The song of heart...เพลงหัวใจ
“กิดาหยัน” ช่างภาพสาวประจำนิตยสารเลิฟลี่โฮมเพิ่งฟื้นตัวจากการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจได้ไม่นาน ก็ต้องมาพบกับเรื่องราวอันแสนน่าเวียนหัวของพี่สาวฝาแฝด “กิดานันท์” ที่ยังคงตัดใจจากอดีตแฟนเก่าอย่าง"โยธิน" ไม่ได้ แถมเจ้าเพื่อนเวร (กิดาหยันเรียกเขาว่าอย่างนั้น) ยังมีชนักติดหลัง พา “กวินภพ” อดีตว่าที่พี่เขยที่แสนจะคุ้มดีคุ้มร้ายเข้ามาเกี่ยวพันกับคนป่วยอย่างกิดาหยันอีก

งานนี้ช่างภาพสาวจะหลุดพ้นจากมลทินที่กวินภพกล่าวหาว่าหล่อนเป็นภรรยาลับได้หรือไม่

**ข้อมูลทั้งหมดในเรื่องเป็นสิ่งที่ผู้เขียนค้นคว้าไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2553**
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 9

บทที่ 9




โทรศัพท์มือถือถูกวางลงบนโต๊ะทำงานเมื่อบทสนทนาจบลงภายในเวลาอันรวดเร็ว ราเมศยังคงมองโทรศัพท์บนโต๊ะราวกับต้องการมองทะลุไปถึงคู่สนทนาเมื่อครู่ มีเพียงเสียงผ่อนลมหายใจช้าแต่หนักหน่วงเลื่อนลอยไปตามอากาศ ก่อนที่ความอึมครึมภายในห้องจะถูกทำลายลงเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น



“เชิญ” ถึงแม้จะเป็นเพียงคำเอ่ยสั้นๆ แต่คนหลังบานประตูกลับได้รับถึงความหนักใจภายใต้น้ำเสียงนั้นได้ดี



ประตูจึงแง้มเปิดออกอย่างไม่มั่นคงนัก “ยุ่งอยู่รึเปล่าคะหมอ”



เจ้าของห้องระบายยิ้มได้หน่อยเมื่อเห็นว่าเป็นกิดาหยันนั่นเองที่เป็นเจ้าของเสียงเคาะประตู “เชิญครับคุณหยัน”



กิดาหยันเพียงยิ้มๆ นั่งลงฝั่งตรงข้ามราเมศ “ไหนคะของที่หมอบอกว่าจะให้ฉัน”



เมื่อคนป่วยถามขึ้นมาคุณหมอถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าได้นัดหล่อนเอาไว้เช้านี้ “อ๋อ ของใช่มั้ยครับ”



ราเมศเอ่ยพลางเปิดลิ้นชักหยิบอะไรบางอย่างออกมา “ผมขอโทษครับคุณหยัน เผอิญช่วงนี้ผมมีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย...นี่ครับ”



ของที่เขาว่าถูกขนาบกับพื้นโต๊ะส่งให้หล่อน “ญาติของคนป่วยฝากไว้ให้คุณครับ”



“ฝากให้ฉัน?” กิดาหยันมองสิ่งที่อยู่บนโต๊ะเพียงชั่วครู่ ก็คว้ามาถือไว้ในมือเรียบร้อย “ทำไมพวกเขาถึงนำมาให้ฉันล่ะคะ”



“ผมไม่รู้หรอกครับ ญาติของเธอบอกไว้แค่ว่าเธอฝากฝังให้ทางบ้านนำมาให้คนที่ได้รับหัวใจของเธอไป”



กิดาหยันยังคงจับจ้องไปที่กุญแจดอกเล็กในมือ กุญแจสีทองกลมเกลี้ยงซึ่งคล้องติดกับสายสร้อยสีดำทำมาจากกำมะหยี่ ชวนให้หญิงสาวมองเคลิ้ม ยิ่งผิวกุญแจกระทบกับแสงไฟนีออนบนเพดานห้องด้วยแล้วยิ่งทอแสงสีเหลืองอร่าม เป็นประกายจับใจกิดาหยันอย่างบอกไม่ถูก



“สวยจังค่ะ” กิดาหยันลูบไล้ไปบนปลายกุญแจที่ถูกออกแบบเป็นปีกนกโปร่งมนสวย “สภาพกุญแจยังดูดีอยู่เลยนะคะหมอ สงสัยเจ้าของคงดูแลมันเป็นอย่างดี หมอพอจะทราบมั้ยคะว่าเป็นกุญแจอะไร”



ราเมศส่ายหน้าเช่นเคย “เธอคงอยากให้คุณเก็บรักษามันไว้ต่อจากเธอ”



กิดาหยันนิ่วหน้าเล็กน้อย “น่าแปลกนะคะ ถ้าเธอรักกุญแจดอกนี้มาก ไม่น่าจะเสี่ยงให้คนแปลกหน้าอย่างฉันเก็บไว้แทนเลย ให้ญาติหรือคนใกล้ตัวที่เธอไว้ใจเก็บไว้น่าจะดีเสียกว่า”



“นั่นสิ ผมก็คิดเหมือนคุณ”



“งั้นหมอก็บอกฉันมาเสียทีสิคะว่าใครเป็นเจ้าของหัวใจของฉันกันแน่ ฉันจะได้ไปถามให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยไงคะ”



คำพูดล้อหลอกของคนป่วยทำให้คุณหมอหัวเราะ “ไม่ต้องมาหลอกผมให้ยากเลยคุณหยัน คุณก็รู้ว่ามันเป็นความลับของทางโรงพยาบาล หมอบอกคุณไม่ได้จริงๆ”



“ค่ะคุณหมอ ฉันทราบดี” ปากบอกว่าทราบดีแต่น้ำเสียงดูจะขัดกันพิกล



ราเมศเองก็เข้าใจความรู้สึกของคนป่วยดีจึงเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้เจ้าหล่อนอารมณ์ดีขึ้น “ผมบอกคุณรึยังว่าคุณพร้อมที่จะกลับไปทำงานได้แล้ว”



“จริงเหรอคะหมอ !” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนดวงหน้าบูดทันที



“ที่จริงผลตรวจคราวก่อน ร่างกายของคุณฟื้นตัวได้เกือบปกติแล้วล่ะ แต่ผมยังไม่อยากให้คุณหักโหมจึงอยากรอให้คุณพักฟื้นจนร่างกายอยู่ตัวมากกว่านี้ก่อน”



พอเห็นคนป่วยยิ้มบานเป็นกระด้ง จึงกระแอมขัด “แต่ที่ผมบอกคุณคราวนี้ไม่ใช่ว่าผมจะเห็นด้วยกับการที่คุณต้องกลับไปทำงานหนักๆ อย่างแต่ก่อนหรอกนะ ระยะแรกผมขอให้คุณหางานเบาๆ ทำไปก่อน เพื่อเตรียมร่างกายของคุณให้เข้าสู่สภาวะปกติด้วย และหมั่นออกกำลังกายบ่อยๆ อย่างที่คุณทำอยู่ทุกวันนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว แต่ที่สำคัญคุณห้ามลืมว่าตัวเองยังเป็นคนป่วยอยู่”



“ค่ะคุณหมอ สั่งยาวเหยียดขนาดนี้ สงสัยต้องเรียกให้พี่สาวฉันมาช่วยจำแล้วมั้งคะเนี่ย” กิดาหยันตั้งใจจะเรียกรอยยิ้มจากคุณหมอเสียหน่อย แต่แล้วหล่อนกลับสำลักคำพูดตัวเองเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ได้มีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย



ราเมศลุกขึ้นยืนเหนือศีรษะหล่อน “ถ้าคุณหยันไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมขอตัวทำงานก่อนนะครับ”



“เออ...ค่ะ” จู่ๆ อีกฝ่ายก็ตัดบทเล่นเอากิดาหยันต้องตั้งสติเล็กน้อย “ขอบคุณนะคะหมอที่ช่วยเป็นคนกลางให้ฉันกับญาติของหัวใจของฉันน่ะค่ะ”



“ไม่เป็นไรครับ เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว”



กิดาหยันลุกขึ้นยืนเสมอเขา แต่เพียงถึงหน้าประตู หล่อนก็หันกลับมาหาเขาทันทีที่นึกถึงเรื่องที่ฝากเขาไว้วันที่มาตรวจร่างกายกับเขาคราวก่อน “เออ...คุณหมอคะ แล้วเรื่องยาที่ฉันฝากให้หมอช่วยดูให้ ยาที่ฉันเจอในห้องน่ะค่ะ” รีบอธิบายเมื่อเห็นคุณหมอหน้านิ่วคิ้วขมวดยิ่งกว่าเก่า



“หมอรู้รึยังคะว่าเป็นยาอะไร”



หลังจากวันที่กิดาหยันเจอยาประหลาดนั้นตกในคอนโด หล่อนได้รับคำตอบจากพี่สาวฝาแฝดว่าเป็นยาบำรุงร่างกายที่ได้มาจากโรงพยาบาลตอนล้มป่วย ซึ่งน้องสาวไม่ได้ติดใจมากเท่าสีหน้ากระอักอ่วนยามตอบของกิดานันท์ที่ไม่แม้แต่สบตา คล้ายอีกฝ่ายไม่อยากให้หล่อนรู้เรื่องนี้ยังไงยังงั้น



เคืองตรงนี้แหละ อยู่คอนโดมิเนียมด้วยกันมาก็นาน ทำไมหล่อนถึงไม่เคยเห็นกิดานันท์ทานยาสักเม็ด ถ้าพี่สาวไม่เผลอทำยาตกไว้น้องสาวก็คงไม่มีวันรู้



คำถามนั้นทำให้ราเมศนิ่งไปอีกครา เสียงหนักใจของคนในสายโทรศัพท์เมื่อครู่ก่อนหน้าที่คนป่วยจะเข้ามาพบยังดังก้องในโสตประสาทของเขา



สัมผัสได้ถึงความหนักใจภายใต้สีหน้าเรียบเฉยนั้น “คุณจะอยากรู้ไปทำไมคุณหยัน”



ได้ยินคุณหมอผ่อนลมหายใจหนักหน่วงออกมา พลอยทำให้กิดาหยันใจหายวาบ



ราเมศมีสีหน้าเรียบเฉยจนขรึมลงไปถนัดตา เลือกที่จะไม่สบมองสาวตรงหน้ายามเอ่ยต่อว่า “เรื่องนั้นคุณสบายใจได้ อย่างที่ผมว่าไป ช่วงนี้นันท์ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ยาที่คุณเจอเป็นแค่ยาบำรุงร่างกายธรรมดาเท่านั้น”






**************************




กิดาหยันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาว่าเพิ่งเลยหัวค่ำมาไม่นานนัก คาดว่าพี่สาวคงยังไม่กลับจึงล้วงกุญแจในกระเป๋ากางเกงไขเปิดประตูห้อง เอื้อมมือกดเปิดสวิตช์ไฟ เดินเข้ามาได้ไม่กี่ก้าวต้องชะงักงันเพียงปากประตูเมื่อพบว่าในห้องไม่ได้ว่างเปล่าอย่างที่คิด หากทว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญนั่งเด่นตระหง่านอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์



ชายร่างสูงที่นั่งกุมขมับท่ามกลางความมืดเพียงลำพังยิ้มเนือยๆ ให้หญิงสาว เขาคงรู้ตัวว่าจะมีคนเข้ามาตั้งแต่ก่อนไฟสว่างแล้ว “กลับมาเสียดึกเลยนะหยัน”



“ไอ้โย ! กะ...แกเข้ามาในห้องนันท์ได้ยังไง”



โยธินชูดอกกุญแจให้เห็น “ฉันมีกุญแจสำรอง”



“นี่นันท์ให้แกเก็บกุญแจสำรองไว้ด้วยเหรอ”



อีกฝ่ายครางรับ ก่อนลุกขึ้นมาหาเพื่อน “เห็นนันท์บอกว่าแกย้ายมาอยู่ด้วยชั่วคราวฉันเลยซื้ออาหารเย็นมาเผื่อแก วางอยู่บนเคาท์เตอร์ครัวน่ะ” ชี้ไปที่ถุงกับข้าวอีกถุงที่วางอยู่ข้างกัน “ส่วนนี่ของนันท์”



พอเห็นกิดาหยันจะอ้าปากค้านจึงรีบแทรก “ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันกินมาแล้ว”



“แกเข้ามาในห้องนานรึยัง” กิดาหยันไม่ยอมพูดเรื่องเดียวกับเขา ตอนนี้หูของหล่อนอื้ออึงไม่ยอมรับฟังคำใดทั้งสิ้น รู้แต่เพียงว่าต้องการไล่ไอ้เพื่อนทรยศออกไปจากห้องให้เร็วที่สุด



โยธินไม่ยอมสบตา มิหนำซ้ำยังเดินกลับไปนั่งหน้าโทรทัศน์หน้าตาเฉย “แกอย่ามาไล่ฉันไปให้ยากเลยหยัน ตอนนี้ฉันไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้วจริงๆ คืนนี้ฉันขอพักที่นี่สักคืนนะ”



“ไม่มีทาง ! แกกลับไปได้แล้ว และไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก ตราบใดที่ฉันยังพักอยู่ที่นี่ แกอย่าหวังเลยว่าจะได้ยุ่งเกี่ยวกับนันท์”



“แต่แกไม่เข้าใจ”



“ใช่ ฉันไม่เข้าใจ ! ไม่เข้าใจว่าแกมีผู้หญิงที่จะต้องแต่งงานเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วแล้วยังมายุ่งเกี่ยวกับพี่สาวฉันอีกทำไม ! แกไม่สงสารนันท์บ้างเลยเหรอ แค่นี้นันท์ก็แย่พอแล้ว...อย่าเข้ามาวุ่นวายชีวิตฉันกับนันท์อีก...ฉันขอร้อง”



โยธินไม่ตอบ และนั่นยิ่งทำให้กิดาหยันเหลืออด ต้องพยายามข่มใจไม่ให้พุ่งไปชกหน้าคนดื้อดึงตรงหน้า



ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาใดตอบกลับมากิดาหยันเลยจำต้องนั่งลงข้างๆ แต่แล้วหล่อนกลับสัมผัสได้ถึงความอึดอัดที่ปกคลุมอยู่รอบกาย ในระยะใกล้ทำให้หล่อนสามารถเห็นใบหน้าของเพื่อนทรยศชัดเจน ตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นสีหน้าของเขาอิดโรยอย่างกับคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน



มีเพียงเสียงถอนใจแรงทำลายความเงียบนั้น “แกคงยังไม่รู้ว่าผู้หญิงที่ฉันจะแต่งงานด้วย...ตายแล้ว”



“ตายแล้ว !” กิดาหยันถึงกับเบิกตากว้างเท่าไข่ห่าน ช่วงนี้พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกรึไงเนี่ย มีแต่คนมาเล่าเรื่องคนตายให้ฟัง จะมีใครรู้บ้างมั้ยว่ากิดาหยันคนนี้ก็กำลังจะปวดหัวตายตามไปอยู่แล้ว



“ตายได้ยังไง ละ...แล้วตายเมื่อไหร่”



คำถามนั้นสร้างความทุกข์ใจแก่โยธินไม่น้อย ลูบหน้าตัวเองแรงหวังจะช่วยคลายความทุกข์นั้นได้บ้าง ก่อนเล่าด้วยเสี่ยงสั่นเครือว่า “เขากินยาฆ่าตัวตายเพราะฉัน...เพราะฉันแท้ๆ หยัน...ฉะ...ฉันทำให้เขาต้องตาย”



“โย...” กิดาหยันช็อคไปเหมือนกันที่จู่ๆ เพื่อนเกิดร้องไห้ออกมา



โยธินปาดน้ำตาออกจากแก้มทั้งที่ยังคงร้องไห้ปากสั่น กุมขมับแน่นเอาแต่พูดคำซ้ำๆ เดิมๆ ราวคนเสียสติ “ฉันไม่น่าทำผิดต่อเขาเลย ถ้าฉัน...ถ้าฉันกล้าบอกเขาตรงๆ สักนิดว่ามีนันท์อยู่แล้วทั้งคน หรือไม่...ถ้าฉันพยายามตัดใจจากนันท์ เขาคงไม่ต้องมาจบชีวิตเพราะผู้ชายอย่างฉัน ฉันมันเลว เลวที่สุด”



“พอแล้วไอ้โย แกจะด่าตัวเองให้มันได้อะไรขึ้นมา”



พอเห็นเพื่อนเวรเริ่มไม่มีสติ กิดาหยันจากที่จะด่าไล่กลายเป็นบีบไหล่ที่สะท้านตามแรงสะอื้นไห้ปลอบ ไม่รู้ว่าความรู้สึกโกรธเกลียดผู้ชายตรงหน้าเมื่อครู่มลายหายไปไหนหมด



“ฉันว่าแกสงบสติอารมณ์ก่อนเถอะ ถึงจะร้องไห้ไปเขาก็ไม่มีทางฟื้นขึ้นมา เผลอๆ แกจะทำให้ดวงวิญญาณของเขาไม่ไปผุดไปเกิดเปล่าๆ”



โยธินยังคงก้มหน้ากับฝ่ามือตัวเอง แต่ไม่มีคำพูดใดออกมาอีก กิดาหยันจึงเป็นฝ่ายถาม “เรื่องนี้นันท์รู้รึเปล่า”



โยธินพยักหน้ารับ “ตอนนั้นแกนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันเลยบอกนันท์ว่าไม่ให้เล่าเรื่องนี้ให้แกฟัง”



ขอบคุณไอ้เพื่อนเลว ตกลงเรื่องนี้มีหล่อนคนเดียวที่ไม่รู้ใช่มั้ย !



“ฉันกลัวว่าแกจะอาการทรุดหนักลงเพราะเรื่องบ้าๆ ของฉันน่ะ”



“ฉันเลิกเอาเรื่องบ้าๆ ของแกเก็บไปคิดให้รกสมองนานแล้วโว้ย”



คำตอบตรงๆ ของเพื่อนสาวทำให้โยธินยอมเงยหน้าสบตาเพื่อนได้หน่อย แม้ว่าสีหน้าจะขมขื่นก็ตาม “ฉันคงดูแย่ในสายตาของแกกับนันท์มากเลยสินะ”



“รู้ตัวก็ดีแล้ว” ไม่พูดเปล่าเจ้าหล่อนยังพิงหลังกับพนักโซฟาไม่ใส่ใจในสีหน้าของเพื่อนที่ซีดลงถนัดตา



“ที่บ้านผู้หญิงเขารู้เรื่องแกกับนันท์ด้วยรึเปล่า”



“ฉะ...ฉันไม่แน่ใจ...พักหลังมานี้ฉันกับเขาทะเลาะกันบ่อย ฉันเลยห่างๆ ออกมา ที่บ้านเขาคงอาจคิดว่าลูกสาวเขาฆ่าตัวตายเพราะเสียใจที่ผิดใจกับฉัน”



กิดาหยันนิ่วหน้าคิดตามที่เพื่อนเล่า แม้ว่ามันจะเป็นข้อสันนิษฐานที่เห็นแก่ตัวสิ้นดีแต่เมื่ออีกฝ่ายสบายใจที่จะคิดเช่นนั้นหล่อนจึงไม่อยากเอ่ยต่อให้มากความ



ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำได้ไม่นานก็ลุกขึ้นยืนค้ำศีรษะอีกฝ่าย “ฉันว่าแกกลับไปงีบที่บ้านสักตื่นเถอะ เผื่อความคิดดีๆ มันจะผุดขึ้นมาในหัวสมองแกบ้าง ไม่ใช่มานั่งร้องไห้ฟูมฟายเป็นเด็กอนุบาลแบบนี้ คอนโดพี่สาวฉันไม่ใช่ที่พักใจของแกนะไอ้โย”



โยธินลุกตามเพื่อน หากทว่า...กลับเดินเลี่ยงไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูกระจกใสบานเลื่อนฝั่งระเบียง



ชายร่างสูงทอดมองความมืดด้านนอกอย่างไร้จุดหมาย เช่นเดียวกับจิตใจของเจ้าตัวที่ลอยเคว้งไปไกลตามห้วงอากาศ...จมดิ่งอยู่ในภวังค์ “ตั้งแต่ฉันรู้ว่าเขาตายเพราะความเลวของฉัน ไม่มีคืนไหนเลยที่ฉันไม่คิดถึงเขา...แกไม่รู้หรอก...ว่าการที่ต้องสูญเสียคนที่เรารักไป...มันเจ็บปวดแค่ไหน”



“โย...” กิดาหยันเอ่ยได้เท่านั้น ยามนี้เพื่อนของหล่อนเอาแต่เหม่อมองไปไกลแสนไกล ยากที่จะฉุดรั้งให้กลับมาได้อีกแล้ว



“ไม่ว่าฉันจะทำอะไร ฉันเห็นแต่ภาพเขาวนเวียนอยู่ในหัวสมองตลอดเวลา...เหมือนกับ...เขายังอยู่ใกล้ๆ ฉัน ฉันเห็นเขายิ้ม...เขาหัวเราะให้ฉัน...และเสียน้ำตาเพราะฉันในเวลาเดียวกัน บางครั้งมันทำให้ฉันลืมไปด้วยซ้ำว่าไม่มีเขาอยู่ตรงนี้แล้ว เขาจากฉันไปแล้ว...แกเข้าใจฉันมั้ยว่าเขาจากฉันไปแล้ว”



กิดาหยันยังคงจับจ้องมาที่เพื่อน ทำไมหล่อนจะไม่เข้าใจ...ในเมื่อเวลานี้หล่อนไม่ได้รู้สึกต่างไปจากโยธินเลย ภาพยามที่เขายิ้มและร้องไห้ให้กับสิ่งที่เล่า...สะเทือนใจหล่อนไม่แพ้กัน



รู้สึกร้อนผ่าวบริเวณขอบตาจนต้องเสมองไปทางอื่น ไม่อยากสบแววตาเจ็บปวดรวดร้าวคู่นั้น นี่หล่อนต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ ที่มาทนฟังเจ้าเพื่อนเห็นแก่ตัวพล่ามถึงผู้หญิงคนอื่น !



“เลิกเพ้อได้แล้วไอ้โย ถ้าขืนฉันได้ยินแกพูดแบบนี้กับนันท์ฉันจะต่อยปากแก”



ท่าทางเอาเรื่องไม่ได้ช่วยให้โยธินสำนึกแต่อย่างใด ริมฝีปากหนาเผยยิ้มที่มุมปากให้หญิงสาว เอ่ย...ทั้งที่ยังมองเหม่อไปในความมืดนั้น “แกไม่กล้าต่อยฉันหรอกหยัน เพราะฉันรู้ว่าแกมีความรู้สึกดีๆ ให้ฉันไม่ต่างไปจากนันท์”



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ม.ค. 2556, 10:24:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ม.ค. 2556, 10:24:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 1300





<< บทที่ 8   บทที่ 10 >>
Auuuu 7 ม.ค. 2556, 11:16:30 น.
น่าจะไม่ใช่ยาบำรุงธรรมดา
เฮ้ยยยย หยัน ชอบโยธินด้วยเรอะะะะ


lovemuay 7 ม.ค. 2556, 21:11:07 น.
ฮื้ม สังหรณ์ว่าพระเอกมาเจอ แล้วยิ่งเข้าใจผิดไปกันใหญ่


สรัน 8 ม.ค. 2556, 20:04:03 น.
หมวยลางสังหรณ์แม่นมาก!


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account