ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ

เขา... นายตำรวจหนุ่ม

เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ

ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น

แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ

แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ

ตอน: บทที่ 4 (เริ่มต้น... 2)

บทที่ 4
(เริ่มต้น 2)

ดลินาค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ แสงสว่างที่ลอดหน้าต่างเข้ามาแยงตา ดลินามองไปรอบๆ ห้องสีขาวที่ไม่คุ้นตาอย่างมึนงง เมื่อเธอมองพิจารณาดีๆ แล้วก็เห็นว่าห้องนี้ไม่ใช่ห้องของเธอ คราวนี้เธอก้มลงสำรวจรอบๆตัวเอง เสื้อผ้าที่เธอใส่ก็เป็นเสื้อผู้ป่วยของโรงพยาบาล เข็มน้ำเกลือที่ปักอยู่ที่แขนขวาของเธอ ดลินาจึงสรุปได้ว่าตัวเองอยู่โรงพยาบาล เสียงเปิดประตูที่ดังขึ้น ทำให้เธอหันไปมองก็เห็นพยาบาลคนที่ไปกับรจนาเพื่อตรวจอาการของเธอที่บ้าน คุณพยาบาลคนนั้นเดินส่งยิ้มมาให้เมื่อเห็นว่าดลินาตื่นขึ้นแล้ว

“ตื่นแล้วหรือคะ เป็นอย่างไรบ้างคะ”

คุณพยาบาลถามอย่างเป็นกันเอง

“ดีขึ้นแล้วค่ะ แต่ว่ายังรู้สึกมึนๆ อยู่เหมือนกัน แล้วฉันมาที่นี้ได้อย่างไรคะ”

“ก็หมอแยมเป็นคนไปลากคุณมาน่ะสิคะ”

“หมอแยม!? แม่ตัวดีนั้นหรือคะ”

“ใช่ค่ะ”

คุณดวงพรพูดขณะที่วัดความดันของดลินาไปด้วย เมื่อคุณพยาบาลวัดความดันแล้วจดอะไรขยุกขยิกใส่กระดาษก่อนจะเดินออกจากห้องไปพอดีกับจังหวะที่รจนาเดินเข้ามา

“อะไร นินทาอะไร ฉันได้ยินนะ”

“เปล่า... ไม่มีอะไรสักหน่อย”

คนป่วยตอบปฏิเสธเสียงสูง จนคนฟังต้องเหล่ตามองอย่างไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่

“หมอแยม แกเป็นคนไปลากฉันมาที่โรงพยาบาลหรอ”

“เปล่า... แกคิดว่าฉันมีปัญญาแบกแกมาอย่างนั้นหรอ”

รจนาถามขณะที่ดูถุงน้ำเกลือของดลินาไปด้วย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“แล้วใครพาฉันมา”

“แกอยากรู้จริงๆหรอ”

สายตาระยิบระยับจากคุณหมอคนสวยยิ่งทำให้ดลินาอยากรู้ความจริงเข้าไปใหญ่

“แกอยากรู้ใช่ไหม”

รจนาถามย้ำดลินาอีกครั้ง แล้วคนที่ตัวเล็กกว่ารจนาก็พยักหน้าเบาๆเป็นคำตอบ รจนายิ้มให้อย่างมีเล่ห์นัย
“คนที่พาแกมาโรงพยาบาลคือ....”

รจนาเว้นช่วงว่างไว้ยาวๆ เพื่อให้เพื่อนของเธอลุ้น

...คิดว่าเป็นคุณศิวกรล่ะสิ ดูหน้าแม่คุณหน้าตาย่างกับรอลุ้นรางวัลใหญ่อะไรสักอย่าง ตลกดี!...

“คนที่อุ้มแกมา...”

รจนาเว้นช่วงอีก คราวนี้ดลินาชัดรำคาญกับรจนาแล้ว

“โอ้ยแก!!! ลีลาจริงวุ้ย!... ฉันไม่อยากจะรู้แล้วไม่ต้องบอกแล้ว ฉันจะนอนป่ะ นู้น!...ประตูออกไปเลย ไป๊!!”

ว่าแล้วดลินาก็นอนหันหลังให้รจนทันที

“เฮ้ย!!! เดี๋ยวสิ… แกไม่อยากรู้แล้วหรอ?”

“ไม่อยากรู้แล้ว”

“ขี้งอนเสียด้วย ในเมื่อแกไม่อยากรู้แล้ว ฉันไม่บอกก็ได้”

รจนาพูดอย่างคนที่เหนือกว่า เพราะรู้ดีว่าอีกไม่นานเพื่อนคนนี้ต้องง้อให้เธอบอกแน่นอนว่าใครเป็นคนพาเธอมา แต่ครั้งนี้รจนาคิดผิด เพราะว่าดลินาไม่ยอมหันมาง้อเธอเหมือนปรกติ รจนาจึงได้ชะโงกหน้าไปดู แล้วก็ถึงกับทำหน้าเหรอเลยทีเดียว

“แล้วกัน หลับไปแล้วก็ไม่บอกปล่อยให้พูดอยู่คนเดียวเสียตั้งนาน”

รจนาบ่นกระปอดกระแปดเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองพูดอยู่คนเดียว กะจะแกล้งต่ออีกสักหน่อยแต่แม่ตัวดีกลับหลับไปเสียได้... เสียดาย

************************************************************

เสียงเพลงที่ดังอึกทึกครึกโครมจนน่าปวดหัว กับห้องที่เปิดไฟสลัวๆ บวกกับแสงไฟที่หลากหลายสีแวะวับจนลายตา และบรรดาเหยี่ยวราตรีทั้งหลายที่เต้นกันอย่างสนุกสุดเหวี่ยง โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

“ไวท์ไวน์” สถานบันเทิงยามราตรี เหยี่ยวราตรีทั้งชายและหญิงกำลังเมามันกับเสียงเพลงบวกกับฤทธิ์แอลกอฮอร์ที่ดูเหมือนว่าจะเกิดกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้มากพอสมควร แสงไฟที่เปิดพรึบขึ้นมาและเสียงเพลงที่หยุดอย่างกะทันหัน ทำให้บรรดาเหยี่ยวราตรีไม่พอใจอย่างมาก ต่างตะโกน สบถออกมาอย่างหยาบคายที่ถูกขัดจังหวะด้วยความฉุนเฉียว

เหล่าเจ้าหน้าที่ทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบต่างก็กรูกันเข้ามาภายในสถานบันเทิง ทำให้นักเที่ยวบางคนถึงกับตกใจลนลาน แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่ดูจะชินกับการบุกตรวจอย่างกะทันหันของตำรวจเสียแล้ว ศิวกรและทนงศักดิ์เดินตามหลังผู้บังคับบัญชาของตนมาติดๆ ส่วนนายตำรวจชั้นผู้น้อยก็พาแยกย้ายกับไปปฏิบัติหน้าที่ของตน ศิวกรมองไปรอบๆ สถานเริงรมย์นั้นอย่างไม่พอใจ

“แหล่งมั่วสุมชัดๆ พ่อแม่มาเห็นคงเสียใจน่าดูที่เห็นลูกตัวเองเป็นอย่างนี้”

เขาพูดแทบจะเป็นเสียงกระซิป แต่มันก็ดังพอที่เพื่อนของเขาจะได้ยิน

“ใช่!... แหล่งมั่วสุม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก”

ศิวกรไม่ตอบเพราะรู้อยู่เต็มอกว่าอะไรเป็นอะไร ทนงศักดิ์เองก็หนักใจไม่แพ้กันเพราะคนที่หนุนหลังร้านแห่งนี้ยากที่จะต่อกรด้วย ความรู้สึกคับแค้นใจต่อความอยุติธรรมนี้อำนาจเงินที่อยู่เหนือความถูกต้อง ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนย่อมมีคนเลวอยู่ในหมู่คนดีปะปนเสมอ ถึงแม้จะมีไม่กี่คนแต่ก็ส่งผลต่อภาพพจน์ให้เสื่อมเสียทั้งองค์กร เปรียบเสมือนปลาเน่าตัวเดียวยังเหม็นทั้งเข่ง ไม่นานนักผู้ชายรูปร่างใหญ่กำยำสวมเสื้อสูทสีดำดูเหมือนกับพวกมาเฟียเดินเข้ามาหาพวกเขา

“คุณก้องภพเชิญผู้กำกับขึ้นไปพบที่ห้องครับ”

ศิวกรและทนงศักดิ์มองผู้บังคับบัญชาของตน ก่อนผู้เขาจะเห็นเจ้านายของตนพยักหน้ารับ แล้วหันมาพูดกับพวกเขา

“ผู้กองศิวกร กับผู้กองทนงศักดิ์ เดี๋ยวตามผมขึ้นไปด้วย ส่วนทางนี้หมวดอรุณดูแลความเรียบร้อยด้วยนะ”

“ครับผม”

ทั้งสามคนรับคำอย่างขันแข็ง ศิวกรและทนงศักดิ์ เดินตามหลังนายของตนไปอย่างเงียบๆ แต่พวกเขารู้ดีว่าเจ้านายของตนต้องการให้พวกเขาทั้งสองคนได้เห็นหน้าเจ้าของของที่นี่ แล้วจะได้รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป
ภายในห้องทำงานสุดหรูบนชั้น 3 ซึ่งมีกระจกมองเห็นด้านเดียวติดอยู่ที่ผนัง ทำให้คนในห้องสามารถมองเห็นผู้คนที่อยู่ในสถานบันเทิงแห่งนั้นได้อย่างถนัดตา ก้องภพนั่งอยู่บนเก้าอี้เอนหลังอย่างสบายๆ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรนัก เมื่อประตูเปิดขึ้นก่อนตามมาด้วยร่างของผู้รักษาสันติราษฎร์ 3 นาย แต่เขาก็นั่งคงนั่งอยู่อย่างนั้นด้วยท่าทางที่กร่างอย่างท้าทาย

“สวัสดีครับท่านผู้กำกับ และผู้ติดตามทั้ง 2 นาย วันนี้บุกมาถึง “ไวท์ไวน์” ของผม ไม่ทราบว่ามีอะไรให้รับใช้หรือเปล่าครับ”

ก้องภพพูดอย่างคนที่เหนือกว่า วางมาดด้วยท่าทางที่หยิ่งยโส ทั้งศิวกรและทนงศักดิ์ถึงกับฉุนขึ้นมาทันที แต่ท่านผู้กำกับยังคงนิ่งยากนักที่จะคาดเดาได้ว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับคุณก้องภพ ผมมาตรวจตามปรกติก็เท่านั้น ทำอย่างกับคุณไม่รู้ระเบียบอย่างนั้นแหละ ทั้งที่คุณพ่อของคุณเป็นถึงอดีตนายตำรวจใหญ่แห่งกรมตำรวจนะครับ”

“พูดตรงไปตรงมาดีนะครับ”

ฝ่ายหนึ่งจ้องมองอย่างไม่เกรงกลัวบารมีใครทั้งนั้น ส่วนอีกฝ่ายก็มองอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกันเพราะมีคนหนุนหลังอยู่ ก้องภพละสายตาจากท่านผู้กำกับสุวัตรแล้วมองสองนายตำรวจที่ติดตามมาด้วยอย่างดูถูกเหยียดหยาม

...หึ!! มีแต่พวกกระจอกทั้งนั้น พวกแกจะทำอะไรฉันได้...

นายตำรวจทั้งสองต่างก็อ่านสายตาที่ก้องภพมองมายังพวกเขาอย่างเดือดปุดๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

“ถ้าคุณตรวจเสร็จแล้วก็เชิญออกไปจากที่ทำมาหากินของผมด้วยนะครับ เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าผมจะเสียรายได้ไปพอสมควรเพราะพวกคุณ เชิญครับ”

ก้องภพพูดอย่างมะนาวไม่มีน้ำ แต่ผู้กำกับสุวัตรกลับนิ่งเงียบไม่โต้ตอบอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ลูกน้องของเขาทั้งสองกลับเดือดเนื้อร้อนใจแทน ถ้าทำได้ป่านนี้พวกเขาคงส่งก้องภพไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลแล้ว

ท่านผู้กำกับเดินนำหน้าลูกน้องของเขาออกมาจากห้องที่สกปรกนั้นอย่างเงียบเฉียบ พวกเขาเดินลงมายังชั้น 1 กันตามลำพัง

“พวกคุณคิดว่าโอกาสที่จะเอาชนะนายก้องภพได้เป็นเท่าไหร่”

“ถ้าคะแนนความมั่นใจเต็ม 100 ผมให้ 150 เลยครับนาย”

“มั่นใจขนาดนั้นเลยหรือผู้กองทนงศักดิ์? แล้วศิวกรคุณคิดว่าไง?”

“ผมคิดว่าคงต้องดูกันไปอีกนานเลยครับ คู่ต่อสู้ค่อนข้างจะเอาชนะยากอยู่เหมือนกัน... ถ้าเราวางแผนดีๆ ศึกนี้เราอาจชนะได้”

“ดีมากผู้กอง...เพราะฉะนั้นผมมีงานที่จะมอบหมายให้คุณทำ”

สุวัตรดูจะพอใจในคำตอบของศิวกรและทนงศักดิ์เป็นอย่างมาก และเชื่อทั้งสองคนจะต้องสามารถที่จะทำคดีที่ยากจะชนะได้อย่างแน่นอน

************************************************************

ดลินาได้สวมผ้ากันเปื้อนอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปจากมันถึง 5 วันเต็มๆ เธอเตรียมเข้าครัวเพื่อเตรียมทำขนมที่จะเอาไปขายในวันนี้ เธอทำมันอย่างตั้งอกตั้งใจและใส่ใจในการทำขนมทุกขั้นตอน เพื่อขนมที่ออกมานั้นจะได้อร่อยและมีคุณภาพที่ดี ดลินาจัดแจงทุกอย่างภายในร้านตามลำพังเช่นเคย จึงต้องใช้เวลาในการเตรียมทุกอย่างให้พร้อมนานพอสมควร และกว่าที่เธอจะเปิดร้านได้ก็ปาเข้าไปเกือบจะ 8 โมงครึ่งแล้ว และไม่นานหลังจากที่เปิดร้าน ลูกค้าก็เข้าร้านอย่างไม่ปล่อยให้เธอได้พักก่อนเลย

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นงานที่หนักสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอทำก็ตาม แต่มันให้ความสุขทางใจกับเธอเป็นอย่างมาก อาชีพในฝันที่อยากทำมานาน วันนั้นทั้งวันดลินาง่วนอยู่กับงานบริการจนไม่มีเวลาให้จิตใจฟุ้งซ่านไปไหนต่อไหน จนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า แสงไฟจากเสาไฟฟ้าที่เริ่มเปิดให้แสงสว่างแก่ผู้ใช้รถใช้ถนนในยามค่ำคืนมองเห็นเส้นทางในการจราจร ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งก็เดินเข้ามานั่งยังโต๊ะตัวในสุดที่ประจำของเขา ตอนนั้นเขาเป็นลูกค้ารายเดียวภายในร้าน

ดลินาเดินออกมาหน้าร้านเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครเธอถึงกับหน้าบูดทันที ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจดลินารู้สึกน้อยใจขึ้นมา เธอเดินหน้ายู่หันหลังกลับไปที่หลังร้านแทนที่จะเดินออกไปหน้าร้านอย่างที่ทำเป็นประจำ ศิวกรเองก็รู้สึกว่าเธอเดินออกมาที่หน้าร้านแล้ว แต่ว่าทำไมถึงไม่เดินมาหาเขาเสียที ด้วยความสงสัยเขาจึงลืมตาขึ้นมาก็พบกับความว่างเปล่าเหมือนกับตอนที่เดินเข้ามาในร้านไม่มีผิดเพี้ยน เขาจึงตัดสินใจที่จะเดินไปหาเธอเองที่หลังร้าน

เมื่อเขาเดินเข้าไปหลังร้านก็เห็นดลินากำลังทำความสะอาดหลังร้านอยู่ เขาจึงอยู่พิงที่ประตูทางเข้ายืนดูเธอทำงานอย่างสบายอารมณ์ จนกระทั่งเธอจัดการหลังร้านเสร็จเขาจึงเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร

“มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ”

“ไม่มีค่ะ”

“นี้ก็ทุ่มกว่าแล้ว ผมช่วยคุณปิดร้านนะ”

“ไม่ต้องค่ะ ทำเองได้”

“ไม่เป็นไรหรอกครับผมเต็มใจช่วย”

ไม่รอเจ้าของร้านอนุญาตศิวกรก็จักแจงช่วยจัดการเอาบานเลื่อนและมู่ลี่ผ้าลงทันที พร้อมกับปิดไฟบางดวงที่ไม่จำเป็น เขาเดินกลับมาหลังร้านอีกครั้งเพื่อจะไปหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาด ก็เห็นหญิงสาวยืนนิ่งเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ด้วยความเป็นห่วงศิวกรเดินเข้าไปใช้ฝ่ามือของตัวเองเพื่อจะวัดอุณหภูมิของหญิงสาวที่หน้าผากเพราะกลัวว่าเธอยังไม่หายดี

“รู้สึกไม่สบายหรือครับ คุณยังไม่หายดีใช่ไหม”

เมื่อได้สติหญิงสาวเบี่ยงตัวหลบถอยหนึ่งก้าวหนีไปตั้งหลักด้วยอาการตกใจปนเขินอาย

“คุณทำอะไรน่ะ!!”

“ก็วัดไข้ไงครับ กลัวคุณยังไม่หายดี”

“ถ้าเรื่องนั้นฉันหายดีแล้วค่ะ สนใจด้วยหรอคะ”

พูดจบก็หันหน้าหนีไม่อยากมองคนใจร้ายนานนัก ศิวกรมองอาการของคนตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้าแต่ไม่ยอมมองสบตากับเขาอย่างขำขัน มีหรือที่เขาจะดูไม่ออกว่าตอนนี้อารมณ์ของดลินา “งอน” เขาอย่างเห็นได้ชัด… แต่ว่าเธองอนเรื่องอะไร เขาทำผิดตรงไหน เขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ

“ขำอะไรคะ?”

ร่างบางดูจะไม่พอใจที่ได้ยินเสียงเขาหัวเราะใบๆ อยู่ในลำคออย่างหาเรื่อง

“ขำเด็กขี้งอนน่ะครับ... พอดีผมรู้จักเด็กน้อยอยู่คน เขากำลังงอนผมอยู่... ส่วนสาเหตุที่เธองอนผมนั้นต้องบอกตามตรงว่าไม่รู้จริงๆ”

“ทำไมคุณไม่ไปถามเด็กน้อยคนนั้นเสียล่ะ คุณจะได้รู้ว่าเธองอนเรื่องอะไร”

“ไม่กล้าถามครับ... กลัวว่าถ้าถามไปแล้วจะงอนเข้าไปใหญ่ แค่นี้เขาก็งอนผมแก้มป่องแล้วล่ะครับ”

“อย่างคุณเนี่ยนะไม่กล้าถาม!?”

ดลินาถามเสียสูง หันหากลับมาอีกครั้งคนตัวโตประชิดตัวมาอยู่ตรงหน้า สิ่งที่เธอเห็นบนใบหน้าคมเข้มนั้นก็คือรอยยิ้มละไม แววตาระยิบระยับ แทนที่เธอจะรีบหลบสายตาเขา เธอกลับจ้องตอบอย่างท้าทาย …จ้องก็จ้องวะ ฉันไม่ยอมแพ้นายหรอกนายคนขี้เก๊ก ชิ!!!

ต่างคนต่างก็จ้องกันอย่างไม่มีใครยอมลดละ จ้องกันอยู่นานสองนานสุดท้ายดลินาก็ต้องเป็นฝ่ายที่ยอมแพ้หันหน้าหนีก่อนพร้อมกับใบหน้าที่ดูจะแดงขึ้นเรื่อยๆ เพราะไปเจอกับสายตาหวานซึ้งจากศิวกรเข้าไปเต็มๆ

“แล้วตกลง เด็กน้อยคนนี้งอนผมเรื่องอะไร”

“ไม่บอกค่ะ”

“หรือว่างอนที่ผมไม่ไปเยี่ยมคุณที่โรงพยาบาล”

ดลินาเงียบไม่เอื้อนเอ่ยอะไรออกมา ...รู้แล้วยังจะมาถามอีก

“คุณออกมาจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่?”

“มะ เมื่อ...เมื่อวานตอนเช้า”

เสียงเริ่มไม่มั่นคง ใจเริ่มเต้นแรงตามจังหวะที่ชายหนุ่มเริ่มเดินไล่เธอเข้ามาเรื่อยๆ ความกล้าหายไปอักโข
“แล้วทำไมคุณไม่นอนพักผ่อนอีกสัก 2 วัน รอให้ร่างกายแข็งแรงกว่านี้แล้วค่อยมาเปิดร้าน”

“นอนพอแล้วค่ะ”

“แต่ก็น่าจะพักอีกสักนิดนะครับ ผมเป็นห่วง”

คนหนึ่งก้าวไปข้างหน้า คนหนึ่งก้าวถอยไปข้างหลัง ดลินารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเหมือนลูกแกะที่โดนหมาป่าไล่ต้อน ยิ่งฟังเขาพูดหัวใจของเธอก็ยิ่งอ่อนแอ

“ฉันต้องหาเงินส่งร้านนะคะ ขืนไม่มีเงินไปจ่ายเขาแล้วร้านถูกยึดไปฉันจะทำอย่างไรล่ะ”

“ผมก็จะดูแลคุณเอง”

“คุณอย่าพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นสิคะ”

“แล้วถ้ามันเป็นไปได้ล่ะครับ...ผมยินดีที่จะดูแลคุณชั่วชีวิต”

น้ำเสียงอ่อนโยนทว่าหนักแน่นทำให้ดลินาน้ำตาคลอรู้สึกตื้นตันกับสิ่งที่ได้ยิน เขาจะรู้หรือไม่ว่าคำพูดของเขาทำให้เธอดีใจมากแค่ไหน ตั้งแต่เสียผู้เป็นมารดาไปเมื่อสองปีก่อน เธอรู้สึกโดดเดี่ยวและต้องการใครสักคนมาคอยดูแลยามเธอเหนื่อยล้า ให้กำลังใจยามเธอท้อ คอยปลอบโยนยามเธอเสียใจ ถึงแม้จะพยายามทำตัวให้เข้มแข็งมากแค่ไหน แต่สุดท้ายเธอก็หนีไม่พ้นคำว่า “อ่อนแอ” อยู่ดี

สุดที่จะห้ามไหวน้ำตาที่อัดอั้นมานานก็ไหลริมจากดวงตาคู่สวยทันที ตั้งแต่รู้จักกับศิวกรทำไมถึงเป็นคนมีอารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้ได้นะ ส่วนชายหนุ่มเองทำอะไรไม่ถูกไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เห็นน้ำตาหยดแรกร่วงหล่นจากดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น ยิ่งนานเข้าหญิงสาวก็ดูจะสะเอื้อนหนักขึ้นเรื่อยๆ ศิวกรทำอะไรไม่ถูกยืนมองหญิงสาวที่เอามือปิดหน้าร้องไห้อย่าว้าวุ่นใจ

“อย่าร้องไห้สิครับ ผมเห็นคุณร้องไห้แล้วทำอะไรไม่ถูก”

ศิวกรโอบร่างของหญิงสาวอย่างปลอบโยน ดลินาซบหน้าร้องไห้โดยมีมือหนาคอยตบหลังเบาๆ หวังช้วยปลอบให้หญิงสาวหายจากความเศร้า น้ำตาหยุดไปได้สักพักดลินาได้ยินเสียเขาถอนหายใจถึงได้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อตั้งตัวถึงเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองถูกชายหนุ่มกอด แถมเธอเองก็ซบอกเขาร้องไห้ เสื้อนอกของเขาปรากฏหยาดน้ำตาซึมไปดวงไว้เป็นหลักฐาน ศิวกรรู้ว่าหญิงสาวหยุดร้องไห้นานแล้วแต่ก็ไม่ยอมปล่อย อ้อยเข้าปากช้างแล้วยากจะคายออก ใบหน้ารูปหัวใจเริ่มแดงซ่าน เริ่มขยุกขยิกพยายามดิ้นออกจากร่างหนาที่โอบกอดเธออยู่

“ปะ ปล่อยได้แล้วค่ะ ฉันสบายดีแล้ว”

ดลินาพูดเสียงตะกุกตะกัก

“แหม่... ขืนปล่อยเสียดายแย่ โอกาสงามๆ แบบนี้หายากนะครับ”

“เอาเปรียบกันนี้”

ไม่รู้เพราะว่าเขินหรือว่าโกรธกันแน่ เลยทุบอักเข้าไปหนึ่งทีไม่มีโอมแรง ศิวกรถึงกับร้องอุ๊กเพราะเจ็บ ดลินาอาศัยจังหวะนี้ดีดตัวเองออกมาจากอ้อมกอดที่สุดแสนชวนให้ใจหวิวนั้น ถอยหนีไปตั้งหลักอีกฝากของโต๊ะ ทิ้งให้คนตัวโตลูบหน้าอกหน้าใจของตนร้องอูยเพราะความเจ็บ

“ใจร้าย... ทุบมาได้ผมเจ็บนะครับ”

“ก็.. ก็ใครใช้ให้คุณทำรุ่มร่ามกับฉันล่ะ”

“คุณผู้หญิง คุณเป็นคนมากอดผมเองนะครับ... แหม่ไอ้เราจะปฏิเสธก็เสียดาย”

ศิวกรไม่เหลือเค้าของความเด็ดขาดยามทำงานเลยแม้แต่น้อย หากใครสักคนที่สถานีมาเห็นเขาตอนนี้ต้องตะลึงตาโตเป็นไข่ห่าน ถามหาผู้กองศิวกรคนที่คุ้นตามากกว่าคนนี้เป็นแน่

“คุณฉันไปกอดคุณตอนไหน”

“ทำเป็นลืม คุณกอดผมแน่นเลยเมื่อกี้”

“คุณต่างหากมากอดฉันก่อน”

ยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าตัว แต่พอไม่พูดก็ทนไม่ได้ นิสัยไม่ยอมใครนี้แก้ไม่หายเสียที แต่พอคิดไปคิดมานี่เธอยอมให้เขากอดได้ง่ายๆ อย่างไรกัน หมดแล้วภาพพจน์ของสตรีไทยใจงามอย่างเธอ กลายมาเป็นคนใจง่ายเสียแล้ว

“แอบด่าผมอะไรอยู่ในใจหรือเปล่าครับ”

“ร้อนตัว!”

ศิวกรมองหญิงสาวที่ยืนอีกฝากของโต๊ะอารมณ์ดี จะให้เธอด่าว่าหรือโกรธเขาก็ยังดีกว่าเห็นเธอเสียน้ำตา เขาเพิ่งจะเข้าใจอาการ “แพ้น้ำตา” มันเป็นยังไง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเขาแพ้น้ำตาผู้หญิง โดยเฉพาะน้ำตาของหญิงสาวตรงหน้า ศิวกรมองหญิงสาวดวงตากลมสวยสีน้ำตาลเข้มที่ยังแดงช้ำเล็กน้อย อย่างยอมรับว่าผู้หญิงตัวเล็กคนนี้เข้าไปอยู่ในใจเขาอยู่เต็มพื้นที่แล้ว

“ยิ้มอะไรคะ”

ดลินาเริ่มหน้าแดงอีกครั้งเมื่อเห็นเขาอยู่ๆ ก็ยิ้มมองยังเธอด้วยสายตาชวนให้คิดลึก

“กำลังคิดอยู่ว่าทำไมผู้หญิงคนหนึ่งถึงทำให้ผู้ชายบางคนกลับไปมีนิสัยแบบเด็กๆ อีกครั้งได้”

“นิสัยเหมือนเด็ก?”

ศิวกรพยักหน้าไม่ขยายความต่อเพราะต้องการให้หญิงสาวตีความเอาเองว่านิสัยเหมือนเด็กที่เขาบอกว่าหมายถึงอะไร

“ไปทานข้าวกันดีกว่าครับ ผมหิวแล้ว”

“หิวแล้วทำไมไม่ทานล่ะคะ”

“ทานคนเดียวไม่อร่อยครับ ต้องมีคนทานเป็นเพื่อนถึงจะอร่อย”

ดลินาหน้าเบ้ บทจะหวานก็หวานเลียน ผู้ชายตัวโต หน้าเข้มมาดแมน มาทำสีหน้าหยอกล้อพูดจาออดอ้อน ดลินาเห็นแล้วไม่รู้ว่าจะปลาบปลื้มหรือระอาใจดี

“ที่โรงพักคนเยอะ ไม่ชวนกันไปทานล่ะคะ”

“คุณพูดอย่างกับจะไล่ผมออกไปอย่างนั้นล่ะครับ”

“ฉันไม่ได้ไล่คุณเสียหน่อยชอบตีความแบบนี้อยู่เรื่อย”

“ก็มันน่าน้อยใจไหมล่ะครับชวนไปทานข้าวด้วย ก็ไล่ให้ผมกลับไปโรงพักเสียอย่างนั้น”

“คุณนี่ช่างเจรจา จิตวิทยาเยอะแยะไปหมดเลยนะคะ”

“ผมตำรวจนะครับ วาทศิลป์ก็ต้องมีบ้างเวลาเจราจากับคนร้ายเรื่องจะได้ไม่บานปลาย”

หญิงสาวตั้งใจจะชวนเขาทะเลาะต่ออีกสักเล็กน้อย แต่เมื่อสังเกตสีหน้าชายหนุ่มดีๆ แม้จะฝืนทำเป็นสดชื่นหากพิจารณาดีก็เห็นความอ่อนล้าแฝงอยู่บนใบหน้าคมเข้มนั้น

“ถ้าคุณหิวทำอะไรทานง่ายๆ ได้หรือเปล่าคะ”

“คุณจะทำอาหารเลี้ยงผมหรอครับ”

พอรู้ว่าจะได้ชิมอาหารฝีมือคนสวยก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที

“ใช่ค่ะ ทำทานกันง่ายที่ร้ายก็ได้ ฉันไม่อยากออกไปไหน”

“ตามใจสุภาพสตรีอยู่แล้วครับ ขอแค่ให้ได้ทานข้าวฝีมือคุณ ต่อให้เป็นไข่ดาวผมก็อยากทานครับ”

ดลินามองค้อนเขาหนึ่งทีก่อนจะเดินไปเช็คเสบียงในตู้เย็นว่าพอจะทำอะไรทานได้บ้าง แต่หากเจอไข่ที่ตู้เย็นเดียวจะได้ดาวไข่ให้กินอย่างที่เจ้าตัวต้องการ



TooMMeng
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ม.ค. 2556, 11:31:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ม.ค. 2556, 11:31:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 1171





<< บทที่ 4 (เริ่มต้น... 1)   บทที่ 4 (เริ่มต้น... 3) >>
Auuuu 8 ม.ค. 2556, 16:51:34 น.
นายก้องภพพพพพ งานนี้ต้องให้หมอแยมช่วยยย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account