ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ

เขา... นายตำรวจหนุ่ม

เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ

ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น

แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ

แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ

ตอน: บทที่ 4 (เริ่มต้น... 3)

บทที่ 4
(เริ่มต้น 3)

พลาสเตอร์ยาลายหมีน้อยน่ารัก ซึ่งตอนนี้กำลังทำหน้าที่ของมันอยู่บนนิ้วมือของศิวกรที่ตอนนี้ได้แต่นั่งให้กำลังใจดลินาอยู่ห่างๆ (ห่างมาก) อาหารมื้อนี้มีดลินาเป็นแม่ครัวใหญ่ ส่วนศิวกรก็เป็นลูกมือ แต่ดูเหมือว่าลูกมือของเธอคนนี้ดูจะไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย แทนที่สองคนจะช่วยกันทำจะได้เร็วขึ้นกลับตรงกันข้าม ช้าหนักกว่าเดิมเสียอีก

‘ไม่ใช่!! ต้องหั่นให้บางกว่านั้น’

‘ผู้กอง...อย่าใส่มะนาวทั้งลูกลงไปในหม้อต้มยำนะคะ’

‘ผู้กองคะ อย่าหั่นผักอย่างนั้น เดียวมีดบาดมือ’

สุดท้ายดลินาทนไม่ไหว... จึงได้อันเชิญศิวกรออกมาจากห้องครัวทันทีก่อนที่เธอจะเอากระทะฝาดหัวเขาสักที นี้คงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เธอจะให้ศิวกรเข้ามายุ่งในครัวอีกเป็นครั้งที่สอง

ข้าวสวย 2 จานที่มีไอร้อนลอยฉุยขึ้นมาชวนให้น้ำลายสอ บวกกับสีสันและหน้าตาของอาหารที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ยิ่งชวนให้ท้องร้องเข้าไปหนัก กว่าที่อาหารทุกอย่างจะมาตั้งอยู่บนโต๊ะทานข้าวได้ก็ปาเข้าไป 2 ทุ่มกว่าแล้ว อาหารมื้อนี้นับว่าถูกปากของศิวกรเป็นอย่างมาก รสชาติของอาหารใกล้เคียงกับที่มารดาของเขาทำไม่มีผิด ข้าวจานที่ 1 ก็แล้ว 2 ก็แล้ว จนกระทั่งจานที่ 3 นั้นแหละเขาถึงยอมวางช้อนส้อมเป็นการปิดศึกกับอาหารมื้อนี้

ดลินากำลังยืนมองศิวกรล้างจานอยู่หลังร้านอย่างเป็นกังวล เพราะเจ้าตัวเขาดื้อดึงที่จะขอเป็นคนล้างจาน ด้วยเหตุผลที่ว่า “กับข้าวคุณก็ทำแล้วยังจะต้องมาล้างจานอีก ผมคงรู้สึกแย่ๆเป็นที่สุด” เขาพูดอย่างจริงจังจนทำให้ดลินาต้องยอมให้เขาล้างแต่โดยดี แต่ดูจากท่าทางที่ทะมัดทะแมงนั้นแล้ว คงไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้วก็ได้

เพล้ง!!!!!!

เสียงของเครื่องกระเบื้องกระทบพื้นอย่างจัง ทำให้ชิ้นส่วนแตกกระจัดกระจายทั่วไปหมด ศิวกรทำจานลื่นหลุดมือจนได้ ทั้งที่เขาระวังแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังพลาด ดลินารีบเดินไปหยิบไม้กวาดที่ตั้งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องพร้อมทั้งที่ตักขยะพร้อมสรรพ

ร่างบางตั้งท่าเตรียมที่จะกวาดเศษกระเบื้องเหล่านั้น แต่ก็โดนศิวกรห้ามไว้ก่อน

“จานใบนี้ผมเป็นคนทำแตก ผมเก็บเองดีกว่าเดี๋ยวคุณจะโดนกระเบื้องตำเท้าเอา”

พูดจบเขาก็แย่งทั้งไม้กวาดและที่ตักขยะไปจากมือดลินาทันที ดลินาก็ได้แต่ยืนมองดูอย่างเป็นห่วง เพราะไม่รู้ว่าเศษกระเบื้องนั้นกระจัดกระจายไปตรงไหนบ้าง...ขืนไปเพล่อเหยียบเข้าคงจะเจ็บน่าดู...
ดลินากำลังจะหันหลังเดินไปที่หน้าร้าน แต่ก็ต้องหยุดเดินเพราะดลินารู้สึกเจ็บแปล๊บที่หัวนิ้วเท้า แล้วก้มลงไปจับที่หัวแม่เท้าของตัวเองทันที ดูเหมือนว่าร่างบางจะโดนเศษกระเบื้องตำเข้าให้เสียแล้ว

ดลินานิ่วหน้าด้วยความเจ็บแต่ก็ไม่ได้ร้องออกมา เธอพยายามเดินกระเพกออกมาจากห้องครัวอย่างช้าๆเพื่อไม่ให้ศิวกรเห็น แต่มีหรือที่คนอย่างศิวกรจะไม่เห็นเขารีบทิ้งไม้กวาดและที่ตักขยะทันที ก่อนจะเดินมุ่งตรงเข้าไปหาร่างบางที่เดินกะเพกช้อนอุ้มคนตัวเล็กขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ดลินาร้องออกมาอย่างตกใจที่อยู่ดีๆตัวเธอก็ลอยขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขนของศิวกร เธอจ้องมองเขาอย่างเหรอหรา

“ผู้กอง!!! คุณทำอะไรน่ะ วางฉันลงนะ”

ดลินาพูดสั่งทั้งๆที่หน้าเธอแดงหมดแล้ว

“ไม่ครับ...คุณโดนเศษกระเบื้องบาดใช้หรือเปล่า”

“ไม่ใช่...ฉันไม่ได้โดนกระเบื้องบาด”

...แต่โดนเศษกระเบื้องตำต่างหากล่ะ... หญิงสาวพูดค้านอยู่ในใจ ศิวกรหยี่ตามองหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างพิจารณา เขายังคงอุ้มเธอค้างอยู่อย่างนั้นเหมือนพยายามคาดคั้นให้หญิงสาวเอ่ยปากออกมา

“นี้คุณวางฉันลงได้แล้ว”

เขาก็ขังจ้องเธอนิ่งไม่มีวี่แววว่าจะว่างเธอลง

“ผู้กองคะ...วางฉันลงเดี๋ยวนี้นะ”

ดลินาขึ้นเสียง แต่ศิวกรก็ยังเฉย

“ก็ได้...ก็ได้... ฉันโดนกระเบื้องตำที่เท้า พอใจหรือยัง ปล่อยฉันลงได้แล้ว”

หญิงสาวพูดอย่างหงุดหงิด แล้วก็ต้องรีบกอดคอศิวกรไว้แน่นเมื่อรู้สึกว่าตัวเองจะตก เพราะเขาเริ่มออกเดินอย่างไม่ให้เธอได้ตั้งตัว เขาเดินออกมาหน้าร้านแล้ววางหญิงสาวลงที่เก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุด ศิวกรนั่งยองๆ ลงตรงหน้าดลินาก่อนจะถอดรองเท้าแตะข้างที่ถูกกระเบื้องตำของเธอออกอย่างระวัง แล้วเขาก็จับเท้าของดลินาขึ้นมาวางไว้บนหน้าตักอย่างเบามือเพราะเขากลัวว่าจะไปถูกแผลของเธอแล้วจะทำให้เธอเจ็บ

“คุณไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้...แผลแค่นี้เอง”

ศิวกรจ้องเข้าไปในดวงตาคู่สวยนั้นอย่างเป็นห่วง ก่อนจะละสายตามาจับจ้องไปยังบาดแผลที่มีเลือดซึมออกมาพอสมควร เขาพลิกเท้าของดลินาซ้ายทีขวาทีเพื่อจะประเมินว่าเธอจะต้องไปโรงพยาบาลหรือเปล่า แต่ดูๆ ไปแล้วจากขนาดของเศษกระเบื้องที่ตำนิ้วเท้าอยู่นั้น แค่เอาคีมหนีบเอาเศษกระเบื้องออกก็คงจะพอ ไม่ต้องถึงขนาดให้ถึงมือหมอเลย เขาก็น่าจะทำได้

“คุณเก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นไว้ที่ไหนหรือครับ”

“อะไรนะคะ!? คุณจะเอามันออกเองหรอ ไม่ต้องลำบากก็ได้นะคะ”

“คุณเก็บไว้ที่ไหน”

“ใต้โต๊ะเคาท์เตอร์ค่ะ”

ดลินาจำใจตอบเขาไปเพราะดูเหมือนว่าคราวนี้เขาไม่ยอมอ่อนข้อให้เธอเป็นแน่

ศิวกรเดินไปหาตามที่หญิงสาวบอก แล้วก็หยิบมันออกมาจากตู้ที่อยู่บนชั้นใต้เคาท์เตอร์ แล้วเดินกลับไปลากเก้าอี้ออกมานั่งตรงข้ามกับเธอ เขาวางกล่องยาลงบนโต๊ะแล้วจับที่ข้อเท้าของดลินาแล้วค่อยๆยกขึ้นมาวางฝาดไว้บนหน้าขาซ้ายของเขาอย่างแผ่วเบา

ดลินามองการกระทำของเขาอย่างตกใจ เพราะไม่คิดมาก่อนว่าศิวกรจะลงทุนถึงขนาดต้องเอาเท้าของเธอไปวางไว้บนหน้าขาซ้ายของเขาเลย ดลินารู้สึกถึงไอร้อนจากมือใหญ่ของเขา มันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างไรก็ไม่รู้

“ผะ... ผู้กองคะ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้นะคะ เอาเท้าฉันวางลงไว้ที่เดิมเถอะ”

ศิวกรละสายตาจากบาดแผลของเธอ แล้วมองไปยังหญิงสาวที่นั่งหน้าแดงอย่างดุๆ เหมือนผู้ใหญ่ดุเด็กเล็กๆไม่มีผิด แล้วสายตานั้นทำให้ดลินาถึงกับจ๋อย เมื่อศิวกรเห็นว่าดลินาไม่พูดว่าอะไรแล้วเขาจึงก้มลงพิจารณาเศษกระเบื้องที่ตำอยู่ที่นิ้วเท้าของเธออย่างพิเคราะห์

“นี่คุณ... มั่นใจหรือเปล่า ถ้าไม่มั่นใจไม่เป็นไรนะ พาฉันไปโรงพยาบาล....”

ยังไม่ทันที่ดลินาจะพูดจบ ศิวกรก็จัดการเอาคีมคีบเศษกระเบื้องที่ตำอยู่ตรงนิ้วเท้าของหญิงสาวออกทันที ส่งผลให้ดลินาร้องออกมาลั่นร้านเลยทีเดียว

“โอ้ย!!!! คุณ.... จะวิสามัญฯฉันหรือไง มันเจ็บนะ”

หญิงสาวร้องอย่างฉุนเฉียว เพราะศิวกรเอากระเบื้องออกอย่างไม่บอกกล่าวให้เธอเตรียมตัวล่วงหน้าเลย

...ขืนบอกก่อนเป็นไม่ได้เอาเศษกระเบื้องออกกันพอดี...

“โธ่...คุณ ห่างหัวใจเยอะไม่ตายง่ายๆหรอก ถ้าคุณกลัวว่าจะไม่มีคนตายเป็นเพื่อน เดี๋ยวผมฆ่าตัวตายตามก็ได้ เอ๊า!!!!”

เขาพูดไปด้วยก็ทำความสะอาดแผลไปด้วย

“บ้า!! พูดอะไรน่ะคุณ ไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย”

“ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะครับว่าคุณก็อยากมีงานมงคล!? เดี๋ยวผมจัดให้เอางานมงคลสมรสเป็นไงครับ”

“นี้คุณ...งานมงคลสมรสของใคร”

“อ้าว...ก็ต้องของคุณกับ.....”

เขาละช่วงไว้ให้เธอเติมคำตอบที่เหลือนั้นเอง ดลินรู้ว่าเขาแกล้งพูดเท่านั้น แต่เธอก็อดที่จะหน้าแดงไม่ได้ เธอก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันว่าคนที่เงียบครึมอย่างศิวกรบทจะเล่นก็ใช่ย่อย สงสัยตอนเด็กคงเฮ้วน่าดู

“เรียบร้อยแล้วครับ”

...หือ!!? เสร็จแล้วหรอ เขาทำแผลตอนไหนเนี่ย ไม่ยักจะรู้สึกเลยแหะ...

ดลินามองผ้าพันแผลที่ศิวกรเป็นคนทำแผลให้อย่างทึ่งๆ เขาทำแผลได้อย่างเรียบร้อยไม่มีที่ติเลย เพลอๆดีกว่าที่รจนาทำให้เสียอีก (หมายความว่าไงยะ -*- ...รจนา)

“คุณทำแผลเก่งจังเลยนะคะ”

ดลินากล่าวอย่างชื่นชม แล้วมองผ้าผันแผลอย่างประหลาดใจ

“ไม่หรอกครับ...เหตุการณ์มันพาไปมากกว่า”

“หรือคะ! สงสัยคุณจะทำแผลให้สาวๆบ่อย”

“คุณเป็นคนแรกที่ผมทำแผลให้ และเป็นคนสุดท้ายที่ผมยอมทำให้ถึงขนาดนี้”

ศิวกรพูดคำนั้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ แล้วจ้องเข้าไปดวงตาของหญิงสาวเพื่อยืนยันในสิ่งที่เขาพูดว่ามันเป็นความจริง

************************************************************

รจนาถอดเสื้อกราวด์ของตนออกแล้วแขวงไว้กับตู้ที่ห้องทำงานของเธอ เธอเพิ่งจะเซ็นชื่อออกเวรหลังจากที่ต้องเหนื่อยมาทั้งวันทั้งคืน 2 วันติดแล้ว

...อยากกลับไปอาบน้ำนอนจะแย่แล้ว...

หญิงสาวหยิบกระเป๋าสะพายข้างยี่ห้องดังจากอังกฤษขึ้นมาสะพาย ก่อนจะปิดห้องแล้วเดินออกมา ตลอดทางเดินมีคนพูดทักทายกับเธอตลอดทาง เนื่องจากความมี อัธยาศัยที่ดีแล้ว รจนายังทำตัวน่ารัก และไม่หยิ่งเพราะถือว่าพ่อของตัวเป็นเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้ ส่งผลให้เธอเป็นที่รักของเหล่าพยาบาลและใครหลายๆคนในโรงพยาบาล

หญิงสาวกดลิฟต์เพื่อจะลงไปยังชั้นล่างสุดของโรงพยาบาล ระหว่างที่เธอยืนรอลิฟต์อยู่นั้นคนที่เธออยากจะเสวนาด้วยน้อยที่สุดก็ปรากฏอยู่เบื้องข้างของเธอ รอยยิ้มที่ดูแล้วแสนจะมีเสน่ห์สำหรับคนอื่น แต่สำหรับรจนาแล้วนั้นมันรอยยิ้มอาบยาพิษเสียมากกว่า

“สวัสดีครับคุณแยม เลิกงานแล้วหรือครับ”


ก้องภพถามรจนาด้วยเสียงสุดแสนจะเซ็กซี่ ...โอ้ย!!! ฟังแล้วอยากจะกลับไปล้างหูให้สะอาดจริงๆเล๊ย...

“ค่ะ”

“แหม...โชคดีจังนะครับที่เผอิญมาเจอคุณที่นี้”

“หรือคะ”

...ลิฟต์มาเร็วๆสิ มาเร็วๆ...ก่อนที่ฉันจะตะบันหน้าเจ้าหมอนี้...

เหมือนพลังจิตของรจนาจะแรงจริงเพราะลิฟต์เลื่อนมาถึงยังชั้น 11 เสียที ทันทีที่ลิฟต์เปิดออกรจนาก็รีบแทรกตัวเข้าไปในลิฟต์ เมื่อก้องภพเห็นว่ารจนาจงใจที่จะหนีเขาอย่างนั้น เขาก็รีบตามเข้าไปยืนชิดกับเธอทันที รจนาพยายามเบี่ยงตัวหนีก้องภพ แต่เขาก็ยังตามไปยืนชิดจนได้ ประตูลิฟต์กำลังจะปิดแต่ก็มีเสียงหนึ่งเรียกให้รอก่อน รจนาเห็นดังนั้นก็รีบชิ่งจากก้องภพไปกดปุ่มให้ประตูลิฟต์เปิด

“ขอบคุณครับ…อ้าวคุณหมอนั้นเอง”

ทนงศักดิ์ร้องทักอย่างดีใจระคนประหลาดใจ ส่วนรจนาหรือ ดีใจสุดๆเหมือนถูกรางวัลไปเที่ยวนิวซีแลนด์ฟรี 1 เดือนเลยทีเดียว เมื่อทนงศักดิ์ก้าวเข้ามาในลิฟต์

“สวัสดีค่ะ มาเยี่ยมลูกน้องหรือคะ”

“ใช่ครับ”

ทนงศักดิ์ดูแปลกใจพอสมควรที่เห็นคุณหมอคนเก่งยอมพูดดีๆด้วยกับเขาอย่างนั้น เขาสังเกตเห็นสีหน้าของรจนาที่ดูเหมือนจะโล่งอกเมื่อเห็นเขาก้าวเข้าไปในลิฟต์นั้น แต่คำถามนั้นก็ได้รับคำตอบทันที เพราะตัวต้นเหตุที่ทำให้รจนาดูจะไม่สบอารมณ์นั้นเอ่ยคำพูดขึ้นมา

“คุณรู้จักตำรวจกระจอกๆ อย่างนี้ด้วยหรือครับ”

ทนงศักดิ์ถึงกับฉุนควันออกหูขึ้นมาทันที ไม่ทันไรโจโฉจะเปิดศึกเสียแล้ว... ทนงศักดิ์พร้อมรับคำท้าอยู่แล้ว

“คุณหมอ แล้วคุณรู้จักกุ๊ยไม่มีระดับอย่างนี้ด้วยหรือครับ”

“ปากดีแบบดีระวังตัวไว้จะดีกว่านะครับ”

“ผมน่ะไม่ได้ดีแค่ปากหรอกนะครับคุณก้องภพ ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวจะเอาโล่งคุณงามความดีที่บ้านมาให้ดู ส่วนใหญ่ได้มาจากสมัยอยู่ชายแดนน่ะครับ จับยาเสพติด กับอาวุธเถื่อนได้เยอะ”

“หรอครับ”

ต่างคนต่างจ้องมองกันอย่างกับคนที่โกรธกันมา 10 ชาติก็ว่าได้ รังสีอำมหิตปกคลุมรอบๆ ตัวลิฟต์จากสงครามสายตา รจนารู้สึกถึงสายตาอาฆาตของทั้งสองฝ่าย แล้วรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก ระหว่างคนทั้งคู่ต้องมีเรื่องราวบางอย่างที่คนอย่างเธอยากจะเข้าใจ... ไม่อยากจะเข้าใจ ถึงจะพูดจาสุภาพแต่ก็เชือดเฉือนกันทุกประโยค

“แล้วคู่หูไม่ได้มาด้วยกันหรอครับ”

“อีกคนอยู่โรงพักครับ อยากเจอก็แวะไปสิครับ”

“แหม่... ผมไม่ว่างเสียด้วย ว่างๆ ก็ยกพวกกันไปหาผมที่ไวท์ไวน์ก็ได้ครับ”

“ถ้าเจ้าของร้ายเชิญแบบนี้สงสัยต้องยกพวกไปหากันบ่อยๆ เสียแล้ว วันเว้นวันเป็นไงครับ”

“มาสิครับผมจะได้เตรียมต้อนรับไว้ให้พร้อม”

หญิงสาวคนเดียวที่อยู่ในลิฟต์เริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยขึ้นมาเสียดื้อๆ เรื่องที่ทั้งสองคุยกันถึงเธอจะไม่ค่อยเข้าใจนักแต่มันเป็นเรื่องที่เธอไม่สมควรจะรู้ ด้านมืด... เป็นสิ่งที่เธอไม่อยากรับรู้ไม่อยากเข้าไปพัวพันสักนิด แล้วไออุ่นจากแผ่นหลังของทนงศักดิ์ที่บังเธอจากสายตาของก้องภพทำให้เธอคลายอึดอัดลงไปบ้าง เอื้อมมือไปจับชายเสื้อของเขาไว้แน่น เธอเห็นเขากดลิฟต์ชั้นถัดไปถึงไม่มีคำพูดใดๆ จากเขาแต่เธอพอจะรู้ว่าเขาต้องการให้เธอออกไปจากสถานที่ที่ชวนอึดอัดนี้ เมื่อลิฟต์เลื่อนลงหยุดอยู่ที่ชั้นถัดไปทนงศักดิ์ดุนหลังหญิงสาวให้ออกไปจากลิฟต์ยืนกันที่หน้าประตูและกดปิดประตูทันทีกันไม่ให้ใครอีกคนตามเธอออกไป

“คุณคงจะคิดว่าผู้หญิงคนนี้ คงจะเป็นอีกคนที่คุณคิดว่าจะหลอกเธอได้สำเร็จล่ะสิ”

“หึหึ...เปล่าเลยของที่ได้มายาก มันก็น่าจะเป็นของที่ดีและมีค่าไม่ใช่หรือไงคุณตำรวจ และแน่นอนเมื่อมันได้มายาก ผมก็ยินดีที่จะเก็บมันเอาไว้เชยชมนานๆ พอเบื่อก็เก็บไว้เป็นของตั้งโชว์ที่ถูกลืมอีกชิ้นก็แค่นั้น”

ก้องภพพูดเสียงเย็นอย่างมั่นใจ เพราะเชื่อว่าตอนนี้จากคนที่หนุนหลังเขาอยู่นั้นยากนักที่คนอย่างทนงศักดิ์จะสู้ไหว แต่เขาหารู้ไม่ว่าทนงศักดิ์ไม่ได้เกรงกลัวบารมีที่หนุนหลังผู้ชายคนนี้เลยแม้แต่น้อย

“อย่างนั้นหรือครับ... ช่วงนี้ทำอะไรก็ระวังตัวก็แล้วกันนะครับแล้วจะหาว่าผมไม่เตือน”

ทนงศักดิ์พูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากลิฟต์ไปเมื่อมันมาหยุดในอีก 2 ชั้นถัดมา โดยไม่สนใจเลยว่าคนที่เขาสนทนาด้วยเมื่อกี้อยากจะเอาลูกปืนยัดใส่สมองเขามากเพียงใด

************************************************************

“ไม่ ไม่ และก็ไม่ ไม่มีทาง”

ดลินาพูดเน้นทีล่ะคำอย่างชัดเจน

“นะแก ไปงานเลี้ยงกับฉันเถอะนะ น๊า...”

รจนพูดอ้อนวอนดลินาอย่างนี้มา 10 นาทีกว่าแล้วแต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ

“ถ้ามันไม่ใช่งานที่คุณหญิงแววดาวที่เป็นแม่ของนายก้องภพ ก้องหู อะไรนั้นฉันคงไม่ต้องมาอ้อนวอนขอร้องแกถึงขนาดนี้หรอก”

รจนาพูดนั่งเป็นหมาเหงาอยู่ตรงเคาท์เตอร์ เพื่อทำให้ดูน่าสงสารมากที่สุด เผื่อว่าดลินาจะเห็นใจขึ้นมาบ้าง ตรงกันข้ามยิ่งดลินาได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างทนงศักดิ์กับนายก้องภพอะไรนั้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา หญิงสาวที่ได้ยินแต่เรื่องเล่ารู้สึกกลัว และขยาดนายตาก้องภพนี้เอามากๆ

“ผู้ชายอันตรายอย่างนั้นยิ่งต้องไม่ไปสิ”

“แกคิดว่าฉันอยากจะไปให้อีตานั้นมันแทะโลมหรือไง แค่พูดชื่อมันฉันก็กระดากปากจะแย่อยู่แล้ว”

“แกก็บอกคุณนายนรีของแกสิ ว่าแกไม่อยากไป”

ดลินาบอกรจนาอย่างช่วยออกความเห็นขณะที่ยังเช็ดโต๊ะไปด้วย

“ตลกแล้วแก...ก็รู้ๆอยู่ว่าคำตอบมันจะออกมาเป็นแบบไหน โอ้ย!!! กลุ้มใจโว้ย...”

ดลินาเหลือบตาขึ้นมาแล้วอมยิ้มกับตัวเองที่เห็นคุณหมอสาวที่จัดว่าเป็นคนที่วางฟอร์มเก่งมากที่สุดคนหนึ่ง ต้องมานั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ต้องนี้ เสียงกรุ๊งกริ๊งที่ประตูหน้าร้านดังขึ้น ดลินาต้องละจากการเช็ดโต๊ะมาต้อนรับลูกค้าทันที

“ร้านยอดข้าวสวัสดีค่ะ อ้าว!!...”

คนที่เพิ่งเดินเข้ามาเมื่อได้ยินคำว่าอ้าว... จากปากเจ้าของร้านแล้วก็เกิดอาการงอนทันที

“อะไรกันพี่ยอดข้าว เห็นต้อมแล้วถึงกับผิดหวังเลยหรอ”

หญิงสาวในชุดนักศึกษาเต็มยศยืนงอนแก้มป่องอยู่หน้าร้าน

“ดีนะยายต้อมที่เราน่ะน่ารัก ถ้าน่าเกลียดกว่านี้อีกนิดรับรองว่า...”

“ว่าอะไรคะ...พี่แยม พูดงี้เดี๋ยวก็สวยหรอก”

“ประทานโทษค่ะคุณน้อง พี่น่ะสวยอยู่แล้วจ้ะ”

“แหวะ...”

สองเสียงใสประสานกันอย่างไม่ได้นัดหมาย คราวนี้แทนที่สาวน้อยร่างบางของเราจะถูกรุม กลับเป็นคุณหมอสาวที่ถูกรุมเสียอย่างนั้น

“ว่าไงจ๊ะ...เลิกเรียนแล้วสิถ้า ถึงได้มาหาพี่ได้เนี่ย”

“ใช่ค่ะ... ต้อมเพิ่งจะเลิกเรียน ดีเลยที่พี่แยมอยู่ด้วย ต้อมมีอะไรอยากจะปรึกษาหน่อยน่ะค่ะ”

สาวน้อยเดินมานั่งยังที่เก้าอี้ตรงเคาท์เตอร์ข้างรจนา สีหน้าคิดหนัก

“เป็นอะไรไปเรา ปรกติไม่เคยเห็นเราเครียดเลยหนิ”

“ปรกติน่ะใช่ แต่วันนี้มันไม่ปรกติน่ะสิคะ”

ดลินาเดินไปยังหน้าประตูร้านก่อนจะหันป้าย “ปิด” ออกนอกร้านเพื่อต้องการความเป็นส่วนตัวในการเมาท์แตก แล้วก็เดินกลับมายังเคาท์เตอร์เพื่อสมทบกับอีก 2 สาว

“มีอะไรว่ามา”

รจนาเมื่อเห็นเพื่อนซี้เดินมานั่งยังเก้าอี้ตัวใกล้กันแล้วจึงเอ่ยปากถาม คนอายุที่น้อยกว่าตนอย่างเอ็นดูเหมือนน้องสาวแท้ๆ

“คือว่าคุณตาจะให้ต้อมไปงานเลี้ยงการกุศลของคุณหญิงแววดาวมะรืนนี้น่ะสิคะ ต้อมน่ะไม่อยากจะไปงานนี้เลยจริงๆ”

“ต้อมเอ่ย... พี่ก็โดน”

รจนาพูดออกไปอย่างเซ็งในอารมณ์อย่างแรง ผกาวดีมองหญิงสาวที่เธอนับถือเหมือนพี่แท้ๆด้วยตากลมโตนั้นอย่างตกใจ เมื่อรับรู้ว่ามีเพื่อนร่วมชะตากรรม

“เฮ้ย!!!... พี่แยมก็โดนหรอ”

“ใช่ แล้วพี่ก็หาทางเลี่ยงไม่ได้ด้วย”

“งั้นพอดีเลย แกกับต้อมก็ไปงานนี้ด้วยกันสิ”

ดลินาพูดอย่างไม่เดือดร้อน เพราะไม่เคยเจอฤทธิ์ของพ่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณหญิงแววดาวว่าร้ายกาจเพียงไหน

“เออ... ไม่เจอกับตัวไม่รู้หรอก ใช่ไหมต้อม”

รจนาหันไปถามคนที่หัวอกเดียวกันเพื่อหาฐานเสียง

“ใช่แล้ว...พี่ข้าวไม่รู้หรอกว่า นายก้องภพมจุราชอะไรนั้นน่ะนะ เจ้าชู้ได้อย่างน่ากลัว สายตายามที่มองสาวๆนะอย่างกับพวกไฮยีน่าที่มองเหยื่ออย่างเหือดกระหาย แล้วก็มือที่เหนียวหนึบอย่างกับตุ๊กแกนั้นอีก... อ๋อย!!พูดแล้วขนลุก”

ผกาวดีพูดถึงคนนั้นแล้วขนก็ลุกซู่ขึ้นมาทันที อย่าว่าแต่ผกาวดีเลยรจนาเองก็ขนลุกขึ้นมาเหมือนกัน เพราะผกาวดีบรรยายได้เหมือนจริงบ้าง ดลินาเมื่อเห็นทีท่าของทั้งสองคนแล้วก็เริ่มใจไม่ดีขึ้นมาบ้าง

“ขนาดนั้นเลยหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ”

สองสาวผู้ร่วมชะตากรรมพูดออกมาได้อย่างพร้อมเพรียง ดลินาถึงกับกลืนน้ำลายลงคอทันที

“เพราะฉะนั้นแกต้องไปกับพวกเราด้วย”

รจนาพูดบีบบังคับเพื่อนรัก ดลินาถึงกับพะงะทันที

“พูดเป็นเล่น ไม่เอาล่ะฉันไม่ไปด้วยหรอยิ่งได้ยินเกี่ยวกับนายคนนั้น ยิ่งไม่อยากไปใหญ่เลย”

“นะพี่ยอดข้าว ไปด้วยกันมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้ไง แล้วอีกอย่างใครมันจะไปกล้าทำอะไรพี่ล่ะ ขืนทำมีหวังติดคุกหัวโตแน่ๆ”

ผกาวดีพูดเป็นนัยๆ แต่ดูเหมือว่าคนฟังจะรู้ว่าสาวน้อยตัวแสบนี้หมายความว่าอย่างไร รจนาเองก็ถึงกับหัวเราะคิกออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ดลินาถวายค้อน 2 วงใหญ่ๆไปให้ทั้งสองสาวแล้วก็ปล่อยหมัดเด็ดเข้าไปอีกหนึ่งดอก ทำให้ทั้งสองนั้นถึงกับสะอึกเลย

“ตอนแรกก็ว่าจะไปด้วยแล้วแท้ๆ แต่สงสัยงานนี้คงต้องปล่อยให้ไปกัน 2 คนนั้นแหละ”

แล้วดลินาก็เดินไปหันป้าย “เปิด” ออกหน้าร้านอย่างไม่สนใจคนทั้งสองอีกเลย รจนากับผกาวดีมองหน้ากันอย่างตื่นๆก่อนจะรีบลุกตามไปง้อดลินาทันที

************************************************************

ศิวกรมองบัตรเชิญสีฟ้าอ่อนของงานการกุศลของภริยาอดีตนายตำรวจใหญ่ที่ตอนนี้หันมาเอาดีทางการเมืองนั้นอย่างคิดหนัก

“เอาไงดีครับผู้กอง เขาส่งสารท้ารบมาอย่างนี้ จะขานรับหรือปฏิเสธ”

จ่าดำลูกน้องคนสนิทถามขึ้นเมื่อเห็นศิวกรนั่งเงียบ

“ปัญหามันอยู่ที่ว่าจะให้ยกทัพไป หรือตัวต่อตัว”

“ส่งคณะฑูตไปดีกว่า เผื่อว่าจะได้ไปเจริญสัมพันธไมตรี”

ทนงศักดิ์พูด จ่าดำเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ทนงศักดิ์พูด

“ไม่เข้าถ้ำเสือก็จะไม่ได้ลูกเสือ งานนี้คงต้องไปตามสารท้ารบ หรือเห็นว่าไงท่านแม่ทัพศิลา”

ทนงศักดิ์พูดติดตลก แต่ดูเหมือว่าท่านแม่ทัพจะไม่ขำด้วย

“เขากล้าส่งสารท้ารบมาแบบนี้เราก็คงต้องไปตามคำเชิญ อาจจะได้โอกาสสืบข่าวด้วย จ่างานนี้คุณไปด้วยก็แล้วกัน”

“ครับผม”

จ่าดำรงรับคำอย่างแข็งขัน เพราะรู้สึกว่างานนี้คงจะลาภปากเขาอีกเป็นแน่

...เอาถุงกับปิ่นโตไปใส่อาหารด้วยดีหรือเปล่าหว่า... (คิดได้ไง)



TooMMeng
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ม.ค. 2556, 21:31:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ม.ค. 2556, 21:31:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1153





<< บทที่ 4 (เริ่มต้น... 2)   บทที่ 5 (เผชิญหน้า... 1) >>
Auuuu 8 ม.ค. 2556, 22:10:26 น.
สู้ๆนะทุกคนนนน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account