ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ

เขา... นายตำรวจหนุ่ม

เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ

ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น

แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ

แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ

ตอน: บทที่ 1 (แรกพบ... 2)

บทที่ 1
แรกพบ 2)

เหตุการณ์ปล้นธนาคารครั้งนี้ดูจะตรึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ตามความร้อนแรงของแสงอาทิตย์ที่แผดเผาลงมา ทุกคนต่างมีสีหน้าที่เคร่งเครียดทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ รวมทั้งกองทัพนักข่าวที่รายงานข่าวกันอย่างไม่กลัวตาย นานเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วที่ตำรวจทำการปิดล้อมที่เกิดเหตุ แต่คนร้ายก็ยังไม่มีทีท่าที่จะยอมจำนนแต่อย่างใด

ดลินายืนมองเหตุการณ์ระทึกขวัญนั้นอยู่ในร้านอย่างเคร่งเครียดเช่นกัน เหงื่อที่มือเริ่มจะปรากฏออกมาให้เห็น หญิงสาวเช็ดเหงื่อนั้นกับผ้ากันเปื้อนก่อนจะยืนลุ้นดูเหตุการณ์ต่อไป เธอเห็นชายคนที่เธอคิดว่าหน้าตาอย่างกับมหาโจรคนนั้น เดินก้มต่ำอยู่ข้างๆ รถเพื่อป้องกันกระสุนที่ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะยิงแจกออกมาเมื่อไหร่ พร้อมกับเจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษอีก 3 นาย เข้าไปใกล้รถตู้ของคนร้าย แล้วเสียงปืนก็ดังลั่นบริเวณนั้นทันที ควันที่ดูเหมือนจะเป็นแก๊สน้ำตาลอยฟุ้งออกมาจากในรถของคนร้าย

ดลินาเอามือวางพาดไว้บนศีรษะเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับศีรษะของตนตามสัญชาติญาณ แล้วนั่งลงหมอบอยู่ที่พื้นหลังเก้าอี้หลับตาปี๋ไม่สนใจเหตุการณ์ภายนอกต่อไปอีกแล้วว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป เพราะตอนนี้เธอคิดแต่เพียงว่าขอให้ตัวเองรอดปลอดภัยไม่โดนลูกหลงก็เป็นพอ

เมื่อเสียงปืนที่ดังรัวอย่างกับห่าฝนสงบลง เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ปรี่ไปในตัวรถของคนร้าย ซึ่งคนร้ายเสียชีวิตทันที 2 ราย และบาดเจ็บสาหัสอีก 3 ราย ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บ 3 นาย เจ้าหน้าที่รีบนำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันทีทันที บรรดานักข่าวต่างรีบวิ่งกรูหามุมเพื่อจะได้ภาพที่ดีที่สุดสำหรับสำนักข่าวของตน แสดงแฟลกซ์และเสียงชัตเตอร์ และเสียงรายงานข่าวดังระงมไปหมด เมื่อรถเข็นของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บผ่านพวกเขาไป

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมามองหลังจากที่ก้มศีรษะอยู่นาน เธอค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างช้าๆ มองออกไปนอกร้าน แล้วก็เห็นตำรวจวิ่งกันอย่างวุ่นวายแต่ก็ดูเป็นระบบ บ้างก็กันกองทัพนักข่าวให้ถอยออกจากบริเวรที่เกิดเหตุ บ้างก็เข้าเคลียร์สถานที่เกิดเหตุ ทุกคนต่างทำตามหน้าที่ที่ตัวเองได้รับอย่างเคร่งครัด


“อย่างกับหนังสงคราม น่ากลัวเป็นบ้า เกิดมาไม่เสียชาติเกิดแล้วฉัน”

หญิงสาวพูดแล้วก็พานให้ขนลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัว เธอเดินสำรวจรอบๆ ร้านว่ามีรูเกิดขึ้นตามพนังบ้างหรือไม่ เพราะห่ากระสุนเมื่อสักครู่มันกราดไปทางไหนบ้างเธอก็ไม่รู้ แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีของเธอที่ร้านไม่มีรอยแตกหรือบุบสลายแต่อย่างใด ไม่อย่างนั้นก็คงต้องเสียค่าซ่อมอีก… หรือว่าจะให้หลวงออกค่าซ่อมให้ดีหว่า ถ้าเกิดร้านเป็นรู

หญิงสาวเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุดอย่างหมดแรง ใบหน้าซีดเผือก เธอนั่งเอามือนวดขมับตัวเองเบาๆ เพราะรู้สึกเหมือนว่าเธอจะปวดหัวตุ้บๆ เสียงโทรศัพท์ที่เคาท์เตอร์ดังขึ้นทำให้หญิงสาวที่นั่งกุมขมับอยู่นั่งนั้นต้องรีบวิ่งไปรับโทรศัพท์ทันที

“สวัสดีค่ะ ร้านยอดข้าวค่ะ”

หญิงสาวพูดเสียงสั่น เพราะยังตกใจกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ไม่หาย

“แก๊!! แกยายข้าว... ตายแล้ว!!! ขอบคุณสวรรค์ที่แกไม่เป็นอะไรไป ฉันเพิ่งจะออกมาจากห้องผ่าตัดเห็นข่าวเมื่อกี้ โหย...อย่างกับหนังสงคราม แล้วก็เห็นร้านแกตั้งอยู่ตรงนั้นพอดี ฉันล่ะหัวใจจะวายตาย กลัวแกเป็นอะไรไป”

เสียปลายสายพูดรัวเป็นชุดใส่เธอ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเป็นห่วงและตกใจอย่างเห็นได้ชัด ดลินายิ้มเจือๆ ตอบกลับ

“เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นกับตัวเป็นครั้งแรกเนี่ยแหละ แก...ฉันนะจะเป็นลม แข้งขาอ่อน มือยังสั่นอยู่เลย”

“เฮ้ย!!!...จริงหรอแก”

รจนาพูดเสียงดังลั่น จนทำให้พยาบาล และคนไข้ที่อยู่แถวนั้นหันมามองเธอเป็นตาเดียวกัน รจนายิ้มแหย่แล้วก้มศีรษะเป็นเชิงขอโทษ แล้วก็หันมาพูดสายกับเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธออย่างเป็นห่วง

“ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอ แกไม่ต้องเป็นห่วงก็แค่ตกใจเท่านั้น”

ดลินาพูดเหมือนกับว่าตัวเองสบายดีเพื่อให้เพื่อนสบายใจ ถึงมันจะตรงข้ามกับความเป็นจริงก็เถอะ

“แก... ยังไงก็แวะมาให้ฉันตรวจบ้างก็ดีนะ ถ้าเกิดแกตกใจมากจนจิตหลอนไปจะทำยังไง ฉันไม่อยากมีเพื่อนเป็นโรคประสาทนะเว้ย”

รจนาพูดกลั้วหัวเราะเมื่อได้รับรู้ว่าเพื่อนรักของเธอไม่เป็นอะไรมากแล้ว ปฏิบัติการแหย่เพื่อนสาวประจำวันจึงเริ่มขึ้น

“ขอบใจสำหรับคำแช่งนะยะ ประเดี๋ยวจะแกล้งทำเป็นประสาทไม่ดีเอาเค้กไปโยนทิ้งให้หมดเลย ไม่ต้องกงไม่ต้องกินมันแล้วเค้กน่ะ”

ดลินาพูดขู่อย่างไม่จริงจังมากนัก ปลายสายส่งเสียงหัวเราะคิกคักก่อนจะแกล้งพูดเหมือนกลัวคำขู่เสียเต็มประดา

“เฮ้ย!!! แกคงไม่ทำอย่างนั้นหรอกใช่ไหม อย่านะเว้ยแกคงไม่อยากเห็นเพื่อนเสียใจร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดหรอกนะ”

“ไม่ต้องมาแกล้งทำเลยนะ ฉันจะเอาเค้กไปทิ้งจริงๆ ก็เพราะคำพูดแกเมื่อกี้นั้นแหละ”

“โธ่!!! ฉันล้อเล่นแกก็... แหย่แกเล่นแกจะได้หายตกใจไงยายข้าว”

ดลินาเมื่อได้ยินพูดเรื่องนี้ก็นึกขึ้นมาได้ ตอนนี้เธอตัวไม่สั่น หัวก็ไม่ปวดแล้ว แถมอาการตกใจก็เรียกได้หายเป็นปลิดทิ้ง

“เฮ้ย แกเดี๋ยวฉันไปก่อนนะต้องไปตรวจคนไข้ก่อน แค่นี้แล้วกัน ไว้บ่ายๆ ออกเวรแล้วฉันจะแวะไปหา”

“ค่าทราบแล้วค่ะคุณหมอแยม แล้วเจอกัน… ขยันๆ ทำงานนะ แล้วอย่าไปทำเข็มฉีดยาหักคาก้นใครเขาล่ะ”

ดาลินาพูดแซวเพื่อนตัวเองก่อนวางหูโทรศัพท์ลงพร้อมกับเสียงกระดิ่งที่หน้าประตูร้านดังขึ้นอีกครั้ง

“สวัสดีค่ะ ร้านยอดข้าวยิน...”

เสียงของหญิงสาวหายไปเหมือนถูกดูดเสียงทันทีที่เห็นคนที่เดินเข้ามาในร้านมีสีหน้าที่อิดโรยอย่างเห็นได้ชัด ผมเฝ้าดูยุ่งเหยิงหน้ามันเยิ้มเต็มไปด้วยเหงื่อไคล เขาเดินเข้ามาในร้านก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะตัวเดียวกันกับเมื่อเช้า... สงสัยจะเบี้ยวงาน

“คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย”

หญิงสาวถามอย่างเป็นห่วง เขาหันไปมองเจ้าของเสียงใสๆ ที่ดังมาจากเคาท์เตอร์อย่างขอบคุณ

“ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ”

“คุณนั่งรออยู่ตรงนั้นก่อนนะคะ อย่าเพิ่งไปไหนนะ เดี๋ยวฉันมาแป๊บเดียวเท่านั้นแหละ”

ดลินารีบเดินไปที่หลังร้านก่อนจะรินน้ำจากตู้เย็นที่เย็นชื่นใจใส่แก้วทรงสูงแล้วเดินออกจากหลังร้านเอามาเสริฟให้กับเขา ชายคนนั้นมองหญิงสาวอย่างขอบคุณก็จะดื่มนั้นเข้าไปอย่างกระหาย น้ำเย็นๆ แก้วนั้นบวกกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ ทำเขารู้สึกกระชุ่มกระชวยและสดชื่นขึ้นมาบ้าง

“ขอบคุณมากครับ”

เขากล่าวขอบคุณจากใจจริง ดลินาก็ยิ้มตอบของกลับไป เมื่อเธอจ้องหน้าเขาแบบตรงๆ เป็นครั้งแรก ก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเคราที่อยู่บนหน้าเขา ถ้าเธอตาไม่ฝาดหรือคิดไปเอง สาบานได้เลยว่าเห็นมันลอกออกมา ...เฮ้ย ตาฝาดหรือเปล่าเนี่ยฉัน สงสัยตกใจจนประสาทหลอนอย่างที่หมอแยมบอกจริงๆ...

“ขออนุญาตครับ”

เสียงของตำรวจนายหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเสียงกระดิ่งที่ประตูหยุดลง ดลินาหันไปเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งยืนตัวตรงอยู่ที่หน้าร้านของเธอ ก่อนจะเดินตรงมาทางที่เธอยืนอยู่แล้วยืนตรงต่อหน้าของเขา

“ขออนุญาตครับ... ผู้กองครับ โทรศัพท์จากท่านผู้กำกับครับ”

แล้วนายตำรวจนายนั้นก็ยื่นโทรศัพท์ไปให้คนที่เขาเรียกว่าผู้กอง ก่อนจะเดินออกจากร้านไป เมื่อดลินาเห็นดังนั้นก็เดินปลีกตัวออกมาอย่างคนมีมารยาท เพื่อที่จะให้เขาคุยโทรศัพท์ได้อย่างสะดวกใจ

ระหว่างที่เขาคุยโทรศัพท์อยู่นั้น ดลินาก็เดินไปหลังร้านจัดการเอาดอกเก๊กฮวยอบแห้งที่เธอเก็บเอาไว้ในขวดโหลมาต้มในน้ำร้อนแล้วใส่น้ำตาลเพื่อที่จะได้น้ำเก๊กฮวย ดลินายกหม้อใบจิ๋วลงจากเตาแล้วนำไปวางลงในกะละมังที่มีน้ำแข็งอยู่รอบๆ เพื่อจะทำให้อุณหภูมิของน้ำลดลง

เมื่อน้ำเก๊กหวยเย็นลงบ้างแล้วเธอก็กะเทาะน้ำแข็งเอาใส่แก้วทรงสูงอีกครั้งก่อนจะรินน้ำเก๊กฮวยตามลงไป ถึงแม่ว่าความอุ่นของน้ำเก๊กฮวยจะละลายน้ำแข็งไปบ้างแต่เมื่อดูจากหยดน้ำที่เกาะอยู่ตรงแก้วก็รู้ว่ามันคงจะเย็นชื่นใจเป็นแน่ เธอเดินออกมาจากหลังร้านพร้อมกับน้ำดอกเก๊กฮวยในมือเดินมาเสริฟให้ชายหนุ่มที่ตอนนี้เลิกคุยโทรศัพท์ไปแล้ว แต่เธอแทบจะทำแก้วร่วงหลุดมือทันทีที่เห็นหนวดเคราที่รกครึ้มนั้นอันตรธานหายไปจากใบหน้าของชายหนุ่ม

เธอมองคนที่เธอคิดว่าเหมือนมหาโจรซึ่งมันกลายเป็นอดีตไปแล้วอย่างตกตะลึง เมื่อมองจากด้านข้างแล้วใบหน้าเขาดูสวยคลาสสิก จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากได้รูป สีผิวสีแทนเช่นเดียวกับแขนของเขา แต่เมื่อเขาหันหน้ามาสบตากับเธอเต็มเท่านั้นแหละ สมองของดลินาก็สั่งการทันที

...โอ้!! พระเจ้าจุงจง...พระเจ้าจอร์จ... พระเจ้าหลุยส์ที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ หล่อบาดใจจริงๆ คมเข้มไทยแท้ แบบนี้ดลินาช๊อบชอบ...

ดลินาแทบจะยืนอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น แต่ก็สามารถเรียกสติกลับมาได้หลังจากที่มันหลุดย้อนยุคกลับไปในสมัยอยุธยา เธอรวบรวมสติ แล้วเดินตรงเข้าไปหาเขาก่อนจะวางแก้วน้ำเก๊กฮวยลงตรงหน้าของเขา

“น้ำเก๊กฮวยค่ะ... มันคงทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง”

เธอพูดแบบเกร็งๆ เธอสังเกตเห็นกองที่ดูเหมือนจะเป็นเส้นผมนั้นกองอยู่ตรงข้างมือของเขา เมื่อชายหนุ่มเห็นหญิงสาวจ้องมองกองหนวดเคราปลอมอย่างสนใจ เขายิ้มแล้วก็อธิบายเกี่ยวกับเจ้ากองนั้นอย่างไม่มีปิดบัง

“หนวดปลอมน่ะครับ ผมจำเป็นต้องปลอมตัวเพื่อไม่ให้พวกนั้นจำผมได้”

“หรือคะ... เพิ่งจะได้เห็นอุปกรณ์ปลอบตัวเป็นครั้งแรก ก็เลยตื่นเต้นน่ะค่ะ”

หญิงสาวพยายามพูดไม่ให้เสียงสั่น คราวนี้ไม่ใช้เพราะกลัวเขาอย่างเมื่อเช้าแต่มันตรงข้ามเลยต่างหาก คุณตำรวจหน้าเข้มพยักหน้ารับเสียไม่ได้ แล้วก็หยิบแก้วน้ำสีเหลืองอ่อนขึ้นมาดื่มรวดเดียวจดหมดแก้ว ความความของน้ำตาล และกลิ่นหอมๆ ของดอกเก๊กฮวยช่วยให้เขารู้สึกชุ่มคอมากขึ้น ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศบวกกับน้ำเก๊กฮวยเย็นชื่นใจทำให้เขารู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นมาเยอะ

“คุณคงจะตกใจมากเลยสิครับ”

“เป็นใครก็ต้องตกใจทั้งนั้นแหละค่ะ... อย่างกับดูหนังสงครามได้ที่นั่งแบบซุปเปอร์วีไอพีอย่างไงอย่างนั้นเลย คุณรู้หรือเปล่าคะ ฉันน่ะตกใจล่วงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เห็นคุณเดินเข้าร้านฉันมาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว”

หญิงสาวพูดอย่างชวนคุย เขาหัวเราะเล็กน้อย

“ขนาดนั้นเลยหรือครับ!?”

“ใช่สิคะ!! คุณก็ลองมาเป็นฉันดูสิ ฉันน่ะแทบจะร้องไห้เลยนะคะตอนนั้น”

“ผมขอโทษครับที่ทำให้คุณต้องตกใจ”

เขาพูดอย่างสำนึกผิด ความจริงเขาก็พอจะเดาอารมณ์ของหญิงสาวในตอนเช้าออก เพราะเธอเล่นแสดงสีหน้าท่าทางเปิดเผยขนาดนั้น

“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ก็คุณต้องทำตามหน้าที่ ฉันเข้าใจค่ะ”

ดลินายิ้มอย่างเข้าใจก่อนจะเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์ หญิงสาวเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับวางธนบัตรสีเขียว 2 ใบลงตรงใกล้ๆมือเขา ชายหนุ่มมองอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็รอไม่นานเมื่อหญิงสาวได้อธิบายที่มาที่ไปของธนบัตร 2 ใบนั้น

“เงินทอนค่ะ... เมื่อเช้าไง กาแฟน่ะค่ะ จำได้หรือเปล่าค๊ะ”

“อ๋อ! ผมลืมสนิทเลย มัวแต่คิดจะไปจับคนร้าย”

“ช่างมันเถอะค่ะ เอาเป็นว่าฉันทอนเงินให้คุณแล้วนะ ฉันค้าขายแบบสุจริต ยุติธรรม ไม่โกงลูกค้า หวังว่าคุณตำรวจคงไม่จับฉันหรอกนะคะ”

คำพูดนั้นทำให้เขายิ้มออกมาได้ ทั้งที่ควรจะเครียดกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิด แต่เมื่อได้ยินคำพูดหยอกล้อของหญิงสาวตรงหน้าทำให้เขายิ้มออกมาได้อย่างเต็มที่เป็นครั้งแรกของวัน ส่วนคนที่เห็นรอยยิ้มนั้นแทบจะไหลลงไปนั่งกองอยู่ที่พื้นอยู่แล้ว ตอนนี้เธอพอจะเข้าใจแล้วว่า “ใจละลาย” เป็นอย่างไร อยู่ๆ ก็หน้าแดงขึ้นเลยทำตัวไม่ถูก มือไม้ก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปไว้ตรงไหน

ดลินามีความรู้สึกเหมือนหัวใจจะทะลุออกมาข้างนอก หัวใจเธอเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตอนที่ยังทำงานอยู่กับบริษัทเอกชน เจอผู้ชายมาก็มาก ขาวตี๋ คมเข้ม เสื้อ สิงห์ กระทิง แรด ก็เจอมาทุกรูปแบบแล้ว ยังไม่มีใครที่ทำให้เธอเลือดสูบฉีดจนรู้สึกหน้าร้อนซู่เช่นนี้

“คุณไม่สบายหรือเปล่าครับ หน้าแดงมากเลยนะครับ”

ดลินาเอาสองมือขึ้นมาอังแก้มทั้งสอง เบิกตากว้าง แล้วหันหลังให้เขา ก่อนจะส่ายหัวอย่างเร็ว ก่อนตอบทั้งที่ยังหันหลังอยู่อย่างนั้น

“ฉะ ฉะ ฉัน ฉันสบายดีค่ะ คงเพราะตกใจกับเรื่องปล้นธนาคารอยู่มั้งคะ”

กล่าวจบก็รีบพาตัวเองเดินมาหลบอยู่หลังเครื่องชงกาแฟเครื่องโตใช้แทนกำแพงป้องกันการถูกมอง หญิงสาวร้องกรี๊ดๆ อยู่ในใจ พยายามอย่างหนักที่จะตั้งสติใหม่ โดยไม่รู้เลยว่าคนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของเครื่องชงกาแฟมองมาอย่างเอ็นดู

นาฬิกาที่ข้างฝาบอกเวลา 14 นาฬิกาตรง เหตุการณ์ข้างนอกก็ยังคงวุ่นวายอยู่ การจราจรที่ถูกปิดในตอนแรก ก็เปิดให้รถใช้สัญจรแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ยังคงปิดช่องจราจรที่ยังมีรถของผู้ร้ายจอดอยู่ วันนี้นับว่าเป็นวันแรกที่ลูกค้าเต็มร้านแทบจะตลอดทั้งวัน ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และนักข่าวที่มานั่งพักดื่มกาแฟกัน
เป็นเพราะเธอไม่มีลูกมือที่จะมาช่วย เลยต้องชงกาแฟมือเป็นระวิงอยู่เพียงคนเดียว แต่เหมือนกับสวรรค์มาโปรด รจนาเดินเข้ามาในร้านอย่างเร่งรีบแต่ก็หยุดชะงักเมื่อเห็นตำรวจหลายนายนั่งอยู่เต็มร้าน รจนาค่อยๆ เดินตรงไปที่เคาท์เตอร์ แล้วก็เห็นเพื่อนของเธอชงกาแฟมือเป็นระวิง

“แกคงไม่ได้ไปทำความผิดอะไรมาใช่หรือเปล่า ตำรวจเต็มร้านเชียว”

“ถ้ามาแล้วไม่ช่วย ไม่ต้องมาก็ได้นะยะ”

ดลินามองค้อนเพื่อนสาวขณะที่มือก็ชงกาแฟไปด้วย รจนาหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจเมื่อสามารถแกล้งใครบางคนได้

“ไม่แกล้งก็ได้... มาฉันช่วย”

แล้วรจนาแปลงร่างจากหมอศัลยกรรมมือหนึ่ง กลายมาเป็นพนักงานเสริฟสาวแสนสวยในพริบตา เธอรีบเดินไปหลังเคาท์เตอร์แล้วหยิบผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลมาผูกไว้ที่เอวก่อนจะลงมือช่วยนำกาแฟที่เธอชงเสร็จแล้วไปเสริฟตามโต๊ะที่สั่งไว้ แจกยิ้มหวานให้ทุกโต๊ะทำเอาเหล่าบรรดาลูกค้ามองกันเคลิ้มเลยทีเดียว

เป็นเพราะรจนามาช่วยทำให้ดลินาเบาแรงลงไปมาก ดลินาก็ทำหน้าที่ชงกาแฟไป ส่วนรจนาก็เดินเสริฟกาแฟให้ลูกค้าไป จนแก้วสุดท้ายที่ได้รับออร์เดอร์มาไปวางอยู่บนโต๊ะเบอร์ 5 ดลินาถึงได้เก็บทำความสะอาดเคาท์เตอร์ รจนาเดินมาหาเพื่อนของเธอที่ตอนนี้เก็บทำความสะอาดเคาท์เรียบร้อยเหมือนเดิมแล้ว

“ขอบใจนะแยม ถ้าฉันไม่ได้แกฉันคงตายแน่เลย”

“ไม่เป็นไรหรอก เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนสิ”

ดลินายิ้มขอบใจไปให้รจนา

“พอเลย ไม่ต้องมาทำซึ้งตอนนี้เลย แค่นี้จิ๊บๆ”

เสียงกระดิ่งที่ประตูร้านดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยร่างสูงใหญ่ดูแข็งแรงของชายผู้หนึ่งเดินเข้ามา บรรยากาศในร้านที่สบายๆ เมื่อสักครู่ถึงกับเปลี่ยนไปเป็นตรึงเครียดทันที... ถ้ามามาดนิ่งเงียบ หน้าเรียบสนิท บอกได้คำเดียวว่า งานเข้าแล้ว นายตำรวจหลายนายยืนตรงทำความเคารพกันตัวตรงแหน่ว เหงื่อเริ่มซึมทั้งที่แอร์ก็เปิดเย็นฉ่ำ

สองสาวที่หลังเคาท์เตอร์หันมาสบตากันเพราะก็รู้สึกกดดันอยู่เหมือนกัน ส่วนพวกนักข่าวก็นั่งกันเงียบไม่ได้คุยโทรศัพท์รายงานสถานการณ์ไปยังสำนักข่าวของตนเมื่อสักครู่ ทำท่าทางสนใจกาแฟตรงหน้าเสียเต็มประดาแต่หูก็ตั้งใจฟังเผื่อมีเรื่องอะไรที่สามารถเอาไปเขียนข่าวได้

“ต้องขอโทษที่เข้ามากวนเวลาพักของทุกคน”

เขาเว้นระยะการพูดเพียงเล็กน้อย นั้นก็สามารถสร้างแรงกดดันให้ลูกน้องเขาได้อย่างมหาศาล

“ไม่เป็นไรครับ”

นายตำรวจคนหนึ่งที่ดูจะอาวุโสสุดเอ่ยขึ้น

“หากพวกจ่าพักกันเสร็จแล้ว ตามไปรายงานตัวกับผมที่ สน. ด้วย”

“ครับผม”

เมื่อได้ยินคำตอบรับจากผู้ใต้บังคับบัญชา เขาก็เดินออกไปจากร้านทันที พอลับร่างของเขาไปแล้วแต่ละคนต่างนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเข่าอ่อนก่อนจะตะโกนถามกันลั่นร้าน

“ใครไปทำอะไรให้ผู้กองไม่พอใจอีกวะ คราวนี้เลยโดนกันหมดเลย”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันจ่า สงสัยคงมีใครทำงานสับเพร่าแล้วผู้กองเขาตรวจเจอ แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ ก็เลยต้องซวยกันหมดแบบนี้”

“ไอ้คนนั้นมันเป็นใคร อย่าให้จับได้นะ พ่อจะสับให้เละเลย”

นายตำรวจที่ดูจะสูงอายุที่สุดในหมู่ตำรวจด้วยกันพูดอย่างเจ็บแค้น ก่อนจะหยิบแก้วกาแฟขึ้นมากระดกหมดแก้วอย่างเคืองๆ

“เฮ้ยแก... นายคนนั้นน่ากลัวจังเลยว่ะ ขนาดเขาแค่มายืนพูดเฉยๆ ลูกน้องยังกลัวเขาหงอขนาดนี้”
รจนากระซิบเบาๆให้ได้ยินกันแค่สองคน

“แต่ฉันว่าเขาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เห็นนะ ฉันว่าเขาออกจะสุภาพด้วยซ้ำไป”

“นั้นแน่!!! แกปิ๊งเขาเข้าให้แล้วล่ะสิ คบกับแกมาตั้งหลายปีทำไมฉันจะไม่รู้ว่านายคนนั้นน่ะสเป็กแก โธ่เอ้ย!!! หล่อเข้ม หน้าคม มาดเท่ห์ ผิวคล้ำแดดนิดๆ แบบนี้ เห็นแล้วน้ำลายชวนไหล”

รจนาพูดทำหน้าเพ้อฝัน ก่อนจะหันมาหลิ่วตาให้เพื่อนอย่างรู้ใจ คนข้างๆ เองก็เริ่มร้อนตัว หน้าแดงก่ำ
“บ้าหรอ ฉันเพิ่งรู้จักเขาเมื่อเช้าเองนะ อีกอย่างฉันไม่ไวไฟขนาดนั้นด้วย”

“เดี๋ยวหมายความว่าไงเจอกันเมื่อเช้า... เล่ามาซะดีๆ”

“ก็... เขามานั่งกินกาแฟที่ร้านฉันเมื่อเช้าก่อนเกิดเรื่อง ก็ได้คุยกันนิดๆ หน่อยๆ”

“หรอจ๊ะ... แหม่ พรหมลิขิตบันดาลชักพา ดลให้มาพบกันทันใด... ก่อนนี้อยู่กันแสนไกล พรหมลิขิตดลจิตใจ ฉันจึงได้มาใกล้กับเธอ… เออชะรอยจะเป็น เนื้อ คู่ ควรอุ้มชูเลี้ยงดู บำเรอ… แต่ครั้งแรกเมื่อพบ เธอ ใจนึกเชื่อว่าแรกเจอ… ฉันและเธอคือ คู่ สร้าง มา”

รจนาร้องเพลงพรหมลิขิต ของสุนทราภรณ์เบาๆ แซวเพื่อนสาวสุดรัก ยิ่งเห็นเพื่อนหน้าแดงเท่าไหร่ รจนาก็ยิ่งพอใจเท่านั้น เรื่องดีๆ แบบนี้เธอไม่มีทางพลาดไปได้หรอก

“พอเลย เลิกแซวสักที ฉันกับเขาคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกหรอก”

“แกจะไปรู้อะไร อะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกของความรัก แค่เดินไหล่ชนกัน กามเทพแพลงศร คนเราก็ตกหลุมรักกันได้”

“น้ำเน่า”

ดลินาพูดพึมพำเบาๆ สองมืออังแก้มสองข้างหลับตาปี๋ รจนาเห็นแล้วก็อดที่จะแกล้งไม่ได้

“ถึงน้ำจะเน่าแต่ก็เห็นเงาจันทร์... กระต่ายอย่างแกไม่คิดจะชื่นชมจันทร์ใกล้ๆ บ้างหรือไง”

“ให้จันทร์อยู่บนฟ้าน่ะดีแล้ว อยู่ใกล้มากไปเดี๋ยวโดนจันทร์ทับตาย”

“แกนี้ไม่โรแมนติกเอาซะเลย แต่ไม่เป็นไร... แกรู้ไหมยายข้าว ประชากรในประเทศไทยมีตั้ง 65 ล้านกว่าคน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพบคนที่ใช้สำหรับเรา เมื่อเขาอุตส่าห์เดินเข้ามาแล้ว แกก็ต้องรีบฉวยโอกาสเอาไว้นะเว้ย แล้วที่สำคัญ นี้มันยุคไหนแล้ว หมดเวลาของผู้หยิงขี้อายให้ผู้ชายตามจีบแล้วนะ”

“ไม่เอาอ่ะ... ฉันขอเป็นสาวยุคเก่าดีกว่า”

“เหอะ!! ไม่ได้ดั่งใจเลย”

รจนาว่าพลางเอานิ้วจิ้มไปที่ขมับของเพื่อนสาวหลายที อย่างหมั่นไส้

“ก็... ก็ฉันอายนี่”

“ตามใจแกมัวแต่อาย สาวอื่นจะงาบคุณตำรวจมาดเข้มคนนั้นไปกินฉันไม่รู้ด้วยนะ... แล้วอย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งให้ฉันปลอบก็แล้วกัน”

เชอะ!! รจนาไปแต่ด่าเพื่อนสาวอยู่ในใจ เรื่องอื่นเก่งสารพัด พร้อมเรื่องรักใจฟ่อซะงั้น เธอรู้ว่าเพื่อยรักของเธอนิสัยเป็นอย่างไร แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดไม่ได้... รจนาโมโหค๊า!!!



TooMMeng
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ม.ค. 2556, 15:20:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ม.ค. 2556, 12:01:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 1321





<< บทที่ 1 (แรกพบ... 1)   บทที่ 2 (ตามรัก... 1) >>
ไม้เอก 2 ม.ค. 2556, 18:38:46 น.
ผู้กองโมโหอะไรหรอคร้าาาาา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account