กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 9


9…


“ขโมย” อาเหล่าแปะเอ่ยแล้วถอนหายใจยาว “ถ้าขโมยทรัพย์สินเงินทองของมีค่ามากๆก็ว่าไปอย่าง แต่นี่...เฮ้อ...น่าอนาถแท้ๆ”

“เขาขโมยอะไรเหรออาเหล่าแปะ?” อาใช้ถามอย่างสนใจ

อาลั้งก็สนใจด้วย..เด็กหญิงจึงนั่งฟังตาแป๋ว
“เขาขโมยหัวมันเทศสองหัว” เหล่าแปะตอบ “เขาเป็นคนจนไม่มีจะกิน จึงขโมยลูกหัวมันเทศไปสองหัวไปต้มกิน ถูกทางการจับได้ จึงถูกตัดสินให้ประหารชีวิต”
“แค่หัวมันเทศเหรอ” อาใช้ทำหน้านิ่ว
“น่าสงสารจัง” อาลั้งเอ่ย รู้สึกสงสารนักโทษคนนั้น เขาคงหิวมาก จึงไปขโมย
“ใช่...น่าสงสาร” อาเหล่าแปะกล่าว “แต่กฎหมายไม่ยอมยกเว้นให้ใคร นี่ถึงอำเภอจึงถูกตัดคอ บางคนน่าสงสารกว่านี้อีก ถูกจับเผาทั้งเป็นก็ยังเคยมีมาแล้ว”
อาใช้กับอาลั้งหันมองหน้ากัน ทั้งสองกินซาลาเปาทอดไปคนละสองใบ จึงยกน้ำชาถ้วยเล็กๆขึ้นดื่มแก้คอแห้ง
“เอาละ...เด็กๆ กินอิ่มแล้วก็กลับบ้านไปเสีย” อาเหล่าแปะบอกด้วยความเมตตาการุณ
“ครับ” อาใช้รับคำ
แต่อาลั้ง เอ่ยเบาๆว่า “หนูต้องไปเฝ้าสวนเอี๊ยบ๊วยค่ะ”
“อ้าว...ทำไมหนูต้องไปเฝ้าสวนเอี๊ยบ๊วยคนเดียวละ?” เหล่าแปะถาม
“เพราะแม่ผมบอกว่าบนภูเขาอาจมีเสือ มันอันตราย แม่ก็เลยให้อาลั้งไปคนเดียว” อาใช้ตอบ
“อาหมวยคนนี้ไม่ใช่น้องสาวของลื้อเหรอ?” เหล่าแปะถามอาใช้
อาใช้ส่ายหน้า ก่อนจะตอบว่า “อีเป็นภรรยาของอั๊ว”
เหล่าแปะพยักหน้า...ประเพณีซื้อภรรยาเด็กให้ลูกหลานยังนิยมกันอยู่ เพราะได้ใช้งานด้วย ทั้งประหยัดค่าสินสอดทองหมั้นด้วย จึงมองอาลั้งอย่างน่าสงสารแกมเอ็นดู
“ไปเถอะ...ขอให้ปลอดภัยนะอาหมวย”
เด็กทั้งสองคำนับขอบคุณชายชราอีกครั้งแล้วพากันเดินจากไป
เจ้าของร้านน้ำชามองตามหลังเด็กๆ แล้วออกความเห็นว่า “อาตี๋คนนี้หน้าตาธรรมดา แต่อาหมวยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ผิวพรรณก็ดี นี่ถ้าเกิดเป็นลูกหลานคนรวยละก้อ พ่อแม่คงรักมากเลย น่าเสียดายที่ต้องมาเป็นสะใภ้เด็ก”
“อืมม์...” เหล่าแปะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะว่า “ชีวิตคนเรามันเลือกเกิดได้ที่ไหนละ!”

อาซิ่วทั้งรับจ้างทำงานบ้าน งานไร่ พอกลับถึงบ้านยังทอผ้า เพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่งานมักจะไม่ค่อยมีคนจ้าง งานทอผ้าก็ต้องรอคนเอาเส้นด้ายมาจ้างทอจึงจะมีงาน เมื่อไหร่ที่ไม่มีงาน อาซิ่วก็จะแอบไปดูอาลั้ง ซึ่งบางครั้งก็ได้เห็น บางครั้งก็ไม่ได้เห็น
ส่วนลูกชายสองคนของอาซิ่วนั้น คนโตไปทำงานเป็นเด็กช่วยขายของในร้านชำในตลาด ได้เงินเดือนเดือนละหนึ่งเหรียญ
อาซิ่วเห็นลูกชายเริ่มโตแล้ว จึงบอกให้เขาเก็บเงิน
“เก็บเงินเอาไว้ให้มากๆ จะได้เป็นทุนแต่งงาน”
“แม่มัวแต่คิดเรื่องแต่งงานของพี่ใหญ่ พวกเราจะอดตายซะก่อน” ลูกชายคนรองว่า
“นั่นนะสิแม่ เงินเดือนแค่หนึ่งเหรียญ แค่ซื้อข้าวสารก็หมดแล้ว ยังจะมีอะไรเหลือให้อั๊วเก็บละ เรื่องแต่งงานอย่าเพิ่งไปคิดถึงมันเลย ว่าแต่อาลั้งเถอะ นี่ก็ไปเป็นสะใภ้บ้านป้าสี่จะปีหนึ่งแล้ว เขายังไม่ยอมให้แม่ไปเยี่ยมอาลั้งอีกเหรอ?” ลูกชายคนโตของอาซิ่วเอ่ย เขาอายุสิบสองแล้ว ใกล้จะโตเป็นหนุ่มเต็มที ทำให้อาซิ่วอดเป็นห่วงอนาคตของเขาไม่ได้
เขาถามอาลั้งซึ่งเป็นน้องคนเล็ก อาซิ่วก็ได้แต่ตอบอ้อมๆว่า
“แม่ไม่อยากไปรบกวนเขา”
“แต่อั๊วเห็นแม่แอบร้องไห้เรื่อยๆ” ลูกชายคนนรองเอ่ย “ป้าสี่คนนี้ร้ายกาจมากแน่ๆ ตอนที่อาลั้งอยู่กับลุงฮึง แม่ยังไปมาหาสู่ได้”
“อย่าพูดถึงเขา”
เสียงอาซิ่วห้วนขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ทำไมล่ะ...ก็แม่เคยพูดว่าลุงฮึงเป็นคนดีไม่ใช่เหรอ?” ลูกชายคนรองยังคงถามต่อเพราะยังสงสัยไม่หาย
“ใช่...เขาเป็นคนดี แต่ตอนนี้อาลั้งไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว พูดถึงเขาบ่อยๆก็ไม่มีประโยชน์อะไร!”
“แม่เคยบอกว่าจะไปขอร้องลุงฮึงให้ช่วยซื้ออาลั้งกลับมาไม่ใช่เหรอ?” ลูกชายคนโตถามบ้าง
“ใช่...แต่ลุงฮึงซื้อลูกชายคนใหม่แล้ว ไม่ต้องการลูกสาวอีก”
อาซิ่วตอบเลี่ยงเสีย...นางจะบอกความจริงกับลูกๆได้อย่างไร...อาเง็กภรรยาของลุงฮึงนั้นเกิดความหึงหวง กลัวว่าลุงฮึงกับตนจะมีความสัมพันธ์กันฉันท์ชู้สาว ซึ่งเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้ายิ่งนัก
“น่าสงสารอาลั้งจริงๆ” ลูกชายคนรองเอ่ย
อาซิ่วซึ่งเจ็บปวดในใจอยู่แล้ว น้ำตาจึงหลั่งไหลลงมา

อาลั้งเดินขึ้นเนินเขาพร้อมห่อข้าวเล็กๆและน้ำเต้าใส่น้ำใบย่อม สำหรับเป็นเสบียงเวลาไปเฝ้าสวนเอี๊ยบ๊วย เพราะมันกำลังสุกดี กลัวจะมีใครมาแอบเก็บเอาไปขาย ระหว่างทางต้องผ่านสวนส้มข้างทาง
เด็กหญิงเดินไปเรื่อยๆ อยู่ก็มีเสียงเรียกจากข้างหลัง
“อาหมวยหยุดประเดี๋ยว”
อาลั้งหยุดตามเสียงเรียกและหันกลับไปมอง
ก็เห็น...เจ้าของเสียงเรียกซึ่งเป็นสาวน้อยอายุสิบห้าสิบหก ถักเปียยาวสองเส้น สวมเสื้อกางเกงผ้าฝ้ายสีเทาอมฟ้า
“เจ๊(พี่สาว)เรียกว่าอั๊วเหรอ?” อาลั้งถาม
“ใช่” นางพยักหน้า “อั๊วจะขอให้อาหมวยช่วยเข้าไปเก็บส้มที่ตกอยู่ที่พื้นให้หน่อย” แล้วนางก็รีบบอกว่า “เป็นส้มของอั๊วเอง อั๊วทำหล่น”
อาลั้งเป็นเด็กซื่อ เห็นส้มที่นางชี้ตกอยู่บนพื้นจริงๆห่างออกไปราวสี่เมตร ก็พยักหน้าให้หญิงสาว “ได้จ๊ะเจ๊”
“เร็วๆเข้า” นางเร่ง
อาลั้งจึงเดินเข้าไปเก็บส้มลูกนั้น แต่พอกลับออกมาก็ไม่เห็นหญิงสาวนางนั้นแล้ว เห็นแต่คุณลุงคนหนึ่งกับชายหนุ่มลูกชายของคุณลุงคนนั้น
“ลื้อหันขโมยตั้งแต่ยังเด็กเชียวเรอะ” คุณลุงคนนั้นว่า
“อั๊วเปล่าขโมย” อาลั้งเถียง
“แล้วในมือลื้อถือส้มของอั๊วได้ยังไง?” คุณลุงคนนั้นว่า
“แต่นี่เป็นส้มของเจ๊คนนั้น อีให้อั๊วเข้าไปช่วยเก็บต่างหาก” อาลั้งเอ่ยเสียงสั่น เพราะเริ่มหวาดกลัว ด้วยไม่เห็หญิงสาวที่อ้างตัวเป็นเจ้าของส้มอยู่ในที่นั้นด้วย
“เจ๊ที่ไหน...ลื้อยังจะพูดโกหกอีกเหรอ” เจ้าของสวนเอ่ยอย่างมีโมโห
ส่วนลูกชายเจ้าของสวนก็มาเอาส้มจากมืออาลั้งไป พลางถามว่า “ลื้อเป็นลูกหลานบ้านไหน จะได้ตามผู้ใหญ่มารับผิดชอบ”
พอฟังว่า...เขาจะตามผู้ใหญ่ของตนมารับผิดชอบ...อาลั้งก็หวาดกลัวจนตัวสั่น
“อย่าฟ้องอาม่าได้หรือเปล่าคะ?” เด็กหญิงขอร้อง
“ไม่ได้” เจ้าของสวนส้มกระชากเสียง
อาลั้งที่กลัวอยู่แล้วยิ่งกลัวตัวสั่นร้องไห้โฮออกมา
“ลื้อร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์...บอกมาว่าลื้ออยู่บ้านไหน?” เสียงสองพ่อลูกข่มขู่
อาลั้งจึงร้องไห้พลางบอกพลางว่า “บ้านป้าสี่ค่ะ”

เจ้าของสวนส้มกับลูกชายพาตัวอาลั้งมาที่บ้านป้าสี่ ลูกชายเจ้าของสวนส้มเคาะประตู ส่วนเจ้าของสวนกำข้อมืออาลั้งเอาไว้แน่น ป้องกันไม่ให้เด็กหนี
สักพักอาใช้ก็มาเปิดประตู ถามว่า “มาหาใคร?”
“ป้าสี่อยู่หรือเปล่า?”
“แม่เหรอ...อยู่” อาใช้ตอบแล้วจึงเห็นอาลั้ง ก็ทักว่า “อ้าว...ทำไมลื้อไม่ไปเฝ้าสวนเอี๊ยบ๊วย มากะเขาทำไม?”
อาลั้งไม่ได้ตอบ เพราะยังสะอื้นเบาๆ
“พวกอั๊วจะมาหาแม่ของลื้อ” ลูกชายเจ้าของสวนส้มบอกอาใช้
“เดี๋ยวให้อั๊วไปถามแม่ก่อนว่าจะให้พวกลื้อเข้าไปได้หรือเปล่า?” อาใช้ว่าแล้วจะปิดประตูกลับ แต่ลูกชายเจ้าของสวนส้มออกแรงผลัก ประตูก็ถูกเปิดออก เพราะอาใช้ต้านแรงของชายหนุ่มไม่ไหว แล้วลูกชายเจ้าของสวนส้มก็เดินนำเข้าไปในบ้าน เจ้าของสวนส้มเดินตามเข้าไปเป็นอันดับสอง พร้อมทั้งดึงแขนอาลั้งให้เข้าไปด้วย
ป้าสี่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ กำลังนับลูกประคำสวนมนตร์อยู่พอได้ยินเสียงอาใช้เอะอะว่า “ยังเข้าไปไม่ได้ๆ” ก็ลืมตาขึ้น เห็นผู้ชายแปลกหน้าสองคนเข้ามาในบ้านอย่างอุกอาจ ก็ถามว่า
“พวกลื้อมาทำอะไร?”
“ป้าสี่ใช่ไหม?” เจ้าของสวนถาม
“ใช่” ป้าสี่ตอบ สีหน้ายังคงเฉยเมย
“อั๊วจะมาให้ลื้อชดใช้ คนของลื้อขโมยส้มอั๊ว” เจ้าของสวนส้มบอก
“หนูไม่ได้ขโมยค่ะอาม่า” อาลั้งรีบแก้ตัว
“คุกเข่าลง” ป้าสี่บอกอาลั้งเสียงเย็นชา
เจ้าของสวนส้มเห็นว่าตามมาถึงต้นตอแล้ว ไม่กลัวว่าเด็กจะหนีไปไหน จึงปล่อยมือที่กำข้อมือเด็กไว้แน่นออก
อาลั้งเดินมาคุกเข่าตรงหน้าของป้าสี่อย่างหวาดกลัว
“เกิดอะไรขึ้นว่ามาซิ”
“หนูเปล่าขโมยนะคะ” อาลั้งส่ายหน้า พลางยกมือเช็ดน้ำตาที่หยดลงมา
“เด็กคนนี้เข้าไปขโมยส้มในสวนของอั๊ว” เจ้าของสวนเอ่ยแทรก “ลื้อเป็นญาติผู้ใหญ่ของอี ลื้อต้องชดใช้แทนอี”
“แต่หนูเปล่า..”
อาลั้งยังกล่าวไม่ทันจบ...เจ้าของสวนส้มก็ตวาดว่า
“ไม่ต้องเถียง...อั๊วกับลูกชายเห็นกับตา”
“ลื้อจะให้อั๊วชดใช้ยังไง?” ป้าสี่ถามขึ้นบ้าง
“ชดใช้ให้อั๊วหนึ่งร้อยเหรียญ แล้วเรื่องนี้ก็จบ”
เจ้าของสวนส้มเสนอ...พอป้าสี่ได้ฟัง นางก็ยกมือตบอกเบาๆ ก่อนจะกล่าวว่า
“เรียกร้องค่าส้มแค่ลูกหนึ่งจะเอาตั้งหนึ่งร้อยเหรียญ ต่อให้ส้มของลื้อเป็นทองคำก็ยังมีราคาไม่มาก
“ซื้อขายกับจับปรับมันไม่เหมือนกัน...ป้าสี่” เจ้าของสวนส้มกล่าว “ตกลงลื้อจะชดใช้ให้อั๊วหรือเปล่า”
“ไม่” ป้าสี่ตอบสั้นๆ
“ถ้างั้นก็ไปหาผู้ใหญ่บ้านกัน” เจ้าของสวนส้มเอ่ย
“ลื้อคิดว่าอั๊วไม่กล้าไปเหรอ?” ป้าสี่ย้อนถาม แล้วกล่าวว่า “ไปก็ไปสิ”
ดังนั้น...ป้าสี่ อาใช้ อาลั้ง เจ้าของสวนส้มและลูกชาย จึงไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งสะอาดสะอ้านใหญ่โตไม่น้อยไปกว่าบ้านป้าสี่
พอถึงทุกคนก็ถูกเชิญให้ไปนั่งรอที่ห้องโถง สักครู่เดียวผู้ใหญ่บ้านซึ่งสวมเสื้อยาวอย่างผู้มีการศึกษาอายุประมาณสี่สิบก็เดินออกมาจากห้องด้านใน พลางถามว่า
“มีเรื่องอะไรกันหรือ?”
“คือ...” ทั้งป้าสี่ทั้งเจ้าของสวนส้มเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
แล้วเจ้าของสวนส้มก็ชิงพูดขึ้นก่อน “อั๊วเป็นผู้เสียหาย อั๊วต้องพูดก่อน
ป้าสี่จึงเอ่ยว่า “เชิญ”
“เด็กคนนี้...” เจ้าของสวนส้มชี้มาที่อาลั้ง “แอบเข้าไปขโมยส้มในสวนของอั๊ว อั๊วกับลูกชายจับได้คาหนังคาเขา”
“จริงหรือเปล่าหนู?” ผู้ใหญ่บ้านถามอาลั้ง
“หนูเปล่าขโมยค่ะ พี่สาวคนหนึ่งใช้ให้หนูเข้าไปเก็บส้ม บอกว่าอีทำหล่นเข้าไปค่ะ”
“โกหก...อั๊วเห็นแต่ลื้อ ไม่เห็นมีพี่สาวคนไหนเลย” เจ้าของสวนส้มส่งเสียงดัง
ผู้ใหญ่บ้านยกมือห้ามปรามเขา “อย่าทำให้เด็กตกใจ”
เจ้าของสวนส้มจึงจำใจต้องเงียบและนั่งลง
“หนูพอจะบอกได้ไหมว่าพี่สาวคนนั้นเป็นใคร?” ผู้ใหญ่บ้านถามอาลั้ง
อาลั้งได้แต่ส่ายหน้า “ไม่รู้ค่ะ”
“หนูไม่รู้จักเขาเหรอ?” ผู้ใหญ่บ้านซักต่อ
“ไม่รู้จักค่ะ” อาลั้งตอบ
“เคยพบกันมาก่อนหรือเปล่า?”
อาลั้งได้แต่ส่ายหน้า “เปล่าค่ะ”
“แล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ลองเล่าให้ลุงฟังหน่อยสิ” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวกับอาลั้งเสียงนุ่มนวล
“ได้ยังไง อีเป็นขโมย ลื้อจะให้อีเล่า อีก็โกหกสิ” เจ้าของสวนส้มเอะอะ
ลื้อนั่งลง แล้วทำใจให้สบาย ให้อั้วสอบถามเด็กก่อนนะ” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวกับเจ้าของสวนส้ม
เจ้าของสวนส้มถูกลูกชายสะกิดแขน จึงกระแทกนั่งลงอย่างไม่ค่อยยินยอม
“เอาละหนูเล่ามาซิ” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวกับอาลั้ง
อาลั้งจึงเล่าว่า “หนูกำลังเดินขึ้นเขาจะไปเฝ้าสวนเอี๊ยบ๊วย ก็มีพี่สาวคนหนึ่งเรียกหนูว่าอาหมวยหยุดก่อน หนูก็หยุด พี่สาวคนนั้นบอกว่าอีทำส้มตกเข้าไปข้างใน ให้หนูช่วยเข้าไปเก็บให้หน่อย หนูก็เข้าไปเก็บ พอกลับออกมาก็ไม่พบพี่สาวคนนั้นแล้ว พบแต่คุณลุงคนนี้...” อาลั้งชี้ไปที่เจ้าของสวนส้ม “และพี่ชายคนนี้...” ชี้ไปที่ลูกชายเจ้าของสวนส้ม “พวกเขาว่าหนูขโมย แต่หนูไม่ได้ขโมยจริงๆนะคะคุณลุง”
“เอาละหนูไปนั่งที่เก้าอี้ตัวนั้น” ผู้ใหญ่บ้านชี้เก้าอี้ว่างให้อาลั้งไปนั่งลง ก่อนจะหันไปถามเจ้าของสวนส้มว่า “ที่เด็กพูดจริงไหม?”
“ไม่จริง...อั้วไม่เห็นมีผู้หญิงคนไหน อั๊วเห็นแต่อีเด็ดส้มของอั๊ว” เจ้าของสวนส้มเอ่ยเสียงดัง
“ลื้อเห็นอีเด็ดส้ม?”
เสียงชราเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น
แล้วชายชราหน้าตาเมตตาการุณก็เดินออกมาจากข้างใน
อาใช้กับอาลั้งเห็นปุ๊บก็ร้องขึ้นพร้อมๆกัน
“อาเหล่าแปะ”
“พ่อ..ออกมาทำไมครับ?” ผู้ใหญ่บ้านลุกขึ้นยืน ถามชายชราด้วยเสียงนอบน้อม




คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ธ.ค. 2555, 16:06:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ธ.ค. 2555, 16:06:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 1567





<< ตอนที่ 8   ตอนที่ 10 >>
อ้อย 26 ธ.ค. 2555, 20:03:50 น.
มาต่อไวไวนะคะ


หนอนฮับ 26 ธ.ค. 2555, 20:38:35 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account