ซุ่มซ่อนมังกรสันโดษ
การผจญภัยของคู่แฝดจอมหาเรื่องที่ทำให้ชีวิตของคนในยุทธภพวุ่นวาย
Tags: กำลังภายใน แฝด มังกร

ตอน: 08 บุรุษปริศนา

ซุ่มซ่อนมังกรสันโดษ บทที่ 8 บุรุษปริศนา

ฟางสงคิดกลับไปสะสางเรื่องราวของยี่เอ๋อให้เสร็จสิ้น รู้จริงแท้ในใจนางมีแฝดน้องนั่งอยู่ หากด้วยวาจาที่กล่าวออกไปล้วนต้องปฏิบัติตาม เมื่อพี่น้องมันมิยินยอมรับผิดชอบ มันจึงต้องรับผิดชอบแทน หนทางไปยังสำนักกระบี่เทพไม่ยากนัก ห่างจากเมืองฝูโจวเพียงเล็กน้อยสำหรับผู้มีวรยุทธ์ ตั้งอยู่ในธรรมชาติ

“เจ้ามาทำไร” กังเหลียงมองมาด้วยความขุ่นเคือง

“กังเหลียงเจ้าอย่าได้ใจร้อน ข้าและสงน้อยต้องการมาสะสางเรื่องราว” หลี่เปียวเข้าไกล่เกลี่ยแทน แม้รำคาญนิสัยมุทะลุของกังเหลียงอยู่บ้าง แต่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ด้วยมีเรื่องราวหมางใจกันมาก่อน

“ฮึ เด็กโสโครกนั้นไปยังที่ใด หรือมันคือลูกเต่า ไม่กล้าพบหน้าผู้คน” กังเหลียวด่าว่าฟางเสียงอย่างดูหมิ่น

“เจ้ากล่าวเกินไปแล้ว บัดนี้เสียงน้อยไปยังที่ใดไม่มีใครรู้ ข้ามาที่นี่เพื่อสะสาง ไม่ต้องการเจรจากับคนไร้เหตุผลเช่นเจ้า” ฟางสงโมโหแทนแฝดน้องตัวดี หากมันด่าว่าคู่แฝดเช่นไรได้ทั้งสิ้น เพียงผู้อื่นคิดด่าว่าพี่น้องมัน ยังต้องขออนุญาตมัน

“เจ้าเข้ามา” กังเหลียงไม่อาจระงับโทสะ จึงคิดเอากำลังเข้าหักหาญ ร้องท้าทั้งที่พ่ายแพ้หลายครั้ง

“ผลเป็นเช่นไร เจ้ารู้อยู่แล้วหากยังคิดเข้ามาก็จงมาเถอะ” ฟางสงเอามือไพล่หลังตระเตรียมลงมือ

ยามนี้มันมิอาจบ่งบอกความรู้สึกที่บังเกิดขึ้น เพียงเหนื่อยหน่ายรำคาญใจ ด้วยจนบัดนี้ยังไม่อาจเสาะหาฝาแฝดมันพบ ทั้งยังมีปัญหาที่มันยังมิได้แก้ไข

“พอเถอะ พวกเจ้าสองคนทำเรื่องอีกแล้ว พบหน้าเป็นต้องต่อยตีกัน สงน้อยเจ้าอย่าได้ยั่วโทสะผู้คนได้หรือไม่ ส่วนเจ้า...กังเหลียง พอเถอะ เราท่านต่างเป็นสหายกัน การขึ้นเขามาครั้งนี้ใช่ต้องการหาเรื่องไม่ ยังคงต้องหาทางแก้ไขมากกว่า” หลี่เปียวต้องห้ามทัพอย่างเบื่อหน่ายไม่แตกต่างจากสหาย ทว่าเกรงใจเจ้าของสถานที่จึงต้องกระทำ

“ท่านอาจารย์เชิญคุณชายฟางเข้าพบ” ปาต้าหนิวชมดูศิษย์น้องและฟางสงอยู่นาน เห็นไม่ได้การจึงคิดออกมาห้ามปราม

“ขอบคุณพี่ต้าหนิว” หลี่เปียวรีบกระตุกแขนสหาย รั้งพาไปให้หมดเรื่องราว

เพียงนี้ความวุ่นวายยังไม่มากพออีกหรือ...ต้องให้อีกกี่คนสับสนกังวลใจไปมากกว่านี้

*****************************************


หยงซื่อ...กระบี่เทพยกสุราอุ่นขึ้นดื่มให้ทอดถอนใจ พลันเหม่อมองมีดสั้นรูปสลักจิ้งจอกที่มีเพียงเจ็ดหาง สร้างจากโลหะสีเงินยวง คมกริบตัดได้แม้เส้นผมมนุษย์ มันได้กรีดเลือดของสตรีหญิงงามที่รักยิ่ง

กระบี่เทพผู้นี้มีบุญคุณความแค้นเหลือแสน เกินกว่าจะหักลบกลบหนี้กับเจ้าของมีดสั้นนี้ได้ ยังจดจำได้วันที่ภรรยาผู้งดงามคุกเข่าลงตรงหน้าของบุรุษชุดสีเทา ใบหน้าเค้าโครงของมันมีแผลเป็นอยู่มากมายจนไม่มีที่เหลือให้รอยใหม่ แววตาของมันผู้นั้นอ่อนยวบ พร้อมหัวใจกระบี่เทพที่หลุดลอยไปกับยมทูต ที่มาพรากวิญญาณภรรยาที่รัก

“น้องหญิง” หยงซื่อรีบเข้าไปโอบกอดภรรยาผู้เลอโฉม ก่อนหันไปมองบุรุษแปลกหน้า

นักล่าผู้เยือกเย็นกลับหลั่งน้ำตาไหลอาบแก้ม เมื่อสตรีที่มันรักยิ่งกว่าชีวิตต้องจบสิ้นด้วยน้ำมือของนางเอง เพื่อร้องขอให้มันไว้ชีวิตทารกชายในอ้อมแขนมันและสามีนาง

อดีตในความทรงจำที่โหดร้ายไม่เคยจางหายแม้กาลเวลาผ่านไปนานแสนนาน มันมิเคยได้รับการรักษาเยียวยา ได้แต่เฝ้าตามหาบางสิ่งในความทรงจำนั้นอย่างตั้งใจ

*****************************************


ภายในห้องหอของบ้านตระกูลหยง ภรรยาของหยงซื่อได้ให้กำเนิดบุตรชายที่น่ารักแก่ผู้คนล้วนปิติ เพียงไม่ทราบวันนี้กลับเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในตระกูลหยง

หยงฮูหยินหน้าตาอิดโรยหลังให้กำเนิดบุตรชายอวบอ้วน นางลืมตาขึ้นหากต้องตกใจสุดขีด เมื่อเห็นดวงหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลเป็นกำลังอุ้มทารกที่นางเพิ่งให้กำเนิด รู้ทันทีเพียงไม่ได้ตระเตรียมใจ ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นนักล่าจะเป็นพี่ชายต่างสายเลือดที่แสนดีของนางในวัยเยาว์

“พี่โทวกง ชีวิตข้าแลกชีวิตพี่ซื่อและบุตรชายข้า โปรดไว้ชีวิตคนทั้งสองเถอะ” นางฟ้าสีแดงลงจากเตียง นั่งลงกอดเข่าอ้อนวอนนักล่านาม...ขโมยคุณงามความดี

“เมื่อเจ้ารู้ว่าจะมีวันนี้ไฉนเจ้าไม่คาดคิดก่อน บ้านทุกหลังมีกฎและข้อยกเว้น เพียงเจ้าถามไถ่แก่นายเหนือชีวิตเรายังมีชีวิตรอดอยู่บ้าง” มันถอนหายใจกับหน้าที่ที่มันต้องรับมาคือ...จัดการผู้ทำผิดกฎบ้าน โดยเฉพาะคนผู้นี้คือคนที่มันรักและเทิดทูนยิ่ง

“ข้า” นางฟ้าสีแดงหลั่งน้ำตาอาบแก้ม ตอนนั้นนางยังเยาว์นัก มิเคยพบเจอบุรุษแปลกหน้าที่บังเอิญก้าวเข้าในสถานที่อันเป็นความลับเช่นนี้

ความเผลอไผลพลาดพลั้งทำให้นางต้องปิดบังตนเอง เนื่องด้วยรู้ดี...หากอาจารย์นางทราบ ต้องส่งนักล่ามาตามหานางเป็นแน่ มิคาดชีวิตนางยังมีโอกาสได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนที่นางรักนานถึงสองปี จนมีทารกน้อยสืบสกุล

“ทารกน้อยที่น่าสงสาร เกิดมาเพียงไม่นานก็ต้องจบชีวิตลง” มันถอนหายใจช้าๆ แม้ไม่อยากกระทำจำต้องกระทำ

“ขอท่านนำเด็กน้อยนี้มอบแก่นายท่านชดเชยหนึ่งชีวิตข้า และใช้ชีวิตข้าแลกกับชีวิตพี่ซื่อเถอะ” นางฟ้าสีแดงรู้ซึ้งชะตาตน

นางเก็บมีดสั้นรูปจิ้งจอกเจ็ดหางที่ได้รับมอบหมายในฐานะศิษย์ระดับสาม เมื่อครั้งได้รับ นางไม่รู้ว่าวันนี้นางจะต้องใช้มันแทงลึกลงหัวใจของนาง นางทรุดลงมองมันด้วยสายตาอ้อนวอน

เสียงของสามีอยู่ห่างไกลยิ่งนัก นางมิมีโอกาสได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของสามี นั่นเป็นความโชคดีประการหนึ่งของนาง นางใช้แรงจากทั้งชีวิตแทงมีดสั้นลงที่กลางหัวใจ...จบชีวิตเพื่อให้คนที่นางรักทั้งสองยังคงชีวิตไว้

หยงซื่อกอดร่างภรรยาสาวเอาไว้แนบอก น้ำตาของลูกผู้ชายไหลรินอาบสองแก้ม ก่อนเงยหน้ามองบุรุษอีกคนที่อุ้มทารกน้อย...บุตรชายแรกเกิด

“ท่านควรทราบภรรยาท่านมิใช่ชนชั้นธรรมดา นางเป็นศิษย์หุบเขานางฟ้า ศิษย์ระดับสามแห่งผามังกรฯ เมื่อปฏิญาณตนรักษาพรหมจรรย์ จึงไม่สามารถทำผิดกฎแต่งงานให้กำเนิดบุตรเช่นสตรีทั่วไป” นักล่าผู้เห็นแก่ชะตากรรมอันโหดร้ายบอกความจริงแก่คนผู้นี้ ด้วยไม่เห็นประโยชน์อันใดต้องปกปิด

“เราเพียงรักกันไฉนต้องถึงกับฆ่านาง” หยงซื่อไม่อาจควบคุมตริตองเรื่องราว หากไม่ได้รับคำตอบจากผู้ใด

“เมื่อนางมีศักดิ์ฐานะไม่น้อย สิ่งที่นางขอยังคงได้รับการตอบรับ จงเก็บมีดสั้นจิ้งจอกเจ็ดหางนั้นเอาไว้ วันหน้าท่านอาจได้ใช้มันเพื่อรักษาชีวิตท่าน สำหรับทารกนี้ นางได้มอบคืนสู่ผามังกรฯ วันหน้าหากท่านมีวาสนาอาจได้พบหน้าทารกน้อยนี้”

เสียงแผ่วเบาด้วยนักล่าผู้นี้มีฝีเท้าดังภูตพราย หายไปกับสายลมอำมหิตที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิตของกระบี่เทพ ผู้ได้รับการขนานนามภายหลังสูญเสียสตรีอันเป็นที่รักและบุตรชาย

*****************************************


หยงซื่อยกสุราขึ้นดื่มทั้งป้าน ไม่เคยรู้เลยว่าภรรยาที่รักจะมีศักดิ์ฐานะสูงในผามังกร เพียงเข้าใจว่า นางคือหญิงชาวบ้านที่แสนซื่อบริสุทธิ์ มิเคยต้องมลทินภายนอก

วันที่หิมะสีขาวปูพื้นดินเห็นหญิงงามสดใสนางหนึ่งวิ่งเล่นกับจิ้งจอกสีขาว และเป็นวันที่โหดร้ายชายหนุ่มมีบาดแผลเต็มตัว ผลัดหลงเข้าไปยังดินแดนที่ลึกลับที่สุดในแผ่นดิน...ผามังกรฯ ดินแดนที่เป็นเพียงตำนานเล่าขานสำหรับยุทธภพ...สมแล้วที่ผู้คนมักพูด

“ยุทธภพกว้างใหญ่ผู้ใดเยี่ยมเยือนครบถ้วน”

สุราจึงเป็นเพื่อนในยามเปลี่ยวเหงา ไม่มีสตรีใดทดแทนสตรีหนึ่งเดียวในชีวิต กับบุตรชายที่มิได้พบหน้า และไม่อาจทราบชะตากรรม หวังเพียงให้ชื่อเสียงระบือลั่น เพื่อเสาะหาเบาะแสของทารกน้อยในอุ้งมือมังกร...

เสียงเคาะประตูดึงจิตใจที่เหม่อลอยกลับมา ศิษย์คนโตเดินเข้ามาประสานมือคารวะ เคยชินกับสุรายอดหญ้าหลายป้านวางอยู่บนโต๊ะอาจารย์มัน “สงน้อยมาแล้ว”

หยงซื่อพยักหน้ายังมีเรื่องราวต้องกระทำ เรื่องราวต้องชำระสะสาง ไม่อาจอยู่ในห้วงคำนึงได้ตลอดกาล เพียงเก็บไว้ในเบื้องลึกแห่งความทุกข์ตรม

ฟางสงเผชิญหน้ากับกระบี่เทพอย่างองอาจ เมื่อการมา มาด้วยดีย่อมไม่ต้องกลัวไป ยังมั่นใจในฝีมืออยู่ไม่น้อย หากยังคงสำนึกอยู่บ้าง...แฝดน้องมันสร้างความลำบากยากเข็น

“เจ้ามีเรื่องราวใดให้พูดออกมา” หยงซื่อให้โอกาสผู้เยาว์เสมอ แม้เด็กหนุ่มตรงหน้าจะยโสโอหังเพียงไร

“ข้าเพียงต้องการรับผิดชอบในวาจา เมื่อเสียงน้อยไม่พร้อมกระทำ ข้าผู้เป็นพี่ย่อมต้องยอมรับผิดชอบแทน” ฟางสงพูดจาฉะฉานมั่งคง วาจาสัจจะมันย่อมรักษาคุณธรรมประจำใจไว้

“ข้าไม่ต้องการ” ย้ำเสียงปฏิเสธหนักแน่น ยี่เอ๋อเดินออกมาจากภายใน สีหน้าซีดเซียวมิอาจคลายความทุกข์โศกในใจได้ ทว่านางย่อมไม่ต้องการเสียเกียรติมากไปกว่านี้

“ข้ามิใช่สิ่งของรอคอยวันจับจ่าย คุณค่าของข้ามิใช่เพียงนี้ จะกระไรได้ ข้ามิต้องการพบเห็นหน้าเจ้าอีก เนื่องด้วยเจ้าหน้าตาคล้ายมันยิ่งนัก” ยี่เอ๋อกล่าวจบคำเดินจากไป

กังเหลียงคิดติดตามหากไม่ติดตาม อาจารย์มันไม่ต้องการให้รบกวนศิษย์น้องได้แต่ปล่อยใก้นางครุ่นคิดตามลำพัง เพียงหวังให้นางคลายความโศกเศร้าด้วยตนเอง

“เอาเถอะ ข้อเสนอข้ายังคงไว้เช่นนี้จนกว่าข้าและนางจะพบผู้ร่วมชีวิต ขอลาแล้ว” ฟางสงจิตใจกว้างขวาง เปิดโอกาสให้นางและตนเองเช่นกัน

ในใจมันหาสนใจไม่ แม้ถูกปฏิเสธจะเป็นเช่นไรด้วยทั้งสองต่างมิได้มีใจให้แก่กัน ก็ยากจะบังคับนางให้ตบแต่งเป็นภรรยามัน

“ผู้เยาว์ขอลาแล้ว” หลี่เปียวเห็นสหายตระเตรียมจากไปจึงคิดจากไปเช่นกัน

เมื่อหน้าที่มันต้องติดตามสหายไปยังที่ต่างๆ ด้วยอาจารย์มันมิได้เร่งรัดให้กลับหมู่ตึก ยังคงออกผจญทั่วหล้าเก็บเกี่ยวประสบการณ์ประเสริฐสุด…

*****************************************


ยี่เอ๋อหลบหนีผู้คนลงจากเขา น้ำตานางไหลอาบแก้มนวล ไม่ทราบน้ำตานี้มาจากที่ใด จึงมากมายไม่สิ้นสุด เพียงคิดถึงผู้ทำให้นางต้องเจ็บช้ำน้ำตาน้อยยิ่งหลั่งไหล

‘ดูเถอะ แม้วันนี้ยังไม่ยินยอมมาพบหน้า หรือนางนั้นไม่มีค่าแก่มันแม้แต่น้อย ไฉนใจช่างไม่รักดี ยังไม่อาจลืมเลือนมันได้’ ยี่เอ๋อให้น้อยใจยิ่งนัก เจ็บปวดใจยิ่งกว่าสิ่งใด

เสียงเอะอะดังขึ้น เสียงหัวเราะของบุรุษและเสียงกรีดร้องของสตรีดังสลับกันไปมา ภาพตรงหน้าช่างน่าเวทนายิ่ง สตรีนางหนึ่งถูกบุรุษรุมทำร้าย

“หยุดนะ” ยี่เอ๋อเห็นไม่ได้ความ ถึงแม้นางจะไม่ใช่ผู้ชมชอบสอดมือยุ่งเกี่ยวเรื่องราวใด หากไม่ทนเห็นสตรีเพศโดนรังแก นางถือกระบี่เสี้ยวพระจันทร์ไว้ในมือ ตระเตรียมทำร้ายผู้คน

บุรุษทั้งหมดจึงหันหน้ามามองนาง เสื้อผ้าที่มันสวมใส่ปักอักษร ‘เหนือฟ้า ใต้หล้า’ ย่อมเป็นสัญลักษณ์ของนครเหนือฟ้าที่นางรู้จัก “หญิงงามเช่นเจ้าคิดหยอกล้อกับข้าสักครั้งหนึ่ง”

หนึ่งในนั้นขยับเท้าเข้ามาอย่างเยือกเย็น ลมปราณสายหนึ่งแผ่ผ่านอากาศคิดฟาดลงที่ตัวนาง สยบสตรีร้ายกาจก่อนกระทำการอย่างอื่น นัยน์ตามันดุร้ายหมายปองเอาชัย

“ยังคิดวุ่นวายผู้คน” ยี่เอ๋อหากลัวไม่ เวลานี้ในใจนางคลั่งแค้น คิดตบตีผู้คนหรือตกตายเสียให้สิ้นเรื่องราว

เสียงวัตถุผ่านอากาศ หากไม่อาจมองเห็นอาวุธอย่างรวดเร็ว และเมื่อต่างยืนเฉยมองดูกัน มือบุรุษหนุ่มรูปงามประสานไว้ด้านหลัง ท่วงท่ายืนนิ่งไม่คล้ายออกวิชาใดให้ผู้คนล้มตาย แต่คนใต้สังกัดนครเหนือฟ้าเลือดไหลเป็นทางยาว ทรุดลงกับพื้นแทบทันที

ผู้คนไร้อาวุธ...คนชั่วกลับตกตาย

“เจ้า” สมุนนครเหนือฟ้าต่างตะโกนก้องเข้ามารุมทำร้ายบุรุษหนุ่มร่างสูง ท่าร่างคล้ายตวัดฝ่ามือกลับมองดูเหมือนกุมกระบี่เอาไว้ สายโลหิตหลั่งไหลไปทั่วพื้น ผู้คนล้วนตกตาย สุดท้ายต้องหลบหนี

บุรุษชุดขาวไร้รอยเลือดของศัตรู หามีหยดโลหิตใดกล้าแตะต้องผ้าสีขาว ม่านไร้ลักษณ์กางกั้นด้วยพลังวัตรสมบูรณ์ ทำให้คนผู้นี้แลดูสะอาดยิ่งแล้ว

“ขอบคุณคุณหนูและคุณชาย” หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายก้มลงคำนับ ก่อนปลิดชีพตนให้พ้นความอดสู

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้” ยี่เอ๋อห้ามนางไว้ไม่ทัน จึงทวีความโศกเศร้าเสียใจขึ้น ในใจสะทกสะท้อนซ่อนเงื่อนงำ หวนคิดถึงชะตากรรมนางไม่แตกต่าง

บุรุษหนุ่มรูปงามเห็นเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อสตรีนางหนึ่งต้องมีชีวิตอดสู ความตายย่อมเป็นเพื่อนแสนวิเศษ มันถือฝักกระบี่สีเงินยวงว่างเปล่ากลับทำท่าคล้ายสวมกระบี่คืนฝัก เป็นเรื่องประหลาดยิ่งนักทำให้ยี่เอ๋อลืมเรื่องราวทุกข์ใจ

“ไฉนท่านพกพาฝักกระบี่ว่างเปล่า” นางสงสัยเมื่อไม่เห็นสิ่งใด

“แม่นางลองมองดูให้ดี นี่ใช่ฝักกระบี่ว่างหรือไม่” บุรุษหนุ่มผู้นั้นหันฝักกระบี่ให้นางชมดู

ในฝักมีกระบี่จริง เพียงกระบี่นี้ใสยิ่งนัก มีด้ามจับใสเช่นกัน เกรงว่ายามตวัดดาบด้วยความรวดเร็วไม่อาจมองเห็นชัดถนัดตา ไม่คล้ายทำด้วยวัสดุใดที่นางรู้จัก สร้างความพิศวงให้ผู้คนงงงวย

“กระบี่ท่านเรียกหาเช่นไร” ยี่เอ๋อเอ่ยถามด้วยสงสัยนัก

“เรียกกระบี่สายลม” หยงหมิงคงตอบแก่นางด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ

“กระบี่สายลม” ยี่เอ๋อทวนคำมองกระบี่พิสดาร นางมีกระบี่เสี้ยวพระจันทร์ในมือกลับไม่อาจเทียบเท่า

“แม่นางท่านชื่อเสียงอันใด ข้า...หยงหมิงคง” หยงหมิงคงมองยี่เอ๋อด้วยแววตาประหลาด คล้ายเมตตาและเอ็นดูนางอยู่หลายส่วน เสมือนนางเป็นน้องสาวคนหนึ่ง สร้างความอบอุ่นขึ้นในใจยี่เอ๋อยิ่ง

“ข้า...หยงยี่เอ๋อ” ยี่เอ๋อค่อยคลายทุกข์กังวลใจ หากในใจนางไม่อาจลืมเลือนเด็กหนุ่มใจดำทอดทิ้งนางไป

“เป็นคุณหนูยี่เอ๋อแห่งกระบี่เสี้ยวพระจันทร์ ดูท่าข้าจะสอดมือเกินไปแล้ว” หยงหมิงคงถ่อมตนลงให้แก่นาง เมื่อเป็นบุรุษย่อมต้องให้เกียรติสตรี

“ชื่นชมเกินไป” ยี่เอ๋อไม่อาจระงับรอยยิ้มได้ เผยรอยยิ้มงดงามให้แก่คู่สนทนา

“คุณหนูยี่เอ๋อจะไปที่ใด ข้าเห็นท่านสีหน้าโศกเศร้ายิ่งนัก” หยงหมิงคงสังเกตนางมานาน เห็นสตรีนางหนึ่งกำลังร้องไห้เสียใจจึงคิดไต่ถาม

“เรื่องไร้สาระท่านอย่าได้ใส่ใจ อย่าได้เรียกข้าคุณหนู เรียกหาชื่อข้าเพียงพอแล้ว” ยี่เอ๋อพูดคุยกับคุณชายแสนสุภาพ ทว่ากลับคิดถึงรอยยิ้มสนุกสนานเจ้าเล่ห์แสนกล ป่านนี้มันไปยังที่ใด

“ตกลง ยี่เอ๋อท่าน” หยงหมิงคงพยักหน้าช้าๆ รับทราบ

“ท่านเล่าจะไปที่ใด พี่หมิงคง” ยี่เอ๋อให้ความสนิทสนม คนผู้นี้มีบางสิ่งทำให้นางรู้สึกปลอดภัย

“ข้าเพิ่งกระทำธุระให้กับอาจารย์มา คิดออกเดินทางสักระยะตามคำสั่ง จึงออกเดินทางเรื่อยมาจนพบยี่เอ๋อ” หยงหมิงคงอธิบายเรื่องราว

ทั้งสองต่างพูดคุยกันท่ามกลางหิมะเหมันต์ฤดู ยี่เอ๋อสบายใจขึ้นเมื่อได้พูดคุยระบายบ้าง หากไม่อาจสอบถามเรื่องราวของสหายใหม่ได้มากนัก ศิษย์พี่ใหญ่นางและพี่ห้าจึงติดตามมาพบเจอ แต่หยงหมิงคงจากไปไม่ล่ำลา ไม่ทักทายศิษย์ร่วมสำนักของนาง

*****************************************


ผู้คนกลางตลาดต่างมีเสียงพูดคุยกันมากมาย หลี่เปียวหยุดมองดู เห็นแม่ค้าพูดคุยกัน ต่างพยักหน้ากันพร้อมสีหน้าหวาดระแวง เพียงมันไม่เข้าใจ ถามไถ่ผู้ใดไม่กระจ่าง

หลี่เปียวหันไปมองสหายมันซึมเซา นัยน์ตาชืดชาเบื่อหน่ายได้แต่ถอนหายใจก่อนถาม “สงน้อยเจ้าว่าเรื่องราวอันใด”

“เจ้าว่ากระไร” ฟางสงคล้ายตกอยู่ในภวังค์ไม่ทันได้ฟังสหาย มันครุ่นคิดถึงเพียงตัวปัญหาที่บัดนี้ยังไร้ร่องรอยให้ติดตาม

“เป็นไรไปสงน้อย เจ้าคิดถึงเสียงน้อยหรอกหรือ” หลี่เปียวเห็นสหายมันคล้ายสตรียิ่งนัก เฝ้าคิดถึงห่วงใยพี่น้อง

“เพียงคิดกังวล เสียงน้อยพบเจอเรื่องสะเทือนใจหนัก หากข้าไม่รู้แน่ชัดยังคงต้องกังวลเรื่อยไป” ฟางสงนิสัยห่วงใยผู้คนยิ่งแล้ว มันเป็นผู้มีคุณธรรมสัตย์ซื่อ หากยังมีปัญญาเฉลียวฉลาดทันคน มองดูคนเข้าใจทะลุปรุโปร่ง หยั่งคำนวณเรื่องราวได้ดังตาเห็น

“หากเจ้าสองคนมีน้องสาว ยกให้ข้าสักคนได้หรือไม่ น้องสาวของพวกเจ้าคงงดงามและดีงามยิ่งนัก เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ ข้ายิ่งดีใจได้คบหา” หลี่เปียวปลอบโยนด้วยวาจาเหลวไหล ไม่ต้องการให้สหายกังวลใจเกินกว่าเหตุ แม้มันจะเป็นห่วงสหายเช่นกัน แต่มิอาจทำอย่างไรได้นอกจากทำใจ

“พี่เปียวคงต้องผิดหวัง ท่านแม่ข้ามีเพียงบุตรชายสามคนเท่านั้น” ฟางสงหัวเราะขบขัน เป็นครั้งแรกที่มันยิ้มออก หลังจากที่น้องชายมันหายไปไร้ร่องรอยติดตาม

หลี่เปียวพาสหายขึ้นเหลา สั่งรายการอาหารมากมายตามความจุในท้อง มันสั่งอาหารเท่าคนกินสิบคนพร้อมสุรายี่สิบชั่งราวกับจะทานแทนผู้ที่ไม่มา

“เจ้าคิดว่าเรื่องราวใดเกิดขึ้นในที่นี้ ข้าสังเกตผู้คนกระซิบกระซาบกันมากมาย สุดท้ายไม่รู้เรื่องราวใด” หลี่เปียวหันไปมองคนโต๊ะอื่น เห็นผู้คนต่างพูดคุยกัน

“น้องชาย ข้ามีเรื่องซักถาม” ฟางสงไม่ตอบคำเรียกเสี่ยวเอ้อเข้ามาถามไถ่ พร้อมเงินหนึ่งตำลึงเพื่อซื้อหาข่าว“เกิดเรื่องอันใดผู้คนมากมายต่างพูดจา”

“ท่านมาจากต่างเมืองคงไม่ทราบ เมื่อหลายวันก่อนมีคนถูกฆ่าตายแขวนไว้ที่ประตูเมือง คนผู้นี้ไม่มีบาดแผลอันใด หากแต่ถูกมัดห้อยไว้เมื่อใดไม่มีใครทราบ เวลาประตูเมื่อเปิดออกจึงตกห้อยลงมาขู่ขวัญผู้คน” เสี่ยวเอ้อแอบเก็บเงินลงกระเป๋า แววตาของมันท่าทางหวาดกลัวไม่น้อย

“ศพนั้นถูกทำลายแล้วหรือไม่ เป็นบุรุษหรือสตรี” หลี่เปียวคิดติดตามเรื่องราว

“ยังไม่มีผู้ใดทำลาย ยังคงถูกเก็บไว้เพื่อหาหลักฐาน เป็นบุรุษชุดดำแต่งกายคล้ายบัณฑิต เห็นชาวยุทธ์ผู้หนึ่งเรียกมันว่า หิมะทมิฬ หรืออะไรนี่แหละ ข้าคงต้องขอตัวก่อน พวกท่านต้องการสิ่งใดโปรดเรียกใช้ได้ทุกเวลา” เสี่ยวเอ้อ กล่าวประจบ เมื่อลูกค้ามือหนักเช่นนี้

ฟางสงพยักหน้า หันมาสนทนากับสหายมันทันที “ข้าสังหรณ์ใจ เรื่องราวนี้อาจเกี่ยวข้องกับเสียงน้อย”

“ข้าก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า เราคงต้องไปเสาะถามหาคำตอบ” หลี่เปียวเห็นอาหารโอชะมาแต่ไกล น้ำลายยืดยาวและลำไส้เริ่มปั่นป่วน

“เวลามากมายควรเติมอาหารลงท้องจึงประเสริฐ” ฟางสงค่อยมีรอยยิ้มออกมา ด้วยพบเจอเบาะแสแล้ว

กังวลย่อมต้องกังวลและไม่อาจคลายกังวล ทว่าเมื่อมีสุราดีอาหารรสเลิศ ย่อมต้องวางลงสักคราแล้ว

*****************************************

หลี่เปียวขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ซินแสผู้ทำการตรวจศพไม่พบร่องรอยใดนอกร่างกาย หากเมื่อผ่าเข้าไปดูอวัยวะภายใน หัวใจกลับหายไปไร้ร่องรอย เป็นเหตุผู้คนต้องล้มตาย

“ศพไร้หัวใจ” ฟางสงแตะนิ้วที่ปลายคางพร้อมครุ่นคิด มันเคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ที่ใดกันยังนึกไม่ออก ต้องเป็นวันเวลาที่ผ่านมานาน เพียงไม่ทราบว่าเมื่อไร

“ท่านคงยังไม่ทราบบนศพพบป้ายทองครึ่งมุมทแยงตัวอักษรยากนักจะบ่งบอกออกมา” ซินแสเฉิงอธิบายต่อ ด้วยขบคิดไม่เข้าใจ เคยพิสูจน์ศพมามากมาย หากมิมีศพใดคล้ายศพนี้

“ขอเราดูป้ายทองนั่นได้หรือไม่” หลี่เปียวรีบแจ้งความต้องการเมื่อเห็นสหายมันคล้ายครุ่นคิดบางอย่างอยู่

ซินแสพยักหน้าแล้วรีบขอตัวไปนำมาให้ เนื่องด้วยคดีนี้ผู้คนสนใจ หากยังไม่สามารถปิดคดีความลงได้ จึงต้องอาศัยผู้สนใจบ่งบอก

“หลานเรากลับสนใจในเรื่องพิสดารเช่นนี้” หนานกงเป่ารีบรุดมาทักทาย เห็นศิษย์เอกของสหายมาแวะเวียนยังที่ทำการ ทว่ายังสนใจมองไปที่เด็กหนุ่มฟางสง เห็นผู้คนตกอยู่ในภวังค์ ไม่สนใจเรื่องราวใด

“คารวะ ท่านอา” หลี่เปียวประสานมือทำความเคารพด้วยความนับถือ

หนานกงเป่าพยักหน้ารับ ก่อนหันมามองเด็กหนุ่มอีกคนที่เหม่อลอยครุ่นคิด จึงซักถามตามสมควร “เด็กน้อยเจ้าสนใจในสาเหตุรึ”

“ย่อมเป็นเช่นนี้ คนผู้นี้มีความเกี่ยวพันกับเสียงน้อยย่อมต้องติดตามหาสาเหตุ” ฟางสงลืมตัว ตอบคำตามความจริง ทว่าในใจมันไม่เห็นคนผู้นี้ประสงค์ร้าย หากบอกไปกลับมิใช่ปัญหา

“ฟางเสียงน้องเจ้าไปยังที่ใดแล้ว” หนานกงเป่าไม่เห็นเด็กร้ายกาจ จึงไต่ถามอย่างสงสัยด้วยเห็นมันสองคนไปมาด้วยกันจนชินตา

“มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น เสียงน้อยจึงจากไปไม่ล่ำลา” หลี่เปียวทอดถอนใจ สหายซุกซนจากไปให้กังวล

“เกิดเรื่องราวใด” หนานกงเป่าถูกใจนิสัยฟางเสียง จึงคิดถามขึ้น ในใจบังเกิดความคิดเสียดายนัก เด็กน้อยนั้นมีที่มาไม่ชัดแจ้งจึงไม่อาจสนิทใจได้เต็มที่

หลี่เปียวหันไปมองสหาย ลังเลใจไม่อาจบอกออกมาในทันที หากเมื่อสหายพยักหน้าจึงบ่งบอกออกไป

“เรื่องราวเป็นเช่นนี้” หนานกงเป่าเห็นฟางเสียงคล้ายไม่ใส่ใจเรื่องราวใด แถมยังไร้วรยุทธ์ กลับมีเรื่องราวซับซ้อนซ่อนเงื่อนงำมากหลาย ที่แม้แต่พี่น้องยังไม่อาจทราบเรื่องราวได้หมดสิ้น

“มิเป็นไร เมื่อจิตใจหมองหม่นยังต้องการเวลา” หนานกงเป่าตบไหล่เด็กหนุ่มปลอบขวัญ

ความจริงใจเป็นคุณสมบัติชั้นเลิศของหนานกงเป่า ผู้ฉายา...ดาบตุลาการ ที่ผู้คนล้วนนับถือ เรื่องราวใดในยุทธภพหากไร้ซึ่งคุณธรรมคนผู้นี้ล้วนเข้าร่วมตัดสิน

“ข้าหวังเช่นนั้น เอาเถอะ ข้านึกออกแล้วเคยเห็นเรื่องราวเช่นนี้ที่ใด เมื่อครั้งข้าได้รับอนุญาตให้ออกมาจับจ่ายซื้อของที่เมืองข้างเคียง เคยพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้อยู่บ้าง ชายเจ้าของเขียงหมู ตอนตายไร้อวัยวะภายในหากภายนอกกลับไม่มีบาดแผล ใช่จริงๆ” ฟางสงแตะนิ้วที่ปลายคาง แววตาเป็นประกาย หากมิเกี่ยวข้องกับคู่แฝดมันย่อมมิใช่แล้ว

“งั้นเจ้าคงต้องทราบ นี่เป็นฝีมือของชนชั้นใด หากไม่ใช่ชนชาวผามังกรฯ” หนานกงเป่าเดินทางทั่วหล้าได้ยินเรื่องราวมากมาย ย่อมคาดเดาฝีมือลึกลับเช่นนี้ได้

“ถูกต้องเป็นวิชากรงเล็บทะลวงกล้ามเนื้อ ท่านพ่อข้าเคยอธิบายว่า วิชานี้ได้รับการถ่ายทอดมาจากแดนอาทิตย์อุทัย คนผู้นั้นเดินทางมายังแดนตงง้วนเสาะหาผู้คนเก่งกาจต่อสู้ ได้ยินชื่อเสียงของเจ้าผามังกรฯ จึงคิดท้าประลอง หากเจอวิชาพิสดารกว่าจึงมอบเคล็ดวิชานี้เป็นของกำนัล ต่อมากลายเป็นของเล่นชิ้นหนึ่งซึ่งชาวผามังกรฯ เพียงฝึกปรือหยอกล้อผู้คน” ฟางสงบอกเล่าความเป็นมา ทว่างุนงงสงสัยเพียงไม่ได้เอ่ยวาจาใดออกมา ‘ไม่คาดกลับมาพบเจอ ดูท่าเสียงน้อยจะเกี่ยวข้องกับผามังกรฯ เสียแล้ว’

“เชิญท่านดู” ซินแสเฉิงยื่นป้ายทองครึ่งเสี้ยว

หลี่เปียวและฟางสงย่อมต้องจดจำได้ เป็นป้ายทองที่ได้รับการกล่าวขาน...บัญชาแห่งฟ้า ที่ฟางเสียงเป็นผู้ทำลาย เมื่อป้ายนี้ปรากฏ ย่อมต้องเกี่ยวพันกับเสียงน้อยของทุกคน เพียงไม่ทราบผู้ลงมือใช่เสียงน้อยหรือไม่

*****************************************
สวัสดีค่า
คุณตุ้งแช่ --- ก็ต้องลดจำนวนตัวละครลงไปเรื่อยๆ ค่า อิอิ
คุณ Auuuu --- เก็บไว้มิดลุยค่า อิอิ
ขอบคุณที่ติดตามนิยายนะคะ



เพลิงวารี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ม.ค. 2556, 17:05:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ม.ค. 2556, 17:05:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1481





<< 07 สิ้นนางหงส์   09 ร่ำสุรา...คบหาสหาย >>
ตุ๊งแช่ 5 ม.ค. 2556, 21:24:28 น.
ลดเพราะ เริ่มเยอะเกินใช่ไหม เวลาอ่านแนวมีปัญหา อีตรงชื่อนี่แหละ ต้องจดๆ งงๆๆ ลืมๆๆ เอิ๊กก


konhin 6 ม.ค. 2556, 00:19:11 น.
สงสารหงส์น้อย ตายซะแล้ว เสียงน้อยเจ็บปวด สงน้อยมึน สรุปว่าฝาแฝดคู่นี้ไม่รู้วรยุทธ์ของอีกฝ่าย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account