บ่วงรักแรงอธิษฐาน
รักในปัจจุบันผูกพันกับรักที่ปวดร้าวในอดีตชาติ
คำอธิษฐานและบุพเพสันนิวาสนำเขาและเธอกลับมาพบกันอีกครั้ง
แต่จะทำเช่นไรเมื่อหนึ่งคือเพื่อนรักที่ยอมสละชีพเพื่อเราและหนึ่งคือยอดดวงใจที่เฝ้ารักเฝ้ารอมาหลายภพชาติ
Tags: ย้อนอดีต ระลึกชาติ บุพเพสันนิวาส

ตอน: ตอนที่ 11 ผู้เสียสละ


“บุกเข้าไป !”
“ฆ่ามัน ! เฮ...”
เสียงโห่ร้องคำรามอย่างบ้าคลั่งจากรี้พลทั้งสองฝ่ายดังอื้ออึงไปทั่วท้องทุ่งหนองสาหร่าย เสียงปืนใหญ่ที่ต่างฝ่ายระดมยิงพร้อมเสียงระเบิดและเสียงร้องโหยหวนของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายดังขึ้นเป็นระยะ ลูกธนูจำนวนมหาศาลแหวกอากาศสวนทางกันหวังตัดกำลังคู่ต่อสู้ในระยะไกลให้ได้มากที่สุด หน่วยทะลวงฟันวิ่งฝ่าพายุอันแหลมคมนั้นพุ่งไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญคนแล้วคนเล่าที่ต้องจบชีวิตเพื่อเป็นเกราะให้กับอีกหลายๆ ชีวิตได้มีโอกาสพิชิตเป้าหมายกุดหัวศัตรูให้หลั่งเลือดสังเวยแผ่นดินอโยธยา

“เข้ามาเลย ชาวอโยธยาไม่เคยเกรงกลัวพวกพม่ารามัญอย่างพวกเอ็งดอก”
ทอง และจัน สองนักรบผู้กล้าจากหมู่บ้านหนองไผ่ล้อมกระโจนเข้าหาศัตรูผู้รุกรานอย่างไม่หวั่นเกรงภยันตรายแม้แต่น้อย ดาบสองมือสอดประสานเกรี้ยวกราดแกว่งไกวอีกครั้ง ทุกฝีดาบฟาดฟันอย่างมีเป้าหมาย กำลังพลที่ถาโถมเข้ามาประดุจคลื่นยักษ์มีอันต้องล้มตายศีรษะกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง สายเลือดแดงฉานพวยพุ่งจากบาดแผลประหนึ่งหยาดฝนที่โปรยปรายให้กำลังใจของไพร่พลชุ่มชื่นฮึกเหิมเป็นเท่าทวี

“ถวายอารักขาพ่ออยู่หัว !”
ทหารจตุรงคบาทผู้มีเพลงยุทธล้ำเลิศต่างทำหน้าที่ของตนอย่างสุดกำลังเช่นกัน เหล่าศัตรูที่กรูกันเข้ามาหวังปลงพระชนม์พ่ออยู่หัวต้องดับดิ้นด้วยคมดาบที่ไม่เคยคิดจะปรานีพวกมัน

เจ้าพระยาไชยานุภาพ คชาธารหนุ่มคู่พระบารมีก็เก่งกล้าไม่แพ้กัน ข้าศึกคนแล้วคนเล่าที่ต้องกระเด็นกระดอนเพราะแรงเตะ บ้างก็กระทืบด้วยเท้าให้ดับดิ้นสิ้นใจ บ้างก็ใช้งวงจับหักกระดูกจนแทบจะแหลกเหลวไปทั้งตัว อา..ใครหน้าไหนยังอยากจะลองดี เข้ามาเลย!! และฉับพลันนั้น...
เจ้าพระยาไชยานุภาพหึกเหิมสุดขีดเมื่อได้ยินเสียงกลองที่รัวสนั่น วิ่งพาพ่ออยู่หัวเสด็จล่วงหน้าฝ่ากองทัพของอริราชศัตรูโดยไม่รั้งรอรี้พล
“ตามถวายอารักขาพ่ออยู่หัว!”

ปราณ ผู้อยู่ในฐานะเฝ้าสังเกตการณ์พลอยอกสั่นขวัญระทึก เสียงลือเสียงเล่าอ้างอันใดที่เคยได้รู้มาเกี่ยวกับการศึกเทียบไม่ได้เลยกับภาพที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าซึ่งชัดเจนประหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์จริง ชายหนุ่มเฝ้ามองบรรพบุรุษไทยคนแล้วคนเล่าที่ต้องจบชีวิตลง ตลอดทางกลาดเกลื่อนด้วยคนเจ็บและคนตาย กว่าจะรวมผืนแผ่นดินเอาไว้ให้ลูกหลานได้อาศัยต้องแลกมาด้วยชีวิตของผู้กล้ามากมายถึงเพียงนี้



หมู่บ้านหนองไผ่ล้อมยามนี้เงียบเหงานัก มีเพียงเด็ก ผู้หญิง และคนชรา ต่างนับวันนับคืนเฝ้ารอวันที่เหล่าผู้กล้าของหมู่บ้านจะหวนกลับมา กลับมาทำหน้าที่สามี พ่อ ลูกชาย พี่ชาย น้องชาย และคนรัก กลับมาทำให้บรรยากาศของหมู่บ้านแห่งนี้ดูคึกคักมีชีวิตชีวาอีกครั้ง แม้จะถูกจำกัดด้วยเหตุบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงคราม แต่ต่อให้ต้องตกระกำลำบากอย่างไร เพียงได้อยู่กันพร้อมหน้า เท่านั้นก็สามารถเติมเต็มบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายให้ครบถ้วนสมบูรณ์ได้ พุดซ้อนนั่งอยู่เดียวดายกลางสายลมบนแคร่เตี้ยหลังบ้าน ทอดสายตาไปยังทุ่งหญ้าเขียวขจีไล่เรื่อยไปถึงเนินเขาอย่างเลื่อนลอย

“เจ้าประคุณ...ขอให้พี่ทองพี่จันและทุกคนปลอดภัยกลับมาด้วยเถิด” คนเราถ้าไร้ซึ่งความหวังและกำลังใจ ก็คงไร้เรี่ยวแรงไร้เหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ และก่อนที่จะให้กำลังใจผู้อื่นเราจะต้องรู้จักให้กำลังใจตัวเอง อย่าปล่อยให้ความห่อเหี่ยวแห้งแล้งได้มีโอกาสเกาะกินหัวใจ หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็...อย่าให้มันอยู่นาน

‘พี่ทองและพี่จันต่างก็ฝีมือเก่งกล้า จะต้องไม่มีใครเป็นอะไร’ มือเรียวลูบหัวนุ่มๆ ของเจ้าตุ๊กตาตัวน้อย เพื่อนที่ไว้ใจได้มากที่สุดในเวลานี้ และเป็นสิ่งที่ทำให้พุดซ้อนสามารถสัมผัสได้ถึงความรักและความผูกพันจากพี่ชายทั้งสองได้อย่างใกล้ชิดที่สุด ดวงหน้างามก้มลงมองเจ้าตุ๊กตานิ่ง

‘พี่ทองกับพี่จันจะต้องปลอดภัยใช่ไหม...’



“บุกเข้าไป ตามเสด็จถวายอารักขา!”
ทั้งหน่วยทะลวงฟัน เหล่าทหารจตุรงคบาท และรี้พลจากฝั่งอโยธยาต่างต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิตเพื่อฝ่าคลื่นทหารข้าศึกหวังตามเสด็จพ่ออยู่หัวให้ทัน
“ไอ้ทอง ไปเร็ว!” สองนักรบแห่งหมู่บ้านหนองไผ่ล้อมฝ่าดงข้าศึกผ่านมาได้ก่อน ทหารจตุรงคบาทยังติดอยู่ในวงล้อมแต่ด้วยฝีมือที่เหนือชั้นกว่าทหารเลวหลายสิบเท่าน่าจะใช้เวลาอีกเพียงอึดใจ

พญาราชสีห์สองตัวกระโจนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วดุจพายุ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่คมดาบเฉือนผ่านร่างข้าศึกที่กรูกันเข้ามาอย่างแทบไม่ต้องชะลอฝีเท้า ทหารชั้นนายกองสองนายบนหลังม้าพร้อมอาวุธครบมือพุ่งเข้ามาหวังกำจัดสองหนุ่มให้สิ้นซาก ทว่าคนที่ชะตาขาดเห็นทีต้องเป็นพวกมันเสียแล้ว สองหนุ่มรวบด้ามดาบไว้ในมือเดียว ก่อนจะคว้าเสาธงในมือทหารเลวที่นอนสิ้นใจอยู่ใกล้ๆ

“มันจะทำอะไรของมัน คิดจะเอาชีวิตข้าด้วยเสาธงรึไง ดูถูกฝีมือข้าเกินไปแล้ว” หนึ่งในสองนั้นคำรามอย่างลุแก่โทษะ เงื้อดาบคมกริบหวังจะฟันให้ขาดสองท่อน อีกคนมาพร้อมง้าวที่เงื้อมาแต่ไกลเช่นกัน แต่...
ยังไม่ทันได้มองด้วยซ้ำว่าเสาธงยาวนั้นพุ่งมาตั้งแต่เมื่อไหร่ สองนายกองต้องตาเหลือกถลน หน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เพราะบัดนี้เสาธงได้ปักทะลุกลางอกไปเรียบร้อยแล้ว คำถามสุดท้ายก่อนที่พญามัจจุราชทั้งสองจะทะยานขึ้นมาถึงตัวผุดขึ้นในหัวของพวกมัน ‘เจ้าพวกนี้มัน...เป็นใคร?’

“บอกกับพญายมว่า ข้าชื่อ...จัน!”
ฉัวะ! ฉัวะ!




“ทำอะไรอยู่รึพุดซ้อน?”
กระถินนั่นเอง หลายวันมานี้พุดซ้อนแทบจะไม่ได้ออกไปพบปะผู้คนในหมู่บ้าน ไม่อยากจะพบใคร ไม่อยากพูดคุยกับใคร โดยเฉพาะ...

“เปล่า... กระถินมีธุระอะไรกับพุดซ้อนรึ” เอื้อนเอ่ยแผ่วเบาไม่ได้หันไปมองเจ้าของเสียงทักทายเสียด้วยซ้ำ
“ทำไมล่ะพุดซ้อน เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือแล้วทำไมกระถินมาหาพุดซ้อนจะต้องมีธุระด้วยเล่า” คนที่เคยได้ชื่อว่า ‘เพื่อน’ ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ก้มลงมองเสี้ยวหน้าของเพื่อนสาวด้วยความห่วงใย หลายวันมานี้พุดซ้อนเหมือนมีบางสิ่งเก็บไว้ในใจ

เจ้าของเสี้ยวหน้างามหันมองหน้าแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบเบือนไปทางอื่น ไม่อยากให้อีกฝ่ายจับได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับความรู้สึก กับความสัมพันธ์ที่เคยดีมาแต่ก่อนเก่า ‘เพื่อน?’ ใช่...เพื่อน พุดซ้อนชักจะไม่แน่ใจในความหมายของคำคำนี้เสียแล้ว
ท่าทีเฉยชาของเพื่อน ทำให้ผู้มาเยือนพอจะนึกออกว่า อะไรคือสาเหตุที่แท้จริง
“กระถินขอโทษเรื่องพี่ทอง แต่...”

“พุดซ้อนไม่อยากฟัง” ร่างบางรีบลุกขึ้นและหัวใจมันสั่งให้สองเท้าต้องรีบเดินหนีเร็วที่สุด ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากรับฟังอะไรทั้งนั้น เพียงแค่นี้หัวใจอ่อนๆ ของพุดซ้อนยังบอบช้ำไม่พอหรือไง หรือต้องให้ตายลงไปตรงนี้ ‘เพื่อน’ ถึงจะพอใจ น้ำตาเจ้ากรรมปริ่มๆ และร่วงเผาะอีกครั้ง

“พี่ทองกับกระถินเราเป็นแค่พี่น้องกันนะพุดซ้อน...”




“ไอ้ทอง เอ็งอยู่ไหน”
“ข้าอยู่นี่ ไอ้จันไปเร็ว!” ทั้งควันไฟฝุ่นผงควันระเบิดและดินปืนฟุ้งตลบไปทั่วบริเวณจนแทบจะมองไม่เห็น ทองและจันตามเสด็จพ่ออยู่หัวเกือบจะทันอยู่แล้ว ทว่ากลับมองไม่เห็นสิ่งใด คงได้ยินแต่พระสุรเสียงที่ประกาศก้องกับเทพยาดาฟ้าดินอยู่ใกล้ๆ

"ให้เราบังเกิดมาในประยูรมหาเศวตฉัตร จะให้บำรุง พระบวรพุทธศาสนา ไฉนจึงมิช่วย ให้สว่าง แลเห็นข้าศึกเล่า”

ฉับพลันนั้นสายลมได้กรรโชกมาวูบใหญ่พากลุ่มควันและฝุ่นผงให้จางหายไป ทัพข้าศึกค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้น ‘เราอยู่ในวงล้อมข้าศึก’ หน่วยทะลวงฟันและเหล่าทหารจตุรงคบาทกำลังฝ่าวงล้อมเข้ามาไกลๆ

“ไอ้จัน ระวัง!”
ไวกว่าเสียง คมดาบในมือของทองก็ตวัดฉับที่ลำคอของข้าศึกที่ตรงเข้าหวังปลิดชีพจันจากทางด้านหลัง ศีรษะของมันมีอันต้องขาดกระเด็น
“ขอบใจเอ็งนักเพื่อน” และจากนั้นทหารพม่านับสิบนับร้อยก็กรูกันเข้าลิ้มรสคมดาบของสองสหายจากหมู่บ้านหนองไผ่ล้อมจนอิ่มเอมไปตามๆ กัน แต่...รสชาติเป็นอย่างไรคงต้องเก็บไว้บอกกับยมบาล เมื่อทั้งสองได้หันหลังชนกันสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่ ก็อย่าหวังว่าจะมีใครหน้าไหนหรือศาตราวุธใดกล้ำกรายเข้ามาในรัศมีอันตรายได้

“มันมากันอีกแล้ว ฆ่ามัน!” ฝนเลือดของศัตรูโปรยปรายอีกครั้ง คนแล้วคนเล่า ศพแล้วศพเล่า ชีวิตของทหารพม่าต้องปลิดปลิวเป็นใบไม้ร่วงล้มตายกันเกลื่อนกลาด เพลงดาบที่ฝึกปรือไม่ได้เพื่อเข่นฆ่าใครอย่างไร้เหตุผล ทุกคนรักชีวิตด้วยกันทั้งสิ้น และทุกชีวิตยังมีอีกหลายชีวิตที่รอคอยอยู่เบื้องหลัง พ่อแม่ ลูกเมีย คนรัก เขาเหล่านั้นจะยังมีโอกาสอยู่เป็นคนสำคัญ มีโอกาสอยู่เพื่อสร้างสรรค์สิ่งสวยงามให้เกิดขึ้นกับชีวิตและครอบครัว ถ้าหากว่า... ไม่ต้องพบกันในฐานะศัตรูผู้รุกรานเช่นวันนี้


“พระเจ้าพี่เรา จะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่าเชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกันให้เป็น เกียรติยศ ไว้ในแผ่นดินเถิด กาลภายหน้าไปไม่มีกษัตริย์ที่จะได้ทำยุทธหัตถีอีกแล้ว”


“ถวายอารักขาพ่ออยู่หัว!”
ขณะที่การท้าทายเพื่อทำยุทธหัตถีกำลังเริ่มขึ้น เบื้องล่างสองนักรบก็กำลังห้ำหั่นกับทหารเลวอย่างไม่หวั่นเกรง คมดาบที่ฟาดฟันอย่างไม่ปรานี ไพร่พลหรือบรรดาแม่ทัพนายกองที่หวังใช้จังหวะนี้ลอบปลงพระชนม์จากด้านล่างมีอันต้องล่าถอย
แปร๋น...
เบื้องหน้าทหารยังคงถาโถมไม่ขาดสาย เบื้องหลังการยุทธหัตถียังคงดำเนินต่อไป แม้พ่ออยู่หัวยังต้องลงแรงกรำศึกด้วยพระองค์เองอย่างกล้าหาญไม่นึกถึงพระชนม์ชีพ แล้วชาวบ้านธรรมดาอย่างเรายังจะต้องเกรงกลัวสิ่งใด

พญาราชสีห์สองตัวกระโจนตะปบเหยื่ออีกครั้ง และครั้งนี้แยกกันคนละทาง เสียงดาบกระทบดาบ ดาบกระทบเนื้อ เสียงคำรามกึกก้องสลับเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายดังระงม

จันกวาดสายตาคมกริบยังทหารเลวที่ชักจะกล้าๆ กลัว จังหวะนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นทหารระดับนายกองคนหนึ่งกำลังเล็งปืนยาวขึ้นไปบนหลังช้าง จากระยะที่ประชิดขนาดนี้ หากมันได้ลั่นไกเมื่อใด เห็นทีพ่ออยู่หัวคงต้องลำบากแน่ ไวเท่าความคิดดาบยาวในมือก็พุ่งแหวกอากาศออกไปอย่างรวดเร็ว

มันต้องร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนจะสิ้นใจ ปืนในมือร่วงลงพื้น

“อย่าหวังว่ามือสกปรกของทหารชั้นต่ำอย่างแกจะมีโอกาสแตะต้องพ่ออยู่หัวของข้า!”
ทหารอีกคนเห็นดังนั้นจึงคว้าปืนขึ้นประทับและเล็งขึ้นไปบนหลังช้างอีกครั้ง
ดาบในมือที่เหลือถูกเขวี้ยงออกไปอย่างแรงหมุนคว้างเป็นวงกลม ศีรษะมีอันต้องขาดกระเด็นตามนายของมันไปติดๆ จังหวะเดียวกันนายกองอีกคนบนหลังม้ากำลังเล็งธนูไปยังทอง ที่กำลังห้ำหั่นกับนายกองอีกคนซึ่งมีท่าทีจะเพลี่ยงพล้ำต่อคมดาบอันเกรี้ยวกราดของทองในอีกไม่กี่อึดใจ คันธนูขนาดยักษ์พอๆ กับร่างกายยักษ์ใหญ่ของมัน หากใครโดนเข้าไปละก็....

‘แย่แล้ว! ไอ้ทอง!’

เหลือเพียงมือเปล่า และคงช้าเกินไปที่จะก้มลงหยิบดาบ ร่างกำยำของจันพุ่งไปยังทองปานพายุ ไม่มีอาวุธมีเพียงร่างกายและหัวใจเด็ดเดี่ยวอย่างลูกผู้ชายเท่านั้นที่จะเป็นเกราะกำบังให้กับเพื่อนที่รักที่สุดคนนี้
‘เอ็งต้องไม่เป็นอะไร’ เอี้ยวตัวหลบคมดาบที่แหวกอากาศเป้าหมายที่ลำคอ สร้อยผ้าฝีมือพุดซ้อนมีอันต้องหลุดลอย

ฉึก!

“ไอ้จัน!...” ทองหันกลับมาพบว่าเพื่อนรักต้องธนูจากกลางแผ่นหลังทะลุหน้าอก ดาบสองมือแกว่งไกวขับไล่ทหารเลวที่กำลังกรูกันเข้ามาหวังแทงซ้ำ และดาบในมือพุ่งไปยังมือธนูร่างยักษ์ที่นั่งอยู่บนหลังม้า มันไม่มีโอกาสแม้แต่จะทันได้ยิ้มชื่นชมผลงานของมัน เป็นจังหวะที่หน่วยทะลวงฟันและรี้พลฝั่งอโยธยาฝ่าวงล้อมเข้ามาถึง

“ไอ้จัน! ทำไมเอ็งทำอะไรโง่ๆ อย่างนี้” ทองตรงเข้าประคองเพื่อนรักที่ทรุดตัวลงบนพื้น ยอดนักรบหนุ่มอารมณ์ดีขบกรามแน่นด้วยความเจ็บปวด เลือดสดๆ ทะลักทั้งปากและจมูก แต่... ลูกผู้ชายอย่างจันเข้มแข็งพอที่จะไม่ร้องออกมาสักแอะเดียว เขาเอื้อมมือเปื้อนเลือดที่สั่นระริกหยิบสร้อยผ้าฝีมือพุดซ้อนหญิงผู้เป็นที่รักซึ่งร่วงอยู่ใกล้ๆ หยิบแหวนวงเล็กที่บรรจงร้อยเอาไว้กับมือออกมา ก่อนจะผูกเชือกที่ขาดและคล้องสร้อยผ้านั้นเอาไว้ที่คอ ‘พุดซ้อนจะอยู่ใกล้ๆ หัวใจของพี่จันเสมอ’

“เสียดายนัก ที่ข้าคงไม่ได้กลับไปพบหน้าแม่พุดซ้อนอย่างที่ข้าเคยสัญญา”
“ทำใจดีๆ ไว้เพื่อน ทัพอโยธยามาถึงแล้ว เอ็งต้องไม่เป็นอะไร” น้ำตาลูกผู้ชายกำลังจะล้นเอ่อ อย่างสุดจะกลั้นเอาไว้ได้เมื่อเห็นเพื่อนรักต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้

“เอ็งจงใช้แหวนนี้ ขอ...แม่พุดซ้อน...แต่งงาน...” เอื้อมมือสั่นระริกส่งแหวนวงน้อยให้เพื่อนรัก
“ข้าไม่รับฝาก เอ็งต้องเอาไปให้พุดซ้อนเองกับมือ เอ็งต้องไม่เป็นอะไรไอ้จัน”
“เอ็งมัน...โง่...แม่พุดซ้อนเขา...รัก...เอ็ง...ไม่ใช่ข้า...”
ทองจำต้องรับแหวนวงเล็กจากมือของเพื่อนรักเอาไว้อย่างงุนงงในความหมาย

“ข้าจะไปกุดหัวพวกมัน!” มือหนาคว้าดาบที่วางเกลื่อนอยู่บนพื้น ‘ให้ดาบของมัน ได้ดื่มเลือดของพวกมันเอง’ ใบหน้าเข้มและสายตาคมกริบฉายแววอีกครั้ง เขายันร่างกำยำให้ลุกขึ้นด้วยปลายดาบสองมือ ทองช่วยพยุงเพื่อนรักให้ยืนตรงเต็มความสูง ลูกผู้ชายย่อมเข้าใจจิตใจของลูกผู้ชายด้วยกัน เขารู้ว่าหากยังมีลมหายใจอยู่คนอย่างจันจะไม่มีวันยอมให้ความเจ็บปวดเพียงเท่านี้มาหยุดเขาได้
“ข้ารักเอ็งนะ ไอ้ทอง...ฝากแม่พุดซ้อนของข้าด้วย”
“ไอ้จัน...”

“แม้จะวายชีวาอาสัญ ข้าจะกุดหัวมันหลั่งเลือดล้างแผ่นดินอโยธยา”

เฮือกสุดท้ายนั้นร่างกำยำของลูกผู้ชายชาวอโยธยาชื่อจัน ก็พุ่งทะยานลอยเหนือหลังม้าของนายกองพม่าที่กำลังสู้กับหน่วยทะลวงฟันของทัพอโยธยา มันเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกตะลึงแต่ช้าเกินไปที่จะตัดสินใจทำอะไรได้ทัน
“บอกพวกมึงในนรกว่า...กู....ชื่อ....จัน!”

ฉัวะ!!

เป็นจังหวะเดียวกับที่ศึกยุทธหัตถีด้านบนยุติลง
“พ่ออยู่หัวชนะแล้ว... พระมหาอุปราชาสวรรคตแล้ว...”




พายุที่โหมกระหน่ำประหนึ่งจะยกเรือนทั้งหลังหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านพัดพาหายไปได้สงบลงแล้ว ท้องฟ้าที่ปั่นป่วนและมืดมิดค่อยๆ คลายลง ฟ้าเริ่มเปิดอีกครั้งคงเหลือเพียงสายฝนจางๆ โปรยปรายชโลมโลกให้ชุ่มฉ่ำพายุในหัวใจของพุดซ้อนเองก็เช่นกัน หลังจากที่ต้องเผชิญกับความสับสนวุ่นวายเหว่ว้าและอ้างว้างจากความไม่เข้าใจกัน บัดนี้โลกทั้งโลกของพุดซ้อนหอมฟุ้งไปด้วยไอรักที่อบอวล ดอกไม้งามบานสะพรั่งเต็มหัวใจ เฝ้ารอแต่เพียงว่าเมื่อไหร่ชายผู้เป็นเจ้าของหัวใจดวงนี้จะกลับมา กลับมาพร้อมอ้อมแขนอุ่นที่จะโอบประคองรักของสองเราไม่ให้ต้องทนหนาวเหน็บอีกต่อไป กลับมาบอกความรู้สึกแท้จริงจากส่วนลึกของหัวใจให้ได้ยินจากปากของเขาเองอีกครั้ง กลับมาฟังคำบางคำที่ในหนึ่งช่วงชีวิตของลูกผู้หญิงคนนี้จะไม่ได้บอกกับใครบ่อยนัก ไม่สิ... พุดซ้อนจะบอกกับพี่ทองเป็นคนแรกและคนเดียวเท่านั้น

และคงถึงเวลาที่พุดซ้อนจะต้องกล้าตัดสินใจบอกบางสิ่งกับพี่ชายอีกคนให้ได้รู้ บางสิ่งที่อาจทำให้พี่ชายต้องเจ็บปวด แต่พุดซ้อนก็อยากจะซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง และพุดซ้อนสัญญาว่าจะชดเชยความรู้สึกดีๆ ชดเชยความรักและเอ็นดูที่พี่ชายมีให้อย่างมากมายเสมอมาโดยทางอื่น พุดซ้อนจะเป็นน้องสาวที่ดีคอยดูแลเอาใจใส่พี่จันทร์ประหนึ่งพี่ชายแท้ๆ ของพุดซ้อนตลอดไป ‘คงไม่มากเกินไปถ้าพุดซ้อนจะแอบหวังว่า พี่จัน..จะเข้าใจ เห็นใจ และยอมให้พุดซ้อนอยู่ในชีวิตของพี่จันในฐานะน้องสาว’
“ยิ้มอะไรเจ้าตุ๊กตาขี้เหร่”
“แน่ะ...โดนว่าแล้วยังจะยิ้ม หน้าไม่อายจริงๆ นี่แอบเป็นสายสืบให้เจ้านายใช่ไหม ร้ายนักนะ”

เมื่อเวลาที่หัวใจเป็นสุข ทุกอย่างในโลกย่อมสวยงามเสมอ แม้ตุ๊กตาผ้ายังนอนยิ้มแป้นอยู่บนตักให้เจ้าของได้หยอกเอิน

“มากันแล้ว!”

‘มาแล้ว?’ พุดซ้อนชะเง้อตามเสียงเอะอะที่ดังแว่วมาจากเรือนอื่น ฝนหยุดแล้วเหลือเพียงละอองเล็กๆ และร่องรอยความฉ่ำชื้นบนผืนดิน ช้าเกินไปที่จะรอให้คนที่เพิ่งเดินทางมาเหนื่อยๆ ต้องเป็นฝ่ายมาหาตนถึงเรือน ร่างบางก้าวลงบันใดอย่างระมัดระวังทว่าสายตากลับมองหาผู้ที่ทำให้ต้องตั้งตารอคอยอยู่นับเมื่อเชื่อวัน เสียงชาวบ้านคนอื่นๆ แสดงความยินดีที่สมาชิกในครอบครัวกลับมาอย่างปลอดภัย สลับเสียงร่ำไห้เมื่อทราบข่าวการสูญเสียของสมาชิกบางคนทำให้รู้สึกใจคอไม่ค่อยดีนัก รอยยิ้มแห่งความยินดีเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นความกังวลขึ้นมาฉับพลัน

‘พี่ทอง...พี่จัน... ทำไมไม่เห็นมา...’ หัวใจที่เต็มไปด้วยความกังวลต้องสั่นไหวมากขึ้นเมื่อมองหาพี่ชายทั้งสองแล้วต้องพบเจอแต่ความว่างเปล่า น้ำใสๆ ปริ่มจะล้นที่ตางาม ‘ไม่นะ...’ และก่อนที่หญิงสาวจะคิดไปไกลมากกว่านั้น ร่างกำยำของชายที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางม่านน้ำตา
“พุดซ้อน! พี่มาแล้ว”
“พี่ทอง...พุดซ้อนไม่เห็นพี่ นึกว่าจะไม่ได้เจออีกแล้ว” ร่างเล็กๆ ของคนที่เต็มไปด้วยความห่วงใยโผเข้าสู่อ้อมอกอุ่นที่รอคอยมาเนิ่นนาน ทำนบน้ำตาพังทลายร้องไห้สะอึกสะอื้น แขนเรียวโอบรอบเอวหนาเอาไว้แนบแน่นอย่างกับเกรงว่าจะต้องพลัดพรากกันไปไกลแสนไกลอีกครั้ง แขนกำยำโอบกอดร่างเล็กๆ ของหญิงผู้เป็นยอดดวงใจเอาไว้ มือหนาลูบเรือนผมสลวยแผ่วเบาอย่างทะนุถนอม เนิ่นนาน....เป็นการกอดที่สุขใจที่สุดในชีวิต แต่แล้วความรู้สึกบางอย่างก็เข้ามาแทนที่เมื่อถึงเวลาจะต้องบอกข่าวของเพื่อนรักให้กับคนสำคัญได้รู้

“พี่ทอง..” หญิงสาวรู้สึกแปลกใจเมื่อรู้สึกว่า อกอุ่นที่อิงแอบกำลังสั่นสะท้าน นั่นเพราะ...พี่ทองกำลังร้องไห้ คลายอ้อมแขนออกจากเอวหนาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่กำลังร้องไห้จนตัวสั่นสะท้าน
“แล้วพี่จันล่ะพี่ทอง?” หัวใจอ่อนๆ กระตุกวูบเมื่อนึกถึงพี่ชายที่แสนดีอีกคน ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ มีเพียงหยาดน้ำตาและเสียงสะอื้นเท่านั้นแต่ก็ช่วยให้พุดซ้อนเข้าใจได้ไม่ยาก มือหนาจับมือของหญิงสาวให้หงายขึ้นและส่งแหวนวงเล็กให้กำไว้ในมือ อ้าปากจะพูดแต่ช่างยากเย็นเหลือเกิน

“พี่จัน...พี่จันของพุดซ้อน...”

“พี่จัน...! ไม่จริงใช่ไหมพี่ทอง มันไม่จริงใช่ไหม พี่จันไม่ได้เป็นอะไรไปใช่ไหม” กำแหวนวงเล็กเอาไว้แนบอก แหวนของพี่จันที่รักพุดซ้อนที่สุด พี่ชายที่แสนดีที่ดูแลเอาใจใส่พุดซ้อนตลอดหลายปีที่ผ่านมา เอามีดมาแทงแล้วควักหัวใจของพุดซ้อนไปเลยยังดีกว่าที่ต้องมาทนรับฟังข่าวร้ายแบบนี้

“พี่จันสละชีวิตเพื่อปกป้องพี่...พี่ขอโทษนะพุดซ้อน...พี่ขอโทษ...” โอบแขนกำยำกอดหญิงสาวที่กำลังหัวใจแตกสลาย โอบกอดความรักของจันที่มีโอกาสกลับมาเพียงแหวนวงเล็กๆ เอาไว้อีกชั้นหนึ่ง
‘ลาก่อน...จันเพื่อนรัก ข้าสัญญาว่าจะดูแลพุดซ้อนด้วยชีวิต ความเป็นพี่น้องจะยั่งยืนเช่นเดียวกับความเป็นเพื่อนแท้ระหว่างเรา’




ปราณ กลับสู่ปัจจุบันพร้อมหยาดน้ำตาที่ไหลริน ความชัดเจนของภาพเหตุการณ์ ความรู้สึกที่เพิ่งผ่านมาหมาดๆ ซึ่งสื่อสัมผัสกันได้ราวคนคนเดียวกันยังความเศร้าโศกจนยากเกินสะกดกลั้น

“นึกออกหรือยังโยมปราณ ว่า โยมจัน คือใครในชาตินี้” น้ำเสียงเปี่ยมเมตตาของหลวงพ่อกังวานภายใต้รัศมีสีทองอร่ามที่วูบไหว
“ใครหรือครับหลวงพ่อ...หรือว่า...” แม้ไม่ต้องเอ่ยปากบอกอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเดาออกว่าเพื่อนผู้ยอมเสียสละชีวิตเพื่อเพื่อนคนนั้น ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหนเลย

‘ไอ้ปอนด์..ฉันเป็นหนี้ชีวิตแก’

“สายใยความเป็นเพื่อนของโยมทั้งสองมันผูกพันข้ามภพข้ามชาติ รักเขาให้มาก ตอบแทนสิ่งที่เขาเคยทำเพื่อโยม”
“หลังจากเสร็จศึกคราวนั้น โยมก็ได้บวชเป็นพระเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับเพื่อนรัก และได้ออกธุดงค์แสวงหาความสงบ โดยที่พุดซ้อนเองก็ไม่ได้มีโอกาสบอกความในใจให้ได้รับรู้ ได้แต่เก็บงำเอาไว้ในใจลำพังเรื่อยมา เฝ้าหวังว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม จะได้เปิดเผยความในและได้ครองคู่อย่างคนรักกันคู่อื่นๆ เสียที แต่ดูเหมือนว่าสวรรค์จะไม่เข้าข้างพุดซ้อนเอาเสียเลย” หลวงพ่อถอนหายใจยาว

“ทำไมหรือครับหลวงพ่อ”
“วันที่พุดซ้อนได้มีโอกาสบอกความในใจ คือวันที่โยม หรือพระทองกำลังจะสิ้นใจเพราะพิษไข้ป่า เป็นการพบกันครั้งสุดท้ายในชาตินั้นโดยที่พุดซ้อนไม่มีโอกาสแม้แต่จะสัมผัสปลายนิ้วของพระเสียด้วยซ้ำ”

ชายหนุ่มนิ่งฟัง ตีบตันจุกแน่นในลำคอจนต้องหายใจเป็นห้วงๆ นึกเวทนาผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ถึงสองครั้งสองคราในเวลาไล่เลี่ยกัน แล้วหลังจากนั้นชีวิตของพุดซ้อนจะเป็นเช่นไรหนอ

“พุดซ้อนตรอมใจ...”
คำว่า ‘ตรอมใจ’ ทำให้น้ำตาที่เก็บกลั้นต้องพังครืน ไม่อยากนึกเลยว่าคนที่ต้องจบชีวิตลงเพราะหัวใจแหลกสลายนั้น ความรู้สึกจะเลวร้ายเพียงไหน

“ในวาระสุดท้ายนั้น นางตั้งจิตอธิษฐาน ขอผลบุญที่ได้เคยทำมาในทุกภพทุกชาติช่วยให้ทุกคนสมหวังในความรัก นางไม่ปรารถนาจะเห็นใครต้องทุกตรมเพราะรักเหมือนเช่นนาง เวลาผ่านไป หนุ่มสาวที่อยากสมหวังในรักก็จะมากราบไหว้บนบาน ซึ่งน่าแปลกใจที่แทบทุกคนก็จะสมหวังดังใจปรารถนา นานวันเข้าก็มีผู้ศรัทธาปลูก ‘ศาลารักพุดซ้อน’ ไว้เป็นที่เคารพสักการะ และศาลานั้นก็ยังอยู่ตราบจนทุกวันนี้”
“โธ่...พุดซ้อน”

“โยมปราณเองก็เคยไปมาแล้ว เมื่อหลายปีก่อน”

ชายหนุ่มนิ่งนึก แค่เพียงคิดว่าจะต้องเป็นศาลของสตรีผู้เฝ้ารอความรักผู้นั้น ก็รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจจนต้องปล่อยเสียงร้องไห้ออกมาดังๆ อย่างสุดกลั้น หากดวงจิตของพุดซ้อนยังเฝ้ารออยู่ที่นั่น เธอคงร้าวรานหัวใจอย่างที่สุดเมื่อหลวงพี่ทองของเธอผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ ผ่านมาให้พานพบแล้วก็จากไปไม่ใยดี พอจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าตอนนั้นมีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวเอง ซึ่งนั่นคงเป็นเพราะจิตผูกพัน หรือดวงจิตของพุดซ้อนพยายามสื่อสาร แต่ก็ไม่ได้สนใจจะกลับไปเพื่อหาความกระจ่าง
รวบรวมสมาธิอีกครั้ง อยากรู้ว่าป่านนี้ศาลารักพุดซ้อนจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็มีเพียงบรรยากาศรกร้างขมุกขมัว

“จิตใจของโยมเศร้าหมองเกินไปในตอนนี้ อาตมาจะพาไปก็แล้วกัน”
เพียงชั่วอึดใจ ปราณก็มาถึง ‘ศาลเจ้า’ หรือแท้จริงแล้วก็คือ ‘ศาลารักพุดซ้อน’ ซึ่งอยู่ในบริเวณน้ำตกที่ปณิธานเคยพาเขาและน้องๆ มาเที่ยวเมื่อหลายปีก่อน รอบศาลาร่มรื่นไปด้วยไม้ประดับนานาชนิด ริมทางเดินเต็มไปด้วยดอกพุดซ้อนงามสะพรั่ง ป้าย ‘ศาลารักพุดซ้อน’ ที่เคยซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ประดับรกเรื้อตอนนี้แลดูสะอาดสะอ้าน
ภายในยังกว้างขวาง แลดูโปร่งโล่งสบาย สีหน้าของพุดซ้อนในยามนี้ดูหมองเศร้ากว่าที่เคย การรอคอยความหวังที่ห่างไกลคงทำให้หัวใจดวงน้อยอ้างว้างอย่างที่สุด

“แล้วตอนนี้พุดซ้อนเป็นอย่างไรบ้างครับหลวงพ่อ”
“โยมพุดซ้อนไปเกิดใหม่ ยังคงเหลือดวงจิตเพียงบางส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่” หลวงพ่อเว้นจังหวะเพื่อให้คนฟังได้คิดตาม “โยมพุดซ้อนคือใครในชาตินี้ โยมปราณลองถามหัวใจตัวเอง เหตุการณ์หรือความรู้สึกที่มันเคยเกิดขึ้นกับใคร มันก็มักจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก โยมรู้สึกรักและผูกพันกับใครมากเป็นพิเศษหรือเปล่า”

คนถูกถามสะท้อนในใจ ความรู้สึกแบบนั้นเกิดขึ้น หยั่งรากลึกจนไม่อาจหาเหตุผลใดมาสั่นคลอน เป็นสิ่งที่งอกเงยงดงามภายใต้สถานการณ์ที่นิ่งสงบมานานหลายปี
‘น้องปิ่น...’

“แต่ยังก่อน โยมทั้งสองได้เกิดอีกครั้ง ก่อนจะสิ้น แล้วมาเกิดในชาตินี้”



ไอรายา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 พ.ค. 2554, 07:49:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 พ.ค. 2554, 07:49:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 1976





<< ตอนที่ 10 คำมั่นสัญญา   ตอนที่ 12 ด่านฐานันดร >>
ศศิริษา 25 พ.ค. 2554, 12:36:01 น.
มาให้กำลังใจจ้า ^^


ปิลันธน์ 25 พ.ค. 2554, 14:39:21 น.
รักคน ที่มีคนอื่นรัก ก็ปวดใจเหมือนกันเน๊าะ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account