ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ
เขา... นายตำรวจหนุ่ม
เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ
ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น
แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ
แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
เขา... นายตำรวจหนุ่ม
เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ
ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น
แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ
แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ
ตอน: บทที่ 2 (ตามรัก... 1)
บทที่ 2
(ตามรัก 1)
อะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกของความรัก... คำพูดของเพื่อสาวตามหลอกหลอนเธอมาทั้งอาทิตย์ นาฬิกาปลุกข้างเตียงที่ตอนนี้เข็มสั้นเลยเลข 1 ของวันใหม่มา 30 นาที ร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงพลิกซ้าย พลิกขวา คว่ำหน้า นอนหงาย... สุดท้ายก็นอนไม่หลับ หญิงสาวเอาผ้าห่มผืนหนคลุมศรีษะก่อนจะตลบผ้าลุกขึ้นนั่ง หงุดหงิดสุดแสน
ทุกครั้งที่เธอนึกถึงหน้าของชายหนุ่มคมเข้มคนนั้น หน้าเธอจะแดง เกิดอาการประหม่า มือไม้ก็ดูเกะกะไปหมดไม่รู้จะเก็บไว้ตรงไหน ดลินาพยายามที่จะไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่ให้ชายคนนั้นมีอิทธิพลเหนือจิตใจของเธอจนไม่เป็นอันทำอะไร แต่สุดท้ายก็เหลวไม่เป็นท่า เธอลืมผู้ชายคนนั้นไม่ได้จริง ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังป่วยเป็นโรคจิตอย่างหนึ่ง
เธอพยายามปฏิเสธตัวเองอย่างหนักแน่นว่าสิ่งที่เธอกำลังเป็นอยู่ตอนนี้มันเป็นเรื่องโกหก เป็นเรื่องที่เธอคิดไปเอง แต่ในที่สุดเธอก็ยอมรับกับตัวเองแล้วว่า... กำลังตกหลุมรัก ใครคนหนึ่งเข้าให้แล้ว
“อ๊าก!!! นอนไม่หลับเว้ย...”
ร้องโวยวายอยู่คนเดียวในห้อง ในเมื่อพยายามที่จะนอนแต่ก็นอนไม่ได้หลับ สู้ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างจะดีกว่า คิดได้อย่างนั้นก็ลุกขึ้นเปิดไฟตั้งโต๊ะบนโต๊ะทำงานที่ตั้งคอมพิวเตอร์อยู่ ก่อนจะเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ทันทีที่เครื่องพร้อมใช้งานหน้าเวปแรกที่หญิงสาวเปิดก็คือ “เวปอากู๋” ถามอะไรตอบได้ทุกอย่าง
หญิงสาวกรอกรายชื่อสถานีตำรวจท้องที่เพื่อเข้าไปดูข้อมูลบางอย่างที่เธออยากรู้ 5 นาทีผ่านไป หญิงสาวก็ต้องผิดหวังเมื่อข้อมูลที่ต้องการไม่ปรากฏให้เห็น สิ่งที่เธอเข้าไปดูคือรายชื่อบุคลากรของสถานีนั้นเอง
“มีแต่ชื่อ แต่ไม่มีรูปแล้วจะรู้ได้อย่างไรกันว่าคุณชื่ออะไร”
หญิงสาวพึมพำกับตัวเองอย่างผิดหวัง แต่ก็ไม่ยอมแพ้เมื่อเธอพยายามเสิร์จหาข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ปล้นธนาคารที่เพิ่งผ่านมาในโลกออนไลน์ เพื่อที่จะดูว่ามีรูปผู้ชายคนนั้นหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวังเมื่อไม่มีรูปของคนนั้นปรากฏบนโลกออนไลน์แม้แต่น้อย
“ทำไมตอนนั้นไม่ใจกล้า ถามชื่อเขาไปนะ จะได้ไม่ต้องมานั่งกลุ่มใจแบบนี้ แกมันไม่ได้เรื่องอย่างที่ยายแยมว่าไว้จริงๆ เลยยายข้าวเอ้ย”
แสงแดดที่ส่องแสงลงมาชวนให้แสบผิว หลายคนต่างพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้แสงแดดแผดเผา ไม่ยืนตามชายคาที่ร่ม ไม่อย่างนั้นก็กางร่มเดินกันตามทางเท้า ที่ป้ายรถเมล์แห่งหนึ่งมีหญิงสาวสองนางกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ป้ายรถเมล์ แต่ไม่ได้มีทีถ้าว่าจะรอขึ้นรถเมล์สายไหนเป็นพิเศษ โดยที่สายตาของคนทั้งคู่จับจ้องไปที่สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง ไม่ว่าใครเข้าใครออกไม่มีทางพลาดสายตาของคนทั้งคู่ไปได้
ดลินาหันไปมองเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันอย่างอ่อนใจ ทั้งที่เธอพยายามปฏิเสธแล้วว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด การที่มานั่งดักรอให้เป้าหมายเดินออกมาจากสถานีตำรวจนั้นความเป็นไปได้แทบจะเป็นศูนย์ แถมจะโดนเขาหาว่าเป็นโรคจิตอีก
เมื่อเช้าขณะที่เธอกำลังจะเปิดร้านรจนาก็เข้ามาประชิดตัวทันที พร้อมกับบังคับให้เธอปิดร้านและลากให้เธอมานั่งทนร้อนอยู่ที่ป้านรถเมล์แห่งนี้เกือบ 2 ชั่วโมงเข้าไปแล้ว
“แยมฉันว่าแกเลิกเถอะ มานั่งดักรอดูอย่างนี้คงไม่ได้เรื่องหรอก”
“ไม่! ฉันไม่ยอมแพ้หรอก แกเชื่อฉันสิยายข้าว เดี๋ยวคุณตำรวจสุดหล่อของแกต้องเดินออกมาจากสถานีแน่ๆ”
“ถ้าโดนจับได้ เขาก็หาว่าฉันเป็นพวกโรคจิตน่ะสิ เสียหายหลายแสนเลยนะ”
“แกอย่างไปกลัว แกชอบเขาไม่ใช่หรอ เพราะฉะนั้นแกต้องพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อให้ได้ใกล้ชิดเขาสิ”
“แต่แบบนี้มันเกินไปนะ”
รจนาได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้นก็รีบเอานิ้วจิ้มที่ขมับเพื่อนสาวย้ำๆ หลายทีอย่างหมั่นไส้ จนดลินาต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บ ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อนรักของเธอมีอากาศเหมือนคนอกหักเข้าไปทุกวันจนรจนาทนไม่ได้ที่เห็นเพื่อนตนเองซึมเศร้าแบบนั้น จึงได้คิดหาหนทางที่จะทำให้ดลินาได้เจอกับผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง... ฉันนี่แหละจะเป็นกามเทพให้กับแกเองยายข้าว ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
“ฉันจะบอกแกไว้อย่างนะยายข้าว ถ้าฉันไม่ชวนแกมาด้วยเนี่ยป่านนี้ฉันลุยเดี่ยวเดินเข้าไปในสถานีแล้วไล่ถามทีละคนด้วยซ้ำไป”
“แยม... ฉันรู้แกหวังดี แต่ก็ทำอะไรให้มันมีขอบเขตบ้างสิ”
“ไม่รู้ล่ะ ถ้าวันนี้ฉันไม่เจอพ่อเทพบุตรของแกฉันไม่เลิก”
ดลินากำลังจะอ้าปากว่าเพื่อนสาว แต่ยังไม่ได้เอ่ยอยู่ดีๆ รจนาก็ชี้มือชี้ไม้ไปข้างอย่างอย่างตะลึง
“นั้น!! นั้นไงยายข้าว ออกมาแล้ว”
ดลินาหันไปมองตามนิ้วของรจนาที่ชี้ไปข้างหน้า ถึงแม้ระยะทางค่อนข้างไกลแต่รูปร่างท่าทางนั้นคุ้นใจของดลินาเป็นอย่างมาก ดลินาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องไร้สาระที่รจนาชวนทำอยู่นี้จะทำให้เธอได้เจอกับชายหนุ่มที่ทำให้หัวใจเธอเต้นแรงจริงๆ รจนาตบฉาดเข้ามาที่ไหล่ของดลินาอย่างตื่นเต้น โดยไม่สนใจสายตาของผู้คนรอบข้างที่กำลังยืนรอรถโดยสารประจำทางเลยสักนิด
“นั้นไง ฉันบอกแกแล้วว่าเขาจะต้องออกมาเห็นมั้ย”
ดลินาตอนนี้ยังคงแปลกใจไม่หาย ทำท่าปากพะงาบๆ พูดไม่ออก ชายหนุ่มที่พบเมื่อสองอาทิตย์ก่อน รจนาตีเพี๊ยะไปที่แขนของดลินาเพื่อให้เพื่อนสาวกลับมาสู่โลกอีกครั้ง
“ไปยายข้าว! ตามเร็ว”
ว่าแล้วรจนาก็ลากดลินาให้รีบเดินตามไปทางเดียวกับที่ชายหนุ่มผู้เป็นเป้าหมาย อย่างไม่ให้คลาดสายตา ส่วนคนถูกตามเหมือนจะไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้ จะทำให้ชีวิตประจำวันบางอย่างของเขาเปลี่ยนไป
*****************************
เวลา 11 นาฬิกา 30 นาที สำหรับเวลาใกล้เที่ยงเช่นนี้ ผู้คนมากมายเริ่มทยอยออกมาเติมพลังงานให้กับร่างกาย ร้านขายอาหารหลายร้านเริ่มมีผู้คนเข้ามานั่งรับประทานอาหารกันอย่างหนาตา ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวร้านหนึ่งผู้คนต่างสับเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าออกร้าน ที่มุมหนึ่งของร้าน ชายผู้เป็นเป้าหมายของสองสาวกำลังนั่งดื่มชาดำเย็นด้วยความสบายใจ
ทิศที่เขานั่งสามารถเห็นผู้คนเข้าออกร้านได้ถนัด พนักงานของร้านวางชามก๋วยเตี๋ยวจังหวะพอดีกับหญิงสาวสองคนเดินเข้ามาในร้าน หญิงสาวที่เดินเข้ามาก่อนเขาเพียงแค่คุ้นหน้าเท่านั้น แต่คนที่เดินตามมาทีหลังนี้สิ... เขาจำได้แทบจะในทันที แต่เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไม่สองสาวถึงได้ดูเหนื่อยหอบอย่างไรก็ไม่รู้ แถมใบหน้าก็แดงเหงื่อซึมตามไรผม หรืออาจจะเป็นเพราะข้างนอกแดดแรงมากก็เป็นได้
เขาเห็นหญิงสาวคนที่เดินนำหน้ามานั่งลงข้างๆ โต๊ะตัวที่เขานั่งซึ่งเป็นโต๊ะที่ตั้งคู่กัน ส่วนหญิงสาวอีกคนก็เดินตามเข้ามานั่งตรงข้าม เมื่อเธอลดตัวนั่งเขาก็ได้สบตาเข้ากับเธอ จังหวะนั้นชายหนุ่มกำลังจะยิ้มทักทายแต่หญิงสาวหันกลับไปเหมือนกับไม่สนใจเขาสักนิด... เธอจำเขาไม่ได้หรือไง
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังนั่งสงสัยอยู่นั้น หญิงสาวก็นั่งใจเต้นรัวเป็นกลองศึก มือไม้ทั้งสองข้างเย็นหมดแล้ว ส่วนคนเจ้าแผนการที่นั่งตรงข้ามกับดลินาแอบลอบยิ้มอย่างพึงใจ เพราะดูเหมือนว่าชายหนุ่มข้างๆ จำเพื่อนของเธอได้ แถมยังมีทีท่าจะทักทายอีกต่างหาก ดีที่เธอเตี๊ยมกับดลินาไว้แล้วก่อนจะเดินเข้ามาในร้านว่า... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามดลินาทักเขาก่อน และก็ต้องทำเป็นไม่รู้จักเขาด้วย
“น้องคะสั่งก๋วยเตี๋ยวหน่อย พี่เอาเล็กโฟ... แกเอาไรข้าว”
รจนาเน้นเสียงตรงชื่อเพื่อนสาวอย่างจงใจ แอบชำเลืองดูคนข้างๆ เห็นเขานั่งกินก๋วยเตี๋ยวไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเธอทั้งสองคน... ไม่สนใจใช่มั้ยได้เลย คอยดูฤทธิ์เดชหมอแยมก่อนเถอะ
“ตกลงว่าจะกินอะไร”
“เอ่อ.. ขอเส้นใหญ่ต้มยำก็แล้วกัน แล้วก็น้ำเขียว 1 น้ำแข็งเปล่า 2 ค่ะ”
ดลินาสั่งเสร็จก็เงียบกริบไม่กล้าหันไปทางซ้ายเลยสักนิด รจนาเห็นว่าเพื่อนรักไม่ได้ดั่งใจก็โมโห ยิ่งเห็นคนข้างๆ นั่งเงียบก็ยิ่งโมโหเข้าไปอีก... ได้!!
รจนาชวนดลินาคุยไปเรื่อย ส่วนคนข้างๆ ทำเหมือนไม่สนใจ แต่ตั้งใจฟังทั้งคู่กำลังคุยกันอยู่ จังหวะการกินดูจะช้าลง ตั้งใจฟังทั้งสองคนมากขึ้นจนตนเองก็แปลกใจ... นี่เขาหวังอยากจะได้ยินอะไรกัน
“นั้นสินะ.. เออจริงสิฉันถามอะไรแกหน่อยสิ ตกลงเมื่อไหร่แกจะมีแฟน”
พรวด!!! คำถามที่ยิงมาอย่างไม่ตั้งตัวทำให้ดลินาถึงกับสำลักน้ำก๋วยเตี๋ยวที่กำลังซด ไอโขรกๆ หน้า หู ตา แดงไปหมด หญิงสาวมองหากระดาษทิชชูเพื่อจะมาเช็ดปาก เช็ดน้ำตา แล้วอยู่ดีกระดาษทิชชูเนื้อสีขาวก็ลอยอยู่ตรงหน้าเธอ ดลินารีบคว้ามาแล้วเอามาปิดปากก่อนจะไอตามมาอีก 5-6 ที
ดลินารีบดื่มน้ำตามทันทีที่สามารถควบคุมการไอของตนได้ เมื่อตั้งสติได้อีกครั้งดลินาเงยหน้ามองเพื่อนสาวที่นั่งตรงหน้าอย่างคาดโทษ ยังไม่ทันที่จะได้อ้าปากว่าเพื่อนสาวตัวดีกระดาษทิชชูก็ถูกยื่นมาตรงหน้าเธออีกครั้ง
“ไม่เป็นไรแล้วนะครับ”
ดลินามองกระดาษทิชชู แล้วจึงเงยหน้าคนที่มีน้ำใจส่งกระดาษทิชชูให้เธอ... ตอนนี้สิ่งที่เธออยากทำไม่ใช่การรับกระดาษทิชชูนั้นมา แต่เธออยากจะมุดลงดินหนีไปจากตรงนี้... ตาย! หมดกันเขาคงเห็นภาพทุเรศๆ ของเธอเข้าแล้วแน่ๆ เลย
แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทดลินาจึงจำใจรับกระดาษทิชชูนั้นมา พึมพำขอบคุณเขาเบาๆส่วนคนที่ยิงคำถามที่ทำให้เธอสำลักเกือบตายนั้น นั่งเท้าคางดูภาพตรงหน้าอย่างสมใจ เมื่อสักครู่ทันทีที่เห็นดนิลาสำลักน้ำก๋วยเตี๋ยวชายหนุ่มข้างเธอก็รีบลุกขึ้นไปนั่งข้างๆ เพื่อเธอทันที
“ดีขึ้นหรือยังครับ”
“ดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ... แล้วก็ต้องขอโทษด้วยนะคะเสียมารยาทไปเยอะเลย คุณทานต่อเถอะค่ะฉันไม่เป็นไรแล้ว”
ดลินาบอกปัดพยายามสุดชีวิตไม่ให้เสียสั่น และยังคงทำเป็นเหมือนไม่เคยพบคนตรงข้างมาก่อน ส่วนชายหนุ่มขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจ แต่ก็ไม่ว่าอะไร เขานั่งนิ่งเงียบก่อนจะลุกจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวก่อนจะออกจากร้านไป ทิ้งให้คนที่ทำเป็นลืมหน้าเสีย
“ยายข้าว... ยายบ้า! แกปล่อยให้เขาไปได้ไง แกทำทุกอย่างเจ๊งหมดเลย ทำไมไม่สานต่อ”
รจนารีบต่อว่าเพื่อนสาวที่นั่งหน้าจ๋อยทันทีที่พ้นร่างของชายหนุ่มไป
“ก็ฉันป๊อดนี่”
“แล้วมาป๊อดบ้าอะไรตอนนี้ ทีเมื่อก่อนยังใจกล้าทำเงินให้ชาวบ้านเขาได้ตั้งหลายสิบล้าน แล้วเรื่องแค่นี้ทำไมแกถึงได้ใจฝ่อนักนะ”
“ก็... อยู่ต่อหน้าฉันทำอะไรไม่ถูกนี้ สมองมันไม่สั่งการอ่ะ”
“โอ้ย!!! ฉันจะบ้าตาย”
รจนาร้องโอดโอยเพื่อนสาวที่อยู่ดีๆ ก็เกิดอาการป๊อดขึ้นมา เรื่องอื่นล่ะเก่งสารพัดพอมาเรื่องรัก ดับอนาถเลยจริงเชียว รจนามองเพื่อนสาวที่กลับมานั่งซึมอีกครั้งอย่างเหนื่อยใจ... ชอบเขาแท้ๆ แต่ใจปลาซิว แล้วอย่างนี้อนาคตของเพื่อนเธอจะเป็นยังไงต่อไปล่ะเนี่ย
*****************************
อย่างเธอแค่มองไม่ได้หรอก... ให้มองอย่างเดียวไม่ได้หรอก…พบคนโดนใจอย่างเธอ ถ้าไม่คุยกับเธอ “ฉันเสียดายของ” ปล่อยเธอผ่านไปไม่ได้หรอก... ไม่รู้จักเธอไม่ได้หรอก… แม้เราเพิ่งเคยพบกัน แต่เธอได้ใจฉันไปครอบครอง...
เสียงเพลงจากสถานีวิทยุคลื่นหนึ่งดังแทงใจดลินาอย่างแรง แค่วันนั้นวันที่แผนล้มเหลวไม่เป็นท่า ทั้งที่ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ หมอแยมก็เดินเทศน์เธอมาตลอดทางจนหูชา กว่าจะกลับมาถึงร้านหญิงสาวรู้สึกว่าตัวหดเหลือเท่าเม็ดทราย แล้วยังวันนี้ยังจะมาเปิดเพลงตอกย้ำความซื่อบื้อของตนเองอีก... เฮ้อ! มีแต่คนใจร้าย
“สวัสดีค่ะ ร้านยอดข้าวยินดีต้อนรับค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งที่หน้าร้านดังขึ้น ร่างปราดเปรียวของคุณหมอสาวเดินเข้ามาตรงเคาท์เตอร์ ก่อนจะลากเก้าอี้ทรงสูงออก เมื่อนั่งเข้าที่เรียบร้อยรจนาก็ชูซองสีน้ำตาลขยายข้างขนาด A4 โยกไปโยกมาประกอบเพลง ดลินามองซองตรงหน้าอย่างระแวง... ไปทำอะไรมาอีกล่ะ
“แกต้องขอบใจฉัน”
“ฉันต้องขอบใจแกเรื่องอะไรไม่ทราบ”
“อยากรู้ป่ะล่ะ”
น้ำเสียงหยอกเหย้า ดวงตาระยิบอย่างคนเจ้าแผนการ อาการดีใจออกนอกหน้านอกตา ท่าทางเหมือนตื่นเต้นเสียเต็มประดา สำหรับดลินาแล้วบอกได้เลยว่า... อันตราย!
“ไม่อ่ะ ไม่อยากรู้”
“ตามใจ”
รจนาไม่เซ้าซี้เพื่อนรัก เมื่อดลินาไม่อยากรู้... ไม่เป็นไรเธออ่านให้ฟังก็ได้ รจนาเปิดซองออกก่อนจะหยิบกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษรมากมาย ดลินาทำเป็นไม่สนใจก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดบริเวณเคาท์เตอร์ขมีขมัน
“อะแฮ่ม! ร้อยตำรวจเอกศิวกร สัจจาวัฒนา เกิดวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ปัจจุบันอายุ 29 ปี รับราชการอยู่ที่สถานีตำรวจ... บิดาเป็นตำรวจแต่ได้เสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่ มารดาเป็นผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กสงเคราะห์... อ่ะย๊ะ!”
รจนาร้องอย่าตื่นเต้น... เว้นว่างเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามองปฏิกิริยาเพื่อสาวที่บอกว่าไม่สนใจ รจนาแทบจะปล่อยกร๊ากเมื่อคนที่ตั้งหน้าตั้งตาทำความสะอาดมายืนฟังตาโตอยู่ไม่ห่าง
“สถานะภาพโสด!!!!!”
รจนาเน้นคำว่าโสดพูดใส่หน้าเพื่อนสาว แล้วกลับมาอ่านเอกสารตรงหน้าต่อ
“ประวัติการทำงาน... หลังจากจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจก็ไปประจำอยู่ที่ชายแดนไทยพม่า จังหวัดเชียงรายอยู่ 6 ปี ในระหว่างปฏิบัติราชการอยู่นั้นได้ปะทะกับกลุ่มผู้ค้ายาเสพติด และอาวุธสงครามอยู่บ่อยครั้ง และยังเป็นครู ตชด. บ้างในบางโอกาส จนเมื่อ 2 ปีที่แล้วถูกขอตัวให้มาปฏิบัติหน้าที่ในกรุงเทพมหานครด้วยเหตุบางประการ วงเล็บเปิดเชื่อว่าเป็นคดีบางอย่างที่ไม่สามารถเปิดเผยได้วงเล็บปิด”
แหม่... อะไรมันจะรายงานละเอียดขนาดนี้ แถมยังไม่วิเคราะห์ความน่าจะเป็นมาให้ด้วย นักสืบคนนี้ใช้ได้เลยนะเนี่ย สมกับค่าจ้างแพงแสนแพง
“อะไรอีกล่ะ อ่านต่อสิ”
ดลินาสะกิดให้เพื่อนสาวอ่านต่อเมื่อเห็นรจนาหยุดอ่านไปเสียดื้อๆ รจนาร้องฮึอย่างไม่พอใจ แต่ก็ยอมอ่านต่อ
“ปัจจุบันอาศัยอยู่กับมารดาในบ้านเช่าแถว... เพียง 2 คน โดยในอดีตไม่มีประวัติเรื่องของแฟนสาวมาก่อน เนื่องจากบ้างาน ถึงแม้จะมีมาทอดไมตรีอยุ่เป็นประจำแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สานต่อไมตรีเหล่านั้น... จบ”
รจนาวางกระดาษแผ่นนั้นลงบนโต๊ะก่อนจะล่วงซองเอกสารหยิบรูปถ่ายจำนวน 5 ใบขึ้นมาวางเรียงไว้บนโต๊ะ ดลินาไม่รอช้าหยิบรูปของชายเจ้าของประวัติขึ้นมาดู หน้าเนียนใสเริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมจังหวะหัวใจที่เปลี่ยนแปลงไป... เห็นแค่รูปยังใจสั่นขนาดนี้ ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
รจนามองเพื่อนสาวที่หยิบรูปแต่ละใบขึ้นมาดูแล้วอดขำไม่ได้ ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างกับสาวแรกรุ่นที่ตกหลุมรักเป็นครั้งแรก นี้ถ้าไม่ติดว่าคนตรงหน้ามันท่ามากป่านนี้คงเต้นหย๋องๆ ร้องกรี๊ดลั่นร้านแล้วก็เป็นได้
“ฉันยังรอคำขอบใจจากแกอยู่”
รนาจาเอ่ยอย่างเป็นต่อ ดลินาเงยหน้าขึ้นมองเพื่อสาวที่นั่งเท่าคางหรี่ตามองมายังเธอแบเขินๆ แต่ยังไม่ยอมแพ้ง่าย
“นี้แกเล่นอย่างนี้เลยหรอ เข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนะเว้ย”
“ทำเป็นพูดดี... ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรอยะ มัวแต่รอให้แกลงมือจัดการเรื่องนี้รอจนเหนียงยานเรื่องก็ไม่ถึงไหนหรอก”
“หมดเงินไปเท่าไหร่”
“ไม่ต้องสนใจหรอก เอาเป็นว่าข้อมูลที่ได้ก็คุ้มค่าล่ะว้า”
ดลินาอ้าปากจะโต้เถียง เสียงโทรศัพท์ของคุณหมอสาวดังขัดจังหวะขึ้นเสียงก่อน
“สวัสดีค่ะ... อ๋อ! คุณต๋องว่าไงคะ… ค่ะ... ค่ะ... เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะเดี๋ยวดิฉันจะโอนเงินค่าตอบแทนให้ค่ะ... สวัสดีค่ะ”
รจนาวางสายก่อนจะใช้สายตาชวนขนหัวลุกมองไปที่ดลินา รอยยิ้มอย่างเจ้าแผนการระบายบนในหน้าสวยเฉียบ ดลินาถึงกับถอยหลังไปหนึ่งก้าวอัตโนมัติ
“ทำไมมองหน้าฉันอย่างนั้น”
“คราวนี้แกต้องทำตามที่ฉันบอกให้สำเร็จ ห้ามพลาดอย่างครั้งที่แล้วเด็ดขาด เข้าใจมั๊ย”
น้ำเสียงคุกคามแกมบีบบังคับทำให้ดลินาพยักหน้ารับทันที
“อันดับแรก ปิดร้านซะ... แล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“ปิดร้านทำไม แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าจะไปไหน”
รจนามองไปยังดลินาอย่างกับหมาป่าที่จ้องลูกแกะน้อยไม่มีทางสู้ เสียงหัวเราะหึๆ นั้นยิ่งทำให้ดลินาพอจะรู้ชะตากรรมของตนลางๆ แล้ว
“ทำตามที่ฉันบอกก็แล้วกัน ร้านเดี๋ยวฉันปิดเอง ส่วนแกไปเลี่ยนเสื้อซะเพราะว่าเราจะไปจ๊อกกิ้งกัน”
(ตามรัก 1)
อะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกของความรัก... คำพูดของเพื่อสาวตามหลอกหลอนเธอมาทั้งอาทิตย์ นาฬิกาปลุกข้างเตียงที่ตอนนี้เข็มสั้นเลยเลข 1 ของวันใหม่มา 30 นาที ร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงพลิกซ้าย พลิกขวา คว่ำหน้า นอนหงาย... สุดท้ายก็นอนไม่หลับ หญิงสาวเอาผ้าห่มผืนหนคลุมศรีษะก่อนจะตลบผ้าลุกขึ้นนั่ง หงุดหงิดสุดแสน
ทุกครั้งที่เธอนึกถึงหน้าของชายหนุ่มคมเข้มคนนั้น หน้าเธอจะแดง เกิดอาการประหม่า มือไม้ก็ดูเกะกะไปหมดไม่รู้จะเก็บไว้ตรงไหน ดลินาพยายามที่จะไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่ให้ชายคนนั้นมีอิทธิพลเหนือจิตใจของเธอจนไม่เป็นอันทำอะไร แต่สุดท้ายก็เหลวไม่เป็นท่า เธอลืมผู้ชายคนนั้นไม่ได้จริง ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังป่วยเป็นโรคจิตอย่างหนึ่ง
เธอพยายามปฏิเสธตัวเองอย่างหนักแน่นว่าสิ่งที่เธอกำลังเป็นอยู่ตอนนี้มันเป็นเรื่องโกหก เป็นเรื่องที่เธอคิดไปเอง แต่ในที่สุดเธอก็ยอมรับกับตัวเองแล้วว่า... กำลังตกหลุมรัก ใครคนหนึ่งเข้าให้แล้ว
“อ๊าก!!! นอนไม่หลับเว้ย...”
ร้องโวยวายอยู่คนเดียวในห้อง ในเมื่อพยายามที่จะนอนแต่ก็นอนไม่ได้หลับ สู้ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างจะดีกว่า คิดได้อย่างนั้นก็ลุกขึ้นเปิดไฟตั้งโต๊ะบนโต๊ะทำงานที่ตั้งคอมพิวเตอร์อยู่ ก่อนจะเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ทันทีที่เครื่องพร้อมใช้งานหน้าเวปแรกที่หญิงสาวเปิดก็คือ “เวปอากู๋” ถามอะไรตอบได้ทุกอย่าง
หญิงสาวกรอกรายชื่อสถานีตำรวจท้องที่เพื่อเข้าไปดูข้อมูลบางอย่างที่เธออยากรู้ 5 นาทีผ่านไป หญิงสาวก็ต้องผิดหวังเมื่อข้อมูลที่ต้องการไม่ปรากฏให้เห็น สิ่งที่เธอเข้าไปดูคือรายชื่อบุคลากรของสถานีนั้นเอง
“มีแต่ชื่อ แต่ไม่มีรูปแล้วจะรู้ได้อย่างไรกันว่าคุณชื่ออะไร”
หญิงสาวพึมพำกับตัวเองอย่างผิดหวัง แต่ก็ไม่ยอมแพ้เมื่อเธอพยายามเสิร์จหาข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ปล้นธนาคารที่เพิ่งผ่านมาในโลกออนไลน์ เพื่อที่จะดูว่ามีรูปผู้ชายคนนั้นหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวังเมื่อไม่มีรูปของคนนั้นปรากฏบนโลกออนไลน์แม้แต่น้อย
“ทำไมตอนนั้นไม่ใจกล้า ถามชื่อเขาไปนะ จะได้ไม่ต้องมานั่งกลุ่มใจแบบนี้ แกมันไม่ได้เรื่องอย่างที่ยายแยมว่าไว้จริงๆ เลยยายข้าวเอ้ย”
แสงแดดที่ส่องแสงลงมาชวนให้แสบผิว หลายคนต่างพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้แสงแดดแผดเผา ไม่ยืนตามชายคาที่ร่ม ไม่อย่างนั้นก็กางร่มเดินกันตามทางเท้า ที่ป้ายรถเมล์แห่งหนึ่งมีหญิงสาวสองนางกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ป้ายรถเมล์ แต่ไม่ได้มีทีถ้าว่าจะรอขึ้นรถเมล์สายไหนเป็นพิเศษ โดยที่สายตาของคนทั้งคู่จับจ้องไปที่สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง ไม่ว่าใครเข้าใครออกไม่มีทางพลาดสายตาของคนทั้งคู่ไปได้
ดลินาหันไปมองเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันอย่างอ่อนใจ ทั้งที่เธอพยายามปฏิเสธแล้วว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด การที่มานั่งดักรอให้เป้าหมายเดินออกมาจากสถานีตำรวจนั้นความเป็นไปได้แทบจะเป็นศูนย์ แถมจะโดนเขาหาว่าเป็นโรคจิตอีก
เมื่อเช้าขณะที่เธอกำลังจะเปิดร้านรจนาก็เข้ามาประชิดตัวทันที พร้อมกับบังคับให้เธอปิดร้านและลากให้เธอมานั่งทนร้อนอยู่ที่ป้านรถเมล์แห่งนี้เกือบ 2 ชั่วโมงเข้าไปแล้ว
“แยมฉันว่าแกเลิกเถอะ มานั่งดักรอดูอย่างนี้คงไม่ได้เรื่องหรอก”
“ไม่! ฉันไม่ยอมแพ้หรอก แกเชื่อฉันสิยายข้าว เดี๋ยวคุณตำรวจสุดหล่อของแกต้องเดินออกมาจากสถานีแน่ๆ”
“ถ้าโดนจับได้ เขาก็หาว่าฉันเป็นพวกโรคจิตน่ะสิ เสียหายหลายแสนเลยนะ”
“แกอย่างไปกลัว แกชอบเขาไม่ใช่หรอ เพราะฉะนั้นแกต้องพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อให้ได้ใกล้ชิดเขาสิ”
“แต่แบบนี้มันเกินไปนะ”
รจนาได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้นก็รีบเอานิ้วจิ้มที่ขมับเพื่อนสาวย้ำๆ หลายทีอย่างหมั่นไส้ จนดลินาต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บ ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อนรักของเธอมีอากาศเหมือนคนอกหักเข้าไปทุกวันจนรจนาทนไม่ได้ที่เห็นเพื่อนตนเองซึมเศร้าแบบนั้น จึงได้คิดหาหนทางที่จะทำให้ดลินาได้เจอกับผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง... ฉันนี่แหละจะเป็นกามเทพให้กับแกเองยายข้าว ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
“ฉันจะบอกแกไว้อย่างนะยายข้าว ถ้าฉันไม่ชวนแกมาด้วยเนี่ยป่านนี้ฉันลุยเดี่ยวเดินเข้าไปในสถานีแล้วไล่ถามทีละคนด้วยซ้ำไป”
“แยม... ฉันรู้แกหวังดี แต่ก็ทำอะไรให้มันมีขอบเขตบ้างสิ”
“ไม่รู้ล่ะ ถ้าวันนี้ฉันไม่เจอพ่อเทพบุตรของแกฉันไม่เลิก”
ดลินากำลังจะอ้าปากว่าเพื่อนสาว แต่ยังไม่ได้เอ่ยอยู่ดีๆ รจนาก็ชี้มือชี้ไม้ไปข้างอย่างอย่างตะลึง
“นั้น!! นั้นไงยายข้าว ออกมาแล้ว”
ดลินาหันไปมองตามนิ้วของรจนาที่ชี้ไปข้างหน้า ถึงแม้ระยะทางค่อนข้างไกลแต่รูปร่างท่าทางนั้นคุ้นใจของดลินาเป็นอย่างมาก ดลินาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องไร้สาระที่รจนาชวนทำอยู่นี้จะทำให้เธอได้เจอกับชายหนุ่มที่ทำให้หัวใจเธอเต้นแรงจริงๆ รจนาตบฉาดเข้ามาที่ไหล่ของดลินาอย่างตื่นเต้น โดยไม่สนใจสายตาของผู้คนรอบข้างที่กำลังยืนรอรถโดยสารประจำทางเลยสักนิด
“นั้นไง ฉันบอกแกแล้วว่าเขาจะต้องออกมาเห็นมั้ย”
ดลินาตอนนี้ยังคงแปลกใจไม่หาย ทำท่าปากพะงาบๆ พูดไม่ออก ชายหนุ่มที่พบเมื่อสองอาทิตย์ก่อน รจนาตีเพี๊ยะไปที่แขนของดลินาเพื่อให้เพื่อนสาวกลับมาสู่โลกอีกครั้ง
“ไปยายข้าว! ตามเร็ว”
ว่าแล้วรจนาก็ลากดลินาให้รีบเดินตามไปทางเดียวกับที่ชายหนุ่มผู้เป็นเป้าหมาย อย่างไม่ให้คลาดสายตา ส่วนคนถูกตามเหมือนจะไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้ จะทำให้ชีวิตประจำวันบางอย่างของเขาเปลี่ยนไป
*****************************
เวลา 11 นาฬิกา 30 นาที สำหรับเวลาใกล้เที่ยงเช่นนี้ ผู้คนมากมายเริ่มทยอยออกมาเติมพลังงานให้กับร่างกาย ร้านขายอาหารหลายร้านเริ่มมีผู้คนเข้ามานั่งรับประทานอาหารกันอย่างหนาตา ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวร้านหนึ่งผู้คนต่างสับเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าออกร้าน ที่มุมหนึ่งของร้าน ชายผู้เป็นเป้าหมายของสองสาวกำลังนั่งดื่มชาดำเย็นด้วยความสบายใจ
ทิศที่เขานั่งสามารถเห็นผู้คนเข้าออกร้านได้ถนัด พนักงานของร้านวางชามก๋วยเตี๋ยวจังหวะพอดีกับหญิงสาวสองคนเดินเข้ามาในร้าน หญิงสาวที่เดินเข้ามาก่อนเขาเพียงแค่คุ้นหน้าเท่านั้น แต่คนที่เดินตามมาทีหลังนี้สิ... เขาจำได้แทบจะในทันที แต่เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไม่สองสาวถึงได้ดูเหนื่อยหอบอย่างไรก็ไม่รู้ แถมใบหน้าก็แดงเหงื่อซึมตามไรผม หรืออาจจะเป็นเพราะข้างนอกแดดแรงมากก็เป็นได้
เขาเห็นหญิงสาวคนที่เดินนำหน้ามานั่งลงข้างๆ โต๊ะตัวที่เขานั่งซึ่งเป็นโต๊ะที่ตั้งคู่กัน ส่วนหญิงสาวอีกคนก็เดินตามเข้ามานั่งตรงข้าม เมื่อเธอลดตัวนั่งเขาก็ได้สบตาเข้ากับเธอ จังหวะนั้นชายหนุ่มกำลังจะยิ้มทักทายแต่หญิงสาวหันกลับไปเหมือนกับไม่สนใจเขาสักนิด... เธอจำเขาไม่ได้หรือไง
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังนั่งสงสัยอยู่นั้น หญิงสาวก็นั่งใจเต้นรัวเป็นกลองศึก มือไม้ทั้งสองข้างเย็นหมดแล้ว ส่วนคนเจ้าแผนการที่นั่งตรงข้ามกับดลินาแอบลอบยิ้มอย่างพึงใจ เพราะดูเหมือนว่าชายหนุ่มข้างๆ จำเพื่อนของเธอได้ แถมยังมีทีท่าจะทักทายอีกต่างหาก ดีที่เธอเตี๊ยมกับดลินาไว้แล้วก่อนจะเดินเข้ามาในร้านว่า... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามดลินาทักเขาก่อน และก็ต้องทำเป็นไม่รู้จักเขาด้วย
“น้องคะสั่งก๋วยเตี๋ยวหน่อย พี่เอาเล็กโฟ... แกเอาไรข้าว”
รจนาเน้นเสียงตรงชื่อเพื่อนสาวอย่างจงใจ แอบชำเลืองดูคนข้างๆ เห็นเขานั่งกินก๋วยเตี๋ยวไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเธอทั้งสองคน... ไม่สนใจใช่มั้ยได้เลย คอยดูฤทธิ์เดชหมอแยมก่อนเถอะ
“ตกลงว่าจะกินอะไร”
“เอ่อ.. ขอเส้นใหญ่ต้มยำก็แล้วกัน แล้วก็น้ำเขียว 1 น้ำแข็งเปล่า 2 ค่ะ”
ดลินาสั่งเสร็จก็เงียบกริบไม่กล้าหันไปทางซ้ายเลยสักนิด รจนาเห็นว่าเพื่อนรักไม่ได้ดั่งใจก็โมโห ยิ่งเห็นคนข้างๆ นั่งเงียบก็ยิ่งโมโหเข้าไปอีก... ได้!!
รจนาชวนดลินาคุยไปเรื่อย ส่วนคนข้างๆ ทำเหมือนไม่สนใจ แต่ตั้งใจฟังทั้งคู่กำลังคุยกันอยู่ จังหวะการกินดูจะช้าลง ตั้งใจฟังทั้งสองคนมากขึ้นจนตนเองก็แปลกใจ... นี่เขาหวังอยากจะได้ยินอะไรกัน
“นั้นสินะ.. เออจริงสิฉันถามอะไรแกหน่อยสิ ตกลงเมื่อไหร่แกจะมีแฟน”
พรวด!!! คำถามที่ยิงมาอย่างไม่ตั้งตัวทำให้ดลินาถึงกับสำลักน้ำก๋วยเตี๋ยวที่กำลังซด ไอโขรกๆ หน้า หู ตา แดงไปหมด หญิงสาวมองหากระดาษทิชชูเพื่อจะมาเช็ดปาก เช็ดน้ำตา แล้วอยู่ดีกระดาษทิชชูเนื้อสีขาวก็ลอยอยู่ตรงหน้าเธอ ดลินารีบคว้ามาแล้วเอามาปิดปากก่อนจะไอตามมาอีก 5-6 ที
ดลินารีบดื่มน้ำตามทันทีที่สามารถควบคุมการไอของตนได้ เมื่อตั้งสติได้อีกครั้งดลินาเงยหน้ามองเพื่อนสาวที่นั่งตรงหน้าอย่างคาดโทษ ยังไม่ทันที่จะได้อ้าปากว่าเพื่อนสาวตัวดีกระดาษทิชชูก็ถูกยื่นมาตรงหน้าเธออีกครั้ง
“ไม่เป็นไรแล้วนะครับ”
ดลินามองกระดาษทิชชู แล้วจึงเงยหน้าคนที่มีน้ำใจส่งกระดาษทิชชูให้เธอ... ตอนนี้สิ่งที่เธออยากทำไม่ใช่การรับกระดาษทิชชูนั้นมา แต่เธออยากจะมุดลงดินหนีไปจากตรงนี้... ตาย! หมดกันเขาคงเห็นภาพทุเรศๆ ของเธอเข้าแล้วแน่ๆ เลย
แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทดลินาจึงจำใจรับกระดาษทิชชูนั้นมา พึมพำขอบคุณเขาเบาๆส่วนคนที่ยิงคำถามที่ทำให้เธอสำลักเกือบตายนั้น นั่งเท้าคางดูภาพตรงหน้าอย่างสมใจ เมื่อสักครู่ทันทีที่เห็นดนิลาสำลักน้ำก๋วยเตี๋ยวชายหนุ่มข้างเธอก็รีบลุกขึ้นไปนั่งข้างๆ เพื่อเธอทันที
“ดีขึ้นหรือยังครับ”
“ดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ... แล้วก็ต้องขอโทษด้วยนะคะเสียมารยาทไปเยอะเลย คุณทานต่อเถอะค่ะฉันไม่เป็นไรแล้ว”
ดลินาบอกปัดพยายามสุดชีวิตไม่ให้เสียสั่น และยังคงทำเป็นเหมือนไม่เคยพบคนตรงข้างมาก่อน ส่วนชายหนุ่มขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจ แต่ก็ไม่ว่าอะไร เขานั่งนิ่งเงียบก่อนจะลุกจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวก่อนจะออกจากร้านไป ทิ้งให้คนที่ทำเป็นลืมหน้าเสีย
“ยายข้าว... ยายบ้า! แกปล่อยให้เขาไปได้ไง แกทำทุกอย่างเจ๊งหมดเลย ทำไมไม่สานต่อ”
รจนารีบต่อว่าเพื่อนสาวที่นั่งหน้าจ๋อยทันทีที่พ้นร่างของชายหนุ่มไป
“ก็ฉันป๊อดนี่”
“แล้วมาป๊อดบ้าอะไรตอนนี้ ทีเมื่อก่อนยังใจกล้าทำเงินให้ชาวบ้านเขาได้ตั้งหลายสิบล้าน แล้วเรื่องแค่นี้ทำไมแกถึงได้ใจฝ่อนักนะ”
“ก็... อยู่ต่อหน้าฉันทำอะไรไม่ถูกนี้ สมองมันไม่สั่งการอ่ะ”
“โอ้ย!!! ฉันจะบ้าตาย”
รจนาร้องโอดโอยเพื่อนสาวที่อยู่ดีๆ ก็เกิดอาการป๊อดขึ้นมา เรื่องอื่นล่ะเก่งสารพัดพอมาเรื่องรัก ดับอนาถเลยจริงเชียว รจนามองเพื่อนสาวที่กลับมานั่งซึมอีกครั้งอย่างเหนื่อยใจ... ชอบเขาแท้ๆ แต่ใจปลาซิว แล้วอย่างนี้อนาคตของเพื่อนเธอจะเป็นยังไงต่อไปล่ะเนี่ย
*****************************
อย่างเธอแค่มองไม่ได้หรอก... ให้มองอย่างเดียวไม่ได้หรอก…พบคนโดนใจอย่างเธอ ถ้าไม่คุยกับเธอ “ฉันเสียดายของ” ปล่อยเธอผ่านไปไม่ได้หรอก... ไม่รู้จักเธอไม่ได้หรอก… แม้เราเพิ่งเคยพบกัน แต่เธอได้ใจฉันไปครอบครอง...
เสียงเพลงจากสถานีวิทยุคลื่นหนึ่งดังแทงใจดลินาอย่างแรง แค่วันนั้นวันที่แผนล้มเหลวไม่เป็นท่า ทั้งที่ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ หมอแยมก็เดินเทศน์เธอมาตลอดทางจนหูชา กว่าจะกลับมาถึงร้านหญิงสาวรู้สึกว่าตัวหดเหลือเท่าเม็ดทราย แล้วยังวันนี้ยังจะมาเปิดเพลงตอกย้ำความซื่อบื้อของตนเองอีก... เฮ้อ! มีแต่คนใจร้าย
“สวัสดีค่ะ ร้านยอดข้าวยินดีต้อนรับค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งที่หน้าร้านดังขึ้น ร่างปราดเปรียวของคุณหมอสาวเดินเข้ามาตรงเคาท์เตอร์ ก่อนจะลากเก้าอี้ทรงสูงออก เมื่อนั่งเข้าที่เรียบร้อยรจนาก็ชูซองสีน้ำตาลขยายข้างขนาด A4 โยกไปโยกมาประกอบเพลง ดลินามองซองตรงหน้าอย่างระแวง... ไปทำอะไรมาอีกล่ะ
“แกต้องขอบใจฉัน”
“ฉันต้องขอบใจแกเรื่องอะไรไม่ทราบ”
“อยากรู้ป่ะล่ะ”
น้ำเสียงหยอกเหย้า ดวงตาระยิบอย่างคนเจ้าแผนการ อาการดีใจออกนอกหน้านอกตา ท่าทางเหมือนตื่นเต้นเสียเต็มประดา สำหรับดลินาแล้วบอกได้เลยว่า... อันตราย!
“ไม่อ่ะ ไม่อยากรู้”
“ตามใจ”
รจนาไม่เซ้าซี้เพื่อนรัก เมื่อดลินาไม่อยากรู้... ไม่เป็นไรเธออ่านให้ฟังก็ได้ รจนาเปิดซองออกก่อนจะหยิบกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษรมากมาย ดลินาทำเป็นไม่สนใจก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดบริเวณเคาท์เตอร์ขมีขมัน
“อะแฮ่ม! ร้อยตำรวจเอกศิวกร สัจจาวัฒนา เกิดวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ปัจจุบันอายุ 29 ปี รับราชการอยู่ที่สถานีตำรวจ... บิดาเป็นตำรวจแต่ได้เสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่ มารดาเป็นผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กสงเคราะห์... อ่ะย๊ะ!”
รจนาร้องอย่าตื่นเต้น... เว้นว่างเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามองปฏิกิริยาเพื่อสาวที่บอกว่าไม่สนใจ รจนาแทบจะปล่อยกร๊ากเมื่อคนที่ตั้งหน้าตั้งตาทำความสะอาดมายืนฟังตาโตอยู่ไม่ห่าง
“สถานะภาพโสด!!!!!”
รจนาเน้นคำว่าโสดพูดใส่หน้าเพื่อนสาว แล้วกลับมาอ่านเอกสารตรงหน้าต่อ
“ประวัติการทำงาน... หลังจากจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจก็ไปประจำอยู่ที่ชายแดนไทยพม่า จังหวัดเชียงรายอยู่ 6 ปี ในระหว่างปฏิบัติราชการอยู่นั้นได้ปะทะกับกลุ่มผู้ค้ายาเสพติด และอาวุธสงครามอยู่บ่อยครั้ง และยังเป็นครู ตชด. บ้างในบางโอกาส จนเมื่อ 2 ปีที่แล้วถูกขอตัวให้มาปฏิบัติหน้าที่ในกรุงเทพมหานครด้วยเหตุบางประการ วงเล็บเปิดเชื่อว่าเป็นคดีบางอย่างที่ไม่สามารถเปิดเผยได้วงเล็บปิด”
แหม่... อะไรมันจะรายงานละเอียดขนาดนี้ แถมยังไม่วิเคราะห์ความน่าจะเป็นมาให้ด้วย นักสืบคนนี้ใช้ได้เลยนะเนี่ย สมกับค่าจ้างแพงแสนแพง
“อะไรอีกล่ะ อ่านต่อสิ”
ดลินาสะกิดให้เพื่อนสาวอ่านต่อเมื่อเห็นรจนาหยุดอ่านไปเสียดื้อๆ รจนาร้องฮึอย่างไม่พอใจ แต่ก็ยอมอ่านต่อ
“ปัจจุบันอาศัยอยู่กับมารดาในบ้านเช่าแถว... เพียง 2 คน โดยในอดีตไม่มีประวัติเรื่องของแฟนสาวมาก่อน เนื่องจากบ้างาน ถึงแม้จะมีมาทอดไมตรีอยุ่เป็นประจำแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สานต่อไมตรีเหล่านั้น... จบ”
รจนาวางกระดาษแผ่นนั้นลงบนโต๊ะก่อนจะล่วงซองเอกสารหยิบรูปถ่ายจำนวน 5 ใบขึ้นมาวางเรียงไว้บนโต๊ะ ดลินาไม่รอช้าหยิบรูปของชายเจ้าของประวัติขึ้นมาดู หน้าเนียนใสเริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมจังหวะหัวใจที่เปลี่ยนแปลงไป... เห็นแค่รูปยังใจสั่นขนาดนี้ ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
รจนามองเพื่อนสาวที่หยิบรูปแต่ละใบขึ้นมาดูแล้วอดขำไม่ได้ ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างกับสาวแรกรุ่นที่ตกหลุมรักเป็นครั้งแรก นี้ถ้าไม่ติดว่าคนตรงหน้ามันท่ามากป่านนี้คงเต้นหย๋องๆ ร้องกรี๊ดลั่นร้านแล้วก็เป็นได้
“ฉันยังรอคำขอบใจจากแกอยู่”
รนาจาเอ่ยอย่างเป็นต่อ ดลินาเงยหน้าขึ้นมองเพื่อสาวที่นั่งเท่าคางหรี่ตามองมายังเธอแบเขินๆ แต่ยังไม่ยอมแพ้ง่าย
“นี้แกเล่นอย่างนี้เลยหรอ เข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนะเว้ย”
“ทำเป็นพูดดี... ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรอยะ มัวแต่รอให้แกลงมือจัดการเรื่องนี้รอจนเหนียงยานเรื่องก็ไม่ถึงไหนหรอก”
“หมดเงินไปเท่าไหร่”
“ไม่ต้องสนใจหรอก เอาเป็นว่าข้อมูลที่ได้ก็คุ้มค่าล่ะว้า”
ดลินาอ้าปากจะโต้เถียง เสียงโทรศัพท์ของคุณหมอสาวดังขัดจังหวะขึ้นเสียงก่อน
“สวัสดีค่ะ... อ๋อ! คุณต๋องว่าไงคะ… ค่ะ... ค่ะ... เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะเดี๋ยวดิฉันจะโอนเงินค่าตอบแทนให้ค่ะ... สวัสดีค่ะ”
รจนาวางสายก่อนจะใช้สายตาชวนขนหัวลุกมองไปที่ดลินา รอยยิ้มอย่างเจ้าแผนการระบายบนในหน้าสวยเฉียบ ดลินาถึงกับถอยหลังไปหนึ่งก้าวอัตโนมัติ
“ทำไมมองหน้าฉันอย่างนั้น”
“คราวนี้แกต้องทำตามที่ฉันบอกให้สำเร็จ ห้ามพลาดอย่างครั้งที่แล้วเด็ดขาด เข้าใจมั๊ย”
น้ำเสียงคุกคามแกมบีบบังคับทำให้ดลินาพยักหน้ารับทันที
“อันดับแรก ปิดร้านซะ... แล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“ปิดร้านทำไม แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าจะไปไหน”
รจนามองไปยังดลินาอย่างกับหมาป่าที่จ้องลูกแกะน้อยไม่มีทางสู้ เสียงหัวเราะหึๆ นั้นยิ่งทำให้ดลินาพอจะรู้ชะตากรรมของตนลางๆ แล้ว
“ทำตามที่ฉันบอกก็แล้วกัน ร้านเดี๋ยวฉันปิดเอง ส่วนแกไปเลี่ยนเสื้อซะเพราะว่าเราจะไปจ๊อกกิ้งกัน”

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ม.ค. 2556, 16:07:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ม.ค. 2556, 16:07:52 น.
จำนวนการเข้าชม : 1372
<< บทที่ 1 (แรกพบ... 2) | บทที่ 2 (ตามรัก... 2) >> |

Auuuu 3 ม.ค. 2556, 17:52:37 น.
หมอแยมเลิศค่าาา
หมอแยมเลิศค่าาา

yoon 3 ม.ค. 2556, 22:01:58 น.
สุดยอดเลยคุณหมอแยม
สุดยอดเลยคุณหมอแยม