายหน้า มันถูกหวังจงบังคับให้งัดเอาท่ารอวันพยัคฆ์ตะปบออกมาใช้ ท่านี้เป็นท่ารับ จึงต้องมีพลังลมปราณที่หนักหน่วงสองสายจากมือขวาซ้ายผสานตอบโต้ ยังผลให้ผู้คนคล้ายดังปะทะผาหิน มันเพิ่งฝึกสำเร็จไม่นาน ไม่อาจควบคุมได้มากนัก จึงทำร้ายคู่ต่อสู้ไร้ปราณี

หลี่เปียวให้สำนึก สหายผู้นี้วรยุทธ์แปลกล้ำพิสดารยากหยั่งคำนวณ สมแล้วที่ผู้คนสงสัย...สหายมันคือผู้ใด วิชามันได้รับถ่ายทอดจากผู้ใด นั่นเป็นเรื่องที่มันต้องสืบทราบให้จงได้ เพียงแต่ไม่อาจให้สหายมันรู้ตัว

“พี่ชิงชิงท่านอย่าได้โกรธเคืองข้า เป็นเพราะฝีมือพี่เขยสูงส่ง จึงบังคับให้ข้าต้องงัดเอาวิชามาป้องกันตัว” ฟางสงให้สำนึกเสียใจ

“เจ้าก็รู้ว่าเราเพียงล้อเล่นกันเท่านั้น ยังทำร้ายพี่จงแบบนี้อีก” จูชิงชิงตำหนิญาติผู้น้องของนาง ทั้งที่ฟางสงเคยเตือนนางก่อนหน้านี้

นี่คือสตรีมีรัก...ยังคงมีความอยุติธรรมอยู่บ้าง เมื่อผู้อื่นทำร้ายบุรุษที่นางรัก ไม่เว้นแม้แต่ญาติพี่น้อง

ฟางสงไม่ตอบคำเพื่อแก้ตัว มันโอบบ่าสหายมันเดินจากไป ด้วยรู้จักนิสัยญาติผู้พี่ของมันดี เวลานี้ไม่อาจอยู่ให้นางพบเห็น เกรงจะทำให้นางขุ่นเคืองมากขึ้น สู้ถอยออกมาตั้งหลัก ค่อยหาวิธีแก้ไขความขุ่นข้องต่อไป

หลี่เปียวไม่อาจซักถาม มันผ่านเรื่องราวแปลกพิสดารแบบนี้มามาก จึงพอหยั่งคำนวณจิตใจสตรีนางนี้ได้

*************************************


ฟางเสียงลุกขึ้นนั่ง มองกำแพงห้องทึบไร้แสงไฟสาดส่อง มันหยิบไม้ขีดจุดไตเห็นมีหญิงสาวคุ้นตานาม...ยี่เอ๋อนั่ง อยู่ก่อน นางงุนงงเมื่อเห็นมันซึ่งมิใช่คนที่นางคิดให้มาช่วยเหลือ

“เจ้าเอง ไฉนเจ้าไม่เอ่ยคำ ปกติมิด่าว่าข้าก็แล้วไป” ฟางเสียงถามนาง เพียงแต่มันไม่ต้องการคำตอบ เห็นสีหน้าซีดเซียวของนางอาการเป็นดังเช่นคนไร้เรี่ยวแรง

“ข้าไม่อยากต่อคำกับเจ้า” ยี่เอ๋ออดอาหารมาหลายวัน นางติดกับดับอันชั่วช้าไร้แสง แสนหงุดหงิดรำคาญใจนานเท่าไรไม่อาจทราบได้

“เอาเถอะ อย่างไรข้ากับเจ้ายังต้องอยู่ที่นี่อีกหลายชั่วยาม กินซะ เจ้าจะได้ไม่ต้องกลายเป็นศพเน่าเหม็น รบกวนข้า” ฟางเสียงยื่นเม็ดยาให้นางเม็ดหนึ่ง

ยี่เอ๋อสะบัดหน้าไม่รับเม็ดยาจากมือมัน “เมื่อเจ้าไม่เต็มใจช่วย ข้าก็ไม่อยากรับ หากข้าตายไปยังสมใจกว่า จะได้เห็นเจ้าทรมานเล่น”

“กินซะ ยิ่งเจ้าอยากตาย ข้ายิ่งไม่ให้เจ้าตาย” ฟางเสียงบีบปากของนางก่อนยัดเม็ดยาใส่ปากนาง พร้อมตบหลังนางหนึ่งครั้ง จนใจยี่เอ๋อต้องกลืนมัน

“เจ้า” ยี่เอ๋อมองมันขัดเคืองยิ่ง มันไม่เห็นนางเป็นสตรีเลยหรือไร จึงทำกับนางอย่างป่าเถื่อน หากนางรู้สึกร้อนขึ้นในเรือนกาย ลมปราณนางค่อยไหลเวียนทั่วร่าง กำลังวังชาค่อยกลับคืน “เจ้าเอายาอะไรให้ข้ากิน”

ฟางเสียงไม่ตอบคำ มันล้มลงนอนกับพื้น เอาแขนขาหนึ่งหนุนนอนแทนหมอน มันยังไม่ได้นอนทั้งคืน จึงไม่อยู่ในอารมณ์ตอบคำถามผู้ใด

“เจ้าเอาปากไปเก็บไว้ที่ใด หรือปกติมีไว้เพียงเห่าหอน” ยี่เอ๋อยั่วโทสะมัน เมื่อนางเห็นมันเฉยชากับนาง ก็ให้รู้สึกหงุดหงิดนัก ความที่นางมักถูกเอาใจจากศิษย์พี่และอาจารย์อยู่เสมอ

“หุบปากเจ้าเอาไว้เถอะ เก็บเรี่ยวแรงของเจ้าไว้ ใช้คิดหาทางรอดจะดีกว่า อย่ายั่วโทสะข้าให้มากไว้ ต่อให้เจ้ามีวรยุทธ์จะเป็นไร ข้าสั่งสอนยอดยุทธ์มานักต่อนัก ยิ่งคุณหนูอย่างเจ้า เห็นจะไม่กระไรนักหรอก” ฟางเสียงตอบคำก่อนหลับตา เสียงลมหายใจมันค่อยสงบนิ่งสม่ำเสมอ

ยี่เอ๋อจึงล้มลงนอนบ้าง นางระวังตนไว้เสมอ เนื่องด้วยศิษย์พี่ห้าของนางเคยเตือนไว้ ฝาแฝดประหลาดทั้งสองนี้เห็นสตรีเป็นเครื่องเล่น

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เสียงบางอย่างตกหล่นลงมีอีกครั้ง ยี่เอ๋อมองในความมืดไม่อาจคิดคำนวณได้ นางจึงลุกขึ้นเดินไปตามเสียงสัมผัสสิ่งที่ตกลงมาพบผ้าอาภรณ์ของคน นางรู้มีคนตกลงมาร่วมชะตากรรมกับนาง

“ฟางเสียงเจ้าตื่นเถอะ มีคนตกลงมาอีกแล้ว” ยี่เอ๋อร้องเรียก

แสงไฟค่อยๆ ปรากฏอีก ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรของมันทำผู้คนหวั่นไหว แววตามันจับจ้องที่ร่างสตรีนางหนึ่งที่นอนนิ่ง มันย่อมจดจำได้ เป็นหญิงชุดฟ้าที่ก้มหน้าอยู่ในห้องโถงนั่นเอง จึงจับชีพจรดูจึงรู้ว่า นางถูกพิษกัดกร่อนรอวันตาย

“กินซะ” มันทำกับนางไม่ต่างจากยี่เอ๋อ ก่อนปล่อยให้สตรีนางนี้ฟื้นกำลังด้วยตัวเอง

“ขอบคุณท่าน” หลินชิงเสียลืมตา มองเด็กหนุ่มรูปงามท่าทางมอซอที่อยู่ในห้องโถง นางจำได้ว่านางพยายามเตือนมันให้พ้นประตูกล หากแต่ไม่ทันการ ร่างของเด็กหนุ่มตกลงไปอย่างไร้ปราณี

“เจ้าดีขึ้นหรือไม่” ยี่เอ๋อเป็นห่วงคนผู้นี้อย่างจริงใจ เนื่องด้วยไม่ต้องการอยู่เพียงลำพังกับปีศาจราคะรูปงามเช่นมัน

หลินชิงเสียพยักหน้าช้าๆ นางมีรอยยิ้มจางๆ ให้ยี่เอ๋อ โดยมิได้กล่าววาจาใด

ฟางเสียงมองหญิงงามสองนาง ส่ายหน้าและล้มลงนอน ความน่าเบื่อมาเยือนมัน เมื่อมีปากเพิ่มความรำคาญให้มันอีก ย่อมหาความสงบไม่ได้

ยี่เอ๋อมิใช่งดงามดังนางพญา นางมีความงดงามอันบริสุทธิ์ดังอัญมณีสีขาวสะอาด สมฉายากระบี่เสี้ยวพระจันทร์ ดวงหน้าของนางมิได้สมบูรณ์ หากเค้าโครงผสมผสานกันอย่างลงตัว จนบุรุษล้วนต้องเลี้ยวมอง เพียงบัดนี้นางยังคงเป็นรัตนะขาดการเจียระไน

หลินชิงเสียเช่นกัน ความงามของนางเพาะบ่มด้วยความเยือกเย็น ดวงตาของนางเล็กเรียวดังพญาอินทรี ทว่าด้วยวัยของนางยังไม่อาจเรียกหาความงดงามที่สมบูรณ์ ยังคงรอคอยเวลาที่ความรักจะเติมเต็มความงดงามนั้น

*************************************


ยี่เอ๋อเมื่อกำลังวังชากลับคืน นางจึงหงุดหงิดเมื่อต้องติดอยู่ให้ห้องไร้แสงเช่นนี้ นางมองผู้ครอบครองแสงสว่างยังนอนนิ่งไม่เคลื่อนไหว คล้ายไม่เคยหลับนอนมาชั่วชีวิต

“เจ้าตื่นได้แล้ว หลับนอนเช่นนี้หรือกลัวไม่ได้นอนยาวในโลงเจ้า” ยี่เอ๋อเอ่ยวาจาทำลายความเงียบ

“เพ่ย สตรีมีปาก ให้ข้าตื่นมีประโยชน์อันใด” ฟางเสียงยังคงนอนหันหลังให้หญิงงามทั้งสองผู้ร่วมชะตากับมัน

“อย่างน้อยเจ้าก็จุดไตให้แสงสว่างกับพวกเราเถอะ” ยี่เอ๋อเดินคลำไปถึงตัวมัน

ได้ผล...มันลุกขึ้น หากดึงรั้งเอาตัวยี่เอ๋อเข้าสู่วงแขนของมัน ทำให้นางต้องดิ้นรน ทว่ายิ่งร้ายเมื่อมันตะโกนดังลั่น

“อย่าได้ปลุกไฟราคะข้า ยังมีผู้อื่นอยู่ร่วมห้อง” ฟางเสียงหัวเราะกังวาน เมื่อยี่เอ๋อสะบัดหลุดมันอย่างง่ายดาย

ดวงหน้าของสตรีผู้บริสุทธิ์ทั้งสองร้อนแผ่วขึ้น เมื่อได้ยินวาจาแทะโลมของมัน

“เจ้า” ยี่เอ๋อมิอาจด่าทอมันได้ เมื่อวาจาต่างๆ จุกติดที่คอนางด้วยความอาย ไออุ่นจากร่างกายมันยังคงอยู่ในความรู้สึกของนาง มิมีวันใดที่นางจะได้สัมผัสใกล้ชิดกายบุรุษเช่นนี้

“พวกเจ้าต้องการแสงไฟอีกหรือไม่” มันถามทั้งที่รู้คำตอบ หากผู้ใดได้เห็นรอยยิ้มมันยามนี้ ย่อมต้องขัดใจยิ่ง

“ไม่ต้องแล้ว” หลินชิงเสียรีบบอก

นางนั้นอับอายเช่นกัน เมื่อไม่คุ้นเคยกับวาจาเช่นนี้ของบุรุษ ควรทราบเรือนบุปผาสวรรค์แห่งนี้มีเพียงสตรีเข้าออก ห้ามบุรุษเข้ามาเหยียบย่ำ จึงไม่เคยได้ยินวาจาแทะโลม และนางแน่ใจว่าคงไม่มีบุรุษดีผู้ใดเอ่ยวาจาเช่นนี้กับสตรี

“เราจะออกไปได้เช่นไรกัน” ยี่เอ๋อถามขึ้นหลังจากเงียบไปนาน

“แม้แต่แม่นางหลินยังไม่อาจทราบ แล้วเจ้าจะถามผู้ใดได้อีก” ฟางเสียงลุกขึ้นนั่ง

มันบิดไปมาอย่างเกียจคร้านในความมืด ก่อนจุดไฟขึ้นทำลายความมืด เห็นดวงหน้างามงอนมองมันอย่างขุ่นเคือง ให้นึกขำ

“เจ้าย่อมไม่ลำบาก หากข้าเป็นสตรีจะทำอะไรในห้องที่มีบุรุษยังต้องคิด” ยี่เอ๋อหาเรื่องกับมันอีก

“ไปเถอะ ฟังเจ้าเช่นนี้ข้ารำคาญยิ่ง” ฟางเสียงยืนขึ้นอย่างเกียจคร้านอีกครั้ง มันได้หลับนอนอย่างเต็มอิ่ม

“ไปยังที่ใด คุณชายฟาง ข้ายังไม่เห็นทางออกใดจากในห้องนี้” หลินชิงเสียสงสัยในคำพูดของมันยิ่ง นางมองดวงหน้าเกลี้ยงเกลาของมัน และก้มลงแอบซ่อนเอียงอาย

“เจ้าเห็นซากศพในห้องนี้หรือไม่ เมื่อต้องมีผู้คนลงมาอยู่บ้าง ไฉนไม่มีซากศพและโครงกระดูก” ฟางเสียงยื่นไตให้ยี่เอ๋อที่จำใจรับ

หลินชิงเสียอยู่ในสำนักมาแต่กำเนิด รู้ชัดว่ามีค่ายกลอยู่แต่นางไม่อาจรู้ทางออก เนื่องด้วยเรือนบุปผาสวรรค์แห่งนี้มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบแตกต่างกันโดยไม่เกี่ยวข้อง

ฟางเสียงเงี่ยหูฟังตามกำแพงลูบผิวกำแพงจนทั่ว จนพบสิ่งที่มันคาดคิดไว้ ด้วยความมืดและผนังเรียบ ทำให้ไม่มีผู้ใดสงสัย แต่มันผู้รู้มากย่อมต้องคิดคำนวณทางรอดอยู่ไม่น้อย

แผ่นสี่เหลี่ยมห้าแผ่นเล็กแอบซ่อนอยู่ที่ผนังที่มันนอนอยู่ มันได้ยินเสียงบางอย่างตอนที่หลินชิงเสียตกลงมาจากด้านบน แต่ความง่วงทำให้มันไม่ลุกขึ้นมาสำรวจ

“พวกเจ้ามานี่” ฟางเสียงจับมือของสตรีทั้งสอง แตะแผ่นสี่เหลี่ยมทั้งสองข้างที่กระจายอยู่บนผนัง เหลือเพียงหนึ่งจุดมันเป็นผู้แตะ

หญิงงามทั้งสองต่างดีใจ เมื่อเห็นหนทางรอด รอจนฟางเสียงสั่งให้กดพร้อมกัน ประตูกลอีกฝั่งจึงปรากฏเปิดออก ทำให้ผู้คนตื่นเต้น

“เจ้าเก่งยิ่งนัก” ยี่เอ๋อลืมตัวกระโดดเกาะรอบคอมัน

หลินชิงเสียเห็นแสงสว่างสาดส่อง เด็กหนุ่มผู้นี้หน้าตามันงดงามราวเทพบุตร เกลี้ยงเกลาหมดจดไร้ที่ติ แม้จะสวมใส่เสื้อผ้าสกปรก แต่ไม่อาจลดทอนความองอาจของมันลง

“ปล่อยได้แล้ว ข้าไม่ต้องการแต่งงานกับเจ้า” ฟางเสียงปลดมือนางออกแล้วให้เบื่อหน่าย

“ผู้ใดอยากแต่งงานกับปีศาจน้อยอย่างเจ้า” ยี่เอ๋อหันหลังเมื่อรู้สึกตัว นางคืนสู่บุคลิกเดิมอย่างรวดเร็ว หากใบหน้าสีชมพูระเรื่อยังคงอยู่

ฟางเสียงเพียงมีรอยยิ้ม สตรีผู้นี้ยากนักหยั่งคำนวณ เดี๋ยวด่าเดี๋ยวชม ผิดกับหญิงงามที่มันครอบครองล้วนอ่อนหวาน น่าดูชมกว่านางหลายร้อยเท่า และยังไม่สร้างความรำคาญใจให้แก่มัน

*************************************
สวัสดีปีใหม่ค่า ^^
คุณ ตุ้งแช่ --- ยังจะมาอีกเยอะ อิอิ
คุณ konhin --- ปรัชญาคู่นี้ล่ะค่ะ ยามสงบ เราก็กัดกันเอง อิอิ
คุณใบบัวน่ารัก --- มีค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามนิยายนะคะ



เพลิงวารี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ม.ค. 2556, 15:33:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ม.ค. 2556, 15:33:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1506





<< 03 ลมโบกบุปผาพลิ้ว   05 จอมมารในร่างเทพบุตร >>
ตุ๊งแช่ 1 ม.ค. 2556, 16:21:17 น.
โห สาวเพียบบบ เฮ้อ แฝดนรก ใช้ผู้หญิงเปลืองวุ้ยยย


konhin 2 ม.ค. 2556, 03:46:51 น.
ฮ่าๆๆ นิยายกำลังภายในต้องมีผู้หญิงเยอะๆ (หรือเปล่า)


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account