ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ
เขา... นายตำรวจหนุ่ม
เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ
ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น
แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ
แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
เขา... นายตำรวจหนุ่ม
เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ
ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น
แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ
แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ
ตอน: บทที่ 3 (หวั่นไหว... 1)
บทที่ 3
(หวั่นไหว 1)
สถานีตำรวจ ที่มีผู้คนต่างเดินเข้าออกตลอดเวลา สถานที่ที่ประชาชนไม่มาแจ้งความก็มาเยี่ยมญาติที่นอนอยู่ในมุ้งสายบัว หรืออะไรก็ตามแต่ ภายในห้องทำงานของนายตำรวจชั้นสัญบัตร มีนายตำรวจ 2 นายกำลังนั่งอ่านเอกสารเกี่ยวกับคดีค้ายาเสพติดและอาวุธสงครามข้ามชาติอย่างเคร่งเครียด
“แกว่าพวกมันจะเอายังไงกันแน่ เดี๋ยวส่งของเดี๋ยวยกเลิกส่งของ จับทางไม่ถูกแหะ”
เสียงชายหนุ่มหนึ่งในสองคนนั้นพูดอย่างขอความเห็นจากคนที่นั่งเงียบอยู่หลังโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสารที่ตั้งเกือบเต็มโต๊ะนั้น ทนงศักดิ์รอคำตอบอยู่นานสองนานก็ไม่ได้ยินใดตอบกลับมา เขาต้องลดเอกสารลงแล้วจ้องมองเพื่อนรักของเขานั่งใจลอยไปไหนก็ไม่รู้ เอกสารถืออยู่ในมือก็จริงแต่สายตาก็ไม่ได้จับจ้องที่ตัวหนังสือเลยแม้แต่น้อย แถมยังยิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่คนเดียวเหมือนกับคนบ้าไม่มีผิด ทนงศักดิ์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตนเดินเข้าไปหาศิวกรช้าๆ
“ผู้กองศิวกรครับ...”
เขาพูดเสียงปรกติ
“ผู้กองศิลา!”
เสียงเริ่มดังขึ้น
“ไอ้ศิลาโว้ย!!!”
คราวนี้ทนงศักดิ์ตะโกนเกือบจะสุดเสียง ทำให้ศิวกรต้องหันมามองเพื่อนเขาอย่างตำหนิ
“ไอ้ศักดิ์...แกจะตะโกนหาพระแสงอะไรวะ ที่ทำงานนะเว้ยไม่ใช่บ้านแกจะได้มาตะโกนโหวกเหวกโวยวายอย่างนี้”
ศิวกรพูดตำหนิเพื่อนร่วมรุ่นของเขาอย่างไม่มีเกรงใจ ทนงศักดิ์มองเพื่อนรักตา ถลนอย่างกินเลือดกินเนื้อ
“หรอครับ...ไอ้บ้า!!! ฉันเรียกแกอยู่ตั้งนานก็ไม่หัน ใจลอยไปไหนวะไม่เคยเห็นแกเป็นอย่างนี้มาก่อน หรือมัวแต่นั่งนึกถึงน้องนางหน้าแชล่มที่ไหน”
“ไอ้บ้า...น้องนางหน้าแชล่มที่ไหน ไม่มี”
เขาตอบไม่ยอมสบตากับเพื่อนร่วมรุ่น ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารต่อไป ทนงศักดิ์มองศิวกรอย่างจับผิด เขาใช้สงครามเย็นเข้ามาช่วยแต่ก็ไม่เป็นผล ศิวกรดูจะเก็บอาการไว้ได้อย่างมิดชิดไม่เปิดช่องว่างไว้ให้เขาโจมตีเลยแม้แต่น้อย
“ไอ้ศิลา! ฉันรู้ว่าแกต้องมีอะไรปิดบังฉันอยู่ แกบอกฉันมาเสียดีกว่าไปปิ๊งสาวที่ไหน อย่าให้ฉันต้องลงมือออกไปสืบด้วยตัวเองนะเว้ย”
ทนงศักดิ์พูดคาดคั้นเพื่อให้ศิวกรยอมเปิดปากพูดออกมา และก็ได้ผลศิวกรยอมเงยหน้าจากเอกสารที่อยู่ในมือ แล้วมองเพื่อนรักด้วยสายตาน่ากลัวทำให้ทนงศักดิ์ถึงกับขนลุกซู่เลยทีเดียว ...เฮ้ย!!! มันต้องไปแอบชอบใครแหง่ๆ ไม่งั้นพอพูดเรื่องจะไปสืบปุ๊บ มันโกรธเป็นฝืนเป็นไฟเลยเว้ย...
ทนงศักดิ์คิดในใจอย่างลิงโลดแต่ก็ไม่กล้าแสดงอาการออกมาอย่างเต็มที่ เพราะกลัวหมัดหนักๆ จากเพื่อนรักจะมาประทับบนใบหน้าที่แสนหล่อเหลา(ในความคิดเจ้าตัว)เข้า จึงได้สงบปากสงบคำไว้ เขารู้จักศิวกรมาหลายปีทำไมจะไม่รู้ว่าเพื่อนมีนิสัยอย่างไร พอเขาเห็นว่าเพื่อนตัวเองทำท่าเหมือนจะมีแฟน มีหรือเขาจะปล่อยเรื่องนี้ไปได้ ไม่ว่าอย่างไรต้องรู้เรื่องให้ได้
ศิวกรเหมือนจะรู้ว่าเพื่อนตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ จึงถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือกใหญ่ๆ ก่อนจะวางเอกสารลงอย่างเซ็งๆ มองนาฬิกาถึงรู้ว่าใกล้ถึงเวลาพักเที่ยงแล้ว เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตรงไปที่ประตูห้องทันที ทนงศักดิ์ต้องรีบพูดเบรกให้เขาหยุดเดิน
“นั้นแกกำลังจะไปไหน”
“ไปหาข้าวกิน หรือแกจะนั่งรอใครส่งส่วนบุญมาให้ก็ตามใจ แต่ฉันไม่รอ”
ว่าแล้วศิวกรก็เปิดประตูแล้วพาร่างใหญ่ของเขาเดินออกไปโดยไม่สนใจคนที่อยู่ในห้องนั้นอีกต่อไป
“เฮ้ย! เดี๋ยวสิไอ้ศิลา...รอฉันด้วย ไปกินข้าวด้วยคน”
แล้วทนงศักดิ์ก็รีบหยิบข้าวของที่จำเป็นติดตัวไป เดินตามเพื่อนซี้ไปอย่างเร็วจนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประจำอยู่ที่สถานี และประชาชนต่างก็มองอย่างสนใจ
หลังจากสองหนุ่มนั่งทานข้าวราดแกงง่ายๆเรียบร้อยแล้ว ทนงศักดิ์เตรียมเดินกลับไปที่โรงพัก แต่ศิวกรกลับเดินไปยังทิศทางตรงข้ามกับโรงพักเสียอย่างนั้น ทำให้ทนงศักดิ์ต้องร้องเรียกศิวกรอย่างประหลาดใจ
“นั้นแกจะไปไหนวะ!!”
“ไปหากาแฟล้างปาก”
ศิวกรหันมาตอบคำถามของเพื่อนรัก แล้วก็เดินตรงไปยังร้านจุดหมายปลายทางที่เขาตั้งใจไว้ โดยไม่สนใจเพื่อนของเขาแม้แต่น้อย ทนงศักดิ์เองก็รีบเดินตามเพื่อนเขาไปด้วยความใคร่รู้
...มันต้องไปหาใครแน่นอน ทนงศักดิ์ฟันธง...
*******************************************
ดลินากำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่เคาท์เตอร์อย่างสบายใจ ฟังเพลงเบาๆคลอไปด้วย ทำให้อาหารมื้อนี้ดูจะอร่อยมากขึ้นไปอีก... ถ้าจะให้ดีมันก็ต้องมีใครสักคนมานั่งกินเป็นเพื่อนมันถึงจะแจ๋ว...
ว่าแล้วก็นึกถึงร่างสูงใหญ่ รูปร่างและมัดกล้าที่แข็งแรง ผิวสีค่อนไปทางเข้ม ใบหน้าไทยจ๋านั้นขึ้นมาเสียไม่ได้ ดลินาจินตนาการถึงเขายามที่ใส่ชุดของทหารไทยสมัตอยุธยา แค่คิดก็ชวนให้เลือดกำเดาไหลจริงๆ เธอนั่งนึกไปก็อมยิ้มไปด้วย ดีที่ตอนนั้นไม่มีคนอยู่ในร้านทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าของร้าน กำลังนั่งฝันกลางวันทั้งที่ยังถือช้อนอยู่ในมือ และข้าวอยู่ในปาก มันเป็นภาพที่ไม่น่าดูเอาเสียเลย
“ร้อนจังเลย เมื่อวานฝนยังตกอยู่เลยวันนี้ร้อนตับแลบ ทำไมประเทศไทยมันร้อนอย่างนี้นะ เมื่อไหร่หิมะจะตก”
เสียงแหลมๆของรจนาบ่นอย่างรำคาญใจเมื่อก้าวเข้ามาในร้าน
“ถ้าอยากให้หิมะตก แกก็ไปอยู่ที่อลาสก้าสิ อยากจะทำตุ๊กตาหิมะกี่ตัวก็ตามใจแก”
“ขอบใจย่ะ คำแนะนำแกดีมาก เอาไว้แกไปส่องแมวน้ำกับฉันที่นั้นด้วยก็แล้วกัน”
“ตามสบาย ฉันชอบอากาศอากาศที่เมืองไทยมากกว่าอลาสก้า”
รจนามองดลินาอย่างงอนๆ แล้วก็พาร่างสูงเพรียวมานั่งลงที่โต๊ะตัวที่ 3 ของร้าน แล้วก็เอนหลังกับพนักพิงอย่างผ่อนคลาย
“กินอะไรมาหรือยัง”
ดลินาถามเพื่อนอย่างเป็นห่วง วันนี้รจนาดูเหนื่อยอ่อนมากว่าทุกวัน
“ยังเลย หิวข้าวจะตาย”
“งั้นรอแป๊บเดี๋ยวเอาจานข้าวไปคืน จะได้สั่งข้าวมาให้แกกินด้วย”
ดลินาพูดจบก็รีบรวบช้อนซ้อนแล้วหยิบจานเดินออกไปนอกร้านทิ้งให้รจนานั่งตากแอร์อยู่ในร้านเพียงลำพัง อาหารตามสั่งอย่างง่ายที่รจนากำลังนั่งทานอยู่ในร้านทำให้เรี่ยวแรงที่หายไปเริ่มกลับมา น้ำกระเจี๊ยบเย็นชื่นใจในแก้วทรงสูง โดยมีเพื่อนสาวยืนล้างแก้วกาแฟอยู่ไม่ห่าง
“อร่อยจังเลย”
“แน่ล่ะสิ เข้าห้องผ่าตัดตั้งนานออกมาแล้วแทนที่จะกินข้าวกลับตรงมาที่ร้านเลย”
“ก็ว่าจะมาให้แกบริการให้น่ะสิ”
แล้วก็ตัดข้าวเข้าปากไปอีกคำ นั้นเรียกค้อนวงเบ้อเร่อจากเพื่อนสาว
“ว่าแต่เรื่องของแกกับผู้กองเจ้าเสน่ห์ไปถึงไหนแล้ว”
เคร้ง! เสียงแก้วตกกระทบกับพื้นอ่าง ทำให้รจนาหัวเราะกับอาการตกใจของเพื่อนสาว ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วหากใครไปพูดจี้จุดได้ตรงเรื่องแล้วล่ะก็ ดลินาจะมีอาการประมาทออกมาให้เห็น ถึงจะตกใจกับคำถามของเพื่อนแต่ก็พยายามตั้งสติพูดให้เสียงเป็นปรกติมากที่สุด
“ไอ้ที่ว่าไปถึงไหนหมายความว่าไง”
“ไม่ต้องมาทำเป็นอินโนเซนท์เลยนะ ฉันรู้ว่าแกเข้าใจคำถามฉันทุกคำ”
“ก็... ก็ไม่ได้ไปถึงไหนสักหน่อย ฉันกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
“แกไม่ต้องมาปิดฉันเลย ฉันรู้นะว่าแกไม่ได้คิดกับผู้กองแค่เพื่อนน่ะ”
“นี่! ถึงฉันจะคิดเกินเพื่อน แต่ทางนู้นเขาไม่ได้คิดแบบเดียวกับฉันเสียหน่อย”
“แน่ใจ”
รจนาถามเสียงสูงฟังอย่างไรก็ไม่น่าไว้ใจสักนิด ดลินาที่ยืนเท้าเอวอยู่หลังเคาท์เตอร์เริ่มจะไม่แน่ใจเหมือนกันว่าฝ่ายชายเขาคิดอะไรอยู่ เพราะพักหลังๆ มานี้เขามักจะมาที่ร้านเป็นประจำและทุกครั้งที่เขามาปฏิกิริยาที่เขามีต่อเธอก็เริ่มเปลี่ยนไป จากคำพูดและทางทางที่สุภาพห่างเหิน ชายหนุ่มก็เริ่มทำตัวเป็นกันเองและสนิทสนมมากขึ้นจนหญิงสาวเริ่มที่จะจิตนาการฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานาว่าเขามองเธอต่างไปจากเดิม
“เห็นไหมล่ะ ขนาดแกเองยังคิดเลยว่าผู้กองน่ะเขาชอบแก”
“แต่เพิ่งรู้จักกันไม่นานเขาคงไม่ไวไฟขนาดนั้นหรอก”
“เฮอะ! แกจำไม่ได้หรือฉันเคยบอกว่าไง อะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกของความรัก”
เมื่อเจอประโยคนี้เข้าไปถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง เสียงกระดิ่งดังขึ้นจากประตูหน้าร้านเรียกความสนใจจากทั้งสองสาว ซึ่งทั้งสองสาวก็มีปฏิกิริยาต่างกันออกไปนางหนึ่งตกใจอ้าปากค้างใจเต้นแรง แต่อีกนางยิ้มกรุ่มกริ่ม
“นั้นไง... อายุยืนจริงเชียว”
“สวัสดีครับ”
ศิวกรเอ่ยทักทายอย่างสุภาพ โดยมีร่างของทนงศักดิ์เดินตามมาติดๆ ศิวกรเองก็แปลกใจที่เห็นสองสาวที่นั่งตรงเคาท์เตอร์มีท่าทางที่ต่างกันสุดขั้วมองมาที่เขา คนอมยิ้ม คนหนึ่งเขินอาย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไร ส่วนทนงศักดิ์กลับจ้องไปที่สองสาวก็จะวิเคราะห์ว่าใครคือน้องนางหน้าแชล่มที่ศิวกรถึงกับถ่อสังขารเดินมากินกาแฟไกลเกือบหนึ่งกิโลเมตร
“สวัสดีค่ะ สบายดีหรือเปล่าคะผู้กอง”
คุณหมอคนสวยเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง
“สบายดีครับ คุณหมอเองก็ดูจะสบายดีเหมือนกัน นี้ทนงศักดิ์เพื่อนผมครับ”
“หวัดดีคับ”
ทนงศักดิ์ก้มศีรษะลงเป็นการทักทาย ดลินาทักทายเสียงเบาแต่คุณหมอสาวนั่งเงียบไม่พูดอะไร
“จะรับอะไรดีคะ”
“ผมขอเหมือนเดิม”
“ส่วนผมของนมเย็นครับผม”
ทนงศักดิ์กล่าวอย่างทะเล้นเพราะตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าน้องนางหน้าแชล่มคนนั้นคือคนไหน เขาตามศิวกรที่เดินไปนั่งยังที่ประจำก็จะเป็นคนเปิดการสนทนาขึ้นมาก่อน
“น่ารักนี่หว่า ไปรู้จักกันได้ไงเล่ามาซะดีๆ”
“ที่ว่าน่ารักน่ะคนไหน”
“แน่นอนต้องเป็นคุณคนที่อยู่หลังเคาท์เตอร์นั้นแน่นอน”
“อะไรทำให้แกมั่นใจขนาดนั้น”
“เพราะดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ เวลาแกมองเธอคนนั้นตาแกน่ะฉ่ำเชียว แหม่จะว่าไม่นึกเลยว่าแกอุตส่าห์พามารู้จัก”
ทนงศักดิ์หลิ่วตาให้เพื่ออย่างมีเลศนัย จังหวะถูกขัดลงเมื่อเจ้าของร้านคนสวยนำกาแฟและนมเย็นที่ทั้งคู่สั่งมาเสริฟ
“แหม่หน้าตาน่าทานจังเลยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
“เห็นเค้กที่ตู้น่าตาน่าเอ็นดู... เอ้ย! น่าทาน แนะนำให้ผมหน่อยสิครับว่าอะไรอร่ยสุด”
ทนงศักดิ์เริ่มปฏิบัติการกวนประสาทศิวกรทันที ศิวกรรู้ดีแต่ก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ เพราะทนงศักดิ์แย่งบทพูดกับหญิงสาวไปหมดเลย
“วันนี้มีเค้กส้ม บูลเบอรี่พาย แล้วก็ชีสเค้กค่ะ ไม่ทราบคุณทนงศักดิ์จะรับอะไรดีคะ”
“ไม่ต้องเรียกผมเต็มยศขนาดนั้นก็ได้ครับ เรียกผมว่าศักดิ์เฉยๆ ก็ได้ครับ”
“อ๋อค่ะ... คุณศักดิ์ตงลงรับอะไรดีคะ”
“ผมขออย่างละชิ้นเลยครับ คุณ...”
“ข้าวค่ะ”
“แหม่... ชื่อน่ารักจังเลยนะครับ สมตัวจริงๆ”
“โอ๊ย! ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”
หญิงสาวยิ้มหวานอย่างเป็นกันเองเธอรู้ว่าเขาล้อเล่น ศิวกรเมื่อเห็นเธอยิ้มให้เพื่อนร่วมรุ่นของเขาตอนนี้เขารู้สึกว่าหางคิ้วเริ่มกระตุกแปลกๆ แน่นอนว่าไม่รอดพ้นตาเหยี่วอย่างทนงศักดิ์ไปได้ ซึ่งรจนาที่นั่งดูอยู่ห่างๆ ก็เริ่มจะไม่ไว้ใจพ่อตำรวจหนุ่มคนนี้เอาเสียเลย
“รับอย่างล่ะชิ้นนะคะ แล้วผู้กองจะรับอะไรเพิ่มหรือเปล่าคะ”
หันไปถามศิวกรเสียงหวาน ศิวกรเตรียมอ้าปากที่จะตอบแต่ยังไม่พูดสักคำก็มีคนรับหน้าที่ตอบแทนแล้ว
“คุณข้าวครับ ผู้กองคนไหนระบุชื่อด้วยครับเพราะผมก็ร้อยตำรวจเอกเหมือนกันเดี๋ยวเข้าใจผิด นึกว่าถามผมอยู่คนเดียว”
พูดพลางขยิบตาอย่างทะเล้นซึ่งนั้นทำให้ดลินาหัวเราะคิกออกมา แต่คนตรงข้ามเขาไม่ตลกไปด้วยหน้าเริ่มบูดบึ้งเข้าไปทุกที
“ค่าทราบแล้วค่ะ คุณศิลารับอะไรเพิ่มหรือเปล่าคะ เดี๋ยวฉันจะได้เตรียมให้”
“มะ...”
“ไม่หรอกครับ เพื่อนผมมันไม่ชอบของหวาน ชีวิตมันจืดชืด”
ดลินาพยักหน้ารับก่อนจะเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์เตรียมขนมตามที่ทนงศักดิ์สั่ง รับหลังร้างบางไปแล้วศิวกรจึงพูดเสียงรอดไรฟัน
“ไอ้ศักดิ์ถ้าฉันรู้ว่าแกจะมากวนประสาทฉันแบบนี้แล้วล่ะก็ ฉันไม่พาแกมารู้จักหรอก”
“อ้าวก็ฉันเห็นแกนั่งนิ่งนึกว่ามองเขาตาเหยิ้มไม่กล้าพูดฉันก็เลยพูดแทนทั้งหมดไง”
“ไอ้บ้า”
ด่าเพื่อนเสียงเบาสายตาแทบจะแผดเผาให้ไหม้เกรียมแต่มีหรือว่าคนอย่างเขาจะกลัว โอกาสกลั่นแกล้งแบบนี้น้อยแสนน้อยที่จะได้โอกาสจากศิวกร
“นี้ค่ะเค้กที่คุณสั่ง”
ไม่ใช่เสียงหวานที่ได้ยินในตอนแรก แต่เป็นเสียงแข็งจากคุณหมอสาวคนสวยแทน พร้อมกับกระแทกจานเค้กเสียงดังลงตรงหน้าของทนงศักดิ์
“นี้คุณเบาๆ ก็ได้ไม่ต้องรุนแรงนักเดี๋ยวของเขาพัง”
“ฉันมีปัญญาจ่าย”
พูดอย่างถือดีก่อนจะเดินไปหาดลินาที่หลังเคาท์เตอร์พร้อมกับเสียงบ่นพำพัมอย่างกับผึ้งแตกรัง
“บ๊ะ! หน้าใหญ่เสียด้วย สวยก็สวยอยู่หรอก ไม่น่าปากจัดเลยแหะ”
ทนงศักดิ์เอ่ยอย่างเสียดาย ก่อนจะลงมือทานเค้กที่ตนเองสั่งอย่างเพลิดเพลิน โดยที่ไม่รู้เลยว่าเพื่อนของตนและคุณหมอสาวต่างก็ด่าเขาอยู่ในใจแบบไม่รักษาน้ำใจเลยทีเดียว
*******************************************
“วันอาทิตย์แท้ๆ แต่คนน้อยจริงๆ เลย”
ดลินาบ่นพึมพำอยู่คนเดียวที่หลังเคาท์เตอร์อย่างเบื่อหน่าย เธอนั่งเอามือเท้าคางรอให้มีลูกค้าเข้าร้านมาตั้งแต่เช้าแล้ว จนตอนนี้ใกล้จะบ่าย 2 ก็ยังไม่มีลูกค้าเข้าร้านเลยสักคน ดลินาลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปรอบๆ ร้านเพื่อเป็นการยืดเส้นยืดสาย แล้วเสียงกระดิ่งที่หน้าร้านก็ดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยร่างระหงในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าคอระบายและกางเกงขายาวสีขาวดูทะมัดทะแมงเดินเข้ามาอย่างกับพายุ
“แก ฉันจะไม่ยอมเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดยังไง ฉันก็ไม่ยอม”
รจนาพูดขึ้นอย่างดุเดือด แล้วเดินไปรอบๆร้านเหมือนหนูติดจั่น ดลินามองเพื่อนคนนี้อย่างแปลกใจ ปรกติรจนาจะไม่พูดอะไรขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอย่างนั้น
“ใจเย็นๆ สิหมอแยม แกเป็นอะไรไป ไม่ยอมอะไร”
ดลินายืนเท้าแขนกับเก้าอี้ตัวที่เธอยืนอยู่ใกล้ๆ แล้วก็ถามคนที่เดินวนไปวนมาอย่างสงสัย
“ฉันจะไม่ยอมให้คุณนายนรีจับฉันคลุมถุงชนเด็ดขาด”
“คุณนายนรี? เฮ้ย!!! คลุมถุงชน คุณแม่เนี่ยนะจะจับแกคลุมถุงชน”
ดลินาตะโกนร้องอย่างไม่เชื่อหูคำบอกเล่าของเพื่อนสาว
“ก็ใช่น่ะสิ คุณนายนรี คุณป้าของแก แม่ของฉันจะจับฉันไปคลุมถุงชนกับลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้ ข้าว... แกช่วยฉันคิดหน่อยสิ ฉันจะทำอย่างไรดี”
รจนาพูดอย่างหมดหนทางก่อนจะยอมนั่งลงในที่สุด
“แกพูดกับคุณแม่แล้วหรือยัง”
“พูดจนปากเปียกปากแฉะ ท่านก็ไม่ฟังฉันสักคำ จะจับแต่งงานอย่างเดียว”
“เขาคนนั้นเป็นใคร”
“ฉัน รู้แต่ว่าเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของอดีตนายตำรวจใหญ่ท่านหนึ่ง ตอนนี้เป็น สส. ไปแล้ว และก็นะภรรยาของนายตำรวจคนนั้นเผอิญเป็นเพื่อนสมัยเรียนกับแม่ฉัน แล้วก็ไปจับพัดจับพลูกันอย่างไรก็ไม่รู้ จะยกฉันให้ไปเป็นสะใภ้บ้านนั้นเฉยเลย”
รจนาพูดอย่างเหนื่อยใจ
“ขนาดนั้นเลยหรือแก”
“ก็ใช่น่ะสิ แกยายข้าว ฉันยังไม่อยากแต่งงานนะ เจ้าบ่าวนิสัยใจคอเป็นอย่างไรฉันก็ไม่รู้ ถ้าเกิดเป็นคนสาดิดซ์ โรคจิต พิกลพิการขึ้นมาฉันจะทำยังไง ได้ข่าวมาว่าเพล์บอยสุดๆ”
รจนาพูดน้ำเสียงหมดหวัง น้ำตาเริ่มคลอเบ้าอย่างเห็นได้ชัด รจนาเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้อย่างหมดอาลัยตายอยาก
“ใจเย็นๆก่อนนะหมอแยม ไว้ฉันจะช่วยพูดอีกแรง แต่ว่าแกอยากได้อะไรเย็นๆมาดื่มก่อนไหม”
ดลินาถามอย่างเป็นห่วง เพราะว่าเธอรู้นิสัยของเพื่อนคนนี้ดี ถ้าไม่มีเรื่องกลุ้มใจอย่างแสนสาหัส หมอแยมก็จะไม่มีทางมาระบายให้เธอฟังอย่างนี้เด็ดขาด รจนาได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะหลับตาลงอย่าเหนื่อยใจ ดลินาเดินไปที่หลังร้านเพื่อนจัดการทำน้ำกระเจี๊ยบเย็นชื้นใจให้กับหมอแยม เพื่อว่าจะได้รู้สึกเย็นๆลงมาบ้าง ดลินาต้มน้ำกระเจี๊ยบไปด้วยหัวสมองก็คิดเรื่องของเพื่อนรักอย่างเคร่งเครียด
...จะทำอย่างไรดีนะ ลองคุณนายนรีได้ตัดสินใจอะไรลงไปแล้วยากที่จะเปลี่ยนใจ สงสารหมอแยมก็สงสาร แต่ว่าคู่ต่อสู้ก็แข็งแกร่งยากที่จะเอาชนะ กรรมของแกแล้วหมอแยมเอ้ย... ดลินาคิดพลางก็ส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง ร่างบางริมน้ำกระเจี๊ยบที่อุ่นลงแล้วลงในแก้วทรงสูงที่เตรียมน้ำแข็งไว้เรียบร้อย ก่อนจะยกไปเสริฟให้หมอแยมที่นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่เก้าอี้
“เป็นไงแก วิญญาณออกจากร่างเลยหรอ”
ดลินาวางแก้วน้ำกระเจี๊ยบลง ก่อนจะแตะที่มือรจนาอย่างเบาๆ แววตาเต็มไปด้วยความกังวล
“ยายข้าว ฉันอยากร้องไห้”
รจนาพูดไม่ทันขาดคำ น้ำตาก็ไหลพรากลงมาอย่างกับเขื่อนแตก ดลินาเห็นเพื่อนรักร้องไห้อย่างนั้นก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบเข้าไปปลอบรจนาอย่างรุกรี้รุกรน
“ไม่เอาน่ะแก แกอย่าร้องไห้สิ ทุกอย่างมันต้องมีทางออก”
“กว่าจะมีทางออก ฉันก็คงไปเป็นเมียใครเขาแล้วก็ไม่รู้”
รจานาพูดเสียงสะอื้น ร้องไห้ตัวโยน ดลินาเองก็ไม่รู้จะพูดปลอบเพื่อนอย่างไรดี ได้แต่เงียบไว้ปล่อยให้รจนาได้ร้องไห้ออกมาเผื่อว่ามันจะทำให้เธอสบายใจมากขึ้น นานกว่า 5 นาทีเสียงสะอื้นก็เบาลง รจนาคงจะร้องไห้น้ำตาหมดก๊อกแล้ว ดลินายื่นกระดาษทิชชู ยื่นให้รจนาเช็ดน้ำตา
“โอ้โห!!! หน้าแกอย่างกับตุ๊กตาผีแหนะหมอแยม มาสคราล่าเลอะหมดเลย ตาก็บวมเป็นปลาทองเลย ไปล้างหน้าหน่อยไหมแก เดี๋ยวลูกค้าเข้ามาในร้านเห็นแกแล้วจะตกใจหนีหมด”
ดลินาพูดแซวเพื่อนรัก แต่มันก็สามารถทำให้คนตาบวมหัวเราะคิกออกมาจนได้
“อืม…วันนี้ฉันขอค้างที่นี่นะ”
“ได้อยู่แล้ว อย่างไรที่นี่ก็บ้านแกเหมือนกันนะ แกลืมไปแล้วหรอ”
รจนามองเพื่อนอย่างซาบซึ้งในน้ำใจที่ดลินามีให้เสมอ ดลินาแตกต่างจากเพื่อนทุกคนที่รู้จัก เพราะคนอื่นๆต่างคบหาเธอเพียงเพราะเธอเป็นลูกสาวเจ้าของโรงพยาบาลใหญ่เท่านั้น ทุกคนต่างสวมหน้ากากเข้าหาเธอ ยกเว้นคนที่อยู่ตรงหน้าเธอคนนี้
“ไป...ขึ้นไปข้างบน...แล้วล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เสียก่อน แกคงไม่ได้ร้องไห้จนเบลอแล้วจำไม่ได้ว่าข้าวของของแกอยู่ที่ไหนหรอกนะ”
“รู้แล้ว เดี๋ยวฉันลงมาช่วย”
ว่าแล้วรจนาก็ลุกขึ้นเดินไปหลังร้านเพื่อขึ้นบันไดเดินไปยังห้องข้างบน ปล่อยให้ดลินานั่งอยู่ที่หน้าร้านเพียงลำพังกับน้ำกระเจี๊ยบที่มีหยดน้ำใสๆเกาะอยู่รอบๆแก้ว แต่ปริมาณน้ำไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย
(หวั่นไหว 1)
สถานีตำรวจ ที่มีผู้คนต่างเดินเข้าออกตลอดเวลา สถานที่ที่ประชาชนไม่มาแจ้งความก็มาเยี่ยมญาติที่นอนอยู่ในมุ้งสายบัว หรืออะไรก็ตามแต่ ภายในห้องทำงานของนายตำรวจชั้นสัญบัตร มีนายตำรวจ 2 นายกำลังนั่งอ่านเอกสารเกี่ยวกับคดีค้ายาเสพติดและอาวุธสงครามข้ามชาติอย่างเคร่งเครียด
“แกว่าพวกมันจะเอายังไงกันแน่ เดี๋ยวส่งของเดี๋ยวยกเลิกส่งของ จับทางไม่ถูกแหะ”
เสียงชายหนุ่มหนึ่งในสองคนนั้นพูดอย่างขอความเห็นจากคนที่นั่งเงียบอยู่หลังโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสารที่ตั้งเกือบเต็มโต๊ะนั้น ทนงศักดิ์รอคำตอบอยู่นานสองนานก็ไม่ได้ยินใดตอบกลับมา เขาต้องลดเอกสารลงแล้วจ้องมองเพื่อนรักของเขานั่งใจลอยไปไหนก็ไม่รู้ เอกสารถืออยู่ในมือก็จริงแต่สายตาก็ไม่ได้จับจ้องที่ตัวหนังสือเลยแม้แต่น้อย แถมยังยิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่คนเดียวเหมือนกับคนบ้าไม่มีผิด ทนงศักดิ์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตนเดินเข้าไปหาศิวกรช้าๆ
“ผู้กองศิวกรครับ...”
เขาพูดเสียงปรกติ
“ผู้กองศิลา!”
เสียงเริ่มดังขึ้น
“ไอ้ศิลาโว้ย!!!”
คราวนี้ทนงศักดิ์ตะโกนเกือบจะสุดเสียง ทำให้ศิวกรต้องหันมามองเพื่อนเขาอย่างตำหนิ
“ไอ้ศักดิ์...แกจะตะโกนหาพระแสงอะไรวะ ที่ทำงานนะเว้ยไม่ใช่บ้านแกจะได้มาตะโกนโหวกเหวกโวยวายอย่างนี้”
ศิวกรพูดตำหนิเพื่อนร่วมรุ่นของเขาอย่างไม่มีเกรงใจ ทนงศักดิ์มองเพื่อนรักตา ถลนอย่างกินเลือดกินเนื้อ
“หรอครับ...ไอ้บ้า!!! ฉันเรียกแกอยู่ตั้งนานก็ไม่หัน ใจลอยไปไหนวะไม่เคยเห็นแกเป็นอย่างนี้มาก่อน หรือมัวแต่นั่งนึกถึงน้องนางหน้าแชล่มที่ไหน”
“ไอ้บ้า...น้องนางหน้าแชล่มที่ไหน ไม่มี”
เขาตอบไม่ยอมสบตากับเพื่อนร่วมรุ่น ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารต่อไป ทนงศักดิ์มองศิวกรอย่างจับผิด เขาใช้สงครามเย็นเข้ามาช่วยแต่ก็ไม่เป็นผล ศิวกรดูจะเก็บอาการไว้ได้อย่างมิดชิดไม่เปิดช่องว่างไว้ให้เขาโจมตีเลยแม้แต่น้อย
“ไอ้ศิลา! ฉันรู้ว่าแกต้องมีอะไรปิดบังฉันอยู่ แกบอกฉันมาเสียดีกว่าไปปิ๊งสาวที่ไหน อย่าให้ฉันต้องลงมือออกไปสืบด้วยตัวเองนะเว้ย”
ทนงศักดิ์พูดคาดคั้นเพื่อให้ศิวกรยอมเปิดปากพูดออกมา และก็ได้ผลศิวกรยอมเงยหน้าจากเอกสารที่อยู่ในมือ แล้วมองเพื่อนรักด้วยสายตาน่ากลัวทำให้ทนงศักดิ์ถึงกับขนลุกซู่เลยทีเดียว ...เฮ้ย!!! มันต้องไปแอบชอบใครแหง่ๆ ไม่งั้นพอพูดเรื่องจะไปสืบปุ๊บ มันโกรธเป็นฝืนเป็นไฟเลยเว้ย...
ทนงศักดิ์คิดในใจอย่างลิงโลดแต่ก็ไม่กล้าแสดงอาการออกมาอย่างเต็มที่ เพราะกลัวหมัดหนักๆ จากเพื่อนรักจะมาประทับบนใบหน้าที่แสนหล่อเหลา(ในความคิดเจ้าตัว)เข้า จึงได้สงบปากสงบคำไว้ เขารู้จักศิวกรมาหลายปีทำไมจะไม่รู้ว่าเพื่อนมีนิสัยอย่างไร พอเขาเห็นว่าเพื่อนตัวเองทำท่าเหมือนจะมีแฟน มีหรือเขาจะปล่อยเรื่องนี้ไปได้ ไม่ว่าอย่างไรต้องรู้เรื่องให้ได้
ศิวกรเหมือนจะรู้ว่าเพื่อนตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ จึงถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือกใหญ่ๆ ก่อนจะวางเอกสารลงอย่างเซ็งๆ มองนาฬิกาถึงรู้ว่าใกล้ถึงเวลาพักเที่ยงแล้ว เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตรงไปที่ประตูห้องทันที ทนงศักดิ์ต้องรีบพูดเบรกให้เขาหยุดเดิน
“นั้นแกกำลังจะไปไหน”
“ไปหาข้าวกิน หรือแกจะนั่งรอใครส่งส่วนบุญมาให้ก็ตามใจ แต่ฉันไม่รอ”
ว่าแล้วศิวกรก็เปิดประตูแล้วพาร่างใหญ่ของเขาเดินออกไปโดยไม่สนใจคนที่อยู่ในห้องนั้นอีกต่อไป
“เฮ้ย! เดี๋ยวสิไอ้ศิลา...รอฉันด้วย ไปกินข้าวด้วยคน”
แล้วทนงศักดิ์ก็รีบหยิบข้าวของที่จำเป็นติดตัวไป เดินตามเพื่อนซี้ไปอย่างเร็วจนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประจำอยู่ที่สถานี และประชาชนต่างก็มองอย่างสนใจ
หลังจากสองหนุ่มนั่งทานข้าวราดแกงง่ายๆเรียบร้อยแล้ว ทนงศักดิ์เตรียมเดินกลับไปที่โรงพัก แต่ศิวกรกลับเดินไปยังทิศทางตรงข้ามกับโรงพักเสียอย่างนั้น ทำให้ทนงศักดิ์ต้องร้องเรียกศิวกรอย่างประหลาดใจ
“นั้นแกจะไปไหนวะ!!”
“ไปหากาแฟล้างปาก”
ศิวกรหันมาตอบคำถามของเพื่อนรัก แล้วก็เดินตรงไปยังร้านจุดหมายปลายทางที่เขาตั้งใจไว้ โดยไม่สนใจเพื่อนของเขาแม้แต่น้อย ทนงศักดิ์เองก็รีบเดินตามเพื่อนเขาไปด้วยความใคร่รู้
...มันต้องไปหาใครแน่นอน ทนงศักดิ์ฟันธง...
*******************************************
ดลินากำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่เคาท์เตอร์อย่างสบายใจ ฟังเพลงเบาๆคลอไปด้วย ทำให้อาหารมื้อนี้ดูจะอร่อยมากขึ้นไปอีก... ถ้าจะให้ดีมันก็ต้องมีใครสักคนมานั่งกินเป็นเพื่อนมันถึงจะแจ๋ว...
ว่าแล้วก็นึกถึงร่างสูงใหญ่ รูปร่างและมัดกล้าที่แข็งแรง ผิวสีค่อนไปทางเข้ม ใบหน้าไทยจ๋านั้นขึ้นมาเสียไม่ได้ ดลินาจินตนาการถึงเขายามที่ใส่ชุดของทหารไทยสมัตอยุธยา แค่คิดก็ชวนให้เลือดกำเดาไหลจริงๆ เธอนั่งนึกไปก็อมยิ้มไปด้วย ดีที่ตอนนั้นไม่มีคนอยู่ในร้านทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าของร้าน กำลังนั่งฝันกลางวันทั้งที่ยังถือช้อนอยู่ในมือ และข้าวอยู่ในปาก มันเป็นภาพที่ไม่น่าดูเอาเสียเลย
“ร้อนจังเลย เมื่อวานฝนยังตกอยู่เลยวันนี้ร้อนตับแลบ ทำไมประเทศไทยมันร้อนอย่างนี้นะ เมื่อไหร่หิมะจะตก”
เสียงแหลมๆของรจนาบ่นอย่างรำคาญใจเมื่อก้าวเข้ามาในร้าน
“ถ้าอยากให้หิมะตก แกก็ไปอยู่ที่อลาสก้าสิ อยากจะทำตุ๊กตาหิมะกี่ตัวก็ตามใจแก”
“ขอบใจย่ะ คำแนะนำแกดีมาก เอาไว้แกไปส่องแมวน้ำกับฉันที่นั้นด้วยก็แล้วกัน”
“ตามสบาย ฉันชอบอากาศอากาศที่เมืองไทยมากกว่าอลาสก้า”
รจนามองดลินาอย่างงอนๆ แล้วก็พาร่างสูงเพรียวมานั่งลงที่โต๊ะตัวที่ 3 ของร้าน แล้วก็เอนหลังกับพนักพิงอย่างผ่อนคลาย
“กินอะไรมาหรือยัง”
ดลินาถามเพื่อนอย่างเป็นห่วง วันนี้รจนาดูเหนื่อยอ่อนมากว่าทุกวัน
“ยังเลย หิวข้าวจะตาย”
“งั้นรอแป๊บเดี๋ยวเอาจานข้าวไปคืน จะได้สั่งข้าวมาให้แกกินด้วย”
ดลินาพูดจบก็รีบรวบช้อนซ้อนแล้วหยิบจานเดินออกไปนอกร้านทิ้งให้รจนานั่งตากแอร์อยู่ในร้านเพียงลำพัง อาหารตามสั่งอย่างง่ายที่รจนากำลังนั่งทานอยู่ในร้านทำให้เรี่ยวแรงที่หายไปเริ่มกลับมา น้ำกระเจี๊ยบเย็นชื่นใจในแก้วทรงสูง โดยมีเพื่อนสาวยืนล้างแก้วกาแฟอยู่ไม่ห่าง
“อร่อยจังเลย”
“แน่ล่ะสิ เข้าห้องผ่าตัดตั้งนานออกมาแล้วแทนที่จะกินข้าวกลับตรงมาที่ร้านเลย”
“ก็ว่าจะมาให้แกบริการให้น่ะสิ”
แล้วก็ตัดข้าวเข้าปากไปอีกคำ นั้นเรียกค้อนวงเบ้อเร่อจากเพื่อนสาว
“ว่าแต่เรื่องของแกกับผู้กองเจ้าเสน่ห์ไปถึงไหนแล้ว”
เคร้ง! เสียงแก้วตกกระทบกับพื้นอ่าง ทำให้รจนาหัวเราะกับอาการตกใจของเพื่อนสาว ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วหากใครไปพูดจี้จุดได้ตรงเรื่องแล้วล่ะก็ ดลินาจะมีอาการประมาทออกมาให้เห็น ถึงจะตกใจกับคำถามของเพื่อนแต่ก็พยายามตั้งสติพูดให้เสียงเป็นปรกติมากที่สุด
“ไอ้ที่ว่าไปถึงไหนหมายความว่าไง”
“ไม่ต้องมาทำเป็นอินโนเซนท์เลยนะ ฉันรู้ว่าแกเข้าใจคำถามฉันทุกคำ”
“ก็... ก็ไม่ได้ไปถึงไหนสักหน่อย ฉันกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
“แกไม่ต้องมาปิดฉันเลย ฉันรู้นะว่าแกไม่ได้คิดกับผู้กองแค่เพื่อนน่ะ”
“นี่! ถึงฉันจะคิดเกินเพื่อน แต่ทางนู้นเขาไม่ได้คิดแบบเดียวกับฉันเสียหน่อย”
“แน่ใจ”
รจนาถามเสียงสูงฟังอย่างไรก็ไม่น่าไว้ใจสักนิด ดลินาที่ยืนเท้าเอวอยู่หลังเคาท์เตอร์เริ่มจะไม่แน่ใจเหมือนกันว่าฝ่ายชายเขาคิดอะไรอยู่ เพราะพักหลังๆ มานี้เขามักจะมาที่ร้านเป็นประจำและทุกครั้งที่เขามาปฏิกิริยาที่เขามีต่อเธอก็เริ่มเปลี่ยนไป จากคำพูดและทางทางที่สุภาพห่างเหิน ชายหนุ่มก็เริ่มทำตัวเป็นกันเองและสนิทสนมมากขึ้นจนหญิงสาวเริ่มที่จะจิตนาการฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานาว่าเขามองเธอต่างไปจากเดิม
“เห็นไหมล่ะ ขนาดแกเองยังคิดเลยว่าผู้กองน่ะเขาชอบแก”
“แต่เพิ่งรู้จักกันไม่นานเขาคงไม่ไวไฟขนาดนั้นหรอก”
“เฮอะ! แกจำไม่ได้หรือฉันเคยบอกว่าไง อะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกของความรัก”
เมื่อเจอประโยคนี้เข้าไปถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง เสียงกระดิ่งดังขึ้นจากประตูหน้าร้านเรียกความสนใจจากทั้งสองสาว ซึ่งทั้งสองสาวก็มีปฏิกิริยาต่างกันออกไปนางหนึ่งตกใจอ้าปากค้างใจเต้นแรง แต่อีกนางยิ้มกรุ่มกริ่ม
“นั้นไง... อายุยืนจริงเชียว”
“สวัสดีครับ”
ศิวกรเอ่ยทักทายอย่างสุภาพ โดยมีร่างของทนงศักดิ์เดินตามมาติดๆ ศิวกรเองก็แปลกใจที่เห็นสองสาวที่นั่งตรงเคาท์เตอร์มีท่าทางที่ต่างกันสุดขั้วมองมาที่เขา คนอมยิ้ม คนหนึ่งเขินอาย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไร ส่วนทนงศักดิ์กลับจ้องไปที่สองสาวก็จะวิเคราะห์ว่าใครคือน้องนางหน้าแชล่มที่ศิวกรถึงกับถ่อสังขารเดินมากินกาแฟไกลเกือบหนึ่งกิโลเมตร
“สวัสดีค่ะ สบายดีหรือเปล่าคะผู้กอง”
คุณหมอคนสวยเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง
“สบายดีครับ คุณหมอเองก็ดูจะสบายดีเหมือนกัน นี้ทนงศักดิ์เพื่อนผมครับ”
“หวัดดีคับ”
ทนงศักดิ์ก้มศีรษะลงเป็นการทักทาย ดลินาทักทายเสียงเบาแต่คุณหมอสาวนั่งเงียบไม่พูดอะไร
“จะรับอะไรดีคะ”
“ผมขอเหมือนเดิม”
“ส่วนผมของนมเย็นครับผม”
ทนงศักดิ์กล่าวอย่างทะเล้นเพราะตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าน้องนางหน้าแชล่มคนนั้นคือคนไหน เขาตามศิวกรที่เดินไปนั่งยังที่ประจำก็จะเป็นคนเปิดการสนทนาขึ้นมาก่อน
“น่ารักนี่หว่า ไปรู้จักกันได้ไงเล่ามาซะดีๆ”
“ที่ว่าน่ารักน่ะคนไหน”
“แน่นอนต้องเป็นคุณคนที่อยู่หลังเคาท์เตอร์นั้นแน่นอน”
“อะไรทำให้แกมั่นใจขนาดนั้น”
“เพราะดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ เวลาแกมองเธอคนนั้นตาแกน่ะฉ่ำเชียว แหม่จะว่าไม่นึกเลยว่าแกอุตส่าห์พามารู้จัก”
ทนงศักดิ์หลิ่วตาให้เพื่ออย่างมีเลศนัย จังหวะถูกขัดลงเมื่อเจ้าของร้านคนสวยนำกาแฟและนมเย็นที่ทั้งคู่สั่งมาเสริฟ
“แหม่หน้าตาน่าทานจังเลยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
“เห็นเค้กที่ตู้น่าตาน่าเอ็นดู... เอ้ย! น่าทาน แนะนำให้ผมหน่อยสิครับว่าอะไรอร่ยสุด”
ทนงศักดิ์เริ่มปฏิบัติการกวนประสาทศิวกรทันที ศิวกรรู้ดีแต่ก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ เพราะทนงศักดิ์แย่งบทพูดกับหญิงสาวไปหมดเลย
“วันนี้มีเค้กส้ม บูลเบอรี่พาย แล้วก็ชีสเค้กค่ะ ไม่ทราบคุณทนงศักดิ์จะรับอะไรดีคะ”
“ไม่ต้องเรียกผมเต็มยศขนาดนั้นก็ได้ครับ เรียกผมว่าศักดิ์เฉยๆ ก็ได้ครับ”
“อ๋อค่ะ... คุณศักดิ์ตงลงรับอะไรดีคะ”
“ผมขออย่างละชิ้นเลยครับ คุณ...”
“ข้าวค่ะ”
“แหม่... ชื่อน่ารักจังเลยนะครับ สมตัวจริงๆ”
“โอ๊ย! ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”
หญิงสาวยิ้มหวานอย่างเป็นกันเองเธอรู้ว่าเขาล้อเล่น ศิวกรเมื่อเห็นเธอยิ้มให้เพื่อนร่วมรุ่นของเขาตอนนี้เขารู้สึกว่าหางคิ้วเริ่มกระตุกแปลกๆ แน่นอนว่าไม่รอดพ้นตาเหยี่วอย่างทนงศักดิ์ไปได้ ซึ่งรจนาที่นั่งดูอยู่ห่างๆ ก็เริ่มจะไม่ไว้ใจพ่อตำรวจหนุ่มคนนี้เอาเสียเลย
“รับอย่างล่ะชิ้นนะคะ แล้วผู้กองจะรับอะไรเพิ่มหรือเปล่าคะ”
หันไปถามศิวกรเสียงหวาน ศิวกรเตรียมอ้าปากที่จะตอบแต่ยังไม่พูดสักคำก็มีคนรับหน้าที่ตอบแทนแล้ว
“คุณข้าวครับ ผู้กองคนไหนระบุชื่อด้วยครับเพราะผมก็ร้อยตำรวจเอกเหมือนกันเดี๋ยวเข้าใจผิด นึกว่าถามผมอยู่คนเดียว”
พูดพลางขยิบตาอย่างทะเล้นซึ่งนั้นทำให้ดลินาหัวเราะคิกออกมา แต่คนตรงข้ามเขาไม่ตลกไปด้วยหน้าเริ่มบูดบึ้งเข้าไปทุกที
“ค่าทราบแล้วค่ะ คุณศิลารับอะไรเพิ่มหรือเปล่าคะ เดี๋ยวฉันจะได้เตรียมให้”
“มะ...”
“ไม่หรอกครับ เพื่อนผมมันไม่ชอบของหวาน ชีวิตมันจืดชืด”
ดลินาพยักหน้ารับก่อนจะเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์เตรียมขนมตามที่ทนงศักดิ์สั่ง รับหลังร้างบางไปแล้วศิวกรจึงพูดเสียงรอดไรฟัน
“ไอ้ศักดิ์ถ้าฉันรู้ว่าแกจะมากวนประสาทฉันแบบนี้แล้วล่ะก็ ฉันไม่พาแกมารู้จักหรอก”
“อ้าวก็ฉันเห็นแกนั่งนิ่งนึกว่ามองเขาตาเหยิ้มไม่กล้าพูดฉันก็เลยพูดแทนทั้งหมดไง”
“ไอ้บ้า”
ด่าเพื่อนเสียงเบาสายตาแทบจะแผดเผาให้ไหม้เกรียมแต่มีหรือว่าคนอย่างเขาจะกลัว โอกาสกลั่นแกล้งแบบนี้น้อยแสนน้อยที่จะได้โอกาสจากศิวกร
“นี้ค่ะเค้กที่คุณสั่ง”
ไม่ใช่เสียงหวานที่ได้ยินในตอนแรก แต่เป็นเสียงแข็งจากคุณหมอสาวคนสวยแทน พร้อมกับกระแทกจานเค้กเสียงดังลงตรงหน้าของทนงศักดิ์
“นี้คุณเบาๆ ก็ได้ไม่ต้องรุนแรงนักเดี๋ยวของเขาพัง”
“ฉันมีปัญญาจ่าย”
พูดอย่างถือดีก่อนจะเดินไปหาดลินาที่หลังเคาท์เตอร์พร้อมกับเสียงบ่นพำพัมอย่างกับผึ้งแตกรัง
“บ๊ะ! หน้าใหญ่เสียด้วย สวยก็สวยอยู่หรอก ไม่น่าปากจัดเลยแหะ”
ทนงศักดิ์เอ่ยอย่างเสียดาย ก่อนจะลงมือทานเค้กที่ตนเองสั่งอย่างเพลิดเพลิน โดยที่ไม่รู้เลยว่าเพื่อนของตนและคุณหมอสาวต่างก็ด่าเขาอยู่ในใจแบบไม่รักษาน้ำใจเลยทีเดียว
*******************************************
“วันอาทิตย์แท้ๆ แต่คนน้อยจริงๆ เลย”
ดลินาบ่นพึมพำอยู่คนเดียวที่หลังเคาท์เตอร์อย่างเบื่อหน่าย เธอนั่งเอามือเท้าคางรอให้มีลูกค้าเข้าร้านมาตั้งแต่เช้าแล้ว จนตอนนี้ใกล้จะบ่าย 2 ก็ยังไม่มีลูกค้าเข้าร้านเลยสักคน ดลินาลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปรอบๆ ร้านเพื่อเป็นการยืดเส้นยืดสาย แล้วเสียงกระดิ่งที่หน้าร้านก็ดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยร่างระหงในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าคอระบายและกางเกงขายาวสีขาวดูทะมัดทะแมงเดินเข้ามาอย่างกับพายุ
“แก ฉันจะไม่ยอมเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดยังไง ฉันก็ไม่ยอม”
รจนาพูดขึ้นอย่างดุเดือด แล้วเดินไปรอบๆร้านเหมือนหนูติดจั่น ดลินามองเพื่อนคนนี้อย่างแปลกใจ ปรกติรจนาจะไม่พูดอะไรขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอย่างนั้น
“ใจเย็นๆ สิหมอแยม แกเป็นอะไรไป ไม่ยอมอะไร”
ดลินายืนเท้าแขนกับเก้าอี้ตัวที่เธอยืนอยู่ใกล้ๆ แล้วก็ถามคนที่เดินวนไปวนมาอย่างสงสัย
“ฉันจะไม่ยอมให้คุณนายนรีจับฉันคลุมถุงชนเด็ดขาด”
“คุณนายนรี? เฮ้ย!!! คลุมถุงชน คุณแม่เนี่ยนะจะจับแกคลุมถุงชน”
ดลินาตะโกนร้องอย่างไม่เชื่อหูคำบอกเล่าของเพื่อนสาว
“ก็ใช่น่ะสิ คุณนายนรี คุณป้าของแก แม่ของฉันจะจับฉันไปคลุมถุงชนกับลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้ ข้าว... แกช่วยฉันคิดหน่อยสิ ฉันจะทำอย่างไรดี”
รจนาพูดอย่างหมดหนทางก่อนจะยอมนั่งลงในที่สุด
“แกพูดกับคุณแม่แล้วหรือยัง”
“พูดจนปากเปียกปากแฉะ ท่านก็ไม่ฟังฉันสักคำ จะจับแต่งงานอย่างเดียว”
“เขาคนนั้นเป็นใคร”
“ฉัน รู้แต่ว่าเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของอดีตนายตำรวจใหญ่ท่านหนึ่ง ตอนนี้เป็น สส. ไปแล้ว และก็นะภรรยาของนายตำรวจคนนั้นเผอิญเป็นเพื่อนสมัยเรียนกับแม่ฉัน แล้วก็ไปจับพัดจับพลูกันอย่างไรก็ไม่รู้ จะยกฉันให้ไปเป็นสะใภ้บ้านนั้นเฉยเลย”
รจนาพูดอย่างเหนื่อยใจ
“ขนาดนั้นเลยหรือแก”
“ก็ใช่น่ะสิ แกยายข้าว ฉันยังไม่อยากแต่งงานนะ เจ้าบ่าวนิสัยใจคอเป็นอย่างไรฉันก็ไม่รู้ ถ้าเกิดเป็นคนสาดิดซ์ โรคจิต พิกลพิการขึ้นมาฉันจะทำยังไง ได้ข่าวมาว่าเพล์บอยสุดๆ”
รจนาพูดน้ำเสียงหมดหวัง น้ำตาเริ่มคลอเบ้าอย่างเห็นได้ชัด รจนาเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้อย่างหมดอาลัยตายอยาก
“ใจเย็นๆก่อนนะหมอแยม ไว้ฉันจะช่วยพูดอีกแรง แต่ว่าแกอยากได้อะไรเย็นๆมาดื่มก่อนไหม”
ดลินาถามอย่างเป็นห่วง เพราะว่าเธอรู้นิสัยของเพื่อนคนนี้ดี ถ้าไม่มีเรื่องกลุ้มใจอย่างแสนสาหัส หมอแยมก็จะไม่มีทางมาระบายให้เธอฟังอย่างนี้เด็ดขาด รจนาได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะหลับตาลงอย่าเหนื่อยใจ ดลินาเดินไปที่หลังร้านเพื่อนจัดการทำน้ำกระเจี๊ยบเย็นชื้นใจให้กับหมอแยม เพื่อว่าจะได้รู้สึกเย็นๆลงมาบ้าง ดลินาต้มน้ำกระเจี๊ยบไปด้วยหัวสมองก็คิดเรื่องของเพื่อนรักอย่างเคร่งเครียด
...จะทำอย่างไรดีนะ ลองคุณนายนรีได้ตัดสินใจอะไรลงไปแล้วยากที่จะเปลี่ยนใจ สงสารหมอแยมก็สงสาร แต่ว่าคู่ต่อสู้ก็แข็งแกร่งยากที่จะเอาชนะ กรรมของแกแล้วหมอแยมเอ้ย... ดลินาคิดพลางก็ส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง ร่างบางริมน้ำกระเจี๊ยบที่อุ่นลงแล้วลงในแก้วทรงสูงที่เตรียมน้ำแข็งไว้เรียบร้อย ก่อนจะยกไปเสริฟให้หมอแยมที่นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่เก้าอี้
“เป็นไงแก วิญญาณออกจากร่างเลยหรอ”
ดลินาวางแก้วน้ำกระเจี๊ยบลง ก่อนจะแตะที่มือรจนาอย่างเบาๆ แววตาเต็มไปด้วยความกังวล
“ยายข้าว ฉันอยากร้องไห้”
รจนาพูดไม่ทันขาดคำ น้ำตาก็ไหลพรากลงมาอย่างกับเขื่อนแตก ดลินาเห็นเพื่อนรักร้องไห้อย่างนั้นก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบเข้าไปปลอบรจนาอย่างรุกรี้รุกรน
“ไม่เอาน่ะแก แกอย่าร้องไห้สิ ทุกอย่างมันต้องมีทางออก”
“กว่าจะมีทางออก ฉันก็คงไปเป็นเมียใครเขาแล้วก็ไม่รู้”
รจานาพูดเสียงสะอื้น ร้องไห้ตัวโยน ดลินาเองก็ไม่รู้จะพูดปลอบเพื่อนอย่างไรดี ได้แต่เงียบไว้ปล่อยให้รจนาได้ร้องไห้ออกมาเผื่อว่ามันจะทำให้เธอสบายใจมากขึ้น นานกว่า 5 นาทีเสียงสะอื้นก็เบาลง รจนาคงจะร้องไห้น้ำตาหมดก๊อกแล้ว ดลินายื่นกระดาษทิชชู ยื่นให้รจนาเช็ดน้ำตา
“โอ้โห!!! หน้าแกอย่างกับตุ๊กตาผีแหนะหมอแยม มาสคราล่าเลอะหมดเลย ตาก็บวมเป็นปลาทองเลย ไปล้างหน้าหน่อยไหมแก เดี๋ยวลูกค้าเข้ามาในร้านเห็นแกแล้วจะตกใจหนีหมด”
ดลินาพูดแซวเพื่อนรัก แต่มันก็สามารถทำให้คนตาบวมหัวเราะคิกออกมาจนได้
“อืม…วันนี้ฉันขอค้างที่นี่นะ”
“ได้อยู่แล้ว อย่างไรที่นี่ก็บ้านแกเหมือนกันนะ แกลืมไปแล้วหรอ”
รจนามองเพื่อนอย่างซาบซึ้งในน้ำใจที่ดลินามีให้เสมอ ดลินาแตกต่างจากเพื่อนทุกคนที่รู้จัก เพราะคนอื่นๆต่างคบหาเธอเพียงเพราะเธอเป็นลูกสาวเจ้าของโรงพยาบาลใหญ่เท่านั้น ทุกคนต่างสวมหน้ากากเข้าหาเธอ ยกเว้นคนที่อยู่ตรงหน้าเธอคนนี้
“ไป...ขึ้นไปข้างบน...แล้วล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เสียก่อน แกคงไม่ได้ร้องไห้จนเบลอแล้วจำไม่ได้ว่าข้าวของของแกอยู่ที่ไหนหรอกนะ”
“รู้แล้ว เดี๋ยวฉันลงมาช่วย”
ว่าแล้วรจนาก็ลุกขึ้นเดินไปหลังร้านเพื่อขึ้นบันไดเดินไปยังห้องข้างบน ปล่อยให้ดลินานั่งอยู่ที่หน้าร้านเพียงลำพังกับน้ำกระเจี๊ยบที่มีหยดน้ำใสๆเกาะอยู่รอบๆแก้ว แต่ปริมาณน้ำไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย
TooMMeng
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ม.ค. 2556, 20:32:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ม.ค. 2556, 20:32:52 น.
จำนวนการเข้าชม : 1300
<< บทที่ 2 (ตามรัก... 3) | บทที่ 3 (หวั่นไหว... 2) >> |