กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 10
10
ผู้ใหญ่บ้านประคองพ่อให้นั่งลงที่เก้าตัวที่ตนเองนั่งลงเมื่อครู่…ชายชราเมื่อนั่งลงแล้วจึงพูดว่า “อยู่ว่างๆ พ่อก็เลยอยากออกมาดูเรื่องที่ลูกทำบ้าง ได้หรือเปล่า?”
“อ๋อ…ได้ครับได้” ผู้ใหญ่บ้านรีบรับคำ
ชายชราหันไปทางเจ้าของสวนส้มถามว่า
“ลื้อว่าลื้อเห็นอาหมวยอีเด็ดส้มจากต้นส้มของลื้อเหรอ?”
เจ้าของสวนส้มอึ้งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพยักหน้า “ใช่…อั๊วเห็น ไม่เพียงแต่อั๊วเท่านั้นที่เห็น ลูกชายอั๊วก็เห็น ไม่เชื่ออาแปะถามอีดูได้” เพราะเจ้าของสวนส้มคิดว่า ถ้ายืนยันสองเสียงจะมีน้ำหนักกว่า
“จริงหรือ?” เหล่าแปะหันไปถามลูกชายเจ้าของสวนส้ม
“จริงครับ” ลูกชายเจ้าของสวนส้มรับรองแข็งขัน
เหล่าแปะจึงหันมาถามอาลั้ง “อาหมวย…ลื้อตอบเหล่าแปะตามจึงนะ”
“ค่ะ” อาลั้งรับคำ
“ลื้อเด็ดส้มจากต้นหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะ” อาลั้งส่ายหน้า
“แล้วส้มอยู่ในมือลื้อได้ยังไง?” เหล่าแปะซักต่อ
“หนูเก็บจากพื้นค่ะ” อาลั้งตอบ
“อีโกหก” เจ้าของสวนส้มเอ่ยแทรกขึ้นทันควัน
( คำว่า “อี” ในภาษาแต้จิ๋ว หมายถึงเขาหรือหล่อน )
“โกหกหรือเปล่า…อั๊วมีวิธีพิสูจน์” เหล่าแปะเอ่ยเนิบๆ
“พิสูจน์ยังไงหรือครับพ่อ?” ผู้ใหญ่บ้านถาม
“ลื้อดมมืออาหมวยดู ว่ามีกลิ่นส้มสดหรือเปล่า?”
ผู้ใหญ่บ้านทำตามคำของบิดา เอามืออาลั้งมาดมดู แล้วตอบว่า “ไม่มีกลิ่นส้มสดครับ”
“ก็หมายความว่า อาหมวยไม่ได้เด็ดส้มจากต้น แต่เก็บส้มที่หล่นแล้วบนพื้น” เหล่าแปะสรุป “เรื่องนี้คนปลูกส้มน่าจะรู้ดี ถ้าเด็ดส้มจากต้นจะต้องมีกลิ่นส้มติดมือ ใช่หรือเปล่า?”
เจ้าของสวนส้มอึ้งไปนิดหนึ่ง สีหน้าบูดบึ้ง ในขณะที่ป้าสี่มีสายตาฉายแววยิ้มเยาะ ที่อีกฝ่ายถูกรุกไล่ด้วยคำพูดของชายชรา
ลูกชายเจ้าของสวนส้มจึงยืนขึ้นพูดว่า “ถึงอาหมวยไม่ได้เด็ดส้มจากต้น แต่ก็รุกล้ำเข้าไปเก็บส้มในสวน ก็ถือว่าเป็นการขโมยเหมือนกัน”
คราวนี้คนที่อึ้งก็คือเหล่าแปะและป้าสี่!
เหล่าแปะจึงถามอาลั้งว่า “อาหมวย พี่สาวคนที่เรียกให้ลื้อเก็บส้มบอกหรือเปล่าว่าชื่ออะไร? อยู่ที่ไหน?”
“เปล่าค่ะ” อาลั้งส่ายหน้า
“เมื่อเป็นอย่างนี้…อาหมวยก็แก้ตัวไม่ได้เรื่องขโมย แต่เป็นการขโมยโดยไม่ได้ตั้งใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จะต้องถูกปรับ” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ย “แต่อาหมวยยังเป็นเด็ก และเป็นเด็กในปกครองของป้าสี่ จึงจะปรับป้าสี่แทน”
“จะปรับอะไรอั้วก็บอกมาเถอะ…ท่านผู้ใหญ่บ้าน”
ป้าสี่พูดจาสุภาพเรียบร้อย
“หมู่บ้านเราไม่มีอะไรสนุกๆดูมานานแล้ว…ปรับเป็นหุ่นกระบอกคณะหนึ่งก็แล้วกัน” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ย แล้วหันไปถามบิดาว่า “พ่อว่าดีมั้ยครับ?”
เหล่าแปะไม่ได้ตอบ เพราะในใจอดนึกสงสารอาหมวยตัวน้อยไม่ได้ ปรับป้าสี่ ป้าสี่ก็ต้องไปโกรธเอาที่เด็กอย่างแน่นอน…จึงเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยแล้วพยักหน้า
เรื่องตัดสินคดีขโมยส้มก็จบลงเพียงแค่นั้น…ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน
เจ้าของสวนส้มเดินหน้ามุ่ยมากับลูกชาย พลางบ่น
“ป้าสี่นี่อีเค็มจริงๆ นึกว่าเป็นผู้หญิงอ่อนแอจะขู่ได้ง่ายเสียอีก ที่ไหนได้กล้าสู้ความต่อหน้าผู้ใหญ่บ้าน ลื้อบอกอาโซ้ยหมวยนะว่า อย่าออกมาให้เด็กที่ถูกหลอกให้เก็บส้มเห็นเป็นอันขาด”
พอดีทั้งสองถึงบ้านที่เป็นกระท่อมใกล้สวนส้ม จึงเปิดประตูเข้ากระท่อม
หญิงสาวอายุสิบห้าสิบหก คนเดียวกับที่บอกให้อาลั้งช่วยเก็บส้ม ก็ร้องเรียก
“เตี่ย (พ่อ) เฮีย(พี่ชาย) …ได้เงินมาเท่าไหร่?”
“ได้เงินที่ไหนกัน!” พี่ชายเอ่ย พลางนั่งลงบนแคร่
“ป้าสี่ยอมถูกปรับเป็นหุ่นกระบอก ก็ไม่ยอมจ่ายเงินพวกเรา” คนเป็นเจ้าของสวนส้มตอบลูกสาว ก่อนจะกำชับอีกครั้งว่า “อาโซ้ยหมวย ลื้ออย่าให้เด็กคนนั้นเห็นอีกเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้น พวกเราจะแย่เอาว่าขู่เอาเงินป้าสี่”
พอเข้าบ้านเรียบร้อย…ป้าสี่ก็สั่งอาลั้ง
“คุกเข่าลง”
อาลั้งทำตามอย่างไม่กล้าขัดขืน
“ลื้อมันตัวซวย ทำให้อั้วต้องเสียเงินเสียทองไปจ้างคณะหุ่นกระบอกมาเล่นให้ชาวบ้านดู อั๊วไม่เคยสอนให้ลื้อขโมย ลื้อมันสันดานโจร พ่อแม่ลื้อเป็นโจรหรือไง”
อาลั้งสุดอดกลั้นจึงเถียงขึ้นว่า
“หนูไม่ได้ขโมย แล้วอย่ามาว่าพ่อแม่หนูนะ”
“ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้ที่กล้ามาขึ้นเสียงกับอั๊ว!”
อาลั้งจึงต้องตบตีตัวเองจนกระทั่งป้าสี่พอใจ
“คืนนี้ลื้อไปนอนได้แล้ว “
พออาลั้งเดินเข้าห้องที่แคบเล็กและมืดมิด ป้าสี่ก็เอากุญแจคล้องเอาไว้ ไม่ให้สามารถเปิดออกมาจากภายในได้ แล้วเสียงฝีเท้าป้าสี่ก็เดินห่างไป
อาลั้งนั่งลงกอดเข่าแล้วร้องไห้
“แม่จ๋า…”
เช้าวันรุ่งขึ้น…ป้าซำมาหาป้าสี่ที่บ้าน พอนั่งลงปุ๊บ ป้าซำก็ถามปั๊บ
“ให้คนไปตามอั๊วมา ไม่ทราบว่ามีอะไรให้อั๊วรับใช้?”
“เรื่องที่ลื้อถนัด” ป้าสี่ตอบ “อั๊วจะขายอาลั้ง”
“แต่อาลั้งเป็นลูกสะใภ้ลื้อไม่ใช่เหรอ?” ป้าซำทำหน้างง
“อั๊วไม่เอาแล้วลูกสะใภ้ตัวซวยอยังงี้!”
“อีทำอะไรผิดเหรอ?” ป้าซำถาม
“อีขโมย”
“ไอ้หยา…เรื่องนี้อย่าให้ใครรู้เชียว ไม่งั้นจะไม่มีใครยอมซื้ออีไปจากลื้อเด็ดขาด” ป้าซำเอามือตบอก
“อั๊วก็บอกลื้อแค่คนเดียวแหละ ขายอีไปไกลๆ จะได้ไม่มีคนรู้เรื่องนี้ แต่อย่าให้อั๊วขาดทุนนะ” ป้าสี่พูด
“ขายน่ะขายได้ แต่อยู่ในฐานะที่ไม่ดีนักนะ อย่างเช่นไปเป็นขี้ข้าพวกคนมีเงิน” ป้าซำบอก
“จะเป็นอะไรก็ช่างหัวมัน ไปให้พ้นๆบ้านอั๊วก็แล้วกัน” ป้าสี่เอ่ยอย่างไม่มีเยื่อใยอาทร
“แล้วอาตี๋ไม่ว่าเหรอ ?” ป้าซำถาม
“อั๊วว่ายังไง อาใช้ก็ว่ายังงั้นอยู่แล้ว” ป้าสี่เอ่ยอย่างมั่นใจ
“ถ้างั้น…อั๊วก็จะไปจัดการเรื่องนี้ให้ สักวันสองวันก็คงรู้เรื่อง” ป้าซำรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ และออกจากบ้านป้าสี่ไป
ในระหว่างนั้น…อาลั้งถูกขังอยู่ในห้องแคบๆมืดๆ ได้รับอาหารและน้ำแค่มื้อเดียวต่อวัน ปวดหนักปวดเบาก็ใช้กระโถนที่อยู่ในห้องนั้น จนกระทั่งวันที่สาม ประตูจึงถูกเปิดออก แล้วป้าสี่ก็สั่งว่า
“อาลั้ง…ลื้อไปกับป้าซำ”
“ไปไหนคะ” อาลั้งถามเสียงเบา
“ไม่ต้องถาม ไปก็พอ” เสียงป้าสี่มะนาวไม่มีน้ำ
อาลั้งก็ไม่กล้าเซ้าซี้ถามต่อ เดินตามป้าซำไปอย่างเงียบๆ ป้าซำก็จับข้อมืออาลั้งกึ่งจูงให้เดินตาม แต่ที่แท้คือกลัวว่าเด็กจะหนีไป
อีเป็นตัวเงินตัวทองของอั๊ว ปล่อยให้หนีไปไม่ได้เด็ดขาด…คือความในใจของป้าซำ
ก่อนทั้งสองจะก้าวออกนอกประตู…
“อาลั้ง” เสียงเรียกเบาๆ
อาลั้งหันไปยังต้นเสียง เห็น…อาใช้ยืนหลบที่ข้างกำแพง โบกมือลาตนอยู่
เด็กหญิงรู้สึกเฉยชา เพราะไม่ได้อาลัยอาวรณ์บ้านนี้นัก ป้าสี่ให้ได้แค่ความหวาดกลัว ส่วนอาใช้เดี๋ยวก็เป็นเพื่อนเล่น เดี๋ยวก็รังแก แล้วแต่อารมณ์ของเขา เมื่อเปรียบเทียบกับตอนออกจากบ้านลุงฮึงแล้ว ตอนนั้นเด็กน้อยยังอาลัยอาวรณ์กว่า !
อนาคตข้างหน้าไม่รู้ว่า จะเป็นอย่างไร ?
รู้อย่างเดียวก็คือ…ต้องอดทน รับมันให้ได้
เรื่องเล่นสนุกเหมือนเด็กทั่วๆไป…อาลั้งไม่กล้าคาดหวังแม้แต่น้อยนิด
ป้าซำพาอาลั้งเข้าไปในตัวเมือง ทุกที่ทางเต็มไปด้วยร้านค้า ผู้คนคึกคัก นางจูงมือเด็กหญิงเดินตามถนนที่ปูด้วยแผ่นหิน มันดูสะอาดกว่าถนนดินแถวบ้านนอกที่อาลั้งเคยอยู่เยอะ จนถึงบ้านที่วางสิงโตหินคู่ตัวใหญ่อยู่ที่หน้าบ้าน ป้าซำจึงบอกกับอาลั้งว่า
“นี่ไงบ้านของอาเอี้ย(นายท่าน) กับอาไน่ (นายแม่) ที่จะรับซื้อแก”
“โอ้โห…บ้านใหญ่โตจังเลย อาเอี้ยกับอาไน่นี่คงรวยมากสินะ” อาลั้งมองด้วยดวงตาแป๋วแหวว
“ใช่แล้วอาเอี้ยกับอาไน่รวยมากมีการค้ากับที่นี่และที่เมืองไทย” ป้าซำเอ่ยอย่างกึ่งชื่นชมกึ่งอิจฉา
“เมืองไทยคืออะไร?” อาลั้งถามเพราะเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นหนแรกในชีวิต
“เมืองไทยอยู่ทางทิศใต้ บ้านเมืองอุดมสมบูรณ์ เขาว่ากันว่าแม้แต่ขอทานยังอวบอ้วนสมบูรณ์ ไปเมืองไทยไม่มีอดตายหรอก” ป้าซำบอกตามที่เขาเล่ามา
“มีที่ที่ดีขนาดนี้เชียวเหรอ?” อาลั้งคิดไม่ออกว่าเมืองไทยหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ๆจะต้องเป็นที่ที่ดีมากๆทีเดียว
“เออๆ…” ป้าซำตอบแบบขอไปที แล้วบอกกับเด็กหญิงว่า “อั๊วพาลื้อมาขายให้อาเอี้ยกับอาไน่ในฐานะขี้ข้า ไม่ใช่มาเป็นลูกสะใภ้อย่างสองบ้านนั้นนะ”
“ขี้ข้าคืออะไรคะ?” เด็กหญิงถาม เพราะคำนี้ก็เพิ่งจะเคยได้ยินเช่นกัน
“ก็เป็นเด็กรับใช้ แต่เป็นจำพวกขายขาด ไม่ต้องจ่ายเงินเดือน เข้าใจหรือยัง…ถามจริงเชียว” ป้าซำเอ่ยอย่างรำคาญนิดๆ
อาลั้งเห็นมีชายคนหนึ่งมาเคาะห่วงที่บานประตูใหญ่ สักพักก็มีคนมาเปิดประตูให้เข้าไปในบ้าน อาลั้งคิดว่ายายซำก็คงจะทำตามชายคนนั้น
แต่…ผิดคาด
ยายซำจูงอาลั้งเข้าไปในซอยข้างกำแพงบ้านหลังใหญ่ ไปเคาะประตูไม้บานเล็กที่คนรับใช้ใช้เข้าออก มีหญิงวัยสี่สิบกว่าคนหนึ่งมาเปิดประตูรับ พอเห็นป้าซำก็ทัก
“อ้าว…ป้าซำนั่นพาใครมาน่ะ?”
“เด็กที่อาเอี้ยอาไน่จะซื้อ” ป้าซำตอบ
“งั้นเข้ามาสิ” นางเปิดประตูกว่าให้ทั้งสองคนผู้ใหญ่กับเด็กเข้าไป แล้วพาไปนั่งรออยู่ที่ห้องหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ตบแต่งอะไรมากนัก มีเพียงโต๊ะไม้กลมตัวใหญ่ และเก้าอี้ไม่มีพนักวางอยู่รอบโต๊ะ
“นั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนป้าซำ เดี๋ยวอั๊วเข้าไปรายงานอาเอี้ยอาไน่ก่อน” แล้วนางก็เดินจากไป
อาลั้งมีเรื่องอยากจะถามป้าซำมากมาย โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องแม่ แต่เห็นสีหน้าเฉยเมยของนางแล้วก็ไม่กล้าถาม
ป้าซำยกพัดไม้ไผ่สานโบกพัดให้ตัวเอง พลางคิดคำนาณว่า…ควรเรียกค่าตัวอาลั้งสักเท่าไหร่จึงจะดี ป้าสี่ว่าอย่าให้นางขาดทุน ค่าตัวอาลั้งก็เริ่มต้นประมาณห้าสิบเหรีนญ ตนบวกเพิ่มเข้าไปสักยี่สิบเหรียญ ก็เป็นเจ็ดสิบเหรียญ
“ยายซำ…” อาลั้งเรียกขึ้น หลังจากรวบรวมความกล้าหาญได้
ป้าซำกำลังคำนวณราคาอาลั้งอยู่เพลินๆ อาลั้งเรียกขึ้นขัดจังหวะทำให้นางสะดุ้งโหยง จึงตวาดเด็กว่า
“ลื้อเรียกทำไม?”
“ยายซำช่วยไปบอกแม่ทีได้มั้ยว่าหนูมาอยู่ที่นี่ แม่จะได้มาหาหนูบ้าง” อาลั้งขอร้องเสียงอ่อนๆ
“เออๆๆ…แล้วอั๊วจะบอกให้” ป้าซำรับปากอย่างขอไป ทีมากกว่าจะรับเป็นธุระจริงจัง
“ยายซำ…” เด็กหญิงคิดแล้วคิดอีกว่าจะพูดดีมั้ย
“อะไรของลื้ออีก” ป้าซำนั้นรู้สึกรำคาญเต็มแก่
แต่อาลั้งตัดสินใจว่าพูดดีกว่า เพราะเด็กหญิงสังหรณ์ใจประหลาดๆ ว่าอาจจะไม่ได้พบคนที่อยากจะพบอีกแล้ว
“ยายซำช่วยไปบอกลุงฮึงด้วยว่าหนูอยู่ที่นี่ เผื่อว่าลุงฮึงจะมาเยี่ยมหนูบ้าง”
“เออๆๆ…แค่เรื่องฝากของลื้อ รองเท้าอั๊วคงสึกเป็นหลายคู่แน่”
พอดีหญิงกลางคนที่เปิดประตูรับ กลับมา ป้าซำก็รีบถาม
“ว่ายังไง…ป้าซุง?”
“อาเอี้ยอาไน่ให้เข้าพบได้แล้ว ตามอั๊วมา”
แล้วนางก็เดินนำทาง โดยมีป้าซำกับอาลั้งเดินตามหลัง จากส่วนเรือนคนใช้ไปยังตัวตึกที่อยู่ของอาเอี้ยกับอาไน่ เชื่อมต่อด้วยระเบียงไม้คดเคี้ยวตามศิลปะจีน มีต้นไม้ดัดในกระถางกังไสราคาแพงประดับเป็นทิวแถว ระเบียงนี้ผ่านสวนดอกไม้ที่มีน้ำตกจำลองมีลำธารเล็กๆที่เลี้ยงปลาทองที่แหวกว่ายน้ำเป็นฝูงสวยงาม
อาลั้งมองเพลิน จนไปถึงห้องโถงที่โอ่อ่าประดับประดาด้วยเก้าอี้ฝังมุกทั้งชุด และมีแจกันที่มีความสูงกว่าคนเสียอีก เขียนลวดลายด้วยสีเขียว และสีน้ำเงินตั้งประดับ ชายชราท่าทางภูมิฐาน และหญิงชราหน้าตาใจดีสองคนนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานเจ้าบ้าน
พอถึง…ป้าซุงก็บอกต่อป้าซำกับอาลั้งว่า
“คำนับอาเอี้ยกับอาไน่สิ”
“คำนับอาเอี้ยอาไน่” ป้าซำเอ่ย พลางน้อมกายค้อมศีรษะต่ำมาก
อาลั้งเห็นทั้งสองท่านน่าเกรงขาม จึงคุกเข่าลงคำนับ
อาเอี้ยหัวเราะเสียงดัง แล้วชม “เด็กดี”
ป้าซำยิ้มพอใจ…เพราะถ้าอาเอี้ยพอใจเด็ก การเรียกราคาก็ง่ายขึ้น
“ไหน…หนูเงยหน้าขึ้นมาให้ดูซิ” อาไน่เอ่ย
อาลั้งค่อยๆเงยหน้าขึ้นตามคำสั่ง
“หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูมาก ผิวพรรณก็ดี เสียแต่ผมเผ้าไม่ได้หวีให้เรียบร้อย” อาไน่เอ่ยอย่างนึกเอ็นดูเด็ก
ผู้ใหญ่บ้านประคองพ่อให้นั่งลงที่เก้าตัวที่ตนเองนั่งลงเมื่อครู่…ชายชราเมื่อนั่งลงแล้วจึงพูดว่า “อยู่ว่างๆ พ่อก็เลยอยากออกมาดูเรื่องที่ลูกทำบ้าง ได้หรือเปล่า?”
“อ๋อ…ได้ครับได้” ผู้ใหญ่บ้านรีบรับคำ
ชายชราหันไปทางเจ้าของสวนส้มถามว่า
“ลื้อว่าลื้อเห็นอาหมวยอีเด็ดส้มจากต้นส้มของลื้อเหรอ?”
เจ้าของสวนส้มอึ้งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพยักหน้า “ใช่…อั๊วเห็น ไม่เพียงแต่อั๊วเท่านั้นที่เห็น ลูกชายอั๊วก็เห็น ไม่เชื่ออาแปะถามอีดูได้” เพราะเจ้าของสวนส้มคิดว่า ถ้ายืนยันสองเสียงจะมีน้ำหนักกว่า
“จริงหรือ?” เหล่าแปะหันไปถามลูกชายเจ้าของสวนส้ม
“จริงครับ” ลูกชายเจ้าของสวนส้มรับรองแข็งขัน
เหล่าแปะจึงหันมาถามอาลั้ง “อาหมวย…ลื้อตอบเหล่าแปะตามจึงนะ”
“ค่ะ” อาลั้งรับคำ
“ลื้อเด็ดส้มจากต้นหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะ” อาลั้งส่ายหน้า
“แล้วส้มอยู่ในมือลื้อได้ยังไง?” เหล่าแปะซักต่อ
“หนูเก็บจากพื้นค่ะ” อาลั้งตอบ
“อีโกหก” เจ้าของสวนส้มเอ่ยแทรกขึ้นทันควัน
( คำว่า “อี” ในภาษาแต้จิ๋ว หมายถึงเขาหรือหล่อน )
“โกหกหรือเปล่า…อั๊วมีวิธีพิสูจน์” เหล่าแปะเอ่ยเนิบๆ
“พิสูจน์ยังไงหรือครับพ่อ?” ผู้ใหญ่บ้านถาม
“ลื้อดมมืออาหมวยดู ว่ามีกลิ่นส้มสดหรือเปล่า?”
ผู้ใหญ่บ้านทำตามคำของบิดา เอามืออาลั้งมาดมดู แล้วตอบว่า “ไม่มีกลิ่นส้มสดครับ”
“ก็หมายความว่า อาหมวยไม่ได้เด็ดส้มจากต้น แต่เก็บส้มที่หล่นแล้วบนพื้น” เหล่าแปะสรุป “เรื่องนี้คนปลูกส้มน่าจะรู้ดี ถ้าเด็ดส้มจากต้นจะต้องมีกลิ่นส้มติดมือ ใช่หรือเปล่า?”
เจ้าของสวนส้มอึ้งไปนิดหนึ่ง สีหน้าบูดบึ้ง ในขณะที่ป้าสี่มีสายตาฉายแววยิ้มเยาะ ที่อีกฝ่ายถูกรุกไล่ด้วยคำพูดของชายชรา
ลูกชายเจ้าของสวนส้มจึงยืนขึ้นพูดว่า “ถึงอาหมวยไม่ได้เด็ดส้มจากต้น แต่ก็รุกล้ำเข้าไปเก็บส้มในสวน ก็ถือว่าเป็นการขโมยเหมือนกัน”
คราวนี้คนที่อึ้งก็คือเหล่าแปะและป้าสี่!
เหล่าแปะจึงถามอาลั้งว่า “อาหมวย พี่สาวคนที่เรียกให้ลื้อเก็บส้มบอกหรือเปล่าว่าชื่ออะไร? อยู่ที่ไหน?”
“เปล่าค่ะ” อาลั้งส่ายหน้า
“เมื่อเป็นอย่างนี้…อาหมวยก็แก้ตัวไม่ได้เรื่องขโมย แต่เป็นการขโมยโดยไม่ได้ตั้งใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จะต้องถูกปรับ” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ย “แต่อาหมวยยังเป็นเด็ก และเป็นเด็กในปกครองของป้าสี่ จึงจะปรับป้าสี่แทน”
“จะปรับอะไรอั้วก็บอกมาเถอะ…ท่านผู้ใหญ่บ้าน”
ป้าสี่พูดจาสุภาพเรียบร้อย
“หมู่บ้านเราไม่มีอะไรสนุกๆดูมานานแล้ว…ปรับเป็นหุ่นกระบอกคณะหนึ่งก็แล้วกัน” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ย แล้วหันไปถามบิดาว่า “พ่อว่าดีมั้ยครับ?”
เหล่าแปะไม่ได้ตอบ เพราะในใจอดนึกสงสารอาหมวยตัวน้อยไม่ได้ ปรับป้าสี่ ป้าสี่ก็ต้องไปโกรธเอาที่เด็กอย่างแน่นอน…จึงเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยแล้วพยักหน้า
เรื่องตัดสินคดีขโมยส้มก็จบลงเพียงแค่นั้น…ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน
เจ้าของสวนส้มเดินหน้ามุ่ยมากับลูกชาย พลางบ่น
“ป้าสี่นี่อีเค็มจริงๆ นึกว่าเป็นผู้หญิงอ่อนแอจะขู่ได้ง่ายเสียอีก ที่ไหนได้กล้าสู้ความต่อหน้าผู้ใหญ่บ้าน ลื้อบอกอาโซ้ยหมวยนะว่า อย่าออกมาให้เด็กที่ถูกหลอกให้เก็บส้มเห็นเป็นอันขาด”
พอดีทั้งสองถึงบ้านที่เป็นกระท่อมใกล้สวนส้ม จึงเปิดประตูเข้ากระท่อม
หญิงสาวอายุสิบห้าสิบหก คนเดียวกับที่บอกให้อาลั้งช่วยเก็บส้ม ก็ร้องเรียก
“เตี่ย (พ่อ) เฮีย(พี่ชาย) …ได้เงินมาเท่าไหร่?”
“ได้เงินที่ไหนกัน!” พี่ชายเอ่ย พลางนั่งลงบนแคร่
“ป้าสี่ยอมถูกปรับเป็นหุ่นกระบอก ก็ไม่ยอมจ่ายเงินพวกเรา” คนเป็นเจ้าของสวนส้มตอบลูกสาว ก่อนจะกำชับอีกครั้งว่า “อาโซ้ยหมวย ลื้ออย่าให้เด็กคนนั้นเห็นอีกเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้น พวกเราจะแย่เอาว่าขู่เอาเงินป้าสี่”
พอเข้าบ้านเรียบร้อย…ป้าสี่ก็สั่งอาลั้ง
“คุกเข่าลง”
อาลั้งทำตามอย่างไม่กล้าขัดขืน
“ลื้อมันตัวซวย ทำให้อั้วต้องเสียเงินเสียทองไปจ้างคณะหุ่นกระบอกมาเล่นให้ชาวบ้านดู อั๊วไม่เคยสอนให้ลื้อขโมย ลื้อมันสันดานโจร พ่อแม่ลื้อเป็นโจรหรือไง”
อาลั้งสุดอดกลั้นจึงเถียงขึ้นว่า
“หนูไม่ได้ขโมย แล้วอย่ามาว่าพ่อแม่หนูนะ”
“ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้ที่กล้ามาขึ้นเสียงกับอั๊ว!”
อาลั้งจึงต้องตบตีตัวเองจนกระทั่งป้าสี่พอใจ
“คืนนี้ลื้อไปนอนได้แล้ว “
พออาลั้งเดินเข้าห้องที่แคบเล็กและมืดมิด ป้าสี่ก็เอากุญแจคล้องเอาไว้ ไม่ให้สามารถเปิดออกมาจากภายในได้ แล้วเสียงฝีเท้าป้าสี่ก็เดินห่างไป
อาลั้งนั่งลงกอดเข่าแล้วร้องไห้
“แม่จ๋า…”
เช้าวันรุ่งขึ้น…ป้าซำมาหาป้าสี่ที่บ้าน พอนั่งลงปุ๊บ ป้าซำก็ถามปั๊บ
“ให้คนไปตามอั๊วมา ไม่ทราบว่ามีอะไรให้อั๊วรับใช้?”
“เรื่องที่ลื้อถนัด” ป้าสี่ตอบ “อั๊วจะขายอาลั้ง”
“แต่อาลั้งเป็นลูกสะใภ้ลื้อไม่ใช่เหรอ?” ป้าซำทำหน้างง
“อั๊วไม่เอาแล้วลูกสะใภ้ตัวซวยอยังงี้!”
“อีทำอะไรผิดเหรอ?” ป้าซำถาม
“อีขโมย”
“ไอ้หยา…เรื่องนี้อย่าให้ใครรู้เชียว ไม่งั้นจะไม่มีใครยอมซื้ออีไปจากลื้อเด็ดขาด” ป้าซำเอามือตบอก
“อั๊วก็บอกลื้อแค่คนเดียวแหละ ขายอีไปไกลๆ จะได้ไม่มีคนรู้เรื่องนี้ แต่อย่าให้อั๊วขาดทุนนะ” ป้าสี่พูด
“ขายน่ะขายได้ แต่อยู่ในฐานะที่ไม่ดีนักนะ อย่างเช่นไปเป็นขี้ข้าพวกคนมีเงิน” ป้าซำบอก
“จะเป็นอะไรก็ช่างหัวมัน ไปให้พ้นๆบ้านอั๊วก็แล้วกัน” ป้าสี่เอ่ยอย่างไม่มีเยื่อใยอาทร
“แล้วอาตี๋ไม่ว่าเหรอ ?” ป้าซำถาม
“อั๊วว่ายังไง อาใช้ก็ว่ายังงั้นอยู่แล้ว” ป้าสี่เอ่ยอย่างมั่นใจ
“ถ้างั้น…อั๊วก็จะไปจัดการเรื่องนี้ให้ สักวันสองวันก็คงรู้เรื่อง” ป้าซำรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ และออกจากบ้านป้าสี่ไป
ในระหว่างนั้น…อาลั้งถูกขังอยู่ในห้องแคบๆมืดๆ ได้รับอาหารและน้ำแค่มื้อเดียวต่อวัน ปวดหนักปวดเบาก็ใช้กระโถนที่อยู่ในห้องนั้น จนกระทั่งวันที่สาม ประตูจึงถูกเปิดออก แล้วป้าสี่ก็สั่งว่า
“อาลั้ง…ลื้อไปกับป้าซำ”
“ไปไหนคะ” อาลั้งถามเสียงเบา
“ไม่ต้องถาม ไปก็พอ” เสียงป้าสี่มะนาวไม่มีน้ำ
อาลั้งก็ไม่กล้าเซ้าซี้ถามต่อ เดินตามป้าซำไปอย่างเงียบๆ ป้าซำก็จับข้อมืออาลั้งกึ่งจูงให้เดินตาม แต่ที่แท้คือกลัวว่าเด็กจะหนีไป
อีเป็นตัวเงินตัวทองของอั๊ว ปล่อยให้หนีไปไม่ได้เด็ดขาด…คือความในใจของป้าซำ
ก่อนทั้งสองจะก้าวออกนอกประตู…
“อาลั้ง” เสียงเรียกเบาๆ
อาลั้งหันไปยังต้นเสียง เห็น…อาใช้ยืนหลบที่ข้างกำแพง โบกมือลาตนอยู่
เด็กหญิงรู้สึกเฉยชา เพราะไม่ได้อาลัยอาวรณ์บ้านนี้นัก ป้าสี่ให้ได้แค่ความหวาดกลัว ส่วนอาใช้เดี๋ยวก็เป็นเพื่อนเล่น เดี๋ยวก็รังแก แล้วแต่อารมณ์ของเขา เมื่อเปรียบเทียบกับตอนออกจากบ้านลุงฮึงแล้ว ตอนนั้นเด็กน้อยยังอาลัยอาวรณ์กว่า !
อนาคตข้างหน้าไม่รู้ว่า จะเป็นอย่างไร ?
รู้อย่างเดียวก็คือ…ต้องอดทน รับมันให้ได้
เรื่องเล่นสนุกเหมือนเด็กทั่วๆไป…อาลั้งไม่กล้าคาดหวังแม้แต่น้อยนิด
ป้าซำพาอาลั้งเข้าไปในตัวเมือง ทุกที่ทางเต็มไปด้วยร้านค้า ผู้คนคึกคัก นางจูงมือเด็กหญิงเดินตามถนนที่ปูด้วยแผ่นหิน มันดูสะอาดกว่าถนนดินแถวบ้านนอกที่อาลั้งเคยอยู่เยอะ จนถึงบ้านที่วางสิงโตหินคู่ตัวใหญ่อยู่ที่หน้าบ้าน ป้าซำจึงบอกกับอาลั้งว่า
“นี่ไงบ้านของอาเอี้ย(นายท่าน) กับอาไน่ (นายแม่) ที่จะรับซื้อแก”
“โอ้โห…บ้านใหญ่โตจังเลย อาเอี้ยกับอาไน่นี่คงรวยมากสินะ” อาลั้งมองด้วยดวงตาแป๋วแหวว
“ใช่แล้วอาเอี้ยกับอาไน่รวยมากมีการค้ากับที่นี่และที่เมืองไทย” ป้าซำเอ่ยอย่างกึ่งชื่นชมกึ่งอิจฉา
“เมืองไทยคืออะไร?” อาลั้งถามเพราะเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นหนแรกในชีวิต
“เมืองไทยอยู่ทางทิศใต้ บ้านเมืองอุดมสมบูรณ์ เขาว่ากันว่าแม้แต่ขอทานยังอวบอ้วนสมบูรณ์ ไปเมืองไทยไม่มีอดตายหรอก” ป้าซำบอกตามที่เขาเล่ามา
“มีที่ที่ดีขนาดนี้เชียวเหรอ?” อาลั้งคิดไม่ออกว่าเมืองไทยหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ๆจะต้องเป็นที่ที่ดีมากๆทีเดียว
“เออๆ…” ป้าซำตอบแบบขอไปที แล้วบอกกับเด็กหญิงว่า “อั๊วพาลื้อมาขายให้อาเอี้ยกับอาไน่ในฐานะขี้ข้า ไม่ใช่มาเป็นลูกสะใภ้อย่างสองบ้านนั้นนะ”
“ขี้ข้าคืออะไรคะ?” เด็กหญิงถาม เพราะคำนี้ก็เพิ่งจะเคยได้ยินเช่นกัน
“ก็เป็นเด็กรับใช้ แต่เป็นจำพวกขายขาด ไม่ต้องจ่ายเงินเดือน เข้าใจหรือยัง…ถามจริงเชียว” ป้าซำเอ่ยอย่างรำคาญนิดๆ
อาลั้งเห็นมีชายคนหนึ่งมาเคาะห่วงที่บานประตูใหญ่ สักพักก็มีคนมาเปิดประตูให้เข้าไปในบ้าน อาลั้งคิดว่ายายซำก็คงจะทำตามชายคนนั้น
แต่…ผิดคาด
ยายซำจูงอาลั้งเข้าไปในซอยข้างกำแพงบ้านหลังใหญ่ ไปเคาะประตูไม้บานเล็กที่คนรับใช้ใช้เข้าออก มีหญิงวัยสี่สิบกว่าคนหนึ่งมาเปิดประตูรับ พอเห็นป้าซำก็ทัก
“อ้าว…ป้าซำนั่นพาใครมาน่ะ?”
“เด็กที่อาเอี้ยอาไน่จะซื้อ” ป้าซำตอบ
“งั้นเข้ามาสิ” นางเปิดประตูกว่าให้ทั้งสองคนผู้ใหญ่กับเด็กเข้าไป แล้วพาไปนั่งรออยู่ที่ห้องหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ตบแต่งอะไรมากนัก มีเพียงโต๊ะไม้กลมตัวใหญ่ และเก้าอี้ไม่มีพนักวางอยู่รอบโต๊ะ
“นั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนป้าซำ เดี๋ยวอั๊วเข้าไปรายงานอาเอี้ยอาไน่ก่อน” แล้วนางก็เดินจากไป
อาลั้งมีเรื่องอยากจะถามป้าซำมากมาย โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องแม่ แต่เห็นสีหน้าเฉยเมยของนางแล้วก็ไม่กล้าถาม
ป้าซำยกพัดไม้ไผ่สานโบกพัดให้ตัวเอง พลางคิดคำนาณว่า…ควรเรียกค่าตัวอาลั้งสักเท่าไหร่จึงจะดี ป้าสี่ว่าอย่าให้นางขาดทุน ค่าตัวอาลั้งก็เริ่มต้นประมาณห้าสิบเหรีนญ ตนบวกเพิ่มเข้าไปสักยี่สิบเหรียญ ก็เป็นเจ็ดสิบเหรียญ
“ยายซำ…” อาลั้งเรียกขึ้น หลังจากรวบรวมความกล้าหาญได้
ป้าซำกำลังคำนวณราคาอาลั้งอยู่เพลินๆ อาลั้งเรียกขึ้นขัดจังหวะทำให้นางสะดุ้งโหยง จึงตวาดเด็กว่า
“ลื้อเรียกทำไม?”
“ยายซำช่วยไปบอกแม่ทีได้มั้ยว่าหนูมาอยู่ที่นี่ แม่จะได้มาหาหนูบ้าง” อาลั้งขอร้องเสียงอ่อนๆ
“เออๆๆ…แล้วอั๊วจะบอกให้” ป้าซำรับปากอย่างขอไป ทีมากกว่าจะรับเป็นธุระจริงจัง
“ยายซำ…” เด็กหญิงคิดแล้วคิดอีกว่าจะพูดดีมั้ย
“อะไรของลื้ออีก” ป้าซำนั้นรู้สึกรำคาญเต็มแก่
แต่อาลั้งตัดสินใจว่าพูดดีกว่า เพราะเด็กหญิงสังหรณ์ใจประหลาดๆ ว่าอาจจะไม่ได้พบคนที่อยากจะพบอีกแล้ว
“ยายซำช่วยไปบอกลุงฮึงด้วยว่าหนูอยู่ที่นี่ เผื่อว่าลุงฮึงจะมาเยี่ยมหนูบ้าง”
“เออๆๆ…แค่เรื่องฝากของลื้อ รองเท้าอั๊วคงสึกเป็นหลายคู่แน่”
พอดีหญิงกลางคนที่เปิดประตูรับ กลับมา ป้าซำก็รีบถาม
“ว่ายังไง…ป้าซุง?”
“อาเอี้ยอาไน่ให้เข้าพบได้แล้ว ตามอั๊วมา”
แล้วนางก็เดินนำทาง โดยมีป้าซำกับอาลั้งเดินตามหลัง จากส่วนเรือนคนใช้ไปยังตัวตึกที่อยู่ของอาเอี้ยกับอาไน่ เชื่อมต่อด้วยระเบียงไม้คดเคี้ยวตามศิลปะจีน มีต้นไม้ดัดในกระถางกังไสราคาแพงประดับเป็นทิวแถว ระเบียงนี้ผ่านสวนดอกไม้ที่มีน้ำตกจำลองมีลำธารเล็กๆที่เลี้ยงปลาทองที่แหวกว่ายน้ำเป็นฝูงสวยงาม
อาลั้งมองเพลิน จนไปถึงห้องโถงที่โอ่อ่าประดับประดาด้วยเก้าอี้ฝังมุกทั้งชุด และมีแจกันที่มีความสูงกว่าคนเสียอีก เขียนลวดลายด้วยสีเขียว และสีน้ำเงินตั้งประดับ ชายชราท่าทางภูมิฐาน และหญิงชราหน้าตาใจดีสองคนนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานเจ้าบ้าน
พอถึง…ป้าซุงก็บอกต่อป้าซำกับอาลั้งว่า
“คำนับอาเอี้ยกับอาไน่สิ”
“คำนับอาเอี้ยอาไน่” ป้าซำเอ่ย พลางน้อมกายค้อมศีรษะต่ำมาก
อาลั้งเห็นทั้งสองท่านน่าเกรงขาม จึงคุกเข่าลงคำนับ
อาเอี้ยหัวเราะเสียงดัง แล้วชม “เด็กดี”
ป้าซำยิ้มพอใจ…เพราะถ้าอาเอี้ยพอใจเด็ก การเรียกราคาก็ง่ายขึ้น
“ไหน…หนูเงยหน้าขึ้นมาให้ดูซิ” อาไน่เอ่ย
อาลั้งค่อยๆเงยหน้าขึ้นตามคำสั่ง
“หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูมาก ผิวพรรณก็ดี เสียแต่ผมเผ้าไม่ได้หวีให้เรียบร้อย” อาไน่เอ่ยอย่างนึกเอ็นดูเด็ก

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ม.ค. 2556, 08:57:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ม.ค. 2556, 09:00:14 น.
จำนวนการเข้าชม : 1468
<< ตอนที่ 9 | ตอนที่ 11 >> |