ปมร้าย หัวใจเสน่หา
รัชต์ วิศวกรหนุ่มออกตามหาความจริงเกี่ยวกับการตายของ ดวงดาว น้องสาวที่ตำรวจลงความเห็นว่าเธอฆ่าตัวตาย แต่อยู่ๆเขาก็ได้พบกับรักแรกอีกครั้งเธอเป็นคนช่วยเขาตามหาความจริง แต่ความจริงที่ว่ากลับทำให้เขาไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว!!
Tags: ปมร้ายหัวใจเสน่หา

ตอน: “ตอนที่ 2 สิ่งที่หายไป”



แสงที่ริบรี่ทำให้รัชต์ต้องเดินหาสวิชท์ไฟ เขาไม่คุ้นเคยกับห้องนี้นักเพราะเป็นห้องของน้องสาวที่ไม่ค่อยได้สุงสิงกันแม้ปากเขาจะบอกว่ารักน้องสาวมากก็ตาม เมื่อควานหาสวิชซ์ไฟเจอแล้วแสงสว่างที่เพิ่มขึ้นในห้องทำให้เขาต้องตกใจกับภาพตรงหน้า หญิงสาวผมยาวก้มหน้านิ่ง ผิวขาวจนซีดทำให้ต้องถอยผวะออกจากที่เดิมที่เคยยืนอยู่ ไม่รู้ว่าจมูกเขาได้กลิ่นอะไรกันแน่ซึ่งอาจจะเป็นกลิ่นคาวเลือด เหม็นจนเขาอยากจะอาเจียน สายตาที่มีรอยเลือดจ้องมองมาที่เขา แววตาคู่นั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน

“ดาว .ดาว ดาวตายไปแล้วนี่”เขาพูดขึ้นมาด้วยอาการตกใจ มือไม้สั่นไปหมดตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ยิ่งสายตาที่จ้องเขาเหมือนกับโกรธแค้นอะไรนักหนายิ่งทำให้เขาสั่น ขาก้าวไม่ออกด้วยซ้ำ มือขาวจนซีดนั้นเลื่อนเข้ามาหาเขาเรื่อย ๆเขาไม่มีแรงแม้แต่จะวิ่งหนี ดูแข้งขาจะไม่มีแรงไปเสียหมด เมื่อมือที่เย็นเชียบมาถึงคอก็บีบแน่นขึ้นเรื่อย ๆ เขากำลังจะตายเพราะขาดอากาศหายใจ

“ไม่ ไม่ ดา..ดาว พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ”เสียงที่เปล่งร้องออกมาอย่างสุดกำลังแต่กลับกลายเป็นว่าติดอยู่แค่ลำคอ เขาดิ้นรนพยายามแกะมือที่เย็นเฉียบปานน้ำแข็งนั้นออกแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุด สายตาที่เข้มจนเป็นสายเลือดหยดไหลออกมาตามแก้มสีขาว รัชต์ผลักตัวของน้องสาวออกแต่กลับกลายเป็นว่าเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียงในห้องเช่าของน้องสาว เหงื่อไหลเหนอะหนะเต็มตัวไปหมด เมื่อหันไปมองนาฬิกาบนโต๊ะ เข็มสั้นชี้ไปที่เลขสี่เข็มยาวอยู่ที่เลขหกมันหมายความว่าเขาได้หลับแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้นเอง
รัชต์ลูบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติคืนกลับมา เขาฝัน เขาฝันไปแค่นั้นเอง แต่ทว่าน้ำตาของเขากลับไหลออกมาเหมือนกับไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพยายามปลอบใจตัวเอง มันไม่ใช่แค่ฝัน แต่ดาวต้องการจะฆ่าเขา เธอเกลียดพี่ชายคนนี้เหลือเกิน เพราะเขาทำให้ดาวตาย รัชต์ปล่อยให้น้ำตาเดินทางออกมาเพราะสุดจะกลั้นไว้แล้ว เขาเจ็บปวดกับเรื่องนี้เหลือเกิน รู้สึกผิดกับมันเสมอ ไม่ว่าจะตื่นหรือหลับตาลงก็ตาม

“พี่ขอโทษนะดาว พี่ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนี้” เขาพูดทั้งกุมหน้าตัวเองไว้ในฝ่ามือ ความเครียดและความเหนื่อยทำให้เขาไม่มีแรงแม้แต่จะห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมา

ในตอนสายกีเข้ามาเคาะประตูห้องของรัชต์ เจ้าของห้องออกมาเปิดประตูให้ด้วยสภาพทรุดโทรมเหมือนกับไม่ได้นอนมาทั้งคืนดวงตาดูอิดโรยจนคนที่เห็นต้องทักด้วยความเป็นห่วง

“นายเป็นอะไรหรือเปล่า”น้ำเสียงนั้นเจือความห่วงใยทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง

“เอ่อ แค่นอนไม่หลับ ”รัชต์ไม่กล้าบอกว่าเขาฝันร้ายและฝันนั้นเหมือนจริงเสียจนน่ากลัว

“ไปหาอะไรกินไหม พอดีห้องฉันมีกาแฟนะ ”กีรติยังคงอยากช่วยเพื่อนแต่อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธทันที

“ไม่เป็นไร ฉันกำลัง สำรวจห้องอยู่”รัชต์บอกพร้อมกับเดินกลับเข้าไปในห้องนั่งลงที่โซฟา กีเดินตามเข้ามา เธอสังเกตเห็นว่าบนโต๊ะมีรูปและข้าวของมากมายเต็มไปหมด กีรติถือวิสาสะเข้าไปในครัวหาอุปกรณ์ที่พอจะทำเป็นกาแฟซักแก้วขึ้นมาจัดการผสมให้กลายเป็นเครื่องดื่มในเช้าวันนี้ให้ได้ รัชต์ไม่ได้ว่าอะไรเมื่อเห็นเพื่อนสาวจัดการชงกาแฟสำหรับตัวเองและมีน้ำใจส่งแก้วมาให้เขาดื่มแม้จะเป็นกาแฟในห้องเขาก็เถอะ

“น้องนายมีแฟนหรือยัง”

“ฉันก็ไม่รู้ ฉันเป็นพี่ชายที่แย่มากเลยไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับน้องสาวแม้แต่นิดเดียว” สีหน้าซีด ๆ ของรัชต์ทำให้หญิงสาวถอนหายใจยาว

“อย่าเพิ่งโทษตัวเอง สิ่งที่นายต้องทำตอนนี้ต่างหากที่จะทดแทนเรื่องที่นายรู้สึกผิดได้ ฉันสังเกตเห็นดอกไม้แห้งตั้งหลายช่ออยู่ในตู้โชว์ อาจจะเป็นของคนรักดาว เพราะถ้าไม่สำคัญเธอคงไม่เก็บไว้อย่างนั้นหรอก ข้าวของเครื่องใช้ก็ดูจะมีราคายี่ห้อแบรนด์เนมทั้งนั้น แสดงว่าน้องดาวเป็นคนค่อนข้างจะพิถีพิถันเรื่องการแต่งตัวน่าดูเหมือนกันแต่คิดในอีกแง่หนึ่งก็คือ มีคนซื้อให้ อืม แต่ว่าบ้านนายรวยอยู่แล้วนี่ ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นซื้อให้”

“ครอบครัวเราไม่ได้รวยอะไรมาก ดาวน่ะอยู่กับพ่อมาตั้งแต่เด็กซึ่งพ่อไม่ใช่คนที่สอนให้ลูกซื้อของฟุ่มเฟือยเพราะท่านเป็นคนทำงานหนักหาเงินได้ก็เก็บไว้ไม่ค่อยใช้ดังนั้น ของพวกนี้ ไม่น่าจะซื้อเองได้ ”

“งั้นเหรอ แปลกจัง ”กีรติทำท่าทางยังคงสงสัยเพิ่มขึ้นไปอีก

“เธอนี่สมกับที่ฉันขอความช่วยเหลือจริง ๆ นะกี ทำไมเธอตั้งข้อสังเกตได้เยอะขนาดนั้น แม้แต่นิติเวชยังให้ข้อมูลได้ไม่เยอะขนาดนั้นด้วยซ้ำ”รัชต์บอกทั้งหัวเราะ กีทำหน้าเหม็นเบื่อก็เพราะเขาตั้งใจชมเพื่อที่จะใช้เธอต่างหาก ไม่ได้ชมแบบจริงใจนักหรอก

“นิติเวชเขาทำหน้าที่ของเขานะ ฉันก็แค่สงสัย มันอาจจะไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้อย่าเพิ่งเชื่อสิ มีคน ๆ หนึ่งบอกฉันอยู่เสมอว่าอย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่เราคิดตราบใดที่มันยังไม่ตกผลึกความคิดเพียงพอ”

“อ้อ ใช่ นี่รูปแล้วก็ผลชันสูตรของนิติเวช หมอที่ชันสูตรน่ะเธอรู้ไหมว่าเป็นใคร”รัชต์หันมาตั้งคำถามเพื่อนสาวด้วยอารมณ์ที่เริ่มดีขึ้นพร้อมกับยื่นรูปถ่ายให้กับเธอ

“ใครจะไปรู้จัก ฉันไม่รู้หรอก ถามแปลก ๆ นะนายเนี่ย”

“ปานใจ เพื่อนเธอสมัยเรียนไงละ ”กีเลิกคิ้วนิดหนึ่งก่อนจะทำหน้านิ่งเฉย หันมาสนใจรูปปฏิกิริยานั้นทำให้รัชต์แปลกใจเพราะเท่าที่จำได้ กีและปานเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ทำไมถึงได้ทำท่าทีหมางเมินกันอย่างนั้น

“อ้อ แล้วนี่นายจะพักอยู่ที่นี่นานไหม”

“ก็ไม่รู้เหมือนกัน คงจะดูไปเรื่อย ๆ “

“แล้วจะให้ฉันช่วยอะไรละ .”

“ฉันเชื่อว่าเธอมีเซ็นท์เรื่องแบบนี้ จำตอนที่เงินห้องหายได้ไหมเธอช่วยตามหาคนที่ขโมยไปได้ เพราะเธออยู่ในชมรมนักสืบไง?”

“นั่นมันเรื่องตอนเด็ก ๆ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ นะอีกอย่างวิถีชีวิตเราต่างกันมาก ที่ฉันมาก็ไม่ได้จะมาช่วยนายเรื่องนี้เสียหน่อย” กีพูดจบก็ทำให้คนฟังหน้าตาเครียดขึ้นทันที

“วิถีชีวิตต่างกันอย่างนั้นเหรอ หมายความว่ายังไง ฉันไม่เห็นว่าเราจะต่างกันตรงไหนเลย ต่างกันมากยังไง ”หน้าตาที่เคร่งเครียดของรัชต์ทำให้กีรติพยายามหาคำพูดที่จะอธิบายให้เขาเข้าใจและใจเย็นลง

“ก็เพราะต่างไงฉันถึงได้ยกตัวอย่าง ฉันต้องการเตือนให้รู้”

“แต่ต่างยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันได้นี่”เขาแย้งขึ้นทันที

“ใช่ เพื่อน…ใช่ ถ้าเป็นเพื่อนกัน มีคนเคยบอกฉันว่าระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงความเป็นเพื่อนมันมีคำจำกัดความไม่เหมือนกัน”

“ทำไมเหรอ มันเป็นยังไง”เขาทำสีหน้าสงสัยจริง ๆแต่ความรู้สึกผ่อนคลายขึ้น

“ก็ ผู้หญิงจะมีความรู้สึกบางอย่างซ่อนไว้อยู่เสมอแต่สำหรับผู้ชายจะไม่ค่อยคิดอะไรแบบนั้นเท่าไหร่ มันเลยต่างกันไง เหมือนเคยได้ยินไหมเรื่องเพื่อนชอบแอบรักกันแต่ก็มารู้ตัวอีกทีเมื่อมันสายไปแล้วเสมอเพราะมันเป็นความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ไม่ใช่สิ่งที่แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง” กีอธิบายส่วนรัชได้แต่พยักหน้าทำความเข้าใจ

“แล้ว เธอคิดอะไรกับฉันหรือหรือเปล่าละ?”คำถามของรัชต์ทำให้กีนิ่งใบหน้าที่เคยยิ้มๆ ตอนนี้เริ่มแดงระเรื่อมองรัชต์ด้วยสายตาไม่ค่อยไว้วางใจเท่าไหร่ แม้ว่ากีรติจะเคยได้ยินคำพูดบางคำแต่มันก็นานมาแล้ว เขาควรจะมีคนที่ดีกว่าเธอ คนที่พร้อมสำหรับเขา

“ฉันเชื่อแล้วละ ”เขาพูดทั้งอมยิ้มทำให้กีรู้ว่าโดนหลอกแน่แล้วจึงขว้างหมอนรองใส่เพื่อนชายทันที

“ไอ้บ้า ทำเป็นเล่น ไม่ช่วยซะดีไหมนี่”รัชต์หัวเราะขำกับท่าทางของเพื่อน จริง ๆ แต่เมื่อคิดถึงเรื่องในอดีตก็ทำให้เขายิ้มกว้างขึ้นไปอีก

“หรือว่า เพราะวันที่เรียนจบวันนั้น ทำให้เธอคิด?”คำถามของรัชต์ทำให้กีรติใจเต้นแรงขึ้น ทำไมเธอจะจำวันนั้นไม่ได้ มันเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตเพียงแต่ว่า ชีวิตของเธอจบลงเพียงแค่นั้น ความสดใส ความสุขทุกอย่างมันหยุดอยู่แค่วันนั้น

“เรื่องอะไร ฉันจำไม่ได้ ลืมไปหมดแล้วมันนานแล้วนะ ตั้งเจ็ดปี ใครจะไปจำได้”กีพูดเลี่ยงหันไปทำอย่างอื่นแทนแต่รัชต์ไม่ปล่อยให้มันเลยไปเหมือนครั้งที่เขาเคยทำ

“แต่ฉันไม่ลืมนะ จำได้ดีว่าเคยพูดอะไรไว้บ้างและทำอะไรลงไป ทุกอย่างฉันตั้งใจแต่ก็เพราะความที่ฉันยังเด็กเลยไม่ได้ตามหาเธอขอโทษนะ แต่ตอนนี้ฉันเจอเธอแล้ว ให้โอกาส ”

“ไม่มีอะไรที่มันนอกเหนือจากความเป็นเพื่อนหรอกนะรัชต์ ”ไม่ทันที่รัชต์จะพูดจบเธอก็ตัดบทขึ้นมา หัวใจที่เคยเต้นเร็วตอนนี้เหมือนกับจะหยุดเต้น รัชต์นิ่งเหมือนหุ่นแทบจะไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก เขาควรเก็บปากไว้รอให้ทุกอย่างพร้อมกว่านี้ เขาจะไม่ปล่อยกีรติไปอีกแน่นอน สัญญากับตัวเองอีกครั้ง ถ้าเธอหายไปจากชีวิตเขาอีก เขาก็จะหายไปพร้อมกับเธอเช่นกัน

ปานใจนั่งมองผลชันสูตรในมือพร้อมกับคิดว่า สิ่งนี้จะช่วยให้เธอมีความหวังอีกครั้ง เรื่องนี้จะช่วยให้เธอได้คุ้นเคยกับรัชต์ หลายปีก่อนปานใจพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้เรียนแพทย์แล้วมันก็สมดังที่ตั้งใจแต่ก็ต้องแลกกับอะไรบางอย่างในชีวิต เป้าหมายในชีวิตของเธอมีแค่สองอย่างก็คือการได้ทำงานเป็นแพทย์แม้จะไม่ใช่ฝันที่แท้จริงแต่แค่ชนะกีรติได้แค่นั้นก็พอใจแล้ว

เรื่องที่สองก็คือ รัชต์ ผู้ชายคนนี้เป็นหนึ่งในเป้าหมายในชีวิต เขาเหมือนเส้นชัย ครั้งแรกที่ได้เจอกับรัชต์ตอนที่เริ่มเข้าเรียนวันแรกของชีวิตนักเรียนมัธยมปลายเขาช่วยพาเธอไปห้องพยาบาลเมื่อเห็นว่าเธอสะดุดล้มขาแพลงเขาดูแลเธอด้วยสายตาอันอ่อนโยนจนเธอหลงรักรัชต์ในวันนั้นแต่ทุกอย่างไม่มีความหมายเมื่อรัชต์ได้เจอกับกีรติ เธอมองสายตาคู่นั้นของเขาออก รัชต์ชอบกีรติแม้ว่าเธอจะพยายามยืนอยู่ตรงหน้าเขามากแค่ไหนแต่สายตาของเขาก็ยังมองข้ามเธอไปหากีรติอยู่ดี ปานใจพยายามหาคำตอบอยู่เสมอว่าทำไมต้องเป็นกีรติ ในเมื่อเธอสวยกว่าผู้หญิงท่าทางโกะๆ ใส่แว่นตารูปร่างผอมกะหร่องอย่างกีรติ เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหมายเลขตามนามบัตรที่เพื่อนเก่าให้มาเมื่อสองวันก่อน

“หวัดดี รัชต์เหรอ เราปานนะ พอดีเราเช็คผลชันสูตรออกมาหลายครั้งแล้วเพื่อความมั่นใจเรื่องคราบอสุจิ ”

“ครับ ”

“มันเป็นจริง แต่ในบันทึกประจำวันของตำรวจบอกว่าไม่มีคราบอสุจิ มันน่าแปลกที่ตำรวจพยายามรวบรัดเรื่องราวขนาดนั้น”

“ใช่ แล้วเราจะสามารถรื้อคดีได้ไหมปาน”

“ได้สิ ลองเอาผลนี้ไปยื่นฟ้องศาลดูแต่ว่าเราว่าน่าจะหาหลักฐานให้ได้มากกว่านี้หน่อยเพราะถ้าตำรวจรวบรัดคดีแบบนี้นะ ไม่แน่ว่าจะมีส่วนอยู่ในเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า ”

“จริง ๆ เราก็พยายามหาข้อมูลเพิ่มแต่ตอนนี้มืดแปดด้านไปหมด เราผิดเองที่ไม่ทำหน้าที่พี่ชายเลยซักครั้ง เราไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวน้องสาวเลยด้วยซ้ำ”น้ำเสียงนั้นตัดพ้อจนคนฟังรู้สึกสะท้อนใจ

“เที่ยงนี้เจอกันได้ไหม เราจะเอาข้อมูลให้”ปานใจเสนอพร้อมกับบอกสถานที่นัดพบ

“ได้สิ แล้วเจอกัน”เสียงฝ่ายนั้นไม่ขัดข้องทำให้ปานใจยิ้มกว้าง เธอรีบเก็บของเข้ากระเป๋า ส่องกระจกเติมแป้งและเครื่องสำอางบนใบหน้าทันที สายตามุ่งมั่นนั้นเหมือนกับจะบอกตัวเองว่าครั้งนี้เธอจะทำให้สำเร็จ จะไม่ยอมให้รัชต์มองใครได้อีกแม้ว่าจะต้องแลกกับสิ่งใดเธอก็จะทำให้เขารักเธอให้ได้

ปานใจมาถึงร้านอาหารที่นัดกับรัชต์ก่อนเวลาสิบนาที เธออยากรอเขามากกว่าที่จะให้เขารอเธอ แม้จะนานแค่ไหนเธอก็ยังรอเขาอยู่ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือปัจจุบัน รัชต์เดินเข้ามาในร้านมองหาเพื่อนสาวปานใจเห็นรัชต์ตั้งแต่เขาเปิดประตูเข้ามาแล้ว ร่างสูงโปร่งหน้าตาคมเข้มทำให้แม้ว่าตอนนี้เขาจะสมเสื้อเชิ้ตธรรมดากับกางเกงยีนส์ก็ยังดูดี สายตาชื่นชมนั้นเธอไม่สามารถปิดได้มิดแต่เขาก็ไม่เคยเห็นซักครั้ง

“หวัดดีจ๊ะ”ปานใจทักก่อนพร้อมกับส่งยิ้มให้

“ครับ แล้วปานเป็นไงบ้างทำงานสนุกไหม”

“งานนะรัชต์ไม่ใช่เกมส์จะได้สนุก มันก็เรื่อย ๆ น่ะ แล้วตอนนี้รัชต์ยังทำงานอยู่ไหม เพราะ เอ่อ เห็นแต่งตัวสบาย ๆน่ะ”

“เปล่า เราลาพักร้อนน่ะ ”

“แล้วครอบครัวรัชต์ล่ะ ไม่มีใครเข้ามาช่วยเลยเหรอ”

“คุณแม่ท่านหลังงานศพก็กลับไปอยู่ต่างประเทศไปดูแลน้าที่โน่นน่ะ ส่วนพ่อเราก็กลับไปอยู่ที่เชียงใหม่”

“แล้วแฟนรัชต์ละ”

“อ๋อ เรายังไม่มีแฟน ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบผู้ชายบ้างานอย่างเราหรอกปาน” ปานใจยิ้มเมื่อได้ยินประโยคนั้น

“ก็ไม่แน่นะ อย่างรัชต์น่ะทั้งหล่อทั้งรวยแถมหน้าที่การงานก็ดี เป็นที่ใฝ่ฝันของสาว ๆ เลยละ ไม่น่าเชื่อว่าจะยังโสดอยู่”

“ฮ่า ๆ คงไม่ใช่หรอก เราถูกหาว่าเป็นผู้ชายขวานผ่าซากออกบ่อยผู้หญิงเขาไม่ชอบหรอก เออ สั่งอาหารดีไหม มื้อนี้เราเลี้ยงเองนะตอบแทนที่ปานเป็นธุระให้ตั้งเยอะ”

“ไม่เป็นไรหรอก สำหรับรัชต์น่ะเรายินดีทำให้เสมอ”รัชต์ยิ้ม ไม่ได้คิดอะไรกับสายตาของหญิงสาวตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย สายตาที่ชื่นชมเขาเสมอมาไม่เคยเปลี่ยนแปลงแม้ซักนิด

“รัชต์เลิกทำงานเพื่อมาสืบเรื่องนี้โดยเฉพาเลยเหรอ ”

“อืม อยากทำให้ดาว แม้ว่ามันจะสายไปแล้วก็เถอะ”ตาคมสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ปานใจเอื้อมมือมากุมมือหนานั้นไว้

“เราเป็นกำลังใจให้นะรัชต์”แววตาอบอุ่นของหญิงสาวตรงหน้าทำให้รัชต์ยิ้มบาง ๆ แล้วค่อย ๆ เลื่อนมือออกมาไม่ให้เสียน้ำใจจนเกินไปแต่คนตรงหน้าก็มีสีหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย

“ขอบใจนะ ทานอาหารกันดีกว่านะ”รัชต์เข้าใจและรู้ดีมาตลอดแต่เขาไม่สามารถรักปานใจได้ ถ้ารักมันก็จะเกิดจากความสงสารมากกว่าความรักที่แท้จริง แล้วผู้ชายอย่างเขา ไม่เคยคิดจะรักใครเพราะความสงสาร เขารักก็เพราะรัก และจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง

กีสำรวจห้องของดาวด้วยความรู้สึกบางอย่าง ความเงียบทำให้เธอเริ่มรู้สึกกลัวมากกว่าที่เคยเป็นอาจจะเป็นเพราะเธอคิดไปเอง ความกลัวเกิดจากจิตใต้สำนึกของคนเราที่สร้างภาพขึ้นมาในสมองสร้างหรือเรียกว่าเป็นภาพหลอน หลังจากเหตุการณ์ที่ดาวฆ่าตัวตายกีรติก็รู้สึกเหมือนมีคนคอยตาม แล้วก็เหมือนจะเห็นภาพของดาวห้อยตัวลงมาจากหน้าต่างห้องของเธออยู่ร่ำไป ทุกครั้งที่เธอกลับมาจากทำงานจะพยายามบอกให้ตัวเองไม่เงยหน้าขึ้นไปมองบนตึกเลยซักครั้ง แต่ทว่าตอนนี้เธอกลับต้องมาอยู่ในห้องที่เธอไม่ แม้แต่จะเหลือบตามอง

เธอพยายามมองรูปในมือมากกว่าที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองรอบ ๆ ห้องเหมือนอย่างที่เคยทำตอนที่รัชต์อยู่ในห้องด้วย สังเกตเห็นสิ่งที่หายไปจากห้องนี้ก็คือรูปบางส่วน อัลบั้มรูปที่เจ้าของห้องเก็บไว้ในกล่องอย่างดี รูปทุกรูปที่มีไม่ได้ถูกสอดไว้ต่อกันเหมือนที่เคยเห็นโดยทั่วไปซึ่งจะมีการจัดเรียงเป็นระเบียบตามเหตุการณ์ แต่ที่เห็นบางเหตุการณ์ไม่มีความต่อเนื่องกัน มีช่องที่ว่างเปล่า เหมือนกับว่ามีคนถอดมันออกไป? คนที่ถอดออกไปได้ มีความเกี่ยวข้องกับดวงดาวสองส่วนด้วยกันก็คือ หนึ่งตัวของดาวเอง และสองก็คือคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับดาวที่สนิทมากพอที่จะเข้ามาในห้องส่วนตัวเธอได้ อีกเรื่องที่ทำให้เธอมั่นใจเหลือเกินว่าต้องมีคนที่เกี่ยวข้องกับดาวคือ การ์ดบนช่อดอกไม้ ”สำหรับคนที่ผมรัก” การไม่ลงชื่อในการ์ดทำให้รู้ว่าดาวรู้จักผู้ชายเจ้าของช่อดอกไม้เป็นอย่างดีและถึงขนาดไม่ยอมทิ้งช่อดอกไม้เหล่านั้นเลยแถมยังเก็บไว้อย่างดีในตู้โชว์ เหตุการณ์ชวนให้สงสัยตั้งแต่ครั้งที่เกิดเหตุใหม่ ๆ แล้วท่าทางการตายผิดธรรมชาติ คิดง่าย ๆ ถ้าหากคิดชั่ววูบแล้วกระโดดตึกฆ่าตัวตายจะง่ายกว่าการเบี่ยงตัวออกจากลูกกรงหน้าต่างแล้วผูกคอตาย นอกเสียจากต้องการจะปกปิดร่องรอยอะไรบางอย่าง

ระยะเวลาอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเธอจะสะสางคดีนี้ช่วยรัชต์ได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง เวลาเธอไม่ได้มีมาก กีรติโทรศัพท์ไปบอกเพื่อนคนหนึ่งให้ช่วยดูข้อมูลที่จะส่งให้ในช่วงบ่ายที่ผ่านมา เพื่อนคนนี้กว้างขวางหลายวงการ เธอเคยเจอกับผู้หญิงคนนี้เมื่อสามปีที่แล้วในต่างประเทศ เอลิน ทานากะ ลูกครึ่งญี่ปุ่น-ไทย มีนิสัยและท่าทางประหลาดแต่ทำงานเก่งเกินคาด เอลินเคยช่วยเหลือเธอมาหลายเรื่องตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนตอนนี้ ปลายสายรับด้วยน้ำเสียงงัวเงียเต็มที

“ว่าไงเพื่อนรัก กีจ๋า”น้ำเสียงแม้จะงัวเงียแต่ก็ปนไปด้วยนิสัยขี้เล่น

“ได้รับเมล์ผลชันสูตรศพที่ฉันส่งไปให้หรือยังเอลิน”สาวญี่ปุ่นหันไปมองจอคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยุ่บนโต๊ะทำงานมีไฟกระพริบเตือนจดหมายเข้าใหม่

“ฉันเห็นแวบ ๆ พอดีเพิ่งได้นอน ทำงานดึกไปหน่อย เพิ่งงีบเมื่อเช้านี้เอง ขอเวลาดูหน่อยละกันเพื่อน เรื่องอะไรกันงั้นเหรอ ”กีรติถอนใจ

“คดีแปลก ๆ น่ะ เพื่อนเก่าฉัน น้องสาวเขาฆ่าตัวตายแต่เขาไม่เชื่อเลย ”ไม่ทันพูดจบอีกฝ่ายก็สวนขึ้นมา

“อยากช่วยสิท่า ทั้งปีเลยกี เพื่อนที่ว่านี่ใครกัน ”

“ เพื่อนเก่า”กีรติไม่ตอบ เอลินเลยรู้โดยอัตโนมัติว่าคน ๆ นี้ไม่ใช่เพื่อนธรรมดา ๆ อย่างที่กีรติพูด

“ได้ ฉันจะส่งให้เพื่อนตรวจสอบให้แล้วกันแล้วจะแจ้งผลอีกทีนะ”

“ขอบใจนะเอลิน อ้อ จริงสิยังไงเธอช่วเก็บเรื่องนี้เป็นความลับก่อนนะ”กีรติบอก

“ได้เสมอ”เอลินตอบรับน้ำเสียงสดใส พร้อมกับลุกขึ้นจากเตียงบิดตัวไปมาแล้วเดินต่อไปยังโต๊ะทำงาน

“ตอนนี้มาถึงเมืองไทยหรือยัง”กีรตินึกได้ว่าเพื่อนสาวบอกว่าจะได้ย้ายมาทำงานที่เมืองไทยเพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องของรัชต์ทำให้เธอไม่ได้ทักทายเพื่อนเก่าอย่างเอลินเลย

“ใช่ มาแล้ว แล้วค่อยเจอกันนะ รับรองว่าจะเป็นความลับทุกอย่าง”อีกฝ่ายตอบรับ แล้วกดวางสายไป

กีรติถอนหายใจโล่งอกอย่างน้อยเธอก็มีเพื่อนที่คอยช่วยเหลืออยู่เสมอ เอลินเป็นเพื่อนที่เจอกันระหว่างเจ็ดปีนี้ เป็นเพื่อนที่มีบางอย่างเหมือนกันทำให้เข้าใจซึ่งกันและกันแม้กระทั่งไม่ต้องพูดก็ยังเข้าใจความรู้สึกของกัน เอลินเป็นผู้หญิงคนเดียวในตระกูลใหญ่เธอต้องรับผิดชอบคนมากมายแต่เพราะเป็นผู้หญิงเลยไม่เป็นที่ยอมรับ เอลินจึงออกเดินทางมายังโลกกว้าง ทำสิ่งที่เธอรัก กีรติรู้สึกอิจฉาเพื่อนสาวคนนี้ที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและใฝ่ฝัน แต่เธอกลังต้องมาทำหน้าที่ตัวแทนของพ่อทำในสิ่งที่พ่อต้องการตามที่สัญญาไว้ก่อนหน้านี้ ท่านจะทำให้เธอเกิดใหม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

เอลินมองภาพบนหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วก็ซบหน้าลงบนฝ่ามือ ถอนหายใจยาวนึกโมโหเพื่อนรักที่ส่งอีเมล์มาให้แม้จะเป็นช่วงบ่ายแต่สำหรับเอลินตอนนี้ยังไม่ได้กินข้าวเช้าหรือข้าวกลางวันเลยซักมื้อเพราะมัวแต่ทำงานจนดึกดื่นและเพิ่งได้นอนช่วงเช้าตรู่ ตื่นขึ้นมาได้ก็เพราะเสียงโทรศัพท์ของกีรตินั่นเอง แต่ภาพที่ปรากฎตรงหน้าไม่ได้ทำให้เธอจรรโลงใจในตอนเช้าเลยซักนิด แถมยังไม่รู้เลยว่าจะกินข้าวลงได้หรือไม่ การที่เธอทุ่มสุดตัวในการลงไปทำงานในประเทศแถบแอฟฟริกา หรือเอธิโอเปียไม่ได้หมายความว่าเธอเห็นภาพศพเป็นเรื่องปกติเหมือนกีรติเสียหน่อย เอลินถอนหายใจอีกครั้งแล้วเดินลากขาเข้าไปในห้องน้ำท่าทางสลดหดหู่ในชีวิตเต็มที่

รัชต์กลับมาที่ห้องก็เจอกระดาษโน้ตติดอยู่ที่โต๊ะรับแขก กีรติเขียนบอกเขาสั้น ๆว่าเธอต้องไปทำงานแล้วไว้พรุ่งนี้จะมาช่วยใหม่ ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจหนึ่งครั้งทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นสืบอย่างไรดีเหมือนกัน โชคดีที่ได้เจอกีเธอเป็นคนที่มีความสามารถเรื่องการสังเกตเขาไม่เคยหลอกเธอได้เลยซักครั้งเมื่อสมัยที่เรียนด้วยกัน ทุกครั้งที่มีปัญหา กีจะเป็นคนแรกที่เข้ามาช่วยเขาไว้เสมอไม่นึกเลยว่าแม้จะจากกันมาเกือบเจ็ดปี ในตอนที่เขาต้องการใครซักคน กีก็จะกลับมา อีกครั้ง แต่บางอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว ถ้าครั้งนั้นเขาไม่ปล่อยให้เธอหายไปเรื่องมันอาจจะไม่เป็นอย่างนี้ เสียดายเวลาที่ปล่อยมันผ่านไป เพราะเขาเป็นคนปล่อยโอกาเสมอ ถึงได้เกิดเรื่องกับดาว หรือแม้แต่กีเขาก็ทำให้หลุดมือไป รัชต์ตั้งใจเปิดสมุดเฟรนด์ชิฟอีกครั้ง ภาพที่เขากอดคอเธอถ่ายรูปคู่กันมันทำให้เขายิ้มออกทุกครั้งที่ได้เห็นมัน ทว่าตอนนี้


“ไม่มีอะไรที่มันนอกเหนือจากความเป็นเพื่อนหรอกนะรัชต์ ”
ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเจ็บ เพราะเขาหวังอะไรอย่างนั้นหรือ หวังว่าเธอจะยังคงจำคำสารภาพรักแบบเด็ก ๆ ได้หรือจำสัมผัสบางอย่างได้อย่างนั้นหรือ ก็แค่จูบแบบเด็ก ๆ เธอลืมมันไปแล้ว เวลาตั้งเจ็ดปี อาจจะทำให้เธอลืมคำว่ารักไปแล้ว

กีนั่งอ่านนามบัตรที่ติดมากับช่อดอกกุหลาบสีแดงนั้นด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายไม่ใช่ว่าเธอจะไม่ชอบดอกไม้แต่ถ้ามันเป็นของคนที่เธอชอบมันจะดูไม่น่าเบื่อขนาดนี้ นามบัตรนั้นพิมพ์ชื่อไว้อย่างชัดเจน “ศิระ พัฒนโชติ”

“แหมหมวดซีตัวไม่มาแต่ส่งดอกไม้มาแทนซะด้วย”อาร์มเด็กเสิร์ฟในร้านบลูส่งเสียงแซวมาจากด้านหลัง กีหันไปส่งสายตาค้อนขวับให้

“คราวหลังบอกเขาด้วยว่าอย่าเสียเงินกับเรื่องของพี่อีก ”

“โธ่ พี่กีหมวดเขาออกจะดี หน้าตาก็หล๊อ-หล่อ ทำไมถึงได้ตัดเยื่อใยซะขนาดนั้นได้”

“คนเรา บอกตั้งแต่ต้นนี่แหละดีอย่าให้หลงคิดอะไรไปนาน ยิ่งนานมันก็อาจจะยิ่งเจ็บ”อาร์มมองรุ่นพี่ด้วยสายตาแปลกใจ กีทำหน้านิ่งก่อนจะยิ้มหวานเดินขึ้นไปบนเวที

“โห โชว์ มัส โก ออน จริง ๆ เจ๊ ?”
ซียืนนิ่งอยู่หลังประตูเขาได้ยินประโยคเหล่านั้นแม้จะรู้อยู่แล้วแต่ก็เจ็บอยู่ดี อดีตที่ผ่านมาทำให้เขาเจ็บปวดมากมายกว่านี้ เขาก็ยังผ่านมันมาได้ทำไมเรื่องของกีรติจะทำให้เขาเจ็บได้มากอย่างนั้นหรือ ในเมื่อเขาเป็นคนที่กุมความลับของผู้หญิงคนนี้อยู่ทำไมจะทำให้เธอตกลงรับปากกับเขาไม่ได้ ความลับนี้แม้จะทำให้หลายคนเดือดร้อน มันก็เป็นประโยชน์สำหรับเขาในอนาคต ซีเดินออกมาจากร้านบลูเงียบ ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอทำให้เขาต้องขมวดคิ้วเข้าหากันพลางกดรับสาย

“ครับผม ซีครับลุง”ปลายสายถอนหายใจก่อนจะเอ่ยอะไรออกมา

“มีเรื่องยุ่ง อยากให้นายช่วยจัดการให้ด้วย”น้ำเสียงห้าวแหบเกริ่นเรื่อง

“เรื่องยุ่งอย่างนั้นหรือครับ”ซีทำหน้าสงสัย เขาไม่คิดว่าเรื่องยุ่งนี้จะเป็นเรื่องยุ่งธรรมดา ๆ อย่างที่เคยเจอแน่ ๆ

“งั้นผมไปหาลุงนะครับ แล้วค่อยคุยกัน”ซีบอกอย่างนั้นพร้อมกับกดวางสาย เขาทำทุกอย่างก็เพื่อผู้ที่เคยมีบุญคุณมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายหรือดีแค่ไหน เขาก็จะทำ ซีขึ้นรถยนต์สีดำของตัวเองขับออกไปด้วยความเร็ว สีหน้าวิตกกับเรื่องยุ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

นัทเดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯเขาก็รีบโทรศัพท์หาเพื่อนสนิททันทีเพราะกลัวว่าจะทำอะไรบุ่มบ่ามจนเสียเรื่อง ที่ผ่านมาเขาก็ยอมเชื่อรัชต์เพื่อไม่ให้เพื่อนคิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่กลับกลายเป็นว่า เป็นแรงผลักดันที่ดีเยี่ยมสำหรับรัชต์แทน มันน่าเสียดายอนาคตที่กำลังไปได้สวยของเพื่อนชาย รัชต์มีชีวิตที่ดีมาเรื่อย ๆจนมาเจอกับกีรติทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป

“เออ เป็นไงบ้างวะ”นัทธีถามเพื่อนสีหน้าเป็นห่วงแม้จะสังเกตเห็นว่าเพื่อนรักไม่ได้มีสีหน้าหดหู่เหมือนเมื่อครั้งที่เคยเจอกัน

“ก็ ดี แล้วงานแกเป็นไงบ้างวะ”

“เออ ตอบว่าดีนี่ยังไงวะ”นัทยังไม่วายเลิกสงสัย แต่อีกฝ่ายดูไม่ค่อยอยากจะตอบเท่าไหร่นัก เพราะอะไรเขาก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน

“ก็ พอดีมีคนมาช่วยคนหนึ่ง ”รัชต์บอกด้วยสีหน้าแช่มชื่นผิดหูผิดตา

“ใครวะ?”นัทอยากจะถามว่า ใครเชื่อแกอีกวะ มากกว่า คำถามที่ถามออกไป

“กี”คำตอบสั้น ๆ นั้นไม่ได้ทำให้เพื่อนหนุ่มเข้าใจขึ้นมาในทันทีเพราะคิดไม่ถึงว่าเพื่อนเก่าจะกลับมาอีกครั้ง

“กีไหนวะ?”นัทยังไม่หายสงสัย

“ก็ กีรติ ยัยแว่นจอมพลังนั่นไงละ”คราวนี้สีหน้านัทตื่นเต้นขึ้นมาในทันที

“กีเหรอวะ เยี่ยมไปเลย กีทั้งเก่งทั้งฉลาดแถมยังเคยอยู่ชมรมนักสืบของโรงเรียนด้วยแต่ทำไมนายถึงได้เจอกีได้ละ”

“ก็ไอ้โต้ มันเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกมันโทร.มาหาบอกว่ามีเพื่อนเก่าให้ฉันไปเจอ ฉันไปก็เห็นเป็นกีนั่นแหละ”รัชต์อธิบาย เพื่อนชายยิ้มกว้างเหมือนต้นไม้ได้น้ำใหม่

“ไว้แกพาฉันไปเจอเขาบ้างนะ ฉันอยากเจอเขาอีก”

“เจอทำไมวะ”น้ำเสียงนั้นห้วน ๆ ผิดวิสัยของรัชต์จนทำให้นัทเริ่มแปลกใจ

“อะไรวะ เพื่อนกันเจอกันไม่ได้หรือไง ถามแปลก ๆ”

“เออ ก็ถามเฉย ๆ”คนพูดๆกลบเกลื่อนไปเสียอย่างนั้น นัทหัวเราะเพราะคำตอบของเพื่อน

“เจอคู่อริเก่าแล้วเป็นอะไรวะ เจอกันอีกก็อย่าไปหาเรื่องเขาละ แกนี่ยังไงวะนิสัยเด็ก ๆไปได้”นัทบ่น รัชต์ถอนหายใจภาพพจน์ระหว่างเขากับกีคือคู่กัดตลอดกาลแต่ไม่มีใครรู้เรื่องจริง ๆ เลยแม้แต่น้อย มันคงแปลกถ้าความสัมพันธ์นั้นเปลี่ยนไป ถ้ามันเปลี่ยนไม่ได้แล้วก็ไม่ต้องเปลี่ยน!!

นัทธีขับรถกลับบ้านแม้จะค่อนคืนไปแล้วเขาไม่เคยค้างคืนที่อื่นนอกจากบ้านเพราะไม่เห็นความสำคัญที่จะทำอย่างนั้น อย่างน้อยตื่นเช้ามาเจอหน้าพ่อกับแม่ก็ยังดีกว่าเจอหน้าสาว ๆ ที่เจอกันแค่ไม่ถึงวัน เขารู้สึกกลัวผู้หญิงสมัยนี้ที่กล้าเหลือเกิน ใครจะว่าเขาหัวโบราณเรื่องผู้หญิงแค่ไหนก็ตามแต่เขาก็ไม่เคยคิดจะตอบโต้เพราะมันเป็นเรื่องจริง เมื่อเห็นท่าทางของรัชต์วันนี้แล้วเขารู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย การเจอกันระหว่างรัชต์และกีรติเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ก็จริงแต่ทำไม กีรติถึงต้องโผล่มาตอนนี้ด้วย ตอนที่รัชต์กำลังสับสนเขาหาที่พึ่ง กีรติกำลังทำให้รัชต์เจ็บปวดเหมือนกับที่เคยทำมาแล้ว นัทธีรักเพื่อนเกินกว่าที่จะปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้น เขาต้องจัดการเรื่องนี้ อย่างน้อยก็ต้องได้รับคำสัญญาบางอย่างจากกีรติ รัชต์สูญเสียมามากแล้วเขาไม่สมควรที่จะต้องเสียใจกับเรื่องนี้อีก เมื่อกลับถึงบ้านแม่ยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่น นัทธีจึงเดินเข้าไปโอบเอวแม่เบา ๆ

“แม่ผมทำอะไรทำไมไม่นอนละครับ”คุณหญิง สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงบุตรชาย เธอตบไปที่มือนัทธีเบา ๆ

“แหม เจ้าลูกคนนี้ ทำเอาตกอกตกใจหมดเลย ว่าแต่นี่ไปไหนมาดึกดื่น”

“ผมถามแม่ก่อนนะครับ”นัทธีแย้งไม่ได้จริงจังนัก

“เจ้านัทนี่นะ แม่นั่งรอพ่อน่ะ ยังไม่กลับเลย มีงานด่วนละมั้ง”

“พ่อไม่ใช่นายตำรวจที่ต้องอยู่เวรเสียหน่อยทำไมต้องอยู่ดึก ไม่ไหวเลยคุณพ่อทำให้คุณแม่ของผมต้องนั่งรอเนี่ย”

“แหม ปากหวานจริงนะลูก หวาน ๆ อย่างนี้ไม่เห็นพาสาว ๆ กลับมาด้วยบ้างเลย”

“ไม่เอาหรอกครับแม่ ผมน่ะ ไม่ชอบผู้หญิง”

“ดูพูดเข้า ”คุณหญิงหัวเราะกับท่าทางและคำพูดของบุตรชาย

“ก็มันน่าเบื่อจริงนี่ครับ ผู้หญิงน่ะเรื่องมาก ”

“อย่างนี้ก็เบื่อแม่ด้วยละสิ”

“แม่เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมละไว้ เพราะเป็นคนที่ไม่เคยทำให้ผมเบื่อเลยสิครับ”นัทธีพูดให้แม่รู้สึกดี ชายหนุ่มยอมนั่งดูทีวีเป็นเพื่อนแม่รอพ่อต่อแม้จะรู้สึกง่วงแล้วแต่เขาก็ไม่อยากให้แม่ต้องนั่งคนเดียว พ่อของเขาเป็นนายตำรวจที่ทำงานดีมาโดยตลอดและผลงานก็ทำให้ท่านก้าวหน้าเช่นกัน ครั้งหนึ่งที่พ่อเคยเกริ่นว่าตลอดชีวิตท่านเป็นหนี้บุญคุณของครอบครัวลุงเอก และไม่มีทางจะลืมเลือนได้เลยในชีวิตนี้ ซักวันหนึ่งท่านจะต้องตอบแทนบุญคุณนั้นให้ได้ ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่นัทธีรู้ว่า อนาคตของเขาอาจจะมีเหตุให้ต้องเหมือนชายไทยสมัยเก่าที่ยังต้องถูกคลุมถุงชน เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ได้อย่างไรดีเหมือนกัน เขาเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว อนาคตต่อไปก็คงแล้วแต่ชะตาลิขิต



ณิชนิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 พ.ค. 2554, 12:21:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 พ.ค. 2554, 12:21:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 2020





<< “ตอนที่ 1 ฆาตกรรม”   “ตอนที่ 3 ความอ่อนไหว” >>
ปูสีน้ำเงิน 25 พ.ค. 2554, 02:44:20 น.
รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account