ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ

เขา... นายตำรวจหนุ่ม

เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ

ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น

แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ

แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ

ตอน: บทที่ 3 (หวั่นไหว... 2)

บทที่ 3
(หวั่นไหว 2)

สายลมพัดมาเอื่อยๆ ใบไม้ไหวตามแรงลม ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาแก่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ส่งให้บรรยากาศดูร่มรื่นและอบอุ่นมากยิ่งขึ้น ดลินาเดินเข้าไปยังในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอย่างเบิกบาน เสียงโหวกเหวกของเหล่าเด็กๆ และเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังระงมไปทั่วบริเวณ มันเป็นเสียงที่แสนจะบริสุทธิ์และใสสะอาด

บ้านแม่อารี เป็นสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าหญิง สถานเลี้ยงเด็กแห่งนี้อยู่ได้เพราะเงินบริจาคของเหล่าผู้ใจบุญ เธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ทุกเดือนจะนำเงินบางส่วนมาบริจาคให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่ผู้บริจาครายใหญ่ก็คงไม่พ้นรจนาเพราะรายนี้เขากระเป๋าหนัก

“พี่ข้าวมา!! ทุกคนพี่ข้าวมา”

เสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังอย่างเจือแจ้ว ทำให้ทุกคนต่างหยุดการกระทำลง และเบนสายตาหันไปหาดลินาที่เดินยิ้มละไมมาอย่างช้าๆ เด็กๆต่างวิ่งกรูกันเข้าไปหาดลินาอย่างไม่เหนี่ยมอาย ทุกคนมีสีหน้าดูมีความสุข เพราะรู้ว่าทุกครั้งที่หญิงสาวมา และมีของถือติดไม้ติดมือมาด้วยแล้วพวกเขาก็จะได้ทานขนมแสนอร่อยเป็นแน่

“พี่ข้าวสวัสดีค่ะ”

เสียงทักทายดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงอย่างไม่ต้องให้มีใครเตือน สามารถเรียกรอยยิ้มจาผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี

“สวัสดีค่ะ เด็กๆ สบายดีกันหรือเปล่าคะ”

“สบายดีคะ”

เสียงที่ไม่มีพิษมีภัยเหล่านั้นตอบออกมาอย่างร่าเริง รอยยิ้มที่ปราศจากเล่ห์เหลี่ยมเหล่านั้น มันทำให้ดลินารู้สึกว่าโลกนี้ดูสดใสขึ้นเยอะ

“ใครจะช่วยพี่ถือของได้บ้างเอ่ย”

“หนูค่ะ หนู”

เสียงเด็กๆ ต่างแย่งกันพูด ยกไม้ยกมือเสนอตัวกันใหญ่ จนเอะอะกันไปหมด ดลินาหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี

“พอแล้ว พอแล้วค่ะ เดี๋ยวพี่ถือไปเองดีกว่า เด็กๆ เล่นกันไปก่อนนะคะ ขอพี่ไปหาคุณแม่อารีก่อน”

“ได้ค่ะ”

แล้วเหล่าตัวเล็กตัวน้อยก็วิ่งกรูกันกลับไปยังสนามหญ้า แล้วก็เล่นกันตามภาษาเด็กอย่างสนุกสนาน ดลินามองเด็กๆ เหล่านั้นอย่างเอ็นดู แต่ในใจลึกก็อดที่จะสงสารพวกเขาไม่ได้ เธอเองก็เป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่งเหมือนกัน เธอเข้าใจดีว่าภายใต้รอยยิ้มที่สดใสนั้น แต่ในใจลึกๆของพวกเขาเฝ้าแต่เรียกหาผู้ให้กำเนิดอย่างคิดถึง

ร่างบางเดินตรงไปยังอาคารที่ดูจะเป็นสำนักงานเล็กๆอย่างคุ้นเคยเพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอมายังสถานที่แห่งนี้ เธอเดินเข้าไปยังห้องของผู้ดูแลสถานเลี้ยงเด็กกรำพร้าแห่งนี้ แล้วก็เห็นสตรีรูปร่างท้วมตามวัยผู้หนึ่งยืนหันหลังให้เธอมองผ่านหน้าต่างดูเด็กๆ เล่นกันอยู่ที่สนามอย่างมีความสุข หญิงสาวเดินเข้าไปในห้อง ก่อนจะวางถุงขนมเค้กที่ตนเองเดินถือมาลงบนโต๊ะใกล้ๆ ก่อนจะกล่าวทักทายผู้สูงวัยกว่าอย่างนอบน้อม

“คุณแม่สวัสดีค่ะ”

เสียงใสๆ ที่ดังขึ้นทำให้ คนที่ถูกเรียกต้องหันกลับมามอง ก่อนจะยิ้มอย่างเอ็นดูมาให้กับเธอ ดลินารู้สึกได้ถึงความใจดี ความอบอุ่น และความรักที่สตรีผู้นี้มีอยู่ในตัวอย่างเต็มเปี่ยม ทุกครั้งที่เธออยู่ใกล้ๆ กับสตีผู้นี้เธอมักจะรู้สึกเหมือนอยู่กับมารดาแท้ๆ ก็ไม่ปาน

“สวัสดีจ้ะ หนูยอดข้าว เอาขนมมาให้เด็กๆ อีกแล้วหรือ”

เสียงแหบๆตามวัยถามอย่างอ่อนโยน ดลินาก็ยิ้มหวานส่งไปให้กับท่าน

“ค่ะคุณแม่ ข้าวเอาขนมมาให้น้องๆค่ะ”

นางอารีหรือคุณแม่อารีที่ดลินา และเด็กๆที่นี้มักจะเรียกกัน ถึงแม้ว่าอายุจะ 60 กว่าแล้ว แต่ท่านยังคงแข็งแรงทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ คุณแม่อารีดูแลสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านี้มากว่า 30 ปีแล้ว โดยท่านจะมีผู้ช่วย 15 คนที่ประจำอยู่ที่นี้โดยจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียงกันมาดูแลเหล่าเด็กๆ

“แม่ขอบใจหนูยอดข้าวมากเลยนะจ๊ะที่เอาขนมอร่อยๆ มาให้เด็กๆ เขาทานกัน”

“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ข้าวดีใจที่ได้เห็นน้องๆ เขาได้ทานของอร่อยๆ กันค่ะ”

“หนูข้าวเป็นคนดีจริงๆเลยนะ เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะสบายดีหรือเปล่ากิจการที่ร้านเป็นอย่างไรบ้าง”

นางอารีถามสารทุกสุขดิบอย่าเป็นกันเอง

“ช่วงนี้ก็ขายได้เรื่อยๆค่ะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กำไรอะไรมากมายแต่ข้าวก็มีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก”

นางอารียิ้มให้กับคำพูดของดลินาอย่างเอ็นดู

“แม่ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นจ้ะ ความสุขที่ได้จากการทำในสิ่งที่ตัวเองรักตัวเองชอบ มันดีกว่าความสุขที่ได้มาจากความเดือดร้อนของคนอื่นมาก ขอเพียงสิ่งที่เราทำนั้นไม่ขัดต่อความคิดของตัวเอง และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน มันย่อมเป็นความสุขที่แสนน่าภาคภูมิใจ”

หญิงสูงวัยพูดอย่างให้แง่คิดกับดลินา ดลินาเองก็น้อบรับคำสอนนั้นมาจำใส่ใจไว้ นางอารียิ้มให้กับหญิงสาวที่ตัวเองเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนลูกหลานแท้ๆของตน

“ใครได้หนูยอดข้าวไปเป็นลูกสะใภ้นะ คงจะโชคดีมากๆเลย”

“โชคดีอะไรกันคะคุณแม่ ข้าวน่ะกระโดกกระเดกจะตายไป เอาแต่ใจก็เท่านั้น แถมยังดื้อสุดๆอีก ไม่มีใครเขาอยากเอาข้าวไปเป็นลูกสะใภ้หรอกค่ะ หรือคุณแม่จะรับ”

หญิงสาวถามผู้สูงวัยกว่าอย่างหยอกล้อ

“ได้ก็ดีสิ เจ้าลูกชายตัวดีของแม่นะ วันๆทำแต่งาน งาน งาน ไม่รู้ว่าจะแต่งกับงานหรือเปล่า อายุก็จะ 30 อยู่แล้วยังไม่มีแฟนกับเขาเสียที แม่ล่ะกลุ้มใจนัก กลัวเป็นเกย์”

นางอารีบ่นงุบงิบเรื่องกลัวลูกชายจะเป็นชายไม่ถึงร้อย ส่วนคนฟังน่ะหัวเราะก๊ากอย่างไม่เก็บอาการ

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะคุณแม่... ไม่แน่นะคะอยากจะซุ้มเงียบแอบมีแฟนแล้วไม่ยอมบอกก็ได้ ดีไม่ดีวันนี้อาจจะมาพร้อมกับว่าที่ลูกสะใภ้เลยนะ”

“สมพรปากเราเถอะจ้ะ พามาให้ดูตัวก็ดี แม่กลัวว่าพ่อตัวดีเขาจะไม่ยอมแต่งงาน แม่ล่ะอยากจะอุ้มหลานแท้ๆ ของตัวเองสักครั้ง ก่อนตาย”

“คุณแม่อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ ตายเตยอะไรกัน คุณแม่ยังแข็งแรงอยู่เลยได้อยู่อุ้มหลานอีกนาน”

ดลินาพูดปรามนางอารีอย่างงอนๆ สามารถเรียกคะแนนความเอ็นดูจากนางอารีได้เป็นอย่างมาก

“มาแล้วครับ เอาของที่สั่งมาส่งแล้วครับ”

เสียงทุ้มนุ่มของชายคนหนึ่งที่สองมือถือของพะรุงพะรังดังขึ้นมาจากประตูห้องทำงานของนางอารี ทำให้ทั้งสาวเล็กและสาวใหญ่ต่างหันไปมองยังผู้มาเยือน นางอารีมองดูลูกชายตัวดีของนางอย่างเอ็นดู แต่ดลินากลับมองชายหนุ่มคนนั้นอย่างตกใจ เหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ ก็ไม่ปาน ก่อนจะพลั้งปากเรียกเขาออกไปอย่างลืมตัว
“ผู้กอง!!!”

“อ้าว! คุณข้าว มาทำอะไรที่นี้ครับ”

น้ำเสียงของเขาก็ดูจะแปลกใจไม่แพ้กับเธอเลย เขาเดินไปวางของลงบนโต๊ะตัวใหญ่ที่ตั้งใกล้หน้าต่างโดยมีสายตาของนางอารีมองอาการของทั้งสองอย่างสนใจ

“หนูยอดข้าวรู้จักกับลูกชายแม่ด้วยหรือจ๊ะ”

“ไม่รู้ว่าจะเรียกว่ารู้จักได้หรือเปล่า”

ดลินาพูดยิ้มฝืดๆ แถมยังทำตัวไม่ถูกเสียอีกขึ้นมาเฉยๆ ...จากรายงานของนักสืบที่คุณหมอแยมคนเก่งจ้างมาให้หาข้อมูลเกี่ยวกับชายหนุ่ม ดลินาก็พอจะคาดเดาได้เลยว่าใครเป็นมารดาของศิวกร... แน่นอนคุณแม่อารีผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่หญิงสาวชอบเอาขนมมาให้อยู่เป็นประจำ

แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าอยู่ดีๆ จะมาเจอชายหนุ่มเข้า ก่อนหน้านั้นตั้งหลายปีไม่เห็นมีโอกาสจะได้เจอเลยสักนิด พอได้เจอกันพักหลังๆ จำนวนความถี่ที่ได้เห็นหน้ากันก็มากขึ้น... ไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะอยู่ในโลกของความรักที่คุณหมอสาวชอบพูดถึงหรือเปล่า

“จริงสิข้าว นั่งคุยกับแม่สักนิดได้มั๊ยจ๊ะ... ไม่ได้เจอกันเสียนาน”

ว่าแล้วนางอารีก็จูงมือหญิงสาวไปนั่งคุยกันตรงที่ลูกชายของนางนั่งอ่านนิตยาสารอยู่ ดลินารู้สึกว่าตัวเองหดเหลือตัวนิดเดียว ถึงแม้จะได้รู้จักเขามากขึ้นเธอก็ยังอดตื่นเต้น และหวั่นไหวทุกครั้งที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ นางอารีชวนดลินาพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ โดยมีชายหนุ่มที่ทำท่าเหมือนว่านั่งอ่านนิตยาสารอยู่แต่ตั้งใจฟังเรื่องที่ทั้งสองคนคุยกัน เมื่อเวลาผ่านไปพอสมควร ดลินาจึงขอตัวกลับ

“เอ่อ!!! คุณแม่คะ ข้าวขอตัวกลับก่อนนะคะ เย็นมากแล้ว”

“จ้ะ... ไว้มาหาแม่ใหม่อีกนะ”

“ได้ค่ะ”

ดลินาปรายตาไปมองคนที่นั่งอยู่ที่โซฟารับแขก แล้วก็หันมาสบตากับนางอารี ทำให้เห็นสายตาที่เหมือนจะรู้ทันว่าดลินาคิดอะไรอยู่ ทำให้ดลินาหน้าแดงขึ้นทันที มีหรือที่คนที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อนอย่างนางอารีจะดูไม่ออกเลยว่า ดลินาคิดยังไงกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตน รอยยิ้มสมใจปรากฏบนใบหน้า

เมื่อสักครู่ที่พยายามรั้งตัวหญิงสาวไว้ไม่ให้รีบกลับ เพื่อต้องการทดสอบอะไรบ้างอย่างเพื่อให้แน่ใจมากขึ้น ตลอดเวลาที่ชวนคุยดลินามีอาการประหม่า เกร็งเล็กน้อย ส่วนคนที่อยู่ตรงข้ามถึงจะทำเป็นอ่านหนังสือแต่ก็แอบฟังพวกเธอคุยกัน... แม่มีหรือจะไม่รู้ใจลูกชาย

“ไว้แล้วข้าวจะมาใหม่นะคะคุณแม่”

“จ้ากลับดีๆ นะลูก”

ยังไม่ทันที่นางอารีจะพูดให้ศิวกรเป็นส่งดลินาที่ประตู ผู้เป็นลูกชายก็ยืนเต็มความสูงหมายจะเดินไปรอหญิงสาวที่หน้าประตูห้อง พยายามทำใบหน้าให้เรียบสนิทไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา นางอารีมองดูการกระทำของลูกชายที่นานๆ ที จะแสดงอาการว่าสนใจผู้หญิงสักคนขนาดนี้ด้วยความแปลกใจระคนดีใจ

...ต่อหน้าแม่ทำเป็นท่ามาก หน้าตายก็จริงแต่สายตาที่มองหนูยอดข้าวนี่สิที่ปิดไม่มิดเอาเสียเลย จะจีบสาวทั้งที ไม่ไหวเลยลูกชายฉัน…

นางนารีได้แต่มองดูคู่หนุ่มสาวอย่างเอ็นดู และก็เห็นสีหน้ากระอักกระอวนใจของหญิงสาวที่เอ็ดดูเหมือนลูกแท้ๆ แต่ดูเหมือนว่าอีกหน่อยคงจะกลายมาเป็นลูกสะใภ้เป็นแน่ นางมั่นใจอย่างนั้น ดลินาเองก็รู้ว่าเขาอยากจะเดินไปส่งเธอ แต่เมื่อเธอเห็นหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ของเขาอย่างนั้นแล้ว มันรู้สึกเหมือนว่ามีตอไม้มาเดินอยู่ใกล้ๆ แต่ดูเหมือนว่าความตั้งใจของชายหนุ่มนั้นช่างแรงกล้ายิ่งนัก หญิงสาวต้องจำใจเดินออกไปจากห้อง โดยที่ไม่ลืมจะยกมือไหว้ลาผู้อาวุโสกว่าตน

ความสัมพันธ์ของคู่หนุ่มสาวไม่สามารถรอดพ้นไปจากสายตาของนางได้ เพราะนางอารียืนดูทั้งสองอย่างไม่คลาดสายตาตรงหน้าต่างห้องทำงาน เก็บและจดจำทุกรายละเอียด รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเมื่อเห็นลูกชายชวนหญิงสาวคุยกะหนุงกะหนิงไม่ได้ทำท่ามากเหมือนตอนที่มีตนอยู่ด้วย ทั้งสองดูสนิทสนมกันดี

ตั้งแต่ศิวกรสูญเสียบิดาไปเมื่อหลายปีก่อนเพราะถูกเพื่อนตำรวจด้วยกันหักหลัง ชายหนุ่มก็เงียบขรึม พูดจาและแสดงอารมณ์น้อยลง จนเหมือนจะเป็นคนไร้หัวใจก็ไม่ปาน จนเมื่อเร็วๆ นี้นางอารีเริ่มเห็นลูกชายของตนมีการเปลี่ยนแปลง จากชอบสงวนคำพูดกลับมาเป็นคนช่างพูดช่างเจรจาเหมือนครั้งยังเป็นเด็ก เริ่มเปิดใจแสดงอารมณ์มากขึ้น แน่นอนว่าคนเป็นแม่ดีใจจนกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่

และวันนี้นางอารีก็ได้รู้แล้วว่าใครเป็นคนเปลี่ยนเจ้าลูกชายตอไม้ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อศิวกรเดินกลับเข้ามาที่ห้องทำงานของผู้เป็นแม่อีกครั้ง ก็โดนยิงคำถามใส่แบบไม่ทันให้ตั้งตัว คราวนี้ลูกชายผู้ที่มีความมั่นใจในตัวเอง และเด็ดเดี่ยวเป็นต้องมาตกม้าตายก็เพราะสาวเจ้าเป็นครั้งแรก ศิวกรมีสีหน้าที่อ้ำอึ้งลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด

“ว่ายังไงเรา อะไรเข้าสิงถึงได้เดินไปส่งสาวเจ้าถึงประตูหน้านู้นล่ะ”

“แม่ครับ....จะกลับบ้านยังครับ ผมหิวข้าวแล้ว”

นางอารีมองลูกชายที่พูดเปลี่ยนเรื่องอย่างมั่นไส้

“อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่อง ตอบมาก่อนไปรู้จักกันได้อย่างไร”

“ก็... ก็เรื่องบังเอิญน่ะครับ”

“หรอ...”

นางอารีหรี่ตาลงมองหน้าลูกชายอย่างจับผิด ศิวกรก็เริ่มหนาวๆ ร้อนๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะทุกครั้งที่เขาพยายามโกหก มักจะถูกนางอารีจับได้ทุกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ก็คงไม่แคล้ว... แต่เขาไม่ได้โกหกนะเจอกันเพราะเรื่องบังเอิญจริงๆ เมื่อพิจารณาลูกชายจนพอใจแล้วนางอารีจึงเดินออกไปจากห้องทำงานของตน โดยที่ไม่ลืมพูดยุเจ้าลูกชายตัวดีทิ้งท้ายไว้ด้วย ทำเอาศิวกรแทบตกเก้าอี้ ใครเลยจะคิดว่าคุณแม่อารีก็เปรี้ยวเป็นเหมือนกัน

“หนูยอดข้าวคนนี่ ถ้าศิลาเอามาเป็นลูกสะใภ้แม่ไม่ได้ ก็ไม่ใช่ลูกแม่นะจำไว้”

***********************************************

ภัตตาคารโรงแรมหรูระดับห้าดาว บรรยากาศที่แสนจะโรแมนติก เสียงไวโอลินที่บรรเลงอยู่ช่วยส่งให้บรรยากาศโรแมนติกขึ้นไปอีก คู่หนุ่มสาวที่มีฐานะหลายคู่ต่างมาดินเนอร์สุดหรูกันอย่างกลัวว่าเงินในบัญชีของตนจะเหลือเยอะเกินไป แสงไฟสีส้มที่ดูคลาสสิกส่งให้บรรยากาศอ่อนหวานยิ่งนัก และโต๊ะตัวในสุดนั้น ดูเหมือนจะมีความเป็นส่วนตัวมากที่สุด โต๊ะและเก้าอี้ไม้สลักลายคลาสสิกสุดหรู ที่เบาะนั่งบุด้วยผ้ากำมะหยี่อย่างดี บนโต๊ะมีเชิงเทียนสีทองแล้วเทียนสีชมพูหวาน 3 เล่มปักอยู่ที่เชิงเทียน และดอกกุหลาบสีแดงที่ถูกจัดวางไว้อย่างมีศิลป์

ถ้าคู่หนุ่มสาวคู่ไหนเป็นได้มานั่งที่โต๊ะตัวนี้ เป็นต้องหลงเสน่ห์ของกันและกันเป็นแน่ แต่ดูเหมือนว่าทฤษฎีนี้จะใช่ไม่ได้ผลกับคู่หนุ่มสาวที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนี้เอาเสียเลย หญิงสาวหน้าสวยเฉียบ ที่ใบหน้าถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม และเสื้อผ้าอย่างหรูที่เธอสวมใส่อยู่นั้นรวมมูลค่าก็หลายหลัก ดูเธอน่าจะพอใจกับบรรยากาศที่แสนโรแมนติกนี้ กลับนั่งพยามฉีกยิ้มให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด ส่วนชายหนุ่มกลับมีสีหน้ามีความสุข บวกกับสายตาที่โรมเลียหญิงสาว ทำให้เธออยากจะชกหน้าหล่อ(แต่จูบไม่หอม)นั้นเสียที่สุด

...ทำไมฉันต้องมาทนนั่งกับอีตาหื่นจิตคนนี้ด้วยเนี่ย หน้าตาก็ดีแต่เป็นเสือผู้หญิงจนน่ากลัว เอาส้อมจิ้มตาดีไหมเนี่ย จะได้เลิกมองเสียที… รจนาได้แต่นั่งคิด(ด่า)อยู่ในใจ ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามออกไปเพราะกลัวผู้เป็นมารดาจะเสียหน้า เพราะท่านเป็นคนจัดแจงนัดให้เธอกับอีตาหื่นกามคนนี้มาดินเนอร์สุดหรูด้วยตัวของท่านเอง และแน่นอนว่ารจนาแสนจะฝืนใจ

“คุณแยมอิ่มแล้วหรือครับ”

เสียงทุ้มนุ่มถามคนที่นั่งตรงข้ามตนอย่างกระตือรือร้น รจนาต้องปั้นหน้ายิ้มหวานที่สุดแสนจะฝืดใจไปให้เขา

“ยังไม่อิ่มหรอกค่ะ กลัวว่าทานมากไม่ดีเดี๋ยวจะอ้วนเอาน่ะสิคะ”

“ดูเหมือนคุณฝืนใจอย่างไรก็ไม่รู้”

“ใช่ค่ะ...เอ้ย!!! ไม่ใช่”

รจนารีบแก้คำทันที ชายหนุ่มก็ยิ้มรับด้วยรอยยิ้มที่บาดใจ แต่ในใจใครจะไปรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ...ยายข้าว ทำไมไม่โทรมาเสียที โทรมาซะทีสิ...

รจนาได้แต่คิดในใจอย่างร้อนรน แต่ภายนอกต้องเก็บอาการไว้อย่างมิดชิด รจนารอโทรศัพท์จากเพื่อนรักอย่างใจจดใจจ่อ หลังจากที่เตรียมกันไว้อย่างดีว่า 3 ทุ่มครึ่งเมื่อไหร่เสียโทรศัพท์ต้องดังขึ้นทันที

“คุณแยมนี่เก่งนะครับ”

“เก่ง!? หมายความอย่างไรคะ?”

“ก็ที่คุณเป็นหมอน่ะสิครับ ใช่ว่าจะเป็นกันได้ง่ายๆ เสียที่ไหน แล้วยิ่งสวยๆ อย่างนี้ด้วยแล้ว”

…ก็แน่ล่ะฉันน่ะฉลาด และก็ไม่โง่พอที่จะให้คนอย่างนายมาหลอกเจาะไข่แดงหรอก...

“หรอคะ”

และเพื่อความแนบเนียน รจนาพยายามแกล้งโง่ตอบเขาอย่างหน้าชื่นตาบาน แล้วก็ไม่ลืมที่จะทำให้ดูเหมือนว่าดีใจที่เขาชมเธออย่างนั้น

“แล้วคุณก้องภพล่ะคะ ทำงานอะไร”

“ผมหรือครับ? ก็มีธุรกิจส่วนตัวน่ะครับ”

ธุรกิจที่ก้องภพว่านั้นก็หมายถึง “สถานบันเทิง” นั้นเอง แต่เขาก็ไม่ยอมบอกกับหญิงสาวไปตรงๆ แต่มีหรือที่รจนาจะไม่รู้ว่าเขาทำอะไร เพราะเธอน่ะสืบข้อมูลของเขามาหมดแล้ว แต่ก็ยังมีบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขาที่เธอยังไม่รู้อีกมาก โดนเฉพาะด้านมืด อาหารที่ทยอยนำออกมาเสริฟตามคอร์สที่สั่ง จนมาถึงจานหลักที่ทานไปได้ครึ่งหนึ่ง แล้วสวรรค์ก็มาโปรด เสียงโทรศัพท์ที่รอมาเกือบชั่วโมงก็มาดังเอาตอน 3 ทุ่ม ครึ่งพอดิบพอดี รจนารีบกดรับโทรศัพท์แล้วกรอกเสียงที่ดีใจจนออกนอกหน้าทันที ทำให้ก้องภพมองอย่างไม่พอใจ

“สวัสดีค่ะ รจนาค่ะ ว่าไงนะคะ!!! คนไข้ด่วนหรือคะ ได้ค่ะๆ ดิฉันจะรีบไปให้เร็วที่สุดค่ะ”

แล้วเธอก็กดวางสายไปก่อนจะมองไปยังคู่นัดของเธออย่างรู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้งแบบประชดชีวิตเต็มที่

“คุณก้องภพคะ คือแยมมีคนไข้ด่วนเข้ามา แยมต้องขอตัวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”

หญิงสาวพูดโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้ก้องภพได้พูดเลยแม่แต่น้อย ก่อนจะหยิบกะเป๋าถือใบเล็กของตนขึ้นมาถือไว้ก่อนจะเดินจ้ำอ้าวไปไม่หันมามองชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย

“วันนี้เธอรอดตัวไปรจนา ไว้วันหลังเธอไม่รอดมือฉันแน่”

ใบหน้าที่สุขุมนุ่มนวลแปรเปลี่ยนมาเป็นเหี้ยมเกรียม คำพูดที่น่ากลัวนั้นหลุดออกมาจากปากของก้องภพได้อย่างน่าขนลุก

***********************************************

“สวัสดีค่า ร้านยอดข้าวค่ะ”

เสียงใสๆ ของเจ้าของร้านพูดกรอกโทรศัพท์อย่างอ่อนหวาน มือถือปากกาเตรียมจด

“ค่ะได้คะ! มารับตอน 4 โมงนะคะ ได้ค่ะ...ไม่ทราบว่าจะให้เขียนหน้าเค้กว่าอะไรคะ อ๋อได้ค่ะ ค่ะ สวัสดีค่ะ”

“ลาออกมาทำร้านเค้กมั้งดีกว่า ต้อมจะได้รวยๆ กับเขาเสียที”

เสียงหญิงสาวในชุดมหาวิทยาลัยที่หยุดการรัวคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คจากโต๊ะตัวใกล้ๆ ดังขึ้น ทำให้เจ้าของร้านมองอย่างขำๆ

“อะไรยายต้อม บ้านตัวเองน่ะรวยจะตาย แล้วอาคารพาณิชย์หลังนี้ฉันซื้อมาจากธุรกิจบ้านใครยะ”

“โห! เขาถามนิดเดียวพี่ข้าวตอบยาวเป็นวาเลยนะ อุตส่าห์ไปวาดลวดลายอ้อนคุณตาให้ขายในราคาพิเศษแบบสุดๆ ให้เลยนะเนี่ย”

“จ้าแม่น้องสาว จริงสินทีมันเป็นไงบ้าง”

“ตอนนี้ใกล้จะจบโทแล้วค่ะ”

“ต๊ายตายพ่อน้ำแข็งใกล้จะจบโทแล้วหรือเนี่ย ไม่ได้เจอมันตั้งนานไม่รู้ว่าป่านนี้เป็นไงบ้าง”

“ก็คงต้องสบายดีอยู่แล้วค่ะ”

“ไม่ใช่ว่านอนกกแหม่มที่ไหนอยู่นะ”

“ไม่มีทางค่ะ”

เด็กสาวเอ่ยเสียงเข้มขึ้น ทำให้คนฟังรู้ว่าตอนนี้เจ้าตัวหงุดหงิดแค่ไหนที่ได้ยินประโยชน์นี้

“จ้าๆ พี่รู้แล้วว่านทีน่ะไม่นอกลู่นอกทาง เป็นเด็กดี ว่าแต่ทำรายงานถึงไหนแล้วจ๊ะ”

ดลินาเอ่ยถามผกาวดี ดลินารู้จักกับผกาวดีเมื่อ 4 ปีก่อนในวันรับปริญญาของตน ในฐานะที่ผกาวดีเป็นสายรหัสน้องใหม่เฟรชชี่ปี 1 และยิ่งรู้สึกสนิทสนมเข้าไปอีกรู้ว่าเป็นน้องของนทีเพื่อนสมัยเรียนมัธยม ก่อนที่ฝ่ายชายจะบินไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ

“โธ่!!!! พี่ยอดข้าว ต้อมก็กำลังทำอยู่นี่ไง มาช่วยเค้าทำหน่อยสิ น๊า....”

“แล้วรายงานเรื่องอะไร”

“เจรจาการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ พี่ข้าวมีประสบการณ์เรื่องนี้เยอะ มาสอนน้องหน่อย”

“ไม่เอา พี่อยากให้เราลองทำด้วยตัวเองก่อน ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนค่อยมาถาม”

“ตอนนี้ไม่เข้าใจแล้วไง”

“นี้ขนาดไม่เข้าใจนะข้อเดียวเขียนตอบได้ตั้ง 3 หน้า”

“ก็แค่ข้อเดียวเอง... จริงสิพี่ข้าวได้ข่าวมาว่าไปปิ๊งหนุ่มที่ไหนหรอ ใครอ่ะ!”

เมื่อโดนถามเรื่องนี้เข้าสาวเจ้าก็เริ่มออกอาการประมาท …นั้นไงออกอาการให้จับได้อย่างที่พี่แยมบอกไม่มีผิด

“ไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน”

“ต้อมมีสายข่าวก็แล้วกัน เป็นตำรวจใช่หรือเปล่าคะ เห็นว่าหล่อมาก...”

เน้นเสียงหล่อมากยาวอย่างมีความหมาย แล้วก็หัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว

“อย่าไปฟังยายแยมมาก ต้องฟังหูไว้หูรู้หรือเปล่า”

“แต่ว่าเรื่องนี้ต้องฟังให้เต็มทั้งสองหูสิคะถึงจะถูก พี่สาวต้อมคนนี้แสนดีน้องก็ต้องเป็นห่วงเรื่องของคนที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับพี่สาวของต้อมคนนี้หน่อยสิ ตกลงว่าเป็นคนอย่างไรคะ”

“พี่รู้จักเขาไม่นานไม่รู้หรอกว่านิสัยใจคอเขาดีมากแค่ไหน”

“ไม่ใช่มั้ง!? เพราะพี่แยมดูถ้าชอบอกชอบใจน่าดู เห็นชมนู้น ชมนี้ ชมนั้น ชมจนต้อมเชื่อเลยว่านิสัยดีจริงทั้งที่ยังไม่ได้เจอหน้า”

“พี่บอกต้มแล้วอย่าไปเชื่อยายแยมมาก รายนั้นก็ใช่ว่าจะได้เจอบ่อย”

“แต่พี่แยมบอกมันไม่ใช่อย่างนั้นสิคะ พี่แยมเล่าว่ามาที่ร้านทีไรก็เจอผู้กองนั่งดื่มกาแฟอย่างสบายใจในร้านตลอดเลยไม่ใช่หรอคะ”

“อยากจะรู้ไปทำไม”

ผกาวดียิงคำถามเป็นชุด เล่นเอาดลินาไม่รู้จะตอบคำถามไหนก่อนดี แต่ละคำถามเล่นเอาเธอไม่กล้าแก้ตัว เพราะยิ่งแก้ตัวมันก็ยิ่งเข้าตัวไปเต็มๆ

“หรือว่าพี่ข้าวไม่อยากเล่าให้ต้อมรู้จักหรอคะ ทีต้อมน่ะมีเรื่องอะไรก็เล่าให้พี่ข้าวฟังหมด ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม เราอุตส่าห์เชื่อใจ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น”

ดลินาเริ่มไม่สบายใจเมื่อเห็นหญิงสาวเลยทำหน้าเศร้าเหมือนจะร้องไห้ สุดท้ายต้องถอยหายใจอย่างยอมแพ้

“เขาชื่อศิวกร เป็นตำรวจอยู่ สน. ใกล้ๆ นี้แหละ อายุมากกว่าพี่ 4 ปี พี่เจอเขาเพราะเหตุบังเอิญ”

“แล้วไงต่อล่ะ แล้วความก้าวหน้าของความสัมพันธ์ไปถึงขั้นไหนแล้ว”

แหม่... กระตือรือร้น เลยเชียวนะ ดลินาคิดแล้วก็หมั่นไส้ เมื่อสักครู่ยังทำเหมือนน้อยใจ จะร้องไห้อยู่รอมร่อ

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดกับพี่ยังไง”

“ต้องชอบอยู่แล้วสิคะ... ไม่อย่างนั้นจะมาหาพี่ข้าวบ่อยๆ ทำไมกัน เขาไม่ได้แสดงว่าจีบออกมาบ้างหรอคะ”

ดลินาส่ายศีรษะ... เธอเองไม่รู้ใจเขาเลยสักนิดว่าคิดยังไงกับเธอ ถึงแม้เธอจะคิดว่าคำพูดบางคำไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาให้รับรู้ แต่สามารถสัมผัสมันได้ด้วยจิตใจและสิ่งที่เขาทำให้เรา แค่นั้นมันก็น่าจะเพียงพอแล้ว... แต่ตอนนี้เธออยากได้ยินคำบางคำจากปากของเขาเหลือเกิน เพื่อเป็นการยืนยันให้มั่นใจ

“แต่ต้อมเชื่อนะคะว่าเขาจะต้องชอบพี่ข้าวเหมือนกัน พี่สาวต้อมนิสัยดีซะขนาดนี้ น่ารักก็แสนน่ารัก"

“เป็นเขาหรือไงถึงรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่”

“ต้อมไม่รู้หรอกว่าเขารู้สึกอย่างไร แต่ต้องรู้นะว่าพี่ข้าวน่ะ... อดใจไม่ไหวเมื่อได้พบหน้า ที่เธอส่งยิ้มคืนมา ยิ่งหวั่นไหว อดใจไม่ไหวทุกทีที่เจอ เพียงแค่แอบเผลอมองตา จะผิดไหม เก็บเอาไปฝันอยู่ทุกคืน ฉันต้องทำตัวเช่นไร ช่วยบอกได้ไหมเธอ”

ร้องเพลงแซวอีกหนึ่งเพลง คนถูกแซวมองค้อนสาวน้อยก่อนจะเดินกลับไปหลังร้าน ทิ้งให้ผกาวดีหัวเราะร่วนอยู่คนเดียวอย่างถูกใจ



TooMMeng
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ม.ค. 2556, 23:47:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ม.ค. 2556, 23:47:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 1185





<< บทที่ 3 (หวั่นไหว... 1)   บทที่ 4 (เริ่มต้น... 1) >>
Auuuu 7 ม.ค. 2556, 00:00:23 น.
ตื่นเต้นแทนหมอแยม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account