The song of heart...เพลงหัวใจ
“กิดาหยัน” ช่างภาพสาวประจำนิตยสารเลิฟลี่โฮมเพิ่งฟื้นตัวจากการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจได้ไม่นาน ก็ต้องมาพบกับเรื่องราวอันแสนน่าเวียนหัวของพี่สาวฝาแฝด “กิดานันท์” ที่ยังคงตัดใจจากอดีตแฟนเก่าอย่าง"โยธิน" ไม่ได้ แถมเจ้าเพื่อนเวร (กิดาหยันเรียกเขาว่าอย่างนั้น) ยังมีชนักติดหลัง พา “กวินภพ” อดีตว่าที่พี่เขยที่แสนจะคุ้มดีคุ้มร้ายเข้ามาเกี่ยวพันกับคนป่วยอย่างกิดาหยันอีก

งานนี้ช่างภาพสาวจะหลุดพ้นจากมลทินที่กวินภพกล่าวหาว่าหล่อนเป็นภรรยาลับได้หรือไม่

**ข้อมูลทั้งหมดในเรื่องเป็นสิ่งที่ผู้เขียนค้นคว้าไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2553**
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 7

บทที่ 7

ตะวันลาลับขอบฟ้าไปแล้วหากสวนอาหารยังเนืองแน่นไปด้วยหนุ่มสาวตามโต๊ะอาหาร เสียงสนทนาของผู้คนที่จอแจแข่งเสียงดนตรีที่เล่นบนเวทีลานโล่งกลางสวนอาหารทำให้กวินภพสาวเท้าไวกว่าปกติ ก้าวยาวไปตามทางเดินที่โรยด้วยกรวดหินละเอียด ลัดเลาะสนามหญ้าโล่งเตียนขึ้นบันไดโปร่งไปยังชั้นสองของร้านอาหารซึ่งเป็นห้องกระจก

หลังจากกวินภพและกิดาหยันอิ่มท้องเรียบร้อย เขาอาสาจะไปส่งสาวเจ้าบนห้องแต่ต้องอดตามระเบียบเพราะเจ้าหล่อนเล่นแหวไล่เขากลับมาท่าเดียว กวินภพที่อุตส่าห์ใจป้ำเลี้ยงอาหารหล่อนทั้งทีเลยลอบเสียดายอยู่ลึกๆ แต่ก็ยอมผละจากมาอย่างว่าง่ายก่อนขับรถมายังสวนอาหารของตัวเองตามเวลานัด

“เฮ้ย หุ้นส่วนใหญ่มาถึงแล้วโว้ย”

ชายร่างท้วมหนึ่งในจำนวนกลุ่มเพื่อนที่นั่งร่วมวงบนโต๊ะอาหารตะโกนแซว โบกมือไหวๆ

หน้าแดงจัดบวกกับอาการทะเล้นของอีกฝ่ายทำให้ ‘หุ้นส่วนใหญ่’ หัวเราะอย่างไม่ใส่ใจในคำเรียกนั้นเท่าไหร่ ก่อนนั่งลงข้างคนแซว “ตาเยิ้มเชียวนะไอ้ชิต ดื่มไปหลายแก้วแล้วละสิ”

“ใครบอกว่าดื่มหลายแก้ว เห็นๆ อยู่ว่าตรงหน้าฉันมีอยู่แก้วเดียว”

“เอ้อ แก้วเดียวแต่เติมหลายรอบน่ะสิ เมาทีไรก็พูดแบบนี้อยู่เรื่อย”

วรชิตเถียงเพื่อนไม่ออกเลยได้แต่ยิ้มเผล่ กระดกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว ต่างจากนำเกียรติเพื่อนร่วมโต๊ะอีกคนที่ยังคงเหม่อมองผ่านบานกระจกใสข้างกาย ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถ้าวันนี้ไม่มีคิวพวกเราขึ้นแสดง นายคงไม่มาหรอกใช่มั้ย”

“ช่วงนี้ฉันยุ่งๆ นิดหน่อย” กวินภพบอกแค่นั้นเขาไม่อยากเล่าถึงธุระยุ่งเสียเท่าไหร่ แม้รู้ตัวก็ตามว่าหลายวันมานี้แทบไม่ได้เข้ามาช่วยงานที่สวนอาหารเลย

“ทำไมวันนี้คนเยอะจัง ปกติฉันมาทีไรไม่เห็นจะแน่นขนาดนี้”

“มีคนจัดนิทรรศการอะไรสักอย่างแถวนี้น่ะ คนก็เลยแห่กันมากินที่ร้านเรา” ถ้าเทียบความใส่ใจในร้านอาหารระหว่างเขากับนำเกียรติแล้วต่างกันลิบลับ

ถึงแม้กวินภพจะร่วมหุ้นกับวรชิตและนำเกียรติสร้างสวนอาหารแห่งนี้ขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้ตัวเองและเพื่อนๆ ได้ร่วมกันตั้งวงดนตรีเล่นกันอย่างที่ชอบทำสมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่มันก็เป็นเพียงงานอดิเรกเท่านั้น เพราะแต่ละคนต่างมีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว

นำเกียรติเป็นนักบัญชีของบริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนวรชิตนั้นเป็นช่างภาพประจำบริษัทนิตยสารของมารดาของเขาเอง ผิดกับกวินภพที่ยังไม่มีอะไรทำเป็นเรื่องเป็นราวสักอย่างนอกจากสวนอาหารแห่งนี้

หากคนที่ใส่ใจสวนอาหารของเขาทุกระเบียบนิ้วกลับกลายเป็นเพื่อนร่วมหุ้นส่วนอย่างนำเกียรติ

‘เพื่อนร่วมหุ้นส่วน’ ละสายตาจากกลุ่มคนเบื้องล่างนิ่วหน้ามองเพื่อน “หัวนายไปโดนอะไรมา”

“เออน่านสิ” คนที่นั่งข้างๆ เอ่ยเสียงเป๋ จิ้มขมับข้างเพื่อนทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งโหยง

กวินภพค่อยๆ ลูบบริเวณบาดแผลซึ่งมีผ้าปิดแผล สีหน้าตื่นของหญิงสาวที่เพิ่งไปส่งกันมาที่คอนโดทำให้ชายหนุ่มคลี่ยิ้มจางๆ ออกมา “แค่อุบัติเหตุน่ะ”

“แน่จายว่าแค่อุบัติเหตุ” ว่าแล้วก็จิ้มขมับข้างเพื่อนอีกรอบ ร้อนถึงคนเจ็บต้องปัดมือคนเมาออกอย่างหัวเสีย

“ไอ้เวร ! แผลเย็บนะโว้ยไม่ใช่สาวๆ ของแก จิ้มอยู่ได้”

“ก็จิ้มห้ายเจ็บน่ะสิ อุบัติเหตุอารายของแกวะถึงยิ้มได้ด้วย”

กวินภพทำเสียงรำคาญในลำคอกลบเกลื่อน เสมองอาหารบนโต๊ะที่มีแค่กับแกล้มของคนเมาข้างกายเขาเท่านั้น

นำเกียรติเรียกบริกรมาสั่งอาหารจานหลักเพิ่มสองสามอย่าง ขณะที่วรชิตนั้นเอาแต่เหล่มองสาวโต๊ะข้างๆ พอเห็นเพื่อนอาการเมาหนักขึ้นทุกทีกวินภพจึงเป็นฝ่ายคว้าขวดเหล้าจากมือเพื่อนทันทีที่รายนั้นทำท่าจะรินเหล้าแก้วใหม่

“พอแล้วไอ้ชิต ดื่มเยอะแบบนี้เดี๋ยวก็ขึ้นแสดงไม่ได้หรอก”

“แล้วครายบอกว่าฉันจาแสดง...” คนเมาค้าน “วันนี้พวกแกสองคนขึ้นแสดงกานเองแล้วกัน ฉันขอบายว่ะ ขี้เกียจ”

“เฮ้ย ขี้เกียจยังไงก็ต้องแสดง อย่าลืมว่านี่คือหน้าที่ แกจะมาทำตามอารมณ์ได้ยังไง”

“โธ่...แกก็รู้นี่หว่าว่าทุกวันนี้สาวๆ ที่มากินอาหารร้านเรา เขาอยากฟางแค่แกกับไอ้เกียรติเท่านั้นแหละ อ้วนๆ อย่างฉัน มานไม่มีใครสนใจหรอก”

“ไอ้ชิต !”

“พอเถอะภพ” คนที่นิ่งเงียบอยู่นานอย่างนำเกียรติปราม “ขืนให้มันขึ้นไปแสดงตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เผลอๆ มันจะไปสลบเหมือดคาเวทีเสียเปล่าๆ”

กวินภพยังคงมองสภาพเพื่อน ท่าทางที่นั่งโอนเอนไร้การทรงตัวยืนยันสิ่งที่นำเกียรติว่าได้ดี

ร่างท้วมเท้าค้างยิ้มเผล่ให้เพื่อนทั้งสอง พยักหน้าเห็นด้วยหงึกๆ แต่แล้วกลับทำท่าจะขย้อนเอาของเหลวที่เพิ่งดื่มออกมาเสียเดี๋ยวนั้น ร้อนถึงคนมองกระโดดหลบแทบไม่ทัน อดสบถด่าเพื่อนไม่ได้แล้วต้องรีบเข้ามาประคองเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายล้มลงไปกองกับของเหลวนั้น เวลานี้เสื้อยืดสีอ่อนของคนเมาเต็มไปด้วยคราบของเหลวที่เจ้าตัวขย้อนออกมา เช่นเดียวกับกวินภพที่ขากางเกงพลอยเลอะไปด้วยเพราะกระเซ็นโดน

“นายนั่งเถอะ เดี๋ยวฉันพาชิตไปห้องน้ำเอง” นำเกียรติอาสา แต่กวินภพโบกปัดอย่างอารมณ์เสีย

“ไม่เป็นไร นายเรียกคนมาทำความสะอาดตรงนี้แล้วกัน” ว่าแล้วก็เอาแขนเพื่อนพาดบ่า แบกลงไปตามบันไดอย่างทุลักทุเล

พอถึงชั้นล่าง บริกรชายที่ยืนดูแลลูกค้าบริเวณชั้นล่างกระวีกระวาดเข้ามาช่วย เจ้าของร้านจึงปล่อยให้ลูกจ้างจัดการพาเจ้าเพื่อนตัวดีเข้าห้องน้ำไป

กวินภพส่ายหน้าระอาในความไม่เอาไหนของเพื่อน ก่อนมองสภาพขากางเกงตัวเองที่ปรากฏรอยด่างเป็นจุดๆ ไม่ลืมหันไปสั่งบริกรแถวนั้นให้เรียกคนทำความสะอาดขึ้นไปช่วยชั้นบน ส่วนตัวเขาจะตามไปดูเพื่อนในห้องน้ำ

แต่ยังไม่ทันถึงหน้าห้องน้ำดี กวินภพกลับได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากบริเวณใกล้ๆ เรียกความสนใจจากกวินภพพลัน

“แกรู้ใช่มั้ยว่าใครที่โกหกนายฉัน จุดจบมันจะเป็นยังไง”

“ตะ...แต่ฉันบอกกับนายแกไปแล้วไงวะ...ว่าขอผลัดไปก่อน ช่วงนี้ฉันไม่มีจริงๆ”

กวินภพย่ำไปตามพื้นหินที่ปูเป็นทางเท้าวางยาวจากหน้าห้องน้ำถึงด้านหลัง ลอบมองผ่านมุมตึก พบว่ามีชายสองคนยืนล้อมใครบางคนอยู่ข้างกำแพง แต่ด้วยความที่ไม่มีแสงสว่างมากพอทำให้เห็นคนตรงหน้าเป็นเพียงเงาดำรางๆ

“แน่ใจหรือว่าไม่มี ได้ข่าวว่าบริษัทแกกำลังไปได้สวยไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยต้องมีสักบาทมาใช้หนี้เจ้านายฉันบ้างล่ะวะ”

“ก็คนมันไม่มีจริงๆ จะเอาจากไหนมาให้นายแกล่ะ”
“หุบปาก !” คนขู่ใช้เข่าถองเข้าที่ท้อง อีกฝ่ายจึงร้องโอดครวญ ก่อนจะทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น

“พวกฉันจะลองเชื่อแกดูอีกสักครั้ง ถ้าคราวนี้ครบกำหนดแล้วแกยังหาเงินมาคืนให้นายฉันไม่ได้ แกตาย !”

ชายคนเดิมเตะคนบนพื้นให้สะใจอีกรอบ สภาพที่ไม่มีแม้แต่แรงจะต่อต้านของคนถูกซ้อมทำให้กวินภพใจหายวาบ ไม่ทันจะเรียกบริกรให้ตามยามที่ลานจอดรถมาจัดการ คนพวกนั้นก็หันรีหันขวาง ก่อนมุ่งตรงมายังมุมตึกที่กวินภพยืนหลบอยู่พอดี

คราเดียวกับที่พวกมันเดินตรงมา กวินภพก็เลี่ยงหลบเข้าห้องน้ำไป อาศัยบานประตูบังตัวเองให้พ้นสายตาคนอันธพาลพวกนั้น

ด้วยความที่ห้องน้ำอยู่เลยส่วนของสวนอาหารมามาก เสียงดนตรีจึงไม่ดังพอจะกลบเสียงฝีเท้าของคนด้านนอกที่ก้าวผ่านหน้าห้องน้ำไป เสียงฝีเท้านั้นช่างเชื่องช้าราวกับต้องการแกล้งคนที่หลบอยู่หลังบานประตูให้หยุดหายใจเล่น ทรมานใจกวินภพพอสมควร

แน่ใจว่าไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าคนพวกนั้นแล้วถึงได้ถอนใจออกมาอย่างโล่งอก

“มีอะไรรึเปล่าครับคุณภพ” เสียงทุ้มที่ทักดังมาจากด้านหลังทำเอาคนเป็นนายสะดุ้งโหยง

ถอนใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าเป็นบริกรคนเดิมที่พาวรชิตมาเข้าห้องน้ำ ลืมไปเสียสนิทว่ามีเจ้าเพื่อนตัวดีกับบริกรอยู่ด้วย

ปรับท่าทางให้เป็นปกติ “คุณชิตเรียบร้อยดีใช่มั้ย”

“ครับ คุณจะให้ผมพาคุณชิตไปนั่งที่โต๊ะเหมือนเดิมรึเปล่าครับ”

กวินภพพยักหน้าแทนคำตอบ แต่พอเห็นบริกรชายทำท่าจะรอเขากลับออกไปด้วยจึงเอ่ยว่า “พาคุณชิตไปก่อน เดี๋ยวฉันขอเข้าห้องน้ำแป๊บนึง”

บริกรแบกวรชิตผ่านหน้าไป เจ้าเพื่อนตัวดีมีการส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้จึงโดนกวินภพดันหน้าเบี้ยวไปอีกทาง รอจนทั้งสองลับตาไปแล้วจึงเดินตามออกมาแต่กลับเลี้ยวกลับไปยังหัวมุมตึกเมื่อครู่




******************




ประตูบานใสเลื่อนเปิดอัตโนมัติเชื้อเชิญกิดาหยันเข้าสู่บริษัทนิตยสารเลิฟลี่โฮม พนักงานที่เดินขวักไขว่อยู่เต็มลานต่างยิ้มทักช่างภาพสาวมาตลอดทาง

ด้วยความที่บริษัทของจักรชัยไม่ได้ใหญ่โตมากมาย ลูกจ้างในบริษัทจึงมีนับคนได้ เรื่องที่หล่อนป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลจึงกระจายไปทั่วบริษัทในเวลาอันรวดเร็ว และไม่แปลกที่กิดาหยันจะกลายเป็นที่รู้จักของทุกคนไปโดยปริยาย

ต่างจากเจ้าตัวที่โบกมือทักตอบบ้างไม่ทักตอบบ้างเพราะยังปรับตัวไม่ทัน

“ทางนี้ยัยหยัน” ร่างสูงที่โบกมือหย็อยๆ อยู่ในโรงอาหารของบริษัทเรียกความสนใจจากหญิงสาว

กิดาหยันนั้นมือข้างหนึ่งมีเสื้อเชิ้ตของบรรณาธิการนิตยสารรีดทับมาอย่างดีแขวนบนไม้แขวนเสื้อ ส่งเสื้อเชิ้ตให้กฤษณะวางพาดบนพนักเก้าอี้ข้างกาย ก่อนนั่งลงฝั่งตรงข้าม

หรี่ตามองอาหารจานเดี่ยวตรงหน้าเพื่อน “ทานไม่รอกันเลยนะแก”

“นี่แม่คุณ ก่อนจะด่าใครช่วยดูนาฬิกานิดนึงนะยะ แกนัดฉันสิบโมงเช้าตอนนี้ปาเข้าไปจะเที่ยงแล้ว งานน่ะไม่อยากทำใช่มั้ย”

กิดาหยันยิ้มแหย คำต่อว่าที่พรั่งพรูเป็นน้ำหลากทำให้ใบหน้าคมภายใต้แว่นตาสี่เหลี่ยมกรอบหนาลอยผ่านเข้ามาในหัวสมองพลัน

ยามรักษาความปลอดภัยโทรศัพท์มารายงานให้หล่อนทราบว่ากวินภพมาหาตั้งแต่เช้า พอกิดาหยันปฏิเสธผ่านยามไปว่าไม่อยู่กวินภพยังทู่ซี้นั่งรอที่ชั้นล่าง ครั้นจะกลับคำแล้วลงไปหาเขาก็ใช่ที่ เรื่องอะไรหล่อนต้องลงไปสุงสิงกับเขาอีกด้วยเล่า แค่วันก่อนยอมไปทานข้าวด้วยก็บุญโขแล้ว

กว่าจะรอดมาได้เล่นเอากิดาหยันเหงื่อตก ไม่เพียงกวินภพ แต่ยังมีกฤษณะอีกคนที่โทรศัพท์เร่งหล่อนยิกๆ พอมาถึงบริษัทแม่คุณตรงหน้ายังต่อว่าเสียหูชาอีก

แค่คิดดวงหน้าสวยก็บิดเบี้ยวไม่เป็นรูป เห็นสีหน้าเมื่อยของเพื่อนสาวแล้วกฤษณะถึงกับหน้าถอดสี “ยะ...ยัยหยัน แกเป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย อย่าบอกนะว่าแกกำลังจะเป็นลม”

กฤษณะหน้าตาตื่น โบกพัดวีให้เพื่อนร้อนถึงกิดาหยันปัดมือเพื่อนออกอย่างรำคาญๆ “เวอร์ไปแล้ว ถ้าฉันจะเป็นลมก็เพราะเสียงด่าแสบแก้วหูของแกเมื่อกี้นี้แหละ”

“โธ่ แกเล่นหน้าซีดฉันก็ตกใจสิยะ” เห็นกิดาหยันปากดีได้เหมือนเดิมกฤษณะถึงโล่งอก

“เผอิญมีมารมาผจญนิดหน่อย ว่าแต่แกยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าทำไมจู่ๆ บก.ถึงยอมใจอ่อนขึ้นมาล่ะ”

กฤษณะเบ้ปาก รู้ดีว่าเพื่อนสาวพยายามเกลี้ยกล่อมจักรชัยอยู่หลายครั้งเรื่องที่หล่อนจะขอกลับมาทำงานก่อนครบกำหนดวันลา หากบรรณาธิการนิตยสารนั้นบ่ายเบี่ยงความต้องการของกิดาหยันมาตลอด

ประหลาดใจเหมือนกันที่จู่ๆ จักรชัยก็ยอมให้เพื่อนสาวกลับมาทำงานง่ายๆ “ถ้าแกอยากรู้คงต้องไปถามบก.เอาเอง ฉันแค่ได้รับคำสั่งให้มาบอกแกอย่างนี้”

“เอ...หรือว่าแกไปอ่อยบก. ไม่สิ บก.ไม่น่าจะสนใจสาวประเภทสองอย่างแกนะ อืม...หรือว่าจะเปลี่ยนรสนิยมแล้ว”

“หุบปากไปเลยยัยหยัน ถ้าขืนแกยังปากเสียฉันจะเอาไส้กรอกบนจานยัดใส่ปากแก”

“โอ๊ย ! น่ากลัวจัง ลงโทษแบบนี้ขอสองเลยได้มั้ย หิวจนไส้กิ่วแล้วเนี่ย”

“หิวก็ไปซื้อทานเองสิยะ นี่ไม่ใช่คอนโดแกนะที่ฉันต้องซื้อขึ้นไปประเคนให้ถึงห้อง”

“จ้าคุณกฤษณะ” ตอบรับเสียงใสกวนประสาทเพื่อนพอหอมปากหอมคอ ก่อนแยกไปซื้ออาหารเจ้าประจำที่กฤษณะชอบซื้อมาฝาก ขณะที่อีกฝ่ายควานหาเอกสารบางอย่างในกระเป๋า

ทานอิ่มพอๆ กับที่กิดาหยันกลับมานั่งที่โต๊ะ “นี่ประวัติคร่าวๆ และก็หัวข้อที่เราต้องสัมภาษณ์” กฤษณะเลื่อนแผ่นกระดาษสองสามแผ่นขนาบกับพื้นโต๊ะส่งให้หล่อน

กิดาหยันรับมาอ่านโดยคร่าว พลางฟังเพื่อนอธิบายว่า “เราต้องไปสัมภาษณ์คุณศิลป์ชัย เป็นช่างภาพอิสระ เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มไฟแรงของวงการช่างภาพก็ว่าได้ เพราะในช่วงสองสามปีมานี้เขามีผลงานออกมาเยอะมาก และกำลังเป็นที่จับตามองของเหล่าบรรดาวงการช่างภาพด้วยกันและก็พวกวัยรุ่นที่สนใจด้านนี้โดยเฉพาะ น่าจะช่วยขยายกลุ่มลูกค้าของนิตยสารเราได้มากทีเดียวล่ะ เราอาจต้องถามถึงงานของเขาบ้างแต่หลักๆ แล้วคือรายละเอียดเกี่ยวกับการตกแต่งภายในบ้านเหมือนเดิมที่เคยทำมานั่นแหละ”

“งั้นฉันจะเป็นคนถ่ายภาพเอง ส่วนแกสัมภาษณ์ไปแล้วกันนะ”

“แต่แกยังไม่หายดีนะหยัน ฉันว่าแกสัมภาษณ์เถอะ แค่นั่งเฉยๆ อ้าปากพูดไปตามเรื่องน่าจะเป็นเรื่องถนัดของแกมากกว่า”

กิดาหยันแยกเขี้ยว “ตกลงแกเป็นห่วงฉันหรือชื่นชมฉันในทางลบกันแน่ยะ !”

“เอาน่า ถึงฉันจะกระแนะกระแหนแกไปบ้างแต่ฉันก็เป็นห่วงแก แกออกไปโดนแดดโดนลมมากเข้าจะพาลทรุดหนักลงเปล่าๆ หมอบอกให้แกรักษาตัวให้มากๆ ไม่ใช่เหรอ”

“แต่นี่มันงานในร่ม แค่ถ่ายภาพในบ้านกับนอกบ้านนิดหน่อย ไม่ทำให้เป็นหนักขึ้นหรอกน่า”

“แกนี่ดื้อจริง” กฤษณะเข้าใจว่าหลังจากฟื้นตัวจากการผ่าตัดเพื่อนสาวไม่มีโอกาสได้เข้ามายุ่งเกี่ยวงานที่บริษัทเลย นี่ถือว่าเป็นงานชิ้นแรกคงอยากแสดงความสามารถให้เต็มที่ อย่างน้อยก็จะได้เป็นการพิสูจน์ให้หัวหน้าเห็นว่าพร้อมกลับมาทำงานได้แล้วจริงๆ แต่ยังไงเสียก็อดเป็นห่วงเพื่อนไม่ได้

นึกเลยผ่านไปถึงกิดานันท์ รายนั้นยิ่งแล้วใหญ่ เป็นทั้งนางพยาบาลและพี่สาวของคนป่วยตรงหน้า ไม่รู้จะว่ายังไงบ้างถ้ารู้ถึงงานของน้องสาวคราวนี้ “แล้วนี่นันท์ว่ายังไงบ้าง เรื่องที่แกจะกลับมาทำงานน่ะ”

กิดาหยันยักไหล่อย่างไม่ยี่หระในคำถามนั้น นึกถึงเสียงบ่นจนหูชาของพี่สาวแล้วเลือกที่จะไม่บอกเสียดีที่สุด “นันท์จะว่าอะไรฉันได้ ฉันจะทำเสียอย่าง”

“แกนี่จริงๆ นอกจากตัวแกเองแล้วเคยฟังใครบ้างมั้ย อย่าลืมว่าเดี๋ยวนี้แกไม่ได้อยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ตัวคนเดียวเหมือนเดิมแล้วนะ ย้ายมาอยู่กับนันท์ก็ต้องหัดฟังนันท์บ้าง ไม่อย่างนั้นเขาจะหาว่าที่แกย้ายมาเพราะระแวงเขาได้”

กิดาหยันทำหูทวนลมหยิบเอกสารบนโต๊ใส่แฟ้ม การที่จู่ๆ คนเถียงฉอดเงียบไปมีเหรอกฤษณะรู้ไม่ทัน “ตามใจ แต่ถ้าคราวนี้แกอาการกำเริบขึ้นมาอีก ฉันจะปล่อยให้แกนอนตายคาบ้านเขาอย่างนั้นแหละ ว่าแต่ตั้งแต่แกย้ายมาอยู่ที่คอนโด ได้เรื่องอะไรบ้างรึเปล่า หรือว่าอยู่เกะกะบ้านเขาไปวันๆ”

“น้อยๆ หน่อยยัยคิตตี้ ฉันไม่ได้ทำตัวไร้ประโยชน์นะยะ ถ้าฉันไร้ประโยชน์จริงก็เพราะแกนั่นแหละ วันๆ ให้ฉันทำไรบ้างนอกจากถอดเทปสัมภาษณ์กับจัดหน้าคอลัมน์ แต่ละงานช่างเลือกสรรจริ๊ง...โอ๊ย !” ประโยคท้ายร้องเสียงหลงเพราะถูกกฤษณะผลักศีรษะ

“ลืมจุดมุ่งหมายของตัวเองไปแล้วรึไงยะ ฉันหมายถึงที่แกย้ายไปอยู่คอนโด เพื่อกันนายโยธินออกห่างจากพี่สาวแกต่างหาก”

ถูกแหวเข้าให้จึงยิ้มแหย ใครจะไปนึกเล่าว่าอยู่ดีๆ แม่คุณจะเปลี่ยนเรื่องไปเป็นกิดานันท์

ลูบศีรษะตัวเองป้อยๆ พลางเอ่ยเสียงแผ่วเหมือนไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ “เรื่องนั้นไม่น่าเป็นห่วงแล้วมั้ง”

“ไม่น่าเป็นห่วง? หมายความว่าไง”

กิดาหยันเปลี่ยนเป็นนั่งเท้าคาง จิ้มไส้กรอกจากจานเพื่อนมาเคี้ยวตุ้ยอย่างเซ็งๆ “อืม...ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่มันไม่เห็นมาหานันท์ที่คอนโดสักครั้ง โทรศัพท์มาหาก็ไม่มี น่าแปลก”

ใช่...น่าแปลกมาก ร้องรับความคิดตัวเอง

ตั้งแต่กิดาหยันย้ายมาอยู่คอนโดมิเนียมกับพี่สาว กิดานันท์ดูปกติดีทุกอย่าง ไม่มีแขกไม่ได้รับเชิญมารบกวนเจ้าของห้องอย่างที่คิด แม้แต่โทรศัพท์คุยกันก็ไม่มีให้เห็น ที่สำคัญพี่สาวฝาแฝดดูห่วงงานมากกว่าเรื่องอื่นใด จนบางครั้งหล่อนอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่ากิดานันท์ตัดใจจากโยธินได้แล้วจริงๆ

เอ่ยไม่ชัดเพราะมัวแต่เคี้ยวไส้กรอก “ขอเวลาอีกนิดแล้วกัน ฉันอยากให้แน่ใจกว่านี้ก่อนแล้วค่อยย้ายกลับมาอยู่ที่เดิม”

“ไม่ต้องแล้วแม่คุณ แค่นี้ก็ชี้ชัดอยู่แล้วว่าแกคิดมากไปเอง”

ได้ยินกฤษณะยืนยันเสียงแข็งก็เริ่มลังเลเหมือนกัน ไม่แน่ใจแล้วสิว่าตัวเองมาอยู่เกะกะเจ้าของห้องรึเปล่า บางที...หล่อนอาจจะคิดมากไปเองอย่างที่กฤษณะว่า

“ฉันว่าแกว่างไปแล้วล่ะถึงได้คิดฟุ้งซ่าน วันนี้สงสัยต้องให้งานตัดต่อภาพไปเพิ่ม”

“แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในร้านอาหารมังสวิรัติวันก่อนโน้น แกก็อยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ” นึกถึงท่าทีของพี่สาวเมื่อวันที่ไปร้านอาหารมังสวิรัติด้วยกันทีไร ทำให้กิดาหยันยากที่จะปักใจเชื่อทุกที “แกยังคิดว่านันท์ตัดใจจากไอ้โยได้แล้วอย่างนั้นเหรอ”

กฤษณะไม่ตอบ ลุกขึ้นดึงมือเพื่อนสาวให้ลุกตาม “ฉันว่าแกกลับคอนโดได้แล้วล่ะ เดี๋ยวฉันขับรถไปส่งแกเอง”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันไปแท็กซี่” ค้านพลางดึงมือเพื่อนออกจากการเกาะกุม

กฤษณะเท้าสะเอวต้องการคำอธิบายในความดื้อรั้นไม่เลิกนั้น หากคราวนี้กิดาหยันมีคำอธิบายให้เขาสรรพเสร็จโดยไม่ต้องเสียเวลาคาดคั้น แม้ดวงหน้าสวยนั้นเหยเกไปหน่อยก็ตาม “เอ่อ...ฉันมีธุระต่อนะ แกทำงานไปเถอะ”

“ธุระ? นอกจากนั่งๆ นอนๆ ที่คอนโดแล้วแกยังมีธุระอื่นด้วยเหรอ”

“ยัยคิตตี้ !” เสียงสูงใส่ไม่ทันไรกลับเงียบกริบเมื่อถูกกฤษณะมองจับพิรุธมา

สายตาที่มองมาอย่างไม่ยอมลดละทำให้กิดาหยันเสมองไปทางอื่น อ้อมแอ้มเอ่ยไม่เต็มเสียงว่า “คือว่า...ฉันจะไปซื้อต้นไม้น่ะ”

“ต้นไม้เนี่ยนะ” มองแปลกมาที่เพื่อนสาว “แกจะซื้อไปทำอะไร อย่าบอกนะว่านันท์ฝากแกซื้อ เอ...ฉันว่าที่ระเบียงนันท์มันก็มีเยอะจนรกไปแล้ว ยังจะอยากได้เพิ่มอีกเหรอ”

ถูกเพื่อนซักเสียละเอียดยิบคนที่พยายามจะเลี่ยงไม่พูดถึงความซวยของตัวเองจึงทำเสียงรำคาญในลำคอ “แค่ซื้อต้นไม้แกจะอยากรู้ไปทำไมนักหนา ตกลงเต็มใจจะขับรถพาฉันไปรึเปล่า ถ้าไม่ ฉันจะได้นั่งแท็กซี่ไปเอง”

“เออๆ ไปก็ได้ นี่เห็นว่าป่วยอยู่หรอกนะไม่อยากให้ไปไหนมาไหนคนเดียว งั้นนั่งรอตรงนี้แหละ ฉันขอเอาเสื้อเชิ้ตไปคืนบก.ก่อน และจะได้เลยไปเก็บของที่โต๊ะทำงานด้วยเลย”

ได้ยินอีกฝ่ายรับปากมั่นเหมาะกิดาหยันถึงยิ้มออก รับคำหน้าระรื่นทันที “ขอบใจจ้ะคุณกฤษณะ อุ้ย ! คุณคิตตี้”





***********************



กฤษณะเลี้ยวรถเข้ามาในคอนโดมิเนียมในเวลาถัดมา เทียบจอดหน้าบันไดขึ้นลงตรงปากทางเข้า ก่อนปล่อยให้กิดาหยันลงไปเอาของตามที่บอกไว้ ไม่วายยังเลื่อนกระจกรถลงถามให้แน่ใจ “คิดดีแล้วแน่นะว่าไม่ต้องให้ฉันขึ้นไปช่วยขน”

คำถามนั้นทำให้กิดาหยันพ่นลมหายใจออกมา ตั้งแต่นั่งรถมาด้วยกันกฤษณะถามคำถามนี้กับหล่อนเป็นรอบที่ล้านแล้ว !

เห็นยามรักษาความปลอดภัยวิ่งเหยาะๆ ตรงมาที่รถ ได้ทีจึงไล่เพื่อน “ก็บอกแล้วไงว่าของเล็กนิดเดียว แกเลื่อนรถไปจอดแถวที่จอดรถเถอะ ยามกำลังเดินมาไล่รถแกแล้ว”

“ตามใจ แต่แกอย่าลืมว่ายังยกของหนักไม่ได้ เอาแบบนี้ ถ้าแกลงมาข้างล่างแล้วโทร.มาเรียกฉันแล้วกัน เดี๋ยวฉันวนรถมารับแกตรงนี้เอง”

“จ้าคุณคิตตี้...เป็นเพื่อนหรือเป็นแม่ฉันกันแน่ยะแม่คุณ”

ประโยคท้ายกิดาหยันบ่นงึมงำในลำคอคล้อยหลังที่ ‘แม่คุณ’ ปิดกระจกรถเรียบร้อย

แต่แค่หันหลังกลับจะเข้าคอนโด หล่อนกลับชะงักงันเมื่อเห็นกวินภพเดินผ่านบานประตูคอนโดออกมา นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องเขม็งมาอย่างเอาเรื่อง ประจันหน้ากับหล่อนอย่างจัง ! “กลับมาแล้วเหรอคุณ คราวนี้จะหนีผมไปไหนอีกล่ะ”

เบิกตาโพลงราวเห็นผี เพราะไม่นึกว่าเขายังรอ “หา ใคร ใครหนีคุณมิทราบ ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“ไม่ต้องมาทำไขสือ ผมรู้หรอกว่าคุณยังอยู่ที่คอนโดตอนที่ผมมาหา”

กิดาหยันยังคงแกล้งทำหน้าเหรอหรา ก่อนมองเลยผ่านกวินภพไปยังยามรักษาความปลอดภัยที่วิ่งตามกวินภพออกมาเช่นกัน “คุณออกไปข้างนอกแล้วทำไมไม่บอกผม !”

ก่อนหน้าที่หล่อนจะรอดมาพบกฤษณะได้ ต้องร่วมมือกับยามหลอกล่อชายหนุ่มตรงหน้าอยู่นานกว่าเขาจะตายใจเพื่อแอบแวบหายออกมา แต่พอเห็นยามยิ้มแหยสำนึกผิดอยู่ด้านหลัง กิดาหยันเลยหันกลับมาสนใจชายหนุ่มตรงหน้าอย่างนึกขัน เขาคงรู้ทันหล่อนนั่นแหละถึงได้หัวเสียหนักขนาดนี้

ยิ่งเห็นกวินภพจ้องเขม็งมากิดาหยันก็ยิ่งขัน อดหัวเราะออกมาไม่ได้

“กิดาหยัน !” กวินภพกอดอกมองมาอย่างเอาเรื่อง หน้ายุ่งหนักกว่าเก่าจนคนถูกเรียกชื่อต้องกลั้นหัวเราะ

ดูท่าทางถ้าหล่อนไม่ยอมเขาคงกระโดดเข้ามาคะย่ำคอหล่อนแน่นอน “อะไรกันคุณ ฉันก็เดินออกทางประตูปกติ คุณต่างหากที่ไม่เห็นฉันเอง”

“ผมไม่เห็นก็เพราะยามของคุณชวนผมคุยนั่นแหละ”

“แต่ฉันให้ยามบอกคุณแล้วนี่ว่าฉันมีธุระด่วนต้องรีบออกไปโดยไม่ได้บอก และถึงฉันจะไปไหนมาไหนมันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยมิทราบ หรือว่าว่างนักถึงได้มีเวลามานั่งรอฉันได้”

“พูดให้มันดีๆ หน่อยคุณ อย่าลืมว่าผมมาที่นี่เผื่อจับตาดูอดีตน้องเขยของผม”

“เหรอคะ งั้นเชิญคุณจับตาดูต่อไปก็แล้วกันฉันต้องรีบขึ้นไปหยิบของข้างบน”

จะก้าวผ่านหน้าเขาไป แต่ไม่ไวเท่าอีกฝ่ายที่คว้าแขนหล่อนไว้ทัน “คุณพูดแบบนี้ได้ยังไง ที่ผมเล่าให้คุณฟังไปตั้งมากมายที่ร้านอาหารก็เพื่อให้คุณช่วยผมอีกแรง”

“แต่ฉันมีธุระต้องไปทำต่อ”

“แล้วธุระของคุณต้องไปกับผู้ชายที่มาส่งคุณเมื่อกี้ด้วยรึเปล่า” กวินภพถามเสียงห้วนอยู่ในที

“ผู้ชาย ?” กิดาหยันทวนคำพลางเลิกคิ้ว ผู้ชายที่ไหน อยู่ตรงหน้าหล่อนตอนนี้มีแต่เขาคนเดียว

เห็นหน้าใสซื่อของหล่อนแล้วกวินภพถึงขั้นหัวเสียหนักกว่าเก่า ไม่ทันระเบิดลงกิดาหยันก็ถึงบางอ้อตอนที่เห็นเขามองตามท้ายรถกฤษณะไป

เท้าสะเอวมองคาดโทษเขาบ้าง “นี่คุณแอบดูฉันใช่มั้ย”

กวินภพยักไหล่อย่างไม่ยี่หระในสีหน้าบอกบุญไม่รับของสาวเจ้า “ทีคุณยังหลอกผมได้เลย ถือว่าหายกัน”

“เอ๊ะ! คุณ เรื่องของฉันกับของคุณมันเหมือนกันเสียที่ไหน”

กวินภพไม่โต้เถียงนอกจากผายมือเชื้อเชิญหล่อนเข้าไปในคอนโดด้วยกัน นัยน์ตาสีดำสนิทที่วาววับขึ้นมาถนัดตาทำให้กิดาหยันหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก ดูยังไงก็กวนประสาทกันชัดๆ แต่ในเมื่อทำอะไรเขาไม่ได้จึงถลึงตาใส่เขาตามเคยก่อนเดินปึงปังนำเข้าคอนโดไป





สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ม.ค. 2556, 22:20:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ม.ค. 2556, 22:20:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 1445





<< บทที่ 6   บทที่ 8 >>
Auuuu 3 ม.ค. 2556, 22:39:48 น.
จับตาดูกันต่อไปปปป


nunoi 4 ม.ค. 2556, 10:46:49 น.
เถียงกันบ่อยๆ เข้าไปนะจ๊ะ


lovemuay 4 ม.ค. 2556, 19:43:04 น.
หึงอ่ะจิ คริคริ


สรัน 5 ม.ค. 2556, 11:53:53 น.
เมื่อคืนมัวแต่ไว้อาลัยให้กับเหนือเมฆ 5555 มาอัพต่อให้แล้วนะคะสาวๆ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account