ซุ่มซ่อนมังกรสันโดษ
การผจญภัยของคู่แฝดจอมหาเรื่องที่ทำให้ชีวิตของคนในยุทธภพวุ่นวาย
Tags: กำลังภายใน แฝด มังกร

ตอน: 09 ร่ำสุรา...คบหาสหาย

ซุ่มซ่อนมังกรสันโดษ บทที่ 9 ร่ำสุรา...คบหาสหาย

หนานกงเป่าเห็นท่าทางของเด็กหนุ่มทั้งสองเข้าใจในทันที จึงตบไหล่พาทั้งสองออกมาจากที่ทำการ “เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กร้ายกาจจริงๆ ดูท่าน้องเจ้าจะเกี่ยวข้องกับผามังกรฯ แล้ว ชนชาวผามังกรฯ ประกาศเป็นศัตรูกับนครเหนือฟ้า เป็นเรื่องที่ยากนักจะคาดเดาจริงๆ”

“ข้าอยากกลับบ้านเพื่อถามไถ่บิดา เพียงจนใจไม่อาจกระทำได้ ให้รู้สึกอึดอัดยิ่งนัก” ฟางสงส่ายหน้า ก่อนเห็นเหล่าสุราชั้นยอด จึงเดินตรงไปไม่รอช้า สั่งสุราไร้สติของเลื่องชื่อมาดื่มกิน

“ดื่ม” ฟางสงยกไหสุราขึ้นดื่มเพื่อลดทอนความกลัดกลุ้ม

หลี่เปียวมองสหายมันอย่างเข้าใจ เพียงไม่ทราบสาเหตุใดทำให้สหายไม่อาจกลับบ้าน หรืออาจต้องเสาะหาแฝดน้องให้เจอเสียก่อน

“ดีๆ สุราที่ดี” หนานกงเป่าเป็นผู้ชมชอบสุรา ได้มิตรสหายในวงสุราย่อมต้องดื่มสุรา

“เสียงน้อยจากไปไม่นานเรื่องราวค่อยปรากฏ เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย” หลี่เปียวรำพึงในใจ การคบหาสหายประหลาดเป็นเรื่องที่สวรรค์บันดาลโดยแท้

“พี่เปียวดื่มสุราเถอะ” ฟางสงพอคาดเดาความในใจของสหายได้ ทว่าเรื่องราวน้อยใหญ่นี้สมควรวางลง สติไม่แจ่มใส สมองย่อมไม่อาจแก้ไขเรื่องราว

“ดื่มเพื่อเสียงน้อย” หลี่เปียวยกไหสุราดื่มกิน มันสลัดความกังวลออกไป เหลือเพียงหัวใจปีศาจสุราแล้ว

“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นหลานเรา” หนานกงเป่าหัวเราะชอบใจ การดื่มสุรากับคอสุราย่อมเป็นความสุขประการหนึ่งสำหรับมัน

ปีศาจสุราสามตนดื่มกินสุราอาหารมากมาย หากไม่เมามาย สร้างรอยยิ้มปีติแก่เถ้าแก่ยิ่งนัก เพียงต้องลำบากจัดหาสุราราคาแพงมากมายแก่แขกกระเป๋าหนักเช่นนี้

“พี่เป่าดื่มสุราได้สะใจข้ายิ่งนัก” ฟางสงเรียกหาอย่างสนิทสนม

เมื่อเวลาผ่านไปสุราตกถึงท้อง ไม่ใช่สหาย...ย่อมเป็นสหาย

“สงน้อยอย่าได้ชม เจ้าเองไม่อ่อนด้อยเช่นกัน” หนานกงเป่ามิได้ถือสา ซ้ำยังยอมรับนับถือความสามารถในเชิงสุราที่ยากนักจะพานพบ

หลี่เปียวฝีมือสุราอ่อนด้อย เพียงจิบสุราเมื่อเทียบกับทั้งสอง ทว่ามันเองดื่มกินมากกว่าคนทั่วไป ยิ่งเห็นคนต่างวัยคบหากันดังสหาย จึงมีรอยยิ้มยินดี “ยินดีกับท่านอา คบหาสหายใหม่แล้ว”

“ฮ่าๆๆ ลำดับยากแล้ว” หนานกงเป่าหาได้จริงจังในวาจาไม่ เพียงหัวเราะขบขันในลำดับสหาย

ศิษย์สหายมันเป็นสหายกับฟางสง...ถือเป็นหลานมัน ทว่าฟางสงเป็นสหายมัน หลี่เปียวกลับมิใช่สหายมัน

“ท่านอาคิดมากไป ข้าพอใจนับถือท่าน ท่านพอใจคบหาสงน้อย ย่อมไม่อาจเก็บรวม” หลี่เปียวไม่อาจเทียบรุ่น ยังคงไว้เช่นเดิม

“ดียิ่ง หลานที่ดี ดื่ม” หนานกงเป่าเลื่อนสุราใหม่ให้ เสียงหัวเราะชอบใจยังคงไว้แก่ผู้คน

เสียงพิณจีนดังลอยมาตามลม ฉุดรั้งความสนใจของฟางสง มันชมชอบดนตรี ยิ่งมีสุราที่ดีย่อมต้องเสาะหา ด้วยสุราไร้สติ มันจึงลุกขึ้นไม่พูดจา สะกิดเท้าใช้วิชาตัวเบาตามเสียงบทเพลง

ปีศาจสุราที่เหลือยังความตกใจ วางเงินไว้รีบรุดติดตาม วิชาตัวเบาฟางสงไม่ใช่ต่ำด้อย คิดติดตามยังต้องทุ่มเทบ้าง หนานกงเป่าจึงตะปบคอเสื้อหลี่เปียวทะยานตามไป

ฟางสงหยุดยืนที่เรือน้อยกลางแม่น้ำ แสงเทียนสว่างไสวนำทางมันไปตามเสียงเพลง จึงเดินเข้าไปไม่สนใจสิ่งใด หากมิลืมมรรยาท จึงร้องทัก เมื่อบทเพลงจบลง “บทเพลงท่านไพเราะยิ่ง”

เป็นหญิงงามนางหนึ่งดีดพิณจีนได้ไพเราะด้วยดวงหน้าคมคายของสตรีนอกด่าน ทำผู้คนตะลึงลานในความงามของชาติพันธุ์ เสื้อผ้าที่สวมเป็นชุดชาวตงง้วน หากเครื่องประดับกลับคงไว้ดังเช่นที่มา

“กล่าวเกินไป บทเพลงข้าหาได้ไพเราะเช่นนั้นไม่” นางเงยหน้าขึ้น มอบรอยยิ้มงดงามแก่ฟางสง เพียงรอยยิ้มนั้นแฝงความเย่อหยิ่งทะนงตน หากไม่ดูขัดตา

“ไพเราะจริงๆ ไม่ทราบเรียกหาอันใด” ฟางสงนึกถึงสหายเซี๊ยะบ่อจื้อ...เทพพิณกวี ผู้หลงงมงายในศิลปะศาสตร์

“ไม่มีชื่อเรียกหาไพเราะ เพียงบรรเลงตามอารมณ์เท่านั้น ไม่อาจบรรเลงได้อีก” รอยยิ้มเทพธิดาคงไว้บนใบหน้า หากผู้คนล้วนรู้สึกเลื่อมใสความสง่างามในท่วงท่าของสตรีนางนี้

“ไม่ทราบคุณหนูสามารถบ่งบอกชื่อแก่ข้าได้หรือไม่ ข้า...ฟางสง” ฟางสงนั่งลงวางไหในมือ มองด้วยความนับถือในบทเพลง หาได้มีแววตาแทะโลมไม่ เพียงรู้สึกเลื่อมใสคนผู้นี้ขึ้นมา

“ข้าแซ่เฉิง ชื่อเจียวเจียว ท่านยังพาสหายติดตามมาใช่หรือไม่” เฉิงเจียวเจียวถามไถ่ ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบา หากหนักหน่วงด้วยฤทธิ์สุรา

“เป็นเช่นนั้น แม่หนู” หนานกงเป่าวางไหสุราลง เห็นสตรีนอกด่านมามากมาย กลับไม่เคยเห็นสตรีร่างสูงใหญ่เช่นนี้มาก่อน

หลี่เปียวเริ่มเมามาย จึงไม่อาจแยกแยะความนัยได้ จึงนั่งลงเอามือเท้าคาง พยายามมองดูสตรีด้วยสายตาเลอะเลือน ยามนี้คิดถึงแต่ที่นอนเท่านั้น

“ท่านพี่คุยกับผู้ใด” ดรุณีน้อยน้ำเสียงสดใสหลังม่านเรียกหาพี่สาวนางดังเรียกสามี

“น้องหญิงเราจงนอนเถอะ ข้าเพียงสนทนากับแขกผู้มาเยี่ยมเยือน” เฉิงเจียวเจียวหันไปตอบคำ เรียกหาสตรีหลังม่านไม้ดังภรรยา

ผู้คนล้วนตื่นตระหนก แทบตื่นจากอาการเมา ฟางสงแตะคางอย่างสงสัย ไฉนมีเรื่องแปลกประหลาด...สตรีนางนี้เรียกหาดรุณีนางหนึ่งดังภรรยา เสียงถามไถ่กลับเรียกหาหญิงงามผู้นี้ดังสามี หรือมันดื่มสุรามากมายแล้ว จึงเมามาย

“ท่านทำท่าทางเช่นนี้ ข้ากระอักกระอ่วนใจยิ่ง เอาเถอะ ยังต้องบอกเล่า แท้จริงข้าเป็นบุรุษ เพียงชื่อข้าเป็นชื่อสตรี เนื่องด้วยมารดาข้ามีบุตรเช่นข้าเพียงผู้เดียว หากนางต้องการมีบุตรีแต่มิอาจมีได้ จึงให้ข้าแปลงโฉมเช่นนี้ ส่วนเสียงสตรีที่ท่านได้ยินคือเสียงภรรยาข้า นางกำลังไม่สบาย จึงไม่อาจออกมาต้อนรับแขก” เฉิงเจียวเจียวเปิดเผยเสียงที่แท้จริง เป็นเสียงบุรุษที่ไพเราะยิ่งนัก หากมันแต่งกายเป็นบุรุษ มิทราบสตรีจะใหลหลงมันสักกี่มากน้อย

“ความนัยเป็นเช่นนี้ ท่านคงลำบากมากแล้ว” ฟางสงพยักหน้าช้าๆ ยื่นสุราส่งให้ ขจัดความสงสัยไปได้แล้วย่อมเป็นเรื่องดี

“ในโลกหล้าล้วนมีเรื่องประหลาดมากหลาย ผู้เฒ่าเช่นข้าเดินทางไปทั่วหล้า ยังไม่เคยพบเจอเรื่องประหลาดเช่นนี้มาก่อน” หนานกงเป่ายกสุราดื่ม ทว่ามิอาจคิดให้วุ่นวาย

“เมื่อคบหาเป็นสหายกันยังคิดมากไปไย” หลี่เปียวคิดมีสหายพิสดาร ราวกับว่าชีวิตมันมิต้องการขาดสีสัน

“หากท่านไม่รังเกียจข้า ย่อมต้องเป็นสหาย เชิญสุราน้ำชาร้อน” เฉิงเจียวเจียวหันไปเรียกหาสุราลูกครึ่ง เป็นสุราที่สร้างมาให้มีกลิ่นใบชารสเลิศอยู่ ย่อมเป็นสุราสูตรลับมิต้องการเปิดเผยแก่ผู้ใด

“สุราท่านแปลกยิ่งนักทำให้ข้าคิดทดลอง” ฟางสงยกขึ้นดื่มจากถ้วยร้อน คาดว่าคงมิมีสุราใดที่มันไม่คิดดื่ม

ฤทธิ์สุราหอมกลิ่นชายามผ่านคอไร้ความรู้สึก หากพอตกถึงท้องยังคงต้องรู้สึกแล้ว ความร้อนราดรดลงรู้สึกแช่มช้า กลับค่อยระอุราวนำลำคอย่างบนเปลวไฟ กระเพาะลำไส้ล้วนปั่นป่วน ร้อนรุ่มดังน้ำในเรือนกายเดือดทะลัก หากสักพักกลับค่อยทุเลาเบาบาง อ่อนโยนดังดื่มน้ำชาสำราญใจ

“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก คล้ายดังเพลงขลุ่ยข้าแล้ว” ฟางสงหัวเราะชอบใจ มันหยิบขลุ่ยปีศาจบรรเลงเพลงบทหนึ่ง ผู้คนล้วนไม่รู้จัก หากเข้าถึงจิตใจคอสุราทั้งหลาย

เสียงเพลงขับขาน...บันดาลชีวิต

สุราลิขิต...ชีวิตพบพาน

เมามายสติ...ชีวิตสำราญ

มิอาจหักหาญ...น้ำใจสหาย

หลี่เปียวร่ายบทกลอน ทั้งที่มันไม่ชมชอบเอ่ยบทกลอน เนื่องด้วยไม่สนใจในบทกลอน หากสุราถึงท้อง บทกลอนยังคงสามารถออกจากปากมันได้

เฉิงเจียวเจียวยังคงรอยยิ้ม มันพบเจอสหายคอสุรา สามารถคบหาได้ไม่ลำบากใจ ผู้คนผ่านมาล้วนต้องจากไป มากน้อยเพียงใดไม่อาจกะเกณฑ์ เพียงรู้สึกชีวิตเปลี่ยวเหงา มีเพียงสตรีที่รักข้างกาย แต่จิตใจยังขาดสหาย สวรรค์บันดาลจึงได้พบเจอ

หนานกงเป่าเพียงไม่รู้ว่า ตนเองเกิดมาเร็วเกินไปหรือไม่ ชีวิตที่ผ่านยังคงจืดชืด เมื่อเทียบกับการได้รู้จักสหายวัยเยาว์เช่นนี้ ต้องยกสุราขึ้นดื่มด้วยรอยยิ้ม...ชีวิตดูสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว

*****************************************


เช้าวันต่อมา หนานกงเป่าจากไปไม่ล่ำลา เพียงมีธุระบางประการไม่อาจอยู่นาน จึงรีบรุดไป เพียงฝากสาวใช้บอกกล่าวเจ้าของเรือ ในยามแสงตะวันยังไม่ทักทาย

ฟางสงกอดไหสุรานอนบนพื้น ไม่ทราบนานเพียงใดมิได้ดื่มกินสุราเช่นนี้ ในใจบังเกิดความคิดถึงเสียงน้อยขึ้นมาอย่างประหลาด จนต้องนำเสียงน้อยไปฝันในความคิด “เจ้าไปยังที่ใด”

“ผู้ใดไปยังที่ใด” เสียงดรุณีน้อยเอ่ยถาม ทำเอาผู้ถูกถามตกใจยิ่งนัก ลุกพรวดขึ้นแทบล้มทั้งยืน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะฤทธิ์สุรารุนแรงที่ดื่มกิน

ฟางสงมองดรุณีน้อยวัยเพียงสิบหกปี ใบหน้าสดใสรับอรุณยิ่งนัก ความงดงามอ่อนหวานชวนมอง หากพอคาดเดาได้ ย่อมต้องเป็นภรรยาของสหายมันแน่แท้ “เฉิงฮูหยิน?”

“ท่านเรียกข้ามิผิด...เพียงจำกัดไว้แค่เหล่ยเอ๋อเถอะ” นางคงรอยยิ้มงดงามแสนประหลาด คุ้นตาในความรู้สึกฟางสง หากยังคงนึกไม่ออกด้วยสุราทำพิษ

“ท่านถามข้าเรื่องใด” ฟางสงนั่งลงที่พื้นอีกครั้ง กุมที่ขมับทั้งสองข้าง ปวดหัวมึนงงจนต้องปรับสายตา

“ท่านละเมอถามว่า เจ้าไปยังที่ใด ข้าจึงถามท่าน ผู้ใดกันที่ท่านถามถึง” เหล่ยเอ๋อถามสหายสามี นางนั่งลงที่เบาะนุ่ม ท่าทางนางคล้ายสตรีมีโรคภัย อ่อนแอดังไม้อ่อนพร้อมแตกหัก จึงไม่น่าแปลกใจ สามีนางจึงถนอมนางดังไข่ในหิน

“เป็นเสียงน้อยน้องชายฝาแฝดของข้า” ฟางสงหวดเบาๆ ที่ขมับ ยิ่งนึกถึงแฝดน้อง ยิ่งปวดหัว

“ข้าเคยพบพานคนที่หน้าตาคล้ายท่านมาก่อน มันชื่อเสียงอย่างที่ท่านเรียกหาจริงๆ” เหล่ยเอ๋อแจ้งข่าวใหม่แก่ผู้คน รอยยิ้มนางยังคงปริศนาเช่นเดิม

“วานเจ้าบอกแก่ข้าที” ฟางสงเงยหน้า นัยน์ตามีประกายแวววาวดังมีความหวัง

“เพียงไม่สะดวกบอกร่องรอย หากท่านต้องการทราบคำตอบยังคงต้องเอาชนะข้าให้ได้” เหล่ยเอ๋อคงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เอาไว้ ที่แท้นางมีรอยยิ้มคล้ายฟางเสียงที่หายไป แสดงความนัยให้ผู้คนรับทราบ

นางคือสหายผู้หนึ่งของเสียงน้อย…

“ข้า” ฟางสงอึกอักไม่อาจลงมือกับภรรยาสหาย จึงลังเลใจไม่อาจตัดสิน

“ท่านกลัวทำร้ายข้าเช่นนั้นหรือ ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น เมื่อกล้าท้าท่าน ข้าย่อมต้องมั่นใจในฝีมืออยู่หลายส่วน เสียงน้อยดูไปคล้ายไร้วรยุทธ์ กลับมีวิชาไม่เบา ท่านไม่สงสัยหรือว่าเหตุใดข้ากับเสียงน้อยจึงรู้จักกัน” เหล่ยเอ๋อมีรอยยิ้มประหลาด ความงดงามของนางมาพร้อมกับความซุกซน

“ย่อมต้องสงสัย” ฟางสงร้อนใจใคร่ทราบเรื่องราว

“งั้นจงแสดงฝีมือต่ำด้อยของเจ้าออกมา มิเช่นนั้นอย่าได้คาดหวังรับทราบเรื่องราว” เหล่ยเอ๋อมีแววตาประกายวับ นางจัดเป็นชนชั้นฝึกปรือแอบซ่อนประกายในดวงตา ย่อมมิใช่ชนชั้นธรรมดากลับมีความสามารถยากหยั่ง

“เจียวเจียวไปยังที่ใด” ฟางสงมิอาจลงมือโดยวู่วาม ด้วยมันเพ่งคบหาสหายที่ดี

“มิต้องเป็นห่วง ท่านพี่เดินทางไปพร้อมพี่เปียวเพื่อกระทำธุระยากเข็นประการหนึ่งให้แก่ข้า” เหล่ยเอ๋อยังคงรอยยิ้มไว้ในดวงหน้างดงามสดใส รอคอยให้บุรุษลงมือก่อน

“ขอล่วงเกินแล้ว” ฟางสงประสานมือคารวะ สะกิดปลายเท้าด้วยวิชาตัวเบาแสนธรรมดา หากผู้ใช้มีความสามารถเดินลมปราณเกื้อหนุนเนื่องชักนำให้ความว่องไวบังเกิด

“ไม่ทราบวิชาตัวเบาเจ้า ผู้ใดสอนสั่ง จึงเชื่องช้าเช่นนี้” เหล่ยเอ๋อไม่คล้ายเคลื่อนเท้า หากเพียงถอยหลังประหนึ่งสายลมพัดพา พลิ้วไหวดังกลุ่มควันเคลื่อนคล้อยตามแรงลม

ฟางสงขมวดคิ้วงุนงง เป็นท่าร่างเช่นไรไฉนมันจึงคุ้นตายิ่งนัก “วิชาท่านคุ้นตายิ่ง”

“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ลองนึกดูเถอะ ผู้ใดใช้ออกไปให้เจ้าพบเห็น” วาจานางมีเพียงปริศนาให้ผู้คนสงสัย

ฟางสงนึกถึงท่าร่างของแฝดน้องมัน คล้ายภูตพรายลอยหายไปในวันนั้นช่างติดตา วรยุทธ์ชั้นสูงที่คนอายุเยาว์มิอาจฝึกปรือได้ในวัยเช่นมัน “เป็นเสียงน้อย”

“ถูกต้อง ข้ารับอาสาสหายถ่ายทอดวิชาตัวเบาเรียกหา...ภูตพรายจำแลง แก่เจ้า จงรับไป” เหล่ยเอ๋อเปิดเผยความต้องการแก่ฟางสง

ฟางสงงุนงงหยุดฝีเท้า พบว่าตนเองวิ่งวนเวียนอยู่ในเรือน้อยไม่อาจจากไปไหนได้ สุดท้ายยังคงยืนอยู่ที่จุดเริ่มต้น ทั้งเหล่ยเอ๋อยังนั่งมองดูมันอยู่ที่เดิม ไม่คล้ายเคลื่อนไหวไปทั่วเรือ

“ข้าไม่ต้องการอาจารย์” ฟางสงเอ่ยวาจาอย่างุนงง คิดเก็บงำวาจาไม่อาจทันแล้ว

“ผู้ใดคิดรับศิษย์ ข้า...เหล่ยเอ๋อ แต่เยาว์จนบัดนี้มิเคยคิดรับศิษย์เพื่อให้พวกมันแสดงความทุเรศออกมา อีกทั้งข้าตบแต่งเป็นภรรยาแล้ว ยังมิคิดโลดโผนเช่นนั้นให้อับอายแก่สามี” เหล่ยเอ๋อมีประกายตาแวววาวเมื่อนึกถึงสามีที่นางรัก

“ท่านเป็นสหายกับเสียงน้อยหรอกหรือ” ฟางสงลืมเงื่อนไขถามออกไปอย่างกระหายใคร่รู้ ด้วยคิดถึงแต่คู่แฝดจนแทบลืมทุกสิ่ง

“อย่าได้ลืม เจ้าไม่อาจเอาชัยในฝีมือยังคงนิ่งเงียบประเสริฐกว่า” รอยยิ้มขบขันของนางทำผู้คนละอายยิ่งนัก พลันเปลี่ยนความละอายกลายเป็นโทสะ

“เจ้า ข้าไม่คิดฝึกปรือกับเจ้า” ฟางสงนั่งลงอย่างดื้อรั้น มันเท้าคางมองออกไปนอกเรือ กลับสะดุ้งเฮือก ฝ่ามือไร้ที่มาตบเข้าที่หน้าของมัน

“ข้าคิดสอน ผู้ใดกล้าไม่ฝึก” เหล่ยเอ๋อนั่งลงที่เดิม ความรวดเร็วดังภูตพรายจริงแท้ ทว่ารอยยิ้มกวนใจนั้นยังคงไว้เช่นเดิม

ฟางสงลุกขึ้นยืน มันโบกพัดมังกรนิทราไปมาตรงหน้าเหล่ยเอ๋อ นางกลับไม่เหมือนผู้หลบหลีก คล้ายนั่งเฉยไม่ขยับ มันจึงคิดทดลองดูอีก วาดพัดในมือไปมาพร้อมสะกิดเท้าคิดทำให้นางลุกขึ้นจากเบาะ

เหล่ยเอ๋อเห็นความต้องการเอาชนะ จึงปีติยินดี เมื่อผู้รับวิชาดื้อรั้น ยังคงเรียนรู้เองประเสริฐสุด นางเพียงขยับลอยตีลังกาขึ้นจากเบาะ ยืนอยู่บนยอดดอกไม้ในแจกัน

ฟางสงเห็นวิชาตัวเบาระดับนี้ให้ตะลึงลาน จากนั้นเหล่ยเอ๋อคล้ายหยอกล้อกับมัน รั้งแขนมันด้วยด้ายใสบาง ปลายเท้านางแตะที่จุดใต้ฝ่าเท้า คลายจุดเพื่อให้เลือดลมเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

เสียงหัวเราะขบขันยังดังก้องในความรู้สึกของฟางสง รู้สึกเคืองขัดหากไม่อาจขัดขวาง สตรีนางนี้เป็นชนชั้นชาวยุทธ์สูงล้ำ ไม่ว่ามันขยับไปในทิศทางใด นางย่อมมองออกทั้งสิ้น ทั้งยังสกัดกั้นท่าร่างมันได้รวดเร็ว

ชะตากรรมมันจะเป็นเช่นใด จะฝึกปรือวิชาภูตพรายจำแลงนี้ ทั้งที่ใจไม่ยินยอมได้สำเร็จหรือไม่ คงมีเพียงเหล่ยเอ๋อเท่านั้นที่สามารถบ่งบอกออกมา

*****************************************


เฉิงเจียวเจียวรับไหว้วานจากภรรยามัน เพื่อเสาะหาบุคคลคนหนึ่งในเมืองใกล้เคียง มันเดินทางมาพร้อมสหายในคราบสตรีเช่นเดิม ไม่อาจเป็นบุรุษได้เนื่องด้วยวาจาที่ลั่นไหวให้แก่มารดา

“เจ้าต้องแต่งกายเช่นนี้ตลอดไปเช่นนี้หรือ” หลี่เปียวเห็นสหายมันเป็นสตรีเต็มตัวให้สงสัยนัก

“ย่อมเป็นเช่นนั้น จนกว่าท่านแม่จะสั่งยกเลิก” เฉิงเจียวเจียวตอบคำอย่างนุ่มนวล เสียงสตรีไพเราะยิ่งนักย่อมเกิดจากวิชาแปลงโฉมชั้นเลิศ

หลี่เปียวหยิดคิดเรื่องประหลาดของสหาย ก่อนนึกขึ้นได้ ติดตามสหายเดินทาง หากยังไม่ทราบจุดหมายที่แน่ชัด จึงต้องไต่ถาม “เอาเถอะ ข้าเพียงต้องการทราบเราต้องไปยังที่ใด”

“ยังคงต้องเสาะหาคนผู้หนึ่ง เป็นซินแสฝีมือเยี่ยม” เฉิงเจียวเจียวมองหารหัสลับที่เด็กรับใช้ของผู้ที่ติดตามหามาทิ้งเอาไว้ เมื่อมองไปยังเด็กน้อยหน้าตาเกลี้ยงเกลาหากสวมเสื้อผ้าขอทานน้อย แต่รอยยิ้มสนุกสนานทำให้จดจำได้ จึงประสานมือคารวะ

หลี่เปียวเห็นสหายยกมือขึ้นคารวะเด็กน้อยให้ฉงนนัก ไฉนสหายมันจึงทำท่านอบน้อมแก่ทารกเยาว์วัย ทว่ายังไม่ทันได้ถามสิ่งใด

“ติดตามไปเถอะ มิต้องเสาะหาแล้ว พบเจอแล้ว” เฉิงเจียวเจียวเคลื่อนไหวอ่อนช้อยงดงาม จับข้อมือสหายเดินตามทารกน้อยไป

เส้นทางนี้ชักนำให้ผู้คนเดินขึ้นเนินเขา ผ่านป่ารก ข้ามธารน้ำลึกเข้าไปในป่า หลี่เปียวรู้สึกเหน็ดเหนื่อยยากแล้ว แต่สหายมันกลับไม่ยอมหยุดพร่ำบอกต่อมัน...อย่าได้คลาดสายตาจากทารกนั้น

บ้านไม้หลังน้อยปรากฏสู่สายตา กลิ่นยามากมายลอยเข้าสู่โพรงจมูกของหลี่เปียว น่าแปลก กลิ่นยาเหล่านั้นสมควรเหม็นฉุน กลับไม่ทำให้มันรู้สึกเช่นนี้ ต่อให้มีปากก็ไม่อาจถาม

“ถึงที่หมายแล้ว หากมิได้ผู้นำทางยังคงมิอาจพบเจอ” เฉิงเจียวเจียวเห็นสหายเหนื่อยหอบ แต่มันกลับไม่มีท่าทางเหน็ดเหนื่อยสักเล็กน้อย

“สถานที่อันใด เพียงรู้ทางสามารถไปได้ทั้งสิ้น” หลี่เปียวปาดเม็ดเหงื่อที่เกาะอยู่บนหน้า ให้แปลกใจบนหน้าสหายมันไร้เหงื่ออันใด

“หากเป็นที่ใดๆ อย่างเจ้าว่าข้ามิอาจเถียง หากเป็นที่นี่ยังคงต้องเป็นข้อยกเว้น ไปเถอะ เรื่องราวบางอย่างแม้ข้าก็มิอาจบอกกล่าวแก่เจ้าได้ ยังคงต้องเก็บไว้เป็นปริศนาอีกครา” เฉิงเจียวเจียวกล่าววาจาเป็นปริศนา พยายามฉุดสหายให้ลุกขึ้น

เมื่อเปิดประตูออก หลี่เปียวเห็นเด็กน้อยผู้นำทางนั่งอยู่ตรงกลางห้องที่มีกลิ่นกำยานหอมไปทั่ว แถมยังหันไปยังสหายที่กำลังประสานมือคารวะอีกครั้ง

“ท่านผู้เฒ่าให้เกียรติไปรับด้วยตนเอง ผู้เยาว์ต้องรบกวนแล้ว” เฉิงเจียวเจียวเรียบร้อยดุจเดิม

“ท่านเขยบูรพามิต้องเกรงใจ เป็นหน้าที่ข้าต้องกระทำ เชิญท่านว่าธุระท่านเถอะ” เสียงที่ออกมาจากปากกลับเป็นเสียงของผู้ชราที่เอ่ยวาจานบนอบ ทำเอาคนฟังต้องทำความเข้าใจมากมาย

สักครู่ทารกน้อยนั้นเดินเข้าไปหลังม่าน ไม่นานก็ปรากฏผู้เฒ่าอายุสูงวัยเดินออกมา ทว่าท่าทางเข็งแรงยิ่งนักขัดกับผมสีขาวไร้สีดำ กับรอยยิ้มอ่อนโยนเอ็นดูผู้เยาว์วัย “ท่านเขยบูรพาใช่มีจดหมายจากท่านรอยยิ้มบูรพามามอบให้ข้าใช่หรือไม่”

“ย่อมเป็นเช่นนั้น ข้าเดินทางมาสามวันทำให้สมองข้าอ่อนล้ายิ่ง” เฉิงเจียวเจียวนึกได้จึงหยิบจดหมายออกมาจากอกเสื้อ ยื่นให้แก่ท่านผู้เฒ่า

ผู้เฒ่าผู้นี้กลับเป็นคนเดียวกับทารกวัยเยาว์ โลกนี้ช่างมีเรื่องประหลาดมากมาย หลี่เปียวรับทราบให้ตะลึงงันสงสัย เพียงไม่สะดวกเอ่ยวาจาในเวลานี้ หากในใจล้วนสับสน

“เรื่องราวนี้ย่อมเป็นธุระ เพียงแต่ยังมิใช่เวลานี้ ท่านเขยบูรพาโปรดแนะนำสหายท่านเถอะ” ผู้เฒ่าโอสถแห่งผามังกรฯ ถามไถ่ หากในใจรับทราบมานานถึงความเป็นมาของเด็กหนุ่ม

“นี่เป็นสหายข้า ชื่อหลี่เปียว เป็นศิษย์หมู่ตึกสายฟ้าที่ลื่อเลื่อง ส่วนท่านนี้เป็น...” เฉิงเจียวเจียวยังมิได้แนะนำจบสิ้น

ผู้เฒ่ากลับก้าวเข้ามารวดเร็ว เข้ามาลูบสรีระร่างกายของหลี่เปียว ดึงกระบี่อ่อนออกมา “เหมาะสมแล้ว กระบี่ใบไผ่เขียว”

หลี่เปียวเป็นงุนงง มันมองตามผู้เฒ่าไม่ทันเพียงเอ่ยปาก “ท่าน” แล้วยืนนิ่งงัน

“เป็นหลานศิษย์ของโอวหยังหลาง ทว่าน่าเสียดาย อายุเพียงนี้มิอาจบรรลุใจกระบี่” ผู้เฒ่าโอสถแห่งผามังกรฯ พูดจาประหนึ่งเอ่ยวาจาเพียงลำพัง

หลี่เปียวยังไม่ทันได้ถกเถียงอันใด ฝ่ามือหนึ่งจึงจับมันลอยปลิวกลางอากาศเข็มเงินถูกฝังไว้ตามจุดสำคัญ ก่อนร่างของมันร่วงหล่นลงในอ่างน้ำยา วาจาใดมิอาจเอ่ยแล้ว มีเพียงสติมันยังคงรับรู้

“ท่าน” เฉิงเจียวเจียวงุนงง ยิ่งนักปกติผู้เฒ่าโอสถถือเป็นผู้สันโดษไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องราวใดมากมายนัก กระทำการเช่นนี้ให้ประหลาดใจ

“เป็นธุระที่ต้องกระทำอีกหนึ่งประการ หากมีเหตุผลสองประการ หนึ่งคุณชายเสียงเป็นผู้ไหว้วาน และสองเป็นความต้องการของข้าเอง” ผู้เฒ่าโอสถกลับมีเหตุผลแปลกประหลาด

“ข้าล้วนเข้าใจ เพียงรอคอยเท่านั้น” เฉิงเจียวเจียวย่อมทราบคนผู้นี้มิอาจถามไถ่ให้มากความ

อดีตเมื่อห้าสิบปีก่อนคนผู้นี้หารู้ตัวไม่ ด้วยวิชาการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมยิ่งทำให้ชืดชาต่อวิชากระบี่ เพียงแต่คนตระกูลโอวหยังผู้เป็นเจ้าของเพลงกระบี่อันลือเลื่องย่อมต้องการให้บุตรชายตนโตสืบทอดหมู่ตึกสายฟ้า ทำให้โอวหยังซีอิ้งต้องหลบหนีไป ทั้งให้น้องชายเป็นผู้สืบทอดตน

แปลกนัก โอวหยังซีอิ้งกลับไปพบเจอสถานที่อันสงบแห่งนั้น...ผามังกรฯ

หลี่เปียวยังไม่เข้าใจ มันหลับตาลงด้วยฤทธิ์ยา ทั้งรู้สึกสบายตัว เลือดลมขับได้ดี จิตใจกลับนิ่งสงบกว่าทุกครั้ง มันจึงค่อยทราบ หามีผู้ใดประสงค์ร้ายกับมันไม่

หลังจากนั้นสองวันมันจึงได้สติกลับคืน รู้สึกสบายตัวยิ่งนัก เมื่อได้นอนบนที่นอนนุ่ม ก่อนสะดุ้งลุกพรวดด้วยตกใจ “ท่าน”

“หยิบกระบี่ออกมาทดลองดู” ผู้เฒ่าโอสถนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ มิได้ละสายตาจากตัวอักษร ทว่าออกปากดังกำลังนั่งมองอยู่ “ท่านเขยบูรพาเป็นคู่ทดสอบได้หรือไม่”

เฉิงเจียวเจียวเพียงพยักหน้ารับ มันมอบรอยยิ้มงดงามให้แก่สหาย มิได้มุ่งมาดทำร้ายเพียงช่วยเหลือทดสอบฝีมือ

“เด็กน้อย เจ้าจงใช้ทุกวิชาที่อาจารย์เจ้าสอน เจ้าจดจำเคล็ดวิชาได้หมดสิ้นหรือไม่” ผู้เฒ่าโอสถยังคงอ่านหนังสือต่อไป คล้ายมิคิดสนใจในการต่อสู้

เฉิงเจียวเจียวขยับฝ่ามือเข้าใกล้ใบหน้าสหาย ทวงท่านางฟ้าร่ายรำที่อ่อนช้อย กลับแฝงความกดดันและพลังหนักหน่วงทำให้หลี่เปียวต้องจับกระบี่ป้องกันสหาย สายกระบี่สีเขียวสดใสปาดเข้าใส่สหายเป็นสามสาย เรียกหาท่าสายฝนสามสาย

เฉิงเจียวเจียวจึงตอบแทนด้วยท่วงท่าถักทอสายใย มือสองข้างผลัดรับสายกระบี่ แขนที่แข็งแรงผิดกับท่วงท่าอ่อนช้อยงดงาม ทำให้หลี่เปียวต้องประเมินใหม่ สหายมันเป็นยอดยุทธ์ผู้หนึ่ง มันจึงเร่งเร้าลมปราณฟาดฟันกระบี่อ่อนเต็มพิกัด บังเกิดพลังลมปราณสีเขียวเรืองรองยากนักต้านทานได้

คมกระบี่อ่อนไม่คล้ายกระบี่อ่อนอีก กลับกลายเป็นกระบี่แข็งแรงด้วยพลังวัตรเข้มแข็ง ฟันลึกลงไปไปแขนเฉิงเจียวเจียวเลือดไหลยาวเป็นทาง จนต้องกุมแผลไว้ หากรอยยิ้มยินดีคงไว้บนใบหน้า…ผู้คนประหลาด โดนทำร้ายยังมีรอยยิ้ม

“ยินดีด้วย สหายสำเร็จวิชาไผ่เขียวเรืองรองแล้ว” เฉิงเจียวเจียวมีรอยยิ้มจริงใจยิ่งนัก สร้างความกระอักกระอ่วนแก่สหายมันให้สำนึกผิด

“ท่านทราบได้อย่างไร วิชาสูงสุดของกระบี่ไผ่เขียวเป็นไผ่เขียวเรืองรอง” หลี่เปียวก้มหน้าไม่อาจสบตาสหาย มันทำร้ายสหายแล้ว แต่ยังคงซักถามเรื่องที่สงสัย

“ท่านผู้เฒ่าบอกกล่าวแก่ข้าเอง” เฉิงเจียวเจียวให้เด็กรับใช้เข้ามาทำแผล ดูมันมิได้ใส่ใจในบาดแผลของมันแม้แต่น้อย

หลี่เปียวจึงเงยหน้าขึ้นมองผู้เฒ่าโอสถอย่างสงสัย ก่อนประสานมือคารวะเพื่อเรียนถาม “ท่านเป็นผู้ใด วานเฉลยแก่ผู้เยาว์ได้หรือไม่”

“ปัจจุบันมิอาจบอก อดีตสามารถบอกได้ ปัจจุบันไร้ชื่อเรียกหา หากข้าเดิมชื่อโอวหยังซีอิ้ง เป็นพี่ชายอาจารย์ปู่เจ้า หมู่ตึกเจ้ามีกระบี่แปดสาย หนึ่งในนั้นย่อมเป็นกระบี่ใบไผ่เขียวของเจ้า ถูกต้องหรือไม่” ผู้เฒ่าโอสถมีรอยยิ้มเมตตา แววตาปราณีผู้คน

หลี่เปียวรีบคุกเข่า มันโคกศีรษะลงที่พื้น ก่อนกล่าววาจานอบน้อม “เป็นท่านอาจารย์ปู่ หลานศิษย์ล่วงเกินท่านแล้ว”

“อดีตคืออดีต ปัจจุบันข้ามิใช่โอวหยังซีอิ้งอีกแล้ว เจ้าอย่าได้มากพิธีอีก ธุระที่คุณชายเสียงไหว้วานข้าทำสำเร็จแล้ว เหลือเพียงตัวเจ้า สามารถหยิบนำมาใช้มากน้อยเพียงใด ไปเถอะ ยุทธภพกว้างใหญ่ จงท่องเที่ยวเพื่อเสาะหาเรื่องราว” ผู้เฒ่าโอสถวางหนังสือลง หยิบขวดเล็กบนชั้นที่ตั้งวางไว้ ยื่นให้แก่เฉิงเจียวเจียว

“ยาบำรุงครรภ์ที่สั่งไว้ กำนัลแก่ท่านรอยยิ้มบูรพาแล้ว” ท่าทางผู้เฒ่ายังคงนอบน้อมแก่เฉิงเจียวเจียว ทว่าประกายตาชืดชาไร้ความกังวลใจอันใด

“ขอบคุณท่าน คงต้องจากลา” เฉิงเจียวเจียวสวมเสื้อคลุมปิดแผล ชักนำสหายจากไป ไม่รอช้า มิต้องการรบกวนความสงบของเจ้าของสถานที่

ประตูกระท่อมปิดลง ทิ้งความรู้สึกมากมายแก่หลี่เปียว สหายมันจัดหาสิ่งต่างๆ ให้แก่มัน ‘ฟางเสียงเจ้าเป็นใครกันแน่ ข้าอยากรู้ยิ่งนัก หากเจอเจ้าแล้ว ข้าขอคารวะสุราแก่เจ้าสักหลายจอก’

เฉิงเจียวเจียวเข้าใจในความเหม่อลอยของสหาย ทว่าเรื่องราวมากมายมิอาจเปิดเผย มันจึงนิ่งเงียบไม่รบกวนความคิดของสหาย

*****************************************
สวัสดีค่า
คุณตุ้งแช่ --- เริ่มเยอะด้วยค่ะ แล้วก็ต้องหามูลเหตุให้คดีพลิกค่า อิอิ
คุณใบบัวน่ารัก --- ใช่ค่า ไม่รู้เรื่องอีกฝ่ายเท่าไรค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามนิยายนะคะ



เพลิงวารี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ม.ค. 2556, 23:46:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ม.ค. 2556, 23:46:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 1363





<< 08 บุรุษปริศนา   10 ปรารถนาอิสระ >>
konhin 7 ม.ค. 2556, 06:46:48 น.
ง่ะ โดนลืมชื่อ กระซิกๆๆ

แอบเดาได้มั้ยคะว่า เพราะทายาทมีได้คนเดียว แต่ดันเกิดมามีฝาแฝด เสียงน้อยเลยถูกเลี้ยงมาให้แตกต่าง


ตุ๊งแช่ 7 ม.ค. 2556, 17:18:18 น.
ตัวละครมาเพิ่มอีกแล้ว คนอ่านเหงื่อแตก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account