ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ
เขา... นายตำรวจหนุ่ม
เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ
ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น
แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ
แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
เขา... นายตำรวจหนุ่ม
เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ
ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น
แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ
แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ
ตอน: บทที่ 5 (เผชิญหน้า... 1)
บทที่ 5
(เผชิญหน้า 1)
เสียงดนตรีคลาสสิกขับกล่อมให้ผู้คนในงานได้รู้สึกผ่อนคลาย แชนเดอร์เลียอันโตแขวนเด่นอยู่กลางห้องแกรนด์บอลรูมเพิ่มความหรูหราภายในงานเลี้ยงการกุศลนี้ได้เป็นอย่างดี บุรุษในชุดขาวปรกติยืนหลบมุมอยู่มุมหนึ่งของห้องแกรนด์บอลรูมโรงแรงดังแห่งหนึ่งเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตมากนัก เขามางานนี้ตามคำเชิญของลูกชายเจ้าของงาน แต่สำหรับชายหนุ่มคิดว่ามันเป็นสารท้ารบเสียมากกว่า และก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอย่างนั้นเมื่อคนส่งสารท้ารบเดินถือแก้วไวน์มาหาเขา สีหน้าที่ศิวกรเห็นนั้นแล้วรู้สึกว่ามันน่าจะชกเปรี้ยงเข้าไปสักที
“สวัสดีครับคุณตำรวจ ผมนึกว่าคุณจะไม่มาเสียแล้ว”
เขาพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มที่เคลือบยาพิษ แต่ศิวกรเองก็ไม่หวั่น
“ผมต้องมาสิครับ ก็คุณอุตส่าห์ให้คนไปส่งบัตรเชิญถึงที่ แล้วจะปล่อยให้คนเชิญรอเก้อได้อย่างไร”
“แหม่... รู้สึกเป็นเกียรติจริงๆครับ ที่บัตรเชิญของผมไม่เป็นม่ายไป”
“ครับ... ผมเองก็รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาเยือนถึงที่นี้”
ถ้าคนที่ไม่รู้เรื่องมาฟังคนทั้งคู่สนทนากันก็จะนึกว่าพูดคุยกันตามปรกติ แต่จริงๆแล้วทั้งคู่กำลังเชือดเฉือนกันด้วยวาจาอย่างน่ากลัว ต่างฝ่ายต่างจ้องตากันอย่างไม่ลดละ
“ผมต้องขอตัวไปต้อนรับแขกก่อน ดูแลตัวเองนะครับผมคงไม่มีเวลามาสนใจคุณคนเดียวหรอก อ้อ!!! แล้วอีกอย่าง...ระวังอย่าเอาปากไปแกว่งหาเท้านะครับ”
ก้องภพยิ้มเย็นที่มุมปากก่อนจะเดินจากไป ศิวกรมองตามหลังคนที่ยิ่งยโสนั้นไปด้วยสายตาดุดัน
“แหม่... ท่านผู้ยิ่งใหญ่เดินมาหาเองเลยหรอ”
ทนงศักดิ์พูดแซวศิวกร ถึงแม้เขาจะเดินไปทักทายผู้ใหญ่รอบๆงาน แต่เขาก็มองการเชือดเฉือนกันของศิวกรและก้องภพอยู่ห่างๆ
“อืม”
“แล้วเขาว่าไงบ้าง”
“เขาบอกว่า... อย่าเอาปากไปแกว่งหาเท้า”
“โอ้โฮแหะ... ใจคอพี่แกจะลั่นกลองรบด้วยตัวเองเลยหรือ”
ทนงศักดิ์พูดไปก็มองก้องภพที่ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของสาวๆ ดูเหมือนว่าตำแหน่งลูกชายของอดีตนายตำรวจที่ตอนนี้เป็น สส. จะขายดีเป็นพิเศษ ถ้าเกิดสาวๆเหล่านั้นได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของก้องภพแล้วยังจะลายล้อมเขาอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า นั้นเป็นคำถามที่ทั้งทนงศักดิ์และศิวกรได้แต่คิดถามอยู่ในใจ
ทนงศักดิ์ละสายตาไปจากก้องภพ ก่อนจะสอดส่องสายตาไปรอบๆ งานเพื่อจะมองดูความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในงานเลี้ยงการกุศล แล้วสายตาของเขาก็หยุดนิ่งเมื่อเขาเห็นหญิงสาวที่คุ้นตาเดินเข้ามาในงาน
หญิงสาวรูปร่างสูงเพรียวในชุดราตียาวกรอมเท้าแบบคล้องคอสีน้ำเงินเข้มเผยให้เห็นแผ่หลังเนียนนุ่นน่าสัมผัส เนื้อผ้าบางเบาพลิ้วไหวยามก้าวเดิน ผมยาวที่ดัดเป็นลอนถูกรวบไว้ด้านหลังอย่างสวยเก๋ ใบหน้าถูกตกแต่งอย่างประณีตสวยงาม ส่งให้ใบหน้าสวยคมนั้นดูโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก ต่างหูและสร้อยข้อมือเพชรเข้าชุดส่องแสงระยิบระยับยามต้องแสงไฟภายในงาน เธอเดินถือกระเป๋าถือใบเล็กน่ารักสีเดียวกับชุดของเธอเข้ามาในงานด้วยมาดนางพญา และเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่นั้นเป็นลูกสาวของนายแพทย์ชื่อดังและยังเป็นเจ้าของโรงพยาบาล ยิ่งทำให้ผู้คนที่อยู่แถวๆนั้นต่างมองเธอด้วยสายตาที่ชื่นชม
ทนงศักดิ์มองคุณหมอสาวที่วันนี้ทิ้งมีดผ่าตัดมาแต่งเป็นสาวงามอย่างไม่วางตา ปรกติรจนาก็เป็นคนสวยอยู่แล้ว ยิ่งจับมาแต่งสวยทำให้เธอสวยเข้าไปอีก ...แม่เจ้าโว้ย แม่เจ้าประคุณรุนช่องจะแต่งมาล้อตะเข้หรือไง ถ้ารจนาโดนจระเข้งาบไปจริงๆ เขาก็ยินดีที่จะเป็นไกรทองลงตามไปช่วยเธอจากจระเข้ล่ะงานนี้…
“ตาค้างเลยนะครับผู้กอง น้ำลายจะหยดอยู่แล้วนั้น”
จ่าดำรงค์ที่หายไปนานเพราะมัวแต่ไปอยู่แถวโต๊ะอาหารและก็เป็นการหาข่าวไปในตัวก็พูดแซวทนงศักด์อย่างสนุกปาก ทำให้ทนงศักดิ์ส่งสายตาพิฆาตมาให้ แต่จ่าดำรงค์ก็ไม่ได้กลัวอะไรมาก (แต่ถ้าเป็นศิวกรป่านนี้หัวหดไปนานแล้ว) เพราะรู้ว่าทนงศักดิ์เป็นคนที่พูดแหย่เล่นได้
“หรือว่าจ่าจะให้ผมมองด้วยสายตา อิจฉาริษยาล่ะ”
“โอ้!!! ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมก็คงต้องอยู่ห่างๆ ผู้กองศักดิ์ไว้ไกลๆ กลัวผู้กองมาตกหลุมรักผม ฮะฮะฮ่า…”
จ่าดำพูดพร้อมกับหัวเราะไปด้วย แม้แต่ศิวกรเองยังอดที่จะอมยิ้มไม่ได้เหมือนกัน
“เออดี หัวเราะกันเข้าไป... ว่าแต่เขาเถอะ ดูนู้นเสียก่อนคนที่เดินตามคุณหมอมาน่ะใคร”
“โอ้โห!!! นั้นใครครับผู้กองศักดิ์ สวยไม่แพ้กับคุณหมอเลยครับ”
“หึหึ... ถ้าจ่าอยากรู้ว่าใคร ให้ถามคนที่ยืนอึ้งคนนั้นสิ เขารู้จักดี”
ทนงศักดิ์ยักคิ้วไปทางคนที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงอย่างหยอกล้อ ตอนนี้ต่อให้มีคนมายืนตะโกนอยู่ข้างๆเขาตอนนี้ ศิวกรก็มิอาจจะละสายตาไปจากหญิงสาวที่เดินตามรจนามาภายหลังไม่ได้เลย ดลินาในชุดราตรีเกาะอกเข้ารูปสีส้มโอล์ดโรสยาวระข้อเท้า เนื้อผ้าบางเบาเช่นเดียวกับรจนา ผมยาวสลวยวันนี้ถูกรวบเกล้าเป็นมวยสวยอยู่บนศีรษะ เปิดโชว์ให้เห็นหน้าหวานๆที่แต่งมาอ่อนๆของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี ที่ลำคอระหงมีสร้อยเพชรประดับอยู่อย่างเหมาะเจาะ ในมือถือกระเป๋าสีขาวเข้ากับชุด
เธอเดินเข้ามาสมทบกับรจนาที่ยืนรอก่อนแล้ว เมื่อทั้งคู่ได้มายืนคู่กันเช่นนี้ยากนักที่จะตัดสินว่าใครสวยกว่ากัน คนหนึ่งสวยเปรี้ยว คนหนึ่งสวยหวาน ตอนให้กรรมการในการตัดสินการประกวดนางสาวไทยมาเอง ก็คงต้องลำบากหน่อยที่จะตัดสินว่าใครควรได้มงกุฎไปครอง
“คะแนนเต็ม 10 ผมให้ทั้งคู่ 19 เลยครับ และถ้าให้เป็นแฟนผมคงปฏิเสธ เพราะคนที่บ้านผมคงเอาอีโต้ฟันผมกระบาลแยก”
จ่าดำพูดติดตลก มีแต่ทนงศักดิ์ที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ฟังอยู่แต่คนเดียว
“ไม่ต้องรอให้ที่บ้านฟันหรอกจ่า เอาตัวให้รอดจากคนแถวนี้ก่อนจะดีกว่า อะแฮ่ม!! มองตาเยิ้มเลยนะครับ ถ้าไม่รีบไปทักนางฟ้าระวังจะโดนตัดหน้านะครับ”
คำพูดนั้นทำให้ศิวกรต้องละสายตาจากดลินามามองยังเพื่อนของเขาแทน ทนงศักดิ์ถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นสายตาเอาเรื่องจากเพื่อนของตน
“ตายล่ะหว่า... ผู้กองครับ ดูเหมือนว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่กำลังจะเดินตรงไปยังสองสาวแล้วครับ”
คราวนี้ทั้งทนงศักดิ์และศิวกรหันขวับไปมองยังสองสาวอย่างพร้อมเพรียงกัน และมันก็เป็นอย่างที่จ่าดำพูดจริงๆ ก้องภพกำลังยืนสนทนากับทั้งสองสาวอยู่ เท้าไวเท่าความคิด ทั้งคู่ก็ก้าวเดินจากฐานที่มั่นแล้วเดินตรงไปยังเป้าหมายทันที ทิ้งให้จ่าดำยืนเกาหัวแกรกๆ อยู่คนเดียว
...อะไรวะ! เห็นสาวแล้วทิ้งลูกน้อง นี้ล่ะน๊า... ความรักมันบังตา…
ดลินามองก้องภพอย่างหวั่นๆ เขาเป็นคนที่ผู้หญิงไม่น่าเข้าใกล้มากที่สุดอย่างที่รจนาพูดไว้ไม่มีผิด หน้าตาหล่อเหลาซึ่งเป็นเปรียบเสมือนกับดัก ซึ่งไว้ดักคนที่หลงรูปภายนอกมาติดกับได้ง่ายดาย สายตาเจ้าที่ออกจะดูจาบจ้วงมากกว่าแสดงออกมาอย่างเด่นชัดยามจ้องมองสตรี วาจาอ่อนหวานแต่หาความจริงใจนั้นไม่ได้เลย
ดลินาหันไปมองเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้ว ยังนึกชมรจนาที่ทนยืนสนทนากับคนแบบนี้ได้ ถ้าไม่ติดว่าเพื่อนยืนคุยอยู่ล่ะก็ ป่านนี้เธอชิ่งหนีไปนานแล้ว
“คุณแยมจะไม่แนะนำให้ผมรู้จักกับเพื่อนคุณหน่อยหรือครับ”
เสียงก้องภพดังขึ้นทำให้ดลินาถึงกับสะดุ้งแล้วหันไปส่งสายตากับรจนาแบบขอความช่วยเหลือ รจนาเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงถ้าไม่แนะนำก็เสียมารยาทแย่ จึงส่งสายตาเป็นเชิงขอโทษก็จะจำใจแนะนำยอดข้าวให้ก้องภพรู้จัก
...เอาวะยายข้าว ฉันขอโทษแกด้วยนะเว้ย...
“นี้ยอดข้าว เพื่อนของแยมเองค่ะ”
“สวัสดีค่ะ”
ดลินาก็ต้องจำใจยกมือไว้ลูกชายเจ้าของงาน แบบฝืนใจตัวเองแบบสุดๆ ก้องภพก็รับไว้สายตาที่มองดลินานั้นหวานหยดย้อยเลยทีเดียว ...แหม! สวยจริงๆ สวยทั้งสองคนเลย รับรองว่าไม่มีทางที่จะรอดมือคนอย่างก้องภพไปได้หรอก หึหึ…
ก้องภพคิดกระหยิ่มอยู่ในใจปากก็ยิ้มไปด้วย ดลินาและรจนาเห็นแล้วรู้สึกว่ามันไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย แต่ความหวาดระแวงนั้นแทบจะมลายหายไปทันทีที่เห็นร่างใหญ่เดินเข้ามา ดลินายิ้มหวานให้กับคนที่ยืนอยู่ข้างหลังก้องภพอย่างดีใจ เจ้าตัวเองก็ยิ้มตอบกลับมา เมื่อก้องภพเห็นดลินายิ้มเช่นนั้นก็นึกว่ายิ้มให้ตน เขายื่นมือออกมาหมายที่จะแตะเนื้อต้องตัวดลินา แต่เขาก็คงทำได้แค่นั้นเมื่อร่างใหญ่ของศิวกรเดินมายืนด้านหน้าเพื่อกันให้ก้องภพออกห่างจากดลินา รอยยิ้มชวนฝันกลับกลายเป็นบึ้งตึงเมื่อเห็นร่างของศิวกรมาอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของเพล์ยบอยหายไปในพริบตา ใบหน้าเหี้ยมเกรียมดุดันปรากฏขึ้นมาแทนทันทีที่ถูกขัดใจ
“ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่ ไม่ใช้มาสะเออะยืนอยู่ตรงนี้”
“ถ้าอย่างนั้น ผมก็ยืนอยู่ในที่ที่ผมควรจะอยู่แล้วล่ะครับคุณก้องภพ”
คำพูดนั้นทำให้ดลินาต้องเงยหน้าขึ้นมองคนตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างหน้า หวังว่าขอให้ได้เห็นใบหน้าของคนคนนี้ แต่กลับเห็นแต่ใบหูเท่านั้น
“และถ้าผมเป็นคุณ ผมจะไม่มายืนอยู่ตรงนี้หรอกครับคุณก้องภพ เพราะว่ามันจะทำให้คุณต้องพลาดโอกาสที่จะได้ขึ้นเวที เพราะตอนนี้คุณแม่ของคุณตามหาตัวให้ควักเลย”
ทนงศักดิ์พูดแทรกขึ้นมาหลังจากยืนเงียบไปนานเพราะมัวแต่เป็นห่วงคุณหมอสาว จนลืมไปเลยว่าตัวเองกำลังจะมาประกาศศึกกับก้องภพไปเสียสนิท เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็หันไปมองยังร่างผู้เป็นมารดาของตน แล้วก็เห็นท่านกำลังมองซ้ายมองขวาเหมือนว่ากำลังตามหาใครบางคน
“มันยังไม่จบแค่นี้หรอกนะ ระวังตัวกันไว้ให้ดีวิ่งเข้าหาเสี้ยน แล้วเสี้ยนมันจะตำจนตายเดี๋ยวจะอยู่ดูโลกได้ไม่นานนะครับผู้กอง”
ก้องภพพูดอย่างแค้นๆหน้าตาน่ากลัว ก่อนจะเดินไปหามารดาของตน รจนาและดลินาถึงกับถอนหายอย่างโล่งอก แต่ก็อดที่จะหวั่นใจไม่ได้กับคำพูดของก้องภพเมื่อสักครู่นี้
“คุณเข้ามาได้จังหวะพอดี ขอบคุณมากนะคะ”
เสียงใสๆของดลินากล่าวอย่างขอบคุณ แต่รจนาตรงกันข้ามกับดลินาลิบลับเลย ขอบคุณแต่ศิวกรแต่กับทนงศักดิ์เธอกลับมองหน้าชวนทะเลาะเสียอย่างนั้น ทนงศักดิ์เองก็จ้องรจนาอย่างไม่ลดละเช่นกัน ...เอาสิยะ... กะอีแค่จ้องตาแค่นี้ ฉันไม่มีทางแพ้นายหรอกตาผู้กองขี้เก๊ก...
ดลินาเห็นเพื่อนตัวเองออกอาการพาลเช่นนั้นก็ได้แต่ส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาโดยมีศิวกรเดินตามมาห่างๆ ร่างบางหันมาเพื่อที่จะพูดคุยกับคนตัวโตกว่า แล้วนั้นก็เป็นครั้งแรกที่ดลินาได้มองศิวกรอย่างเต็มตา เมื่อดลินาเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกว่าจะร้อนๆ ที่แก้มอย่างไรก็ไม่รู้ วันนี้ศิวกรดูเท่ห์มากๆ ยามเขาแต่งกายด้วยชุดขาวปรกติเช่นนี้ดูสง่าและหล่อเหลาเป็นอย่างมาก เขาดูเงียบขรึมและภูมิฐาน
...โอ๊ย!!! อยากลอดซุ้มกระบี่ คนอะไรก็ไม่รู้ดูดีเป็นบ้าเลย...
ดลินาหารู้ไม่ว่าเขาเองก็มองเธออย่างไม่วางตาเช่นกัน วันนี้เธอดูน่ารักกว่าปรกติ มันยิ่งทำให้เขาอยากจะไม่อยากห่างกายจากร่างบางได้เลย ยิ่งเธอแต่งชุดอย่างนี้เขายิ่งไม่อยากให้ใครเห็นเข้าไปใหญ่
“วันนี้คุณสวยมากเลยนะครับ”
ดลินาตอบเสียงสั่นเพราะความเขิน
“ขะ... ขอบคุณมากค่ะ คุณเองก็ดูดีเช่นกัน”
ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นเหมือนมารยาท แต่ความจริงแล้วทั้งคู่ต่างพูดอย่างที่ใจคิด ดลินาก็ได้แต่เขินไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาดี ก็เพราะคนที่อยากจะสนทนาด้วยกลับมองเธออย่างไม่ว่างตาเสียอย่างนั้น
“จะมองอีกนานหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ...ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
เมื่อเขารู้สึกว่าจะเริ่มเสียมารยาทต่อหญิงสาว เขาก็รีบขอโทษขอโพยเธอเป็นการใหญ่ กลัวว่าหญิงสาวจะคิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกันกับท่านผู้ยิ่งใหญ่ที่ทนงศักดิ์และจ่าดำรงค์ใช้เรียกก้องภพ
“พี่ข้าวคะพี่ข้าว ใช่พี่ข้าวจริงๆด้วย โอ้โห!! สวยชะมัดเลย”
เสียงของผกาวดีดังขึ้นทักทายดลินาอย่างประหลาดใจ
“แหม่!!! ว่าแต่เขาตัวเองก็สวยไม่แพ้กันหรอก”
“อันนี้ของมันแน่อยู่แล้วล่ะ ก็ต้อมน่ะสวยจะตายไป”
ดลินาเบ้หน้าเมื่อได้ยินคำเยินยอตัวเองของผกาวดี
“แต่ต้อมว่าพี่ข้าวสวยกว่าต้อมอีกนะ เพล่อๆนะสวยกว่าซอมบี้อีกนะ”
“แน่ใจนะว่าชม”
“ก็ชมน่ะสิ แล้วนั้น...”
ผกาวดีมัวแต่พูดหยอกล้อกับดลินาจนลืมสังเกตคนที่อยู่ข้างๆดลินาไปเลย
“ผู้กองศิลา!!! เท่ห์ระเบิดระเบ้อเลยค่ะ ปรกติก็หล่อจะแย่อยู่แล้วนะคะ มาแต่งชุดขาวแบบนี้สาวๆแถวนี้คงได้มองกันตาค้างแน่เลย”
ผกาวดีพูดอย่างสนิทสนมกับศิวกรถึงแม้ว่าเพิ่งจะได้พบเขาเป็นครั้งที่สองเองเท่านั้น หลังจากที่ได้มีโอกาสได้เจอที่ร้านดลินาเมื่อหลายวันก่อน เมื่อได้เห็นชายหนุ่มตัวเป็นๆ ครั้งแรกก็รู้สึกว่าจะสมราคาคุยที่รจนาคุยไว้เยอะ ...ผู้กองศิลานี่สเป็คพี่ข้าวของแท้เลยนะเนี่ย มาดแมนแอนด์แฮนด์ซั่ม ซึ่งเป็นคำพูดทิ้งท้ายของผกาวดีก่อนออกจากร้านไป
“ขอบคุณครับ”
“นี้ต้อมไปพูดอย่างนั้น ผู้กองเขาเสียหายนะ”
“แล้วกันพี่ข้าว เอ๊!!! หรือว่าหึงผู้กองเขา”
ผกาวดีพูดจี้ใจดำของดลินาเข้าไปเต็มๆ ทำให้หน้าของดลินาแดงขึ้นมาอีกครั้ง ผกาวดียิ้มกรุ้มกริ่มอย่างชอบใจเมื่อเห็นคนที่นับถือเป็นพี่สาวๆ แท้ๆ คนหนึ่งต้องอายหน้าแดง และเมื่อแหล่มองไปยังคนตัวสูงแล้วเห็นว่าดูจะพอใจที่เห็นดลินาเป็นอย่างนั้นผกาวดีก็ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า ...งานนี้ถ้าฉันทำให้สองคนนี้เต้นรำด้วยกันไม่ได้ ก็ไม่ใช่ยายต้อมจอมเจ้าเล่ห์แล้ว...
ผกาวดีก็เริ่มคิดแผนการที่จะทำให้ทั้งสองคนได้เต้นรำคู่กัน ถ้าขืนให้ผู้กองศิลาเป็นขอดลินาเต้นรำเองสิบเอาหนึ่งเลยว่า ไม่มีทางสำเร็จเป็นแน่ สาวเจ้าเล่ห์ของเราหันซ้ายทีขาวทีเพื่อหาคนที่สามารถจะมาช่วยได้ แต่ก็ไม่เห็นใครเลย …เอาไงดีเนี่ย หรือว่าเราจะถอยทัพไปตั้งหลักก่อนเดี๋ยวค่อยมาใหม่อีกที เอาวะ! ตกลงตามนี้แล้วกัน...
“คือพี่ข้าว ผู้กองค่ะ ต้อมขอตัวก่อนนะค่ะ เดี๋ยวมาใหม่”
พูดจบเจ้าตัวก็เดินจากไปไม่เปิดโอกาสให้ผู้ที่อาวุโสกว่าตนได้พูดจาอะไรเลย ดลินามองเด็กสาวอย่างเอ็นดูปนระอา แต่ไอ้คำว่า ‘เดี๋ยวมาใหม่’ ของผกาวดีมันไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย
“ก็เป็นเสียอย่างนี้ถึงได้ไม่มีแฟนกับเขาเสียที ซนจริงๆ”
ดลินายิ้มบางๆ แต่เมื่อหันกลับมาเจอแววตาวิ๊บวับของศิวกรเธอก็รู้สึกหน้ามันชักจะร้อนๆ อย่างไรก็ไม่รู้
“คุณจะมองอีกนานไหม ฉันเริ่มจะเขินแล้วนะคะ”
ดลินาพูดเสียงเบา แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้ชายหนุ่มรู้ตัวว่ากำลังเสียมารยาทอย่างยิ่ง รู้ก็รู้อยู่ว่ามันไม่ดีแต่จะให้ทำไงได้ล่ะ ใครไม่มาเป็นเขาไม่รู้หรอกว่ามันห้ามใจไม่ได้จริงๆ
“ผมขอโทษครับ”
เขาพูดอย่างสำนึกในความผิด
“คุณเล่นมองฉันอย่างนี้ ฉันก็ทำอะไรไม่ถูกสิคะ นึกว่าตัวเองมีอะไรที่ผิดแปลกไปเสียอีกคุณถึงได้มองจัง”
หญิงสาวพูดค่อนเข้าให้ ชายหนุ่มจึงรีบแก้ตัวพัลวัน
“เปล่าหรอกครับ คุณไม่ได้มีอะไรผิดปรกติหรอกครับ ก็วันนี้คุณสวยจนผมไม่อยากละสายตาไปจากคุณเลย”
…ตายล่ะหว่า...
พูดจบประโยคก็นึกขึ้นได้ว่า เขากำลังพูดในสิ่งที่ควรเก็บไว้ในใจมากกว่า เขาจึงมองหญิงสาวที่ยืนเขินหน้าแดงอย่างลุแก่โทษ เขาเองปรกติจะเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์และคำพูดได้เป็นอย่างดี แต่วันนี้พอเจอดลินาสวยหวานอย่างนี้ คุณผู้กองขี้เก๊กก็มาดหลุดได้เหมือนกัน ดลินาเมินหน้าหนีศิวกรไปทางอื่น เพราะไม่อยากให้เห็นใบหน้าของเธอแดงเป็นลุกตำลึงสุกแบนี้หรอก …ตาบ้า! มาพูดกันตรงๆ แบบนี้คนเขาก็อายแย่เลยสิ...
ท่ามกลางผู้คนที่กำลังยืนสนทนากันอยู่บริเวณนั้น ดลินาเห็นร่างของชายสูงอายุคนหนึ่งเดินอย่างๆช้าๆแต่มั่นคง โดยมีร่างของหลานสาวเดินตามอยู่ไม่ห่างนัก เดินตรงมาทางเธอ รอยยิ้มของผู้ที่ผ่านโลกมามากปรากฏบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยตามกาลเวลา แต่ก็ดูอบอุ่นและอ่อนโยนเสมอ
ดลินารีบยกมือไหว้ทักทายผู้อาวุโสทันที ศิวกรเองก็เช่นกันรีบทำความเคารพชายชราตาม ชายชราก็รับไหว้ทั้งสองคน
“สวัสดีค่ะคุณตา ยังแข็งแรงอยู่เหมือนเดิมเลยนะคะ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ถ้าตาไม่ได้ยายจอมจุ้นหาเรื่องมาให้ตาได้ปวดหูและหัวได้ทุกวันล่ะก็ ตาก็คงจะนอนอยู่บนเตียง ไม่ก็นั่งอยู่บนรถเข็นไปนานแล้ว”
“คุณตา ต้อมไม่ใช่ยายจอมจุ้นนะคะ”
หลานสาวสุดที่รักหน้างอ น้ำเสียงเง้างอนเต็มที่
“ที่คุณตาพูดน่ะถูกต้องที่สุดแล้วค่ะ จอมจุ้นจริงๆ”
“เอาเข้าไป... รุมกันใหญ่เลย ผู้กองต้องอยู่ฝ่ายเดียวกับต้อมด้วย ไม่อย่างนั้นต้อมงอน”
ศิวกรดูถ้าจะงงๆกับเด็กสาวคนนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะเคยเจอหน้าและพูดคุยเธอแค่ครั้งเดียว แต่เด็กสาวพูดคุยอย่างสนิทสนมเหมือนจะรู้จักเขามาสัก 10 ปีเห็นจะได้ แต่เขาก็ดูๆไปแล้วเด็กคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่ไม่น่าคบอะไรนัก และที่สำคัญผกาวดีเป็นคนนำทางให้เขาได้เดินหน้าลุยต่อไป
“ผมขอเป็นกลางดีกว่าครับ”
“ไม่ได้นะคะ ผู้กองต้องอยู่ข้างต้อมสิ เพราะว่าต้อมน่ะอยู่ข้างผู้กองนะ”
ผกาวดีสื่ออกมาเช่นนั้น ทำให้ดลินาเริ่มจะรู้สึกหวั่นๆ ในใจเสียแล้ว เพราะยายจอมจุ้นเหมือนจะประกาศให้รู้เลยว่างานนี้ดลินาเสียเปรียบแน่ๆ
“แล้วกันหลานคนนี้ นิสัยเอาแต่ใจนี่แก้ไม่หายเสียที ผมต้องขอโทษผู้กองด้วยนะครับ”
เสียแหบของชายชรากล่าวขอโทษศิวกรที่หลานสาวของตนแสดงกิริยาที่ไม่ดีออกไป เขาจึงต้องรีบบอกว่าไม่เป็นไรทันทีด้วยท่าทางที่นอบน้อม
“ต้อมไปหาอะไรกินดีกว่าอยู่ตรงนี้คุยอะไรกันก็ไม่รู้เรื่อง ขอตัวก่อนะคะไปพี่ข้าวไปด้วยกัน”
ไม่ว่าเปล่าแม่เผด็จการตัวน้อยก็จูงมือดลินาแล้วลากไปที่โต๊ะอาหารด้วยกัน คนถูกฉุดไปก็ยังไม่ได้ตอบตกลงอะไรด้วยเลย
“คุณรับราชการมากี่ปีแล้วล่ะ”
ชายชราถามหลังจากรับร่างของหลานสาวทั้งสอง
“8 ปีแล้วครับ ผมเป็นตำรวจตระเวนชายแดนที่เชียงรายอยู่ 6 ปี แล้วก็ย้ายมาประจำการอยู่ที่นี้เมื่อ 2 ปีก่อนครับ”
“แล้วทำไมถึงย้ายมาประจำการที่นี้ล่ะ”
“ผมถูกขอตัวให้มาช่วยราชการทางนี้น่ะครับ”
“สงสัยเขาคงต้องการตำรวจฝีมือดีมาช่วยเหลือชาติ จริงอยู่ตอนนี้จะมีนายตำรวจเก่งๆ ก็มาก แต่กลับไม่รู้จักใช้ความรู้ความสามารถที่มีมาช่วยประเทศเท่าไหร่ แต่กลับใช่สิ่งที่ตนมีไปใช้ในทางที่ไม่ดี น่าเสียดาย”
ชายหนุ่มพยักน้ารับอย่างเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ยวาจาที่ทำให้คุณเปรมถึงกับยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“เมื่อมีสีขาวมันก็ย่อมจะต้องมีสีดำเป็นปรปักษ์ควบคู่กันไป เมื่อใดสีดำนั้นตกลงไปในสีขาวมันก็จะไม่ใช่สีขาวที่บริสุทธิ์อีกต่อไป ถึงแม้ว่าจะพยายามเพิ่มสีขาวเข้าไปเท่าไหร่ มันก็จะไม่มีทางที่จะทำให้มันเป็นสีขาวที่บริสุทธิ์ได้เหมือนเดิมอีก แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้สีดำนั้นเจือจางลง”
ชายหนุ่มกลั่นกรองมาจากความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงของเขา สีหน้าเขาจริงจังและคำพูดนั้นก็ช่างหนักแน่น ใช่แล้ว...เขาจะเป็นสีขาวที่จะเข้าไปช่วยเจือให้สีดำนั้นมันจาง ถึงแม้มันยังคงอยู่แต่ก็ขอให้มันจางแสนจางลงจนออกไปจากสังคมให้จงได้ นั้นเป็นสิ่งที่เขายึดถือและปฏิบัติมาตลอดตั้งแต่เขาต้องสูญเสียบิดาไป เพราะเพื่อนตำรวจด้วยกันทรยศบิดาของเขา
*********************************************************
“นี่แม่คุณอิ่มหน่ำสำราญจริงนะ บอกมาเสียดีๆว่ามีแผนอะไรอยู่ในใจ”
“อะไรกัน ทำมองเค้าในแง่ร้ายอย่างนั้นล่ะ”
ผกาวดียืนยันอย่างนักแน่น แต่แววตาที่แสนเจ้าเล่ห์วิบวับนั้นมันค้านกับคำพูดของเธออย่างสิ้นเชิง ดลินาหรี่ตามองหญิงสาวที่รักเหมือนน้องแท้ๆอย่างไม่ไว้ใจ
“จริงสิพี่ข้าว มีใครมาขอพี่เต้นรำยัง”
ผกาวดีถามขึ้นหลังจากตักขนมปังชิ้นพอดีคำเข้าปากไป
“บ้าหรอ! ใครเขาจะมาขอพี่เต้นรำ ขี้เหล่ออกอย่างนี้”
“โหพี่!!! ถ้าพี่ข้าวขี้เหล่นะ ต้อมก็แก้วหน้าม้าแล้ว”
ผกาวดีว่าเสียงสูง
“อ๊ะ!!! หรือว่ากำลังรอใครบางคนเขาขอเต้นรำอยู่ พี่ข้าวรู้อะไรหรือเปล่า ต้อมได้ยินมาว่าพวกนักเรียนนายร้อยทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นบก เรือ อากาศ หรือแม้แต่ตำรวจ เขาเต้นลีลาศเก่งนะพี่ ไม่อยากลองหน่อยหรอ”
ผกาวดีเน้นนักไปที่โรงเรียนนายร้อยที่สุดท้าย เธอพยายามชักแม่น้ำทั้งห้ามาเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคำพูดของตน คราวนี้ดลินาก็ถึงกับบางอ้อทันทีว่ายายตัวแสบของเธอนั้นกำลังคิดอะไรอยู่
“ต้อมพี่รู้นะว่าเราน่ะคิดอะไรอยู่ มันไม่มีทางเป็นไปอย่างที่เราคิดหรอกนะ”
ดลินาพูดอย่างมั่นใจ
“พี่ข้าวไม่ชอบผู้กองหรือคะ”
อึ้ง... ดลินากำลังยืนอึ้งเมื่อผกาวดียิงคำถามที่ถามง่ายแต่สำหรับคนที่จะตอบนั้นมันช่างเป็นคำตอบที่ยากเหลือเกิน ดลินาพยายามจะอ้าปากตอบแต่ก็ทำได้ยากเต็มทน ผกาวดีเห็นสีหน้าของดลินาแดงระเรื่อก็ยิ่งถูกใจ ชอบเขาแต่ไม่กล้าบอกให้มันได้อย่างนี้สิ
“พี่ข้าว... ไม่ว่ายังไงต้อมก็อยู่ข้างพี่ข้าวเสมอนะคะ เพราะฉะนั้นเราสตรีไทยยุคใหม่ใจเกินร้อย ต้องเดินลุยสถานเดียว”
ว่าแล้วก็กำมือขึ้นไปบนฟ้าแล้วชักมือลงเหมือนกำลังจะแปลงร่าง ทำให้คนแถวนั้นมองกันเป็นแถว ดลินาเองก็อายสายตาคนรอบข้างเลยตีแขนคนจอมวางแผนเบาๆ เป็นเชิงเตือน
“พอแล้วยายต้อมอายเขา”
“แหะๆ เอาเป็นว่าลีลาศที่พี่แยมลากพี่ไปเรียนด้วยกันก็งัดเอาออกมาใช้หน่อยก็แล้วกันนะคะ”
“ไม่เอาอายจะตาย คนเยอะแยะ”
“อายทำไมคะ คนอื่นเขาก็ลีลาศกันเยอะแยะไปไม่เห็นมีใครอายเลย”
“แต่ว่า...”
“ไม่รู้ล่ะผู้กองศิลาคนนี้ถ้าพลาดไปไม่รู้ว่าจะมีใครเข้ามาอีกในชีวิตหรือเปล่า อีกอย่างต้อมชอบผู้กองด้วย พี่ข้าวต้องพิชิตมาเป็นพี่เขยต้อมให้ได้”
ไม่เจอคำพูดเอาแต่ใจของหลานสาวสุดที่รักของคุณเปรมเจ้าสั่วธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อันดับต้นๆของประเทศถึงกับเหนื่อยใจ เป็นเจ้าตัวตั้งใจจะทำอะไรแล้วถ้าไม่ได้ข้อสรุปถึงที่สุดไม่มียอมเลิกราง่ายๆ
“แล้วที่ลากออกมาเนี่ยเราอุตส่าห์เรียกมาเตี้ยมกันไว้ก่อน จะได้ไม่มีอะไรผิดพลาดไงคะ”
“ทำแบบนี้ไม่กลัวเขามองพี่เป็นผู้หญิงน่ากลัวหรอ”
“ต้อมว่าไม่น่าจะมองพี่อย่างนั้นหรอกนะ อาจจะดีใจอยู่ลึกๆ ก็ได้”
ดลินาส่ายหน้าอย่างปลงๆ
“ว่าไงสองสาว อิ่มกันแล้วล่ะสิ”
“ใครว่าล่ะคะ ยายต้อมน่ะลุยอยู่คนเดียว ไม่เหลือให้ข้าวบ้างเลย”
“คุณตาอย่าไปเชื่อพี่ข้าวนะคะ พี่ข้าวน่ะขี้จุ๊... อ้าว! แล้วผู้กองไปไหนเสียแล้วล่ะคะ”
ผกาวดีถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนหายไป
“พ่อศิลาน่ะหรือ คุยอยู่กับนายเก่าของเขาน่ะเดี๋ยวก็คงมา ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเจ้าหญิงยังอยู่ องครักษ์จะหนีไปไหนได้อย่างไร จริงไหมหนูยอดข้าว”
คุณเปรมพูดขึ้นแล้วอมยิ้มน้อยๆ มีหรือที่อาบน้ำร้อนมาก่อนอย่างเขาจะดูไม่ออก ว่าศิวกรคิดยังไงกับดลินาที่เขาเอ็นดูเหมือนหลานสาวๆ แท้ๆ ของตนอีกคน จากการพูดคุยเมื่อครู่นี้ทำให้คุณเปรมมั่นใจในระดับหนึ่งว่า ศิวกรเป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับชีวิตพอสมควร เถรตรง ซื่อสัตย์ และมีน้ำใจ ถือว่าดลินาโชคดีจริงๆที่ได้รู้จักกับศิวกร
ศิวกรเดินเข้ามาร่วมวงสนทนานี้ทันที หลังจากที่พูดคุยกับนายเก่า ศิวกรนับถือเขาเป็นแบบอย่างที่ดีอีกท่านหนึ่ง ก่อนที่ท่านจะขอตัวไปพบกับเพื่อนร่วมรุ่นที่ไม่ได้เจอกันเสียนาน ดลินามองศิวกรที่เดินอย่างสง่าตาแทบค้าง ...โอ้ย!!! คนบ้าอะไร เท่ห์จริงๆเลย ลากเข้าซอยหรือว่าเอาไปขังไว้ที่บ้านแล้วล่ามโซ่ดีหว่า...
“พ่อศิลา ไม่พาหนูยอดข้าไปเต้นรำหน่อยล่ะ”
คุณเปรมพูดขึ้นหลังจากที่ศิวกรมาหยุดอยู่ข้างๆ ดลินา ดลินาแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยินเลย หูเธอคงต้องฝาดไปแน่ๆ
“ใช่แล้วค่ะ ผู้กองพาพี่ข้าวออกไปโชว์ลีลาหน่อยสิคะ หรือว่าผู้กองลืมการเต้นลีลาศไปหมดแล้ว”
“ไม่มั่นใจเหมือนกันครับเพราะไม่เต้นมานานตั้งแต่เรียนจบ หากมีคู่ลองออกไปเต้นดูอาจจะพอจำท่วงท่าได้บ้าง”
ศิวกรจงใจมองไปที่หญิงสาวผู้สวมชุดส้มโอล์ดโรสที่ยืนอยู่ไม่ไกลมากนัก ดลินาได้แต่ยืนเขินไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไป ลองให้คุณเปรมเป็นคนเอ่ยปากเห็นดีเห็นงามด้วยอย่างนี้แล้ว เธอคงรอดยาก
ศิวกรเดินมาตรงหน้าของหญิงสาวก่อนจะโค้งให้เธอ แล้วยื่นมือขวาออกไปตรงหน้า คราวนี้สาวเจ้าของร้านกาแฟของเราถึงกับอายม้วนเลยทีเดียว พอเธอหันหน้าไปทางซ้ายก็เห็นสายตากรุ่มกริ่มแกมคาดคั่นของผกาวดี พอหันไปทางขวาก็เห็นสายตายิ้มๆ ของคุณเปรม พอหันไปข้างหน้าก็เห็นสายตาหวานซึ้งของศิวกร จะหันหลังก็คงไม่พ้นสายตานับสิบคู่ที่จ้องมองเธออยู่
...เอาไงดี ถ้าปฏิเสธเขาไปก็คงไม่ดี แต่ว่ามันเขินนี่หน่า ยื่นมือไปให้เขาดีหรือเปล่า ฮือๆๆ เอาไงดี...
ยืนคิดอยู่นานสองนานสุดท้ายมือเรียวเล็กของดลินาก็ไปวางอยู่บนมือหนาๆ ของศิวกร เขาค่อยๆประคองพาเธอเดินไปยังฟลอร์เต้นรำที่มีคู่เต้นอยู่ 5-6 คู่ ตลอดทางที่เธอเดินไป สายตานับสิบคู่ต่างจ้องมองมายังเขาและเธอ อย่างชื่นชมเพราะว่าเมื่อทั้งสองมายืนคู่กันแล้ว เหมาะสมกันอย่างที่สุด
พอทั้งสองมาหยุดอยู่กลางฟลอร์เต้นรำศิวกรค่อยๆ เอามือซ้ายค่อยๆ ขึ้นประคองที่หลังหญิงสาวอย่างให้เกียรติ มือขวาประคองมือซ้ายของดลินาอย่าง ทะนุถนอม หญิงสาวจะทำอย่างไรได้ล่ะก็ต้องไหลตามน้ำไปอย่างเดียวเมื่อเขาจับจังหวะของเพลงได้แล้วเขาจึงกระตุกมือของหญิงสาวเบาๆเป็นสัญญาณให้เธอพร้อม
“เตรียมตัวโดนฉันเหยียบเท้าไว้เลยนะคะผู้กอง”
“ไม่เป็นไรครับ เหยียบจนเล็บเท้าแตกผมก็ยอม ถือว่าคุ้ม”
ดลินามองเขาอย่างมั่นไส้ แต่ก็ทำได้เท่านั้นเพราะศิวกรเริ่มนำเธอเต้นแล้ว
(เผชิญหน้า 1)
เสียงดนตรีคลาสสิกขับกล่อมให้ผู้คนในงานได้รู้สึกผ่อนคลาย แชนเดอร์เลียอันโตแขวนเด่นอยู่กลางห้องแกรนด์บอลรูมเพิ่มความหรูหราภายในงานเลี้ยงการกุศลนี้ได้เป็นอย่างดี บุรุษในชุดขาวปรกติยืนหลบมุมอยู่มุมหนึ่งของห้องแกรนด์บอลรูมโรงแรงดังแห่งหนึ่งเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตมากนัก เขามางานนี้ตามคำเชิญของลูกชายเจ้าของงาน แต่สำหรับชายหนุ่มคิดว่ามันเป็นสารท้ารบเสียมากกว่า และก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอย่างนั้นเมื่อคนส่งสารท้ารบเดินถือแก้วไวน์มาหาเขา สีหน้าที่ศิวกรเห็นนั้นแล้วรู้สึกว่ามันน่าจะชกเปรี้ยงเข้าไปสักที
“สวัสดีครับคุณตำรวจ ผมนึกว่าคุณจะไม่มาเสียแล้ว”
เขาพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มที่เคลือบยาพิษ แต่ศิวกรเองก็ไม่หวั่น
“ผมต้องมาสิครับ ก็คุณอุตส่าห์ให้คนไปส่งบัตรเชิญถึงที่ แล้วจะปล่อยให้คนเชิญรอเก้อได้อย่างไร”
“แหม่... รู้สึกเป็นเกียรติจริงๆครับ ที่บัตรเชิญของผมไม่เป็นม่ายไป”
“ครับ... ผมเองก็รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาเยือนถึงที่นี้”
ถ้าคนที่ไม่รู้เรื่องมาฟังคนทั้งคู่สนทนากันก็จะนึกว่าพูดคุยกันตามปรกติ แต่จริงๆแล้วทั้งคู่กำลังเชือดเฉือนกันด้วยวาจาอย่างน่ากลัว ต่างฝ่ายต่างจ้องตากันอย่างไม่ลดละ
“ผมต้องขอตัวไปต้อนรับแขกก่อน ดูแลตัวเองนะครับผมคงไม่มีเวลามาสนใจคุณคนเดียวหรอก อ้อ!!! แล้วอีกอย่าง...ระวังอย่าเอาปากไปแกว่งหาเท้านะครับ”
ก้องภพยิ้มเย็นที่มุมปากก่อนจะเดินจากไป ศิวกรมองตามหลังคนที่ยิ่งยโสนั้นไปด้วยสายตาดุดัน
“แหม่... ท่านผู้ยิ่งใหญ่เดินมาหาเองเลยหรอ”
ทนงศักดิ์พูดแซวศิวกร ถึงแม้เขาจะเดินไปทักทายผู้ใหญ่รอบๆงาน แต่เขาก็มองการเชือดเฉือนกันของศิวกรและก้องภพอยู่ห่างๆ
“อืม”
“แล้วเขาว่าไงบ้าง”
“เขาบอกว่า... อย่าเอาปากไปแกว่งหาเท้า”
“โอ้โฮแหะ... ใจคอพี่แกจะลั่นกลองรบด้วยตัวเองเลยหรือ”
ทนงศักดิ์พูดไปก็มองก้องภพที่ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของสาวๆ ดูเหมือนว่าตำแหน่งลูกชายของอดีตนายตำรวจที่ตอนนี้เป็น สส. จะขายดีเป็นพิเศษ ถ้าเกิดสาวๆเหล่านั้นได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของก้องภพแล้วยังจะลายล้อมเขาอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า นั้นเป็นคำถามที่ทั้งทนงศักดิ์และศิวกรได้แต่คิดถามอยู่ในใจ
ทนงศักดิ์ละสายตาไปจากก้องภพ ก่อนจะสอดส่องสายตาไปรอบๆ งานเพื่อจะมองดูความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในงานเลี้ยงการกุศล แล้วสายตาของเขาก็หยุดนิ่งเมื่อเขาเห็นหญิงสาวที่คุ้นตาเดินเข้ามาในงาน
หญิงสาวรูปร่างสูงเพรียวในชุดราตียาวกรอมเท้าแบบคล้องคอสีน้ำเงินเข้มเผยให้เห็นแผ่หลังเนียนนุ่นน่าสัมผัส เนื้อผ้าบางเบาพลิ้วไหวยามก้าวเดิน ผมยาวที่ดัดเป็นลอนถูกรวบไว้ด้านหลังอย่างสวยเก๋ ใบหน้าถูกตกแต่งอย่างประณีตสวยงาม ส่งให้ใบหน้าสวยคมนั้นดูโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก ต่างหูและสร้อยข้อมือเพชรเข้าชุดส่องแสงระยิบระยับยามต้องแสงไฟภายในงาน เธอเดินถือกระเป๋าถือใบเล็กน่ารักสีเดียวกับชุดของเธอเข้ามาในงานด้วยมาดนางพญา และเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่นั้นเป็นลูกสาวของนายแพทย์ชื่อดังและยังเป็นเจ้าของโรงพยาบาล ยิ่งทำให้ผู้คนที่อยู่แถวๆนั้นต่างมองเธอด้วยสายตาที่ชื่นชม
ทนงศักดิ์มองคุณหมอสาวที่วันนี้ทิ้งมีดผ่าตัดมาแต่งเป็นสาวงามอย่างไม่วางตา ปรกติรจนาก็เป็นคนสวยอยู่แล้ว ยิ่งจับมาแต่งสวยทำให้เธอสวยเข้าไปอีก ...แม่เจ้าโว้ย แม่เจ้าประคุณรุนช่องจะแต่งมาล้อตะเข้หรือไง ถ้ารจนาโดนจระเข้งาบไปจริงๆ เขาก็ยินดีที่จะเป็นไกรทองลงตามไปช่วยเธอจากจระเข้ล่ะงานนี้…
“ตาค้างเลยนะครับผู้กอง น้ำลายจะหยดอยู่แล้วนั้น”
จ่าดำรงค์ที่หายไปนานเพราะมัวแต่ไปอยู่แถวโต๊ะอาหารและก็เป็นการหาข่าวไปในตัวก็พูดแซวทนงศักด์อย่างสนุกปาก ทำให้ทนงศักดิ์ส่งสายตาพิฆาตมาให้ แต่จ่าดำรงค์ก็ไม่ได้กลัวอะไรมาก (แต่ถ้าเป็นศิวกรป่านนี้หัวหดไปนานแล้ว) เพราะรู้ว่าทนงศักดิ์เป็นคนที่พูดแหย่เล่นได้
“หรือว่าจ่าจะให้ผมมองด้วยสายตา อิจฉาริษยาล่ะ”
“โอ้!!! ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมก็คงต้องอยู่ห่างๆ ผู้กองศักดิ์ไว้ไกลๆ กลัวผู้กองมาตกหลุมรักผม ฮะฮะฮ่า…”
จ่าดำพูดพร้อมกับหัวเราะไปด้วย แม้แต่ศิวกรเองยังอดที่จะอมยิ้มไม่ได้เหมือนกัน
“เออดี หัวเราะกันเข้าไป... ว่าแต่เขาเถอะ ดูนู้นเสียก่อนคนที่เดินตามคุณหมอมาน่ะใคร”
“โอ้โห!!! นั้นใครครับผู้กองศักดิ์ สวยไม่แพ้กับคุณหมอเลยครับ”
“หึหึ... ถ้าจ่าอยากรู้ว่าใคร ให้ถามคนที่ยืนอึ้งคนนั้นสิ เขารู้จักดี”
ทนงศักดิ์ยักคิ้วไปทางคนที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงอย่างหยอกล้อ ตอนนี้ต่อให้มีคนมายืนตะโกนอยู่ข้างๆเขาตอนนี้ ศิวกรก็มิอาจจะละสายตาไปจากหญิงสาวที่เดินตามรจนามาภายหลังไม่ได้เลย ดลินาในชุดราตรีเกาะอกเข้ารูปสีส้มโอล์ดโรสยาวระข้อเท้า เนื้อผ้าบางเบาเช่นเดียวกับรจนา ผมยาวสลวยวันนี้ถูกรวบเกล้าเป็นมวยสวยอยู่บนศีรษะ เปิดโชว์ให้เห็นหน้าหวานๆที่แต่งมาอ่อนๆของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี ที่ลำคอระหงมีสร้อยเพชรประดับอยู่อย่างเหมาะเจาะ ในมือถือกระเป๋าสีขาวเข้ากับชุด
เธอเดินเข้ามาสมทบกับรจนาที่ยืนรอก่อนแล้ว เมื่อทั้งคู่ได้มายืนคู่กันเช่นนี้ยากนักที่จะตัดสินว่าใครสวยกว่ากัน คนหนึ่งสวยเปรี้ยว คนหนึ่งสวยหวาน ตอนให้กรรมการในการตัดสินการประกวดนางสาวไทยมาเอง ก็คงต้องลำบากหน่อยที่จะตัดสินว่าใครควรได้มงกุฎไปครอง
“คะแนนเต็ม 10 ผมให้ทั้งคู่ 19 เลยครับ และถ้าให้เป็นแฟนผมคงปฏิเสธ เพราะคนที่บ้านผมคงเอาอีโต้ฟันผมกระบาลแยก”
จ่าดำพูดติดตลก มีแต่ทนงศักดิ์ที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ฟังอยู่แต่คนเดียว
“ไม่ต้องรอให้ที่บ้านฟันหรอกจ่า เอาตัวให้รอดจากคนแถวนี้ก่อนจะดีกว่า อะแฮ่ม!! มองตาเยิ้มเลยนะครับ ถ้าไม่รีบไปทักนางฟ้าระวังจะโดนตัดหน้านะครับ”
คำพูดนั้นทำให้ศิวกรต้องละสายตาจากดลินามามองยังเพื่อนของเขาแทน ทนงศักดิ์ถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นสายตาเอาเรื่องจากเพื่อนของตน
“ตายล่ะหว่า... ผู้กองครับ ดูเหมือนว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่กำลังจะเดินตรงไปยังสองสาวแล้วครับ”
คราวนี้ทั้งทนงศักดิ์และศิวกรหันขวับไปมองยังสองสาวอย่างพร้อมเพรียงกัน และมันก็เป็นอย่างที่จ่าดำพูดจริงๆ ก้องภพกำลังยืนสนทนากับทั้งสองสาวอยู่ เท้าไวเท่าความคิด ทั้งคู่ก็ก้าวเดินจากฐานที่มั่นแล้วเดินตรงไปยังเป้าหมายทันที ทิ้งให้จ่าดำยืนเกาหัวแกรกๆ อยู่คนเดียว
...อะไรวะ! เห็นสาวแล้วทิ้งลูกน้อง นี้ล่ะน๊า... ความรักมันบังตา…
ดลินามองก้องภพอย่างหวั่นๆ เขาเป็นคนที่ผู้หญิงไม่น่าเข้าใกล้มากที่สุดอย่างที่รจนาพูดไว้ไม่มีผิด หน้าตาหล่อเหลาซึ่งเป็นเปรียบเสมือนกับดัก ซึ่งไว้ดักคนที่หลงรูปภายนอกมาติดกับได้ง่ายดาย สายตาเจ้าที่ออกจะดูจาบจ้วงมากกว่าแสดงออกมาอย่างเด่นชัดยามจ้องมองสตรี วาจาอ่อนหวานแต่หาความจริงใจนั้นไม่ได้เลย
ดลินาหันไปมองเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้ว ยังนึกชมรจนาที่ทนยืนสนทนากับคนแบบนี้ได้ ถ้าไม่ติดว่าเพื่อนยืนคุยอยู่ล่ะก็ ป่านนี้เธอชิ่งหนีไปนานแล้ว
“คุณแยมจะไม่แนะนำให้ผมรู้จักกับเพื่อนคุณหน่อยหรือครับ”
เสียงก้องภพดังขึ้นทำให้ดลินาถึงกับสะดุ้งแล้วหันไปส่งสายตากับรจนาแบบขอความช่วยเหลือ รจนาเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงถ้าไม่แนะนำก็เสียมารยาทแย่ จึงส่งสายตาเป็นเชิงขอโทษก็จะจำใจแนะนำยอดข้าวให้ก้องภพรู้จัก
...เอาวะยายข้าว ฉันขอโทษแกด้วยนะเว้ย...
“นี้ยอดข้าว เพื่อนของแยมเองค่ะ”
“สวัสดีค่ะ”
ดลินาก็ต้องจำใจยกมือไว้ลูกชายเจ้าของงาน แบบฝืนใจตัวเองแบบสุดๆ ก้องภพก็รับไว้สายตาที่มองดลินานั้นหวานหยดย้อยเลยทีเดียว ...แหม! สวยจริงๆ สวยทั้งสองคนเลย รับรองว่าไม่มีทางที่จะรอดมือคนอย่างก้องภพไปได้หรอก หึหึ…
ก้องภพคิดกระหยิ่มอยู่ในใจปากก็ยิ้มไปด้วย ดลินาและรจนาเห็นแล้วรู้สึกว่ามันไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย แต่ความหวาดระแวงนั้นแทบจะมลายหายไปทันทีที่เห็นร่างใหญ่เดินเข้ามา ดลินายิ้มหวานให้กับคนที่ยืนอยู่ข้างหลังก้องภพอย่างดีใจ เจ้าตัวเองก็ยิ้มตอบกลับมา เมื่อก้องภพเห็นดลินายิ้มเช่นนั้นก็นึกว่ายิ้มให้ตน เขายื่นมือออกมาหมายที่จะแตะเนื้อต้องตัวดลินา แต่เขาก็คงทำได้แค่นั้นเมื่อร่างใหญ่ของศิวกรเดินมายืนด้านหน้าเพื่อกันให้ก้องภพออกห่างจากดลินา รอยยิ้มชวนฝันกลับกลายเป็นบึ้งตึงเมื่อเห็นร่างของศิวกรมาอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของเพล์ยบอยหายไปในพริบตา ใบหน้าเหี้ยมเกรียมดุดันปรากฏขึ้นมาแทนทันทีที่ถูกขัดใจ
“ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่ ไม่ใช้มาสะเออะยืนอยู่ตรงนี้”
“ถ้าอย่างนั้น ผมก็ยืนอยู่ในที่ที่ผมควรจะอยู่แล้วล่ะครับคุณก้องภพ”
คำพูดนั้นทำให้ดลินาต้องเงยหน้าขึ้นมองคนตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างหน้า หวังว่าขอให้ได้เห็นใบหน้าของคนคนนี้ แต่กลับเห็นแต่ใบหูเท่านั้น
“และถ้าผมเป็นคุณ ผมจะไม่มายืนอยู่ตรงนี้หรอกครับคุณก้องภพ เพราะว่ามันจะทำให้คุณต้องพลาดโอกาสที่จะได้ขึ้นเวที เพราะตอนนี้คุณแม่ของคุณตามหาตัวให้ควักเลย”
ทนงศักดิ์พูดแทรกขึ้นมาหลังจากยืนเงียบไปนานเพราะมัวแต่เป็นห่วงคุณหมอสาว จนลืมไปเลยว่าตัวเองกำลังจะมาประกาศศึกกับก้องภพไปเสียสนิท เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็หันไปมองยังร่างผู้เป็นมารดาของตน แล้วก็เห็นท่านกำลังมองซ้ายมองขวาเหมือนว่ากำลังตามหาใครบางคน
“มันยังไม่จบแค่นี้หรอกนะ ระวังตัวกันไว้ให้ดีวิ่งเข้าหาเสี้ยน แล้วเสี้ยนมันจะตำจนตายเดี๋ยวจะอยู่ดูโลกได้ไม่นานนะครับผู้กอง”
ก้องภพพูดอย่างแค้นๆหน้าตาน่ากลัว ก่อนจะเดินไปหามารดาของตน รจนาและดลินาถึงกับถอนหายอย่างโล่งอก แต่ก็อดที่จะหวั่นใจไม่ได้กับคำพูดของก้องภพเมื่อสักครู่นี้
“คุณเข้ามาได้จังหวะพอดี ขอบคุณมากนะคะ”
เสียงใสๆของดลินากล่าวอย่างขอบคุณ แต่รจนาตรงกันข้ามกับดลินาลิบลับเลย ขอบคุณแต่ศิวกรแต่กับทนงศักดิ์เธอกลับมองหน้าชวนทะเลาะเสียอย่างนั้น ทนงศักดิ์เองก็จ้องรจนาอย่างไม่ลดละเช่นกัน ...เอาสิยะ... กะอีแค่จ้องตาแค่นี้ ฉันไม่มีทางแพ้นายหรอกตาผู้กองขี้เก๊ก...
ดลินาเห็นเพื่อนตัวเองออกอาการพาลเช่นนั้นก็ได้แต่ส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาโดยมีศิวกรเดินตามมาห่างๆ ร่างบางหันมาเพื่อที่จะพูดคุยกับคนตัวโตกว่า แล้วนั้นก็เป็นครั้งแรกที่ดลินาได้มองศิวกรอย่างเต็มตา เมื่อดลินาเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกว่าจะร้อนๆ ที่แก้มอย่างไรก็ไม่รู้ วันนี้ศิวกรดูเท่ห์มากๆ ยามเขาแต่งกายด้วยชุดขาวปรกติเช่นนี้ดูสง่าและหล่อเหลาเป็นอย่างมาก เขาดูเงียบขรึมและภูมิฐาน
...โอ๊ย!!! อยากลอดซุ้มกระบี่ คนอะไรก็ไม่รู้ดูดีเป็นบ้าเลย...
ดลินาหารู้ไม่ว่าเขาเองก็มองเธออย่างไม่วางตาเช่นกัน วันนี้เธอดูน่ารักกว่าปรกติ มันยิ่งทำให้เขาอยากจะไม่อยากห่างกายจากร่างบางได้เลย ยิ่งเธอแต่งชุดอย่างนี้เขายิ่งไม่อยากให้ใครเห็นเข้าไปใหญ่
“วันนี้คุณสวยมากเลยนะครับ”
ดลินาตอบเสียงสั่นเพราะความเขิน
“ขะ... ขอบคุณมากค่ะ คุณเองก็ดูดีเช่นกัน”
ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นเหมือนมารยาท แต่ความจริงแล้วทั้งคู่ต่างพูดอย่างที่ใจคิด ดลินาก็ได้แต่เขินไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาดี ก็เพราะคนที่อยากจะสนทนาด้วยกลับมองเธออย่างไม่ว่างตาเสียอย่างนั้น
“จะมองอีกนานหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ...ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
เมื่อเขารู้สึกว่าจะเริ่มเสียมารยาทต่อหญิงสาว เขาก็รีบขอโทษขอโพยเธอเป็นการใหญ่ กลัวว่าหญิงสาวจะคิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกันกับท่านผู้ยิ่งใหญ่ที่ทนงศักดิ์และจ่าดำรงค์ใช้เรียกก้องภพ
“พี่ข้าวคะพี่ข้าว ใช่พี่ข้าวจริงๆด้วย โอ้โห!! สวยชะมัดเลย”
เสียงของผกาวดีดังขึ้นทักทายดลินาอย่างประหลาดใจ
“แหม่!!! ว่าแต่เขาตัวเองก็สวยไม่แพ้กันหรอก”
“อันนี้ของมันแน่อยู่แล้วล่ะ ก็ต้อมน่ะสวยจะตายไป”
ดลินาเบ้หน้าเมื่อได้ยินคำเยินยอตัวเองของผกาวดี
“แต่ต้อมว่าพี่ข้าวสวยกว่าต้อมอีกนะ เพล่อๆนะสวยกว่าซอมบี้อีกนะ”
“แน่ใจนะว่าชม”
“ก็ชมน่ะสิ แล้วนั้น...”
ผกาวดีมัวแต่พูดหยอกล้อกับดลินาจนลืมสังเกตคนที่อยู่ข้างๆดลินาไปเลย
“ผู้กองศิลา!!! เท่ห์ระเบิดระเบ้อเลยค่ะ ปรกติก็หล่อจะแย่อยู่แล้วนะคะ มาแต่งชุดขาวแบบนี้สาวๆแถวนี้คงได้มองกันตาค้างแน่เลย”
ผกาวดีพูดอย่างสนิทสนมกับศิวกรถึงแม้ว่าเพิ่งจะได้พบเขาเป็นครั้งที่สองเองเท่านั้น หลังจากที่ได้มีโอกาสได้เจอที่ร้านดลินาเมื่อหลายวันก่อน เมื่อได้เห็นชายหนุ่มตัวเป็นๆ ครั้งแรกก็รู้สึกว่าจะสมราคาคุยที่รจนาคุยไว้เยอะ ...ผู้กองศิลานี่สเป็คพี่ข้าวของแท้เลยนะเนี่ย มาดแมนแอนด์แฮนด์ซั่ม ซึ่งเป็นคำพูดทิ้งท้ายของผกาวดีก่อนออกจากร้านไป
“ขอบคุณครับ”
“นี้ต้อมไปพูดอย่างนั้น ผู้กองเขาเสียหายนะ”
“แล้วกันพี่ข้าว เอ๊!!! หรือว่าหึงผู้กองเขา”
ผกาวดีพูดจี้ใจดำของดลินาเข้าไปเต็มๆ ทำให้หน้าของดลินาแดงขึ้นมาอีกครั้ง ผกาวดียิ้มกรุ้มกริ่มอย่างชอบใจเมื่อเห็นคนที่นับถือเป็นพี่สาวๆ แท้ๆ คนหนึ่งต้องอายหน้าแดง และเมื่อแหล่มองไปยังคนตัวสูงแล้วเห็นว่าดูจะพอใจที่เห็นดลินาเป็นอย่างนั้นผกาวดีก็ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า ...งานนี้ถ้าฉันทำให้สองคนนี้เต้นรำด้วยกันไม่ได้ ก็ไม่ใช่ยายต้อมจอมเจ้าเล่ห์แล้ว...
ผกาวดีก็เริ่มคิดแผนการที่จะทำให้ทั้งสองคนได้เต้นรำคู่กัน ถ้าขืนให้ผู้กองศิลาเป็นขอดลินาเต้นรำเองสิบเอาหนึ่งเลยว่า ไม่มีทางสำเร็จเป็นแน่ สาวเจ้าเล่ห์ของเราหันซ้ายทีขาวทีเพื่อหาคนที่สามารถจะมาช่วยได้ แต่ก็ไม่เห็นใครเลย …เอาไงดีเนี่ย หรือว่าเราจะถอยทัพไปตั้งหลักก่อนเดี๋ยวค่อยมาใหม่อีกที เอาวะ! ตกลงตามนี้แล้วกัน...
“คือพี่ข้าว ผู้กองค่ะ ต้อมขอตัวก่อนนะค่ะ เดี๋ยวมาใหม่”
พูดจบเจ้าตัวก็เดินจากไปไม่เปิดโอกาสให้ผู้ที่อาวุโสกว่าตนได้พูดจาอะไรเลย ดลินามองเด็กสาวอย่างเอ็นดูปนระอา แต่ไอ้คำว่า ‘เดี๋ยวมาใหม่’ ของผกาวดีมันไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย
“ก็เป็นเสียอย่างนี้ถึงได้ไม่มีแฟนกับเขาเสียที ซนจริงๆ”
ดลินายิ้มบางๆ แต่เมื่อหันกลับมาเจอแววตาวิ๊บวับของศิวกรเธอก็รู้สึกหน้ามันชักจะร้อนๆ อย่างไรก็ไม่รู้
“คุณจะมองอีกนานไหม ฉันเริ่มจะเขินแล้วนะคะ”
ดลินาพูดเสียงเบา แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้ชายหนุ่มรู้ตัวว่ากำลังเสียมารยาทอย่างยิ่ง รู้ก็รู้อยู่ว่ามันไม่ดีแต่จะให้ทำไงได้ล่ะ ใครไม่มาเป็นเขาไม่รู้หรอกว่ามันห้ามใจไม่ได้จริงๆ
“ผมขอโทษครับ”
เขาพูดอย่างสำนึกในความผิด
“คุณเล่นมองฉันอย่างนี้ ฉันก็ทำอะไรไม่ถูกสิคะ นึกว่าตัวเองมีอะไรที่ผิดแปลกไปเสียอีกคุณถึงได้มองจัง”
หญิงสาวพูดค่อนเข้าให้ ชายหนุ่มจึงรีบแก้ตัวพัลวัน
“เปล่าหรอกครับ คุณไม่ได้มีอะไรผิดปรกติหรอกครับ ก็วันนี้คุณสวยจนผมไม่อยากละสายตาไปจากคุณเลย”
…ตายล่ะหว่า...
พูดจบประโยคก็นึกขึ้นได้ว่า เขากำลังพูดในสิ่งที่ควรเก็บไว้ในใจมากกว่า เขาจึงมองหญิงสาวที่ยืนเขินหน้าแดงอย่างลุแก่โทษ เขาเองปรกติจะเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์และคำพูดได้เป็นอย่างดี แต่วันนี้พอเจอดลินาสวยหวานอย่างนี้ คุณผู้กองขี้เก๊กก็มาดหลุดได้เหมือนกัน ดลินาเมินหน้าหนีศิวกรไปทางอื่น เพราะไม่อยากให้เห็นใบหน้าของเธอแดงเป็นลุกตำลึงสุกแบนี้หรอก …ตาบ้า! มาพูดกันตรงๆ แบบนี้คนเขาก็อายแย่เลยสิ...
ท่ามกลางผู้คนที่กำลังยืนสนทนากันอยู่บริเวณนั้น ดลินาเห็นร่างของชายสูงอายุคนหนึ่งเดินอย่างๆช้าๆแต่มั่นคง โดยมีร่างของหลานสาวเดินตามอยู่ไม่ห่างนัก เดินตรงมาทางเธอ รอยยิ้มของผู้ที่ผ่านโลกมามากปรากฏบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยตามกาลเวลา แต่ก็ดูอบอุ่นและอ่อนโยนเสมอ
ดลินารีบยกมือไหว้ทักทายผู้อาวุโสทันที ศิวกรเองก็เช่นกันรีบทำความเคารพชายชราตาม ชายชราก็รับไหว้ทั้งสองคน
“สวัสดีค่ะคุณตา ยังแข็งแรงอยู่เหมือนเดิมเลยนะคะ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ถ้าตาไม่ได้ยายจอมจุ้นหาเรื่องมาให้ตาได้ปวดหูและหัวได้ทุกวันล่ะก็ ตาก็คงจะนอนอยู่บนเตียง ไม่ก็นั่งอยู่บนรถเข็นไปนานแล้ว”
“คุณตา ต้อมไม่ใช่ยายจอมจุ้นนะคะ”
หลานสาวสุดที่รักหน้างอ น้ำเสียงเง้างอนเต็มที่
“ที่คุณตาพูดน่ะถูกต้องที่สุดแล้วค่ะ จอมจุ้นจริงๆ”
“เอาเข้าไป... รุมกันใหญ่เลย ผู้กองต้องอยู่ฝ่ายเดียวกับต้อมด้วย ไม่อย่างนั้นต้อมงอน”
ศิวกรดูถ้าจะงงๆกับเด็กสาวคนนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะเคยเจอหน้าและพูดคุยเธอแค่ครั้งเดียว แต่เด็กสาวพูดคุยอย่างสนิทสนมเหมือนจะรู้จักเขามาสัก 10 ปีเห็นจะได้ แต่เขาก็ดูๆไปแล้วเด็กคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่ไม่น่าคบอะไรนัก และที่สำคัญผกาวดีเป็นคนนำทางให้เขาได้เดินหน้าลุยต่อไป
“ผมขอเป็นกลางดีกว่าครับ”
“ไม่ได้นะคะ ผู้กองต้องอยู่ข้างต้อมสิ เพราะว่าต้อมน่ะอยู่ข้างผู้กองนะ”
ผกาวดีสื่ออกมาเช่นนั้น ทำให้ดลินาเริ่มจะรู้สึกหวั่นๆ ในใจเสียแล้ว เพราะยายจอมจุ้นเหมือนจะประกาศให้รู้เลยว่างานนี้ดลินาเสียเปรียบแน่ๆ
“แล้วกันหลานคนนี้ นิสัยเอาแต่ใจนี่แก้ไม่หายเสียที ผมต้องขอโทษผู้กองด้วยนะครับ”
เสียแหบของชายชรากล่าวขอโทษศิวกรที่หลานสาวของตนแสดงกิริยาที่ไม่ดีออกไป เขาจึงต้องรีบบอกว่าไม่เป็นไรทันทีด้วยท่าทางที่นอบน้อม
“ต้อมไปหาอะไรกินดีกว่าอยู่ตรงนี้คุยอะไรกันก็ไม่รู้เรื่อง ขอตัวก่อนะคะไปพี่ข้าวไปด้วยกัน”
ไม่ว่าเปล่าแม่เผด็จการตัวน้อยก็จูงมือดลินาแล้วลากไปที่โต๊ะอาหารด้วยกัน คนถูกฉุดไปก็ยังไม่ได้ตอบตกลงอะไรด้วยเลย
“คุณรับราชการมากี่ปีแล้วล่ะ”
ชายชราถามหลังจากรับร่างของหลานสาวทั้งสอง
“8 ปีแล้วครับ ผมเป็นตำรวจตระเวนชายแดนที่เชียงรายอยู่ 6 ปี แล้วก็ย้ายมาประจำการอยู่ที่นี้เมื่อ 2 ปีก่อนครับ”
“แล้วทำไมถึงย้ายมาประจำการที่นี้ล่ะ”
“ผมถูกขอตัวให้มาช่วยราชการทางนี้น่ะครับ”
“สงสัยเขาคงต้องการตำรวจฝีมือดีมาช่วยเหลือชาติ จริงอยู่ตอนนี้จะมีนายตำรวจเก่งๆ ก็มาก แต่กลับไม่รู้จักใช้ความรู้ความสามารถที่มีมาช่วยประเทศเท่าไหร่ แต่กลับใช่สิ่งที่ตนมีไปใช้ในทางที่ไม่ดี น่าเสียดาย”
ชายหนุ่มพยักน้ารับอย่างเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ยวาจาที่ทำให้คุณเปรมถึงกับยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“เมื่อมีสีขาวมันก็ย่อมจะต้องมีสีดำเป็นปรปักษ์ควบคู่กันไป เมื่อใดสีดำนั้นตกลงไปในสีขาวมันก็จะไม่ใช่สีขาวที่บริสุทธิ์อีกต่อไป ถึงแม้ว่าจะพยายามเพิ่มสีขาวเข้าไปเท่าไหร่ มันก็จะไม่มีทางที่จะทำให้มันเป็นสีขาวที่บริสุทธิ์ได้เหมือนเดิมอีก แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้สีดำนั้นเจือจางลง”
ชายหนุ่มกลั่นกรองมาจากความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงของเขา สีหน้าเขาจริงจังและคำพูดนั้นก็ช่างหนักแน่น ใช่แล้ว...เขาจะเป็นสีขาวที่จะเข้าไปช่วยเจือให้สีดำนั้นมันจาง ถึงแม้มันยังคงอยู่แต่ก็ขอให้มันจางแสนจางลงจนออกไปจากสังคมให้จงได้ นั้นเป็นสิ่งที่เขายึดถือและปฏิบัติมาตลอดตั้งแต่เขาต้องสูญเสียบิดาไป เพราะเพื่อนตำรวจด้วยกันทรยศบิดาของเขา
*********************************************************
“นี่แม่คุณอิ่มหน่ำสำราญจริงนะ บอกมาเสียดีๆว่ามีแผนอะไรอยู่ในใจ”
“อะไรกัน ทำมองเค้าในแง่ร้ายอย่างนั้นล่ะ”
ผกาวดียืนยันอย่างนักแน่น แต่แววตาที่แสนเจ้าเล่ห์วิบวับนั้นมันค้านกับคำพูดของเธออย่างสิ้นเชิง ดลินาหรี่ตามองหญิงสาวที่รักเหมือนน้องแท้ๆอย่างไม่ไว้ใจ
“จริงสิพี่ข้าว มีใครมาขอพี่เต้นรำยัง”
ผกาวดีถามขึ้นหลังจากตักขนมปังชิ้นพอดีคำเข้าปากไป
“บ้าหรอ! ใครเขาจะมาขอพี่เต้นรำ ขี้เหล่ออกอย่างนี้”
“โหพี่!!! ถ้าพี่ข้าวขี้เหล่นะ ต้อมก็แก้วหน้าม้าแล้ว”
ผกาวดีว่าเสียงสูง
“อ๊ะ!!! หรือว่ากำลังรอใครบางคนเขาขอเต้นรำอยู่ พี่ข้าวรู้อะไรหรือเปล่า ต้อมได้ยินมาว่าพวกนักเรียนนายร้อยทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นบก เรือ อากาศ หรือแม้แต่ตำรวจ เขาเต้นลีลาศเก่งนะพี่ ไม่อยากลองหน่อยหรอ”
ผกาวดีเน้นนักไปที่โรงเรียนนายร้อยที่สุดท้าย เธอพยายามชักแม่น้ำทั้งห้ามาเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคำพูดของตน คราวนี้ดลินาก็ถึงกับบางอ้อทันทีว่ายายตัวแสบของเธอนั้นกำลังคิดอะไรอยู่
“ต้อมพี่รู้นะว่าเราน่ะคิดอะไรอยู่ มันไม่มีทางเป็นไปอย่างที่เราคิดหรอกนะ”
ดลินาพูดอย่างมั่นใจ
“พี่ข้าวไม่ชอบผู้กองหรือคะ”
อึ้ง... ดลินากำลังยืนอึ้งเมื่อผกาวดียิงคำถามที่ถามง่ายแต่สำหรับคนที่จะตอบนั้นมันช่างเป็นคำตอบที่ยากเหลือเกิน ดลินาพยายามจะอ้าปากตอบแต่ก็ทำได้ยากเต็มทน ผกาวดีเห็นสีหน้าของดลินาแดงระเรื่อก็ยิ่งถูกใจ ชอบเขาแต่ไม่กล้าบอกให้มันได้อย่างนี้สิ
“พี่ข้าว... ไม่ว่ายังไงต้อมก็อยู่ข้างพี่ข้าวเสมอนะคะ เพราะฉะนั้นเราสตรีไทยยุคใหม่ใจเกินร้อย ต้องเดินลุยสถานเดียว”
ว่าแล้วก็กำมือขึ้นไปบนฟ้าแล้วชักมือลงเหมือนกำลังจะแปลงร่าง ทำให้คนแถวนั้นมองกันเป็นแถว ดลินาเองก็อายสายตาคนรอบข้างเลยตีแขนคนจอมวางแผนเบาๆ เป็นเชิงเตือน
“พอแล้วยายต้อมอายเขา”
“แหะๆ เอาเป็นว่าลีลาศที่พี่แยมลากพี่ไปเรียนด้วยกันก็งัดเอาออกมาใช้หน่อยก็แล้วกันนะคะ”
“ไม่เอาอายจะตาย คนเยอะแยะ”
“อายทำไมคะ คนอื่นเขาก็ลีลาศกันเยอะแยะไปไม่เห็นมีใครอายเลย”
“แต่ว่า...”
“ไม่รู้ล่ะผู้กองศิลาคนนี้ถ้าพลาดไปไม่รู้ว่าจะมีใครเข้ามาอีกในชีวิตหรือเปล่า อีกอย่างต้อมชอบผู้กองด้วย พี่ข้าวต้องพิชิตมาเป็นพี่เขยต้อมให้ได้”
ไม่เจอคำพูดเอาแต่ใจของหลานสาวสุดที่รักของคุณเปรมเจ้าสั่วธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อันดับต้นๆของประเทศถึงกับเหนื่อยใจ เป็นเจ้าตัวตั้งใจจะทำอะไรแล้วถ้าไม่ได้ข้อสรุปถึงที่สุดไม่มียอมเลิกราง่ายๆ
“แล้วที่ลากออกมาเนี่ยเราอุตส่าห์เรียกมาเตี้ยมกันไว้ก่อน จะได้ไม่มีอะไรผิดพลาดไงคะ”
“ทำแบบนี้ไม่กลัวเขามองพี่เป็นผู้หญิงน่ากลัวหรอ”
“ต้อมว่าไม่น่าจะมองพี่อย่างนั้นหรอกนะ อาจจะดีใจอยู่ลึกๆ ก็ได้”
ดลินาส่ายหน้าอย่างปลงๆ
“ว่าไงสองสาว อิ่มกันแล้วล่ะสิ”
“ใครว่าล่ะคะ ยายต้อมน่ะลุยอยู่คนเดียว ไม่เหลือให้ข้าวบ้างเลย”
“คุณตาอย่าไปเชื่อพี่ข้าวนะคะ พี่ข้าวน่ะขี้จุ๊... อ้าว! แล้วผู้กองไปไหนเสียแล้วล่ะคะ”
ผกาวดีถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนหายไป
“พ่อศิลาน่ะหรือ คุยอยู่กับนายเก่าของเขาน่ะเดี๋ยวก็คงมา ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเจ้าหญิงยังอยู่ องครักษ์จะหนีไปไหนได้อย่างไร จริงไหมหนูยอดข้าว”
คุณเปรมพูดขึ้นแล้วอมยิ้มน้อยๆ มีหรือที่อาบน้ำร้อนมาก่อนอย่างเขาจะดูไม่ออก ว่าศิวกรคิดยังไงกับดลินาที่เขาเอ็นดูเหมือนหลานสาวๆ แท้ๆ ของตนอีกคน จากการพูดคุยเมื่อครู่นี้ทำให้คุณเปรมมั่นใจในระดับหนึ่งว่า ศิวกรเป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับชีวิตพอสมควร เถรตรง ซื่อสัตย์ และมีน้ำใจ ถือว่าดลินาโชคดีจริงๆที่ได้รู้จักกับศิวกร
ศิวกรเดินเข้ามาร่วมวงสนทนานี้ทันที หลังจากที่พูดคุยกับนายเก่า ศิวกรนับถือเขาเป็นแบบอย่างที่ดีอีกท่านหนึ่ง ก่อนที่ท่านจะขอตัวไปพบกับเพื่อนร่วมรุ่นที่ไม่ได้เจอกันเสียนาน ดลินามองศิวกรที่เดินอย่างสง่าตาแทบค้าง ...โอ้ย!!! คนบ้าอะไร เท่ห์จริงๆเลย ลากเข้าซอยหรือว่าเอาไปขังไว้ที่บ้านแล้วล่ามโซ่ดีหว่า...
“พ่อศิลา ไม่พาหนูยอดข้าไปเต้นรำหน่อยล่ะ”
คุณเปรมพูดขึ้นหลังจากที่ศิวกรมาหยุดอยู่ข้างๆ ดลินา ดลินาแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยินเลย หูเธอคงต้องฝาดไปแน่ๆ
“ใช่แล้วค่ะ ผู้กองพาพี่ข้าวออกไปโชว์ลีลาหน่อยสิคะ หรือว่าผู้กองลืมการเต้นลีลาศไปหมดแล้ว”
“ไม่มั่นใจเหมือนกันครับเพราะไม่เต้นมานานตั้งแต่เรียนจบ หากมีคู่ลองออกไปเต้นดูอาจจะพอจำท่วงท่าได้บ้าง”
ศิวกรจงใจมองไปที่หญิงสาวผู้สวมชุดส้มโอล์ดโรสที่ยืนอยู่ไม่ไกลมากนัก ดลินาได้แต่ยืนเขินไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไป ลองให้คุณเปรมเป็นคนเอ่ยปากเห็นดีเห็นงามด้วยอย่างนี้แล้ว เธอคงรอดยาก
ศิวกรเดินมาตรงหน้าของหญิงสาวก่อนจะโค้งให้เธอ แล้วยื่นมือขวาออกไปตรงหน้า คราวนี้สาวเจ้าของร้านกาแฟของเราถึงกับอายม้วนเลยทีเดียว พอเธอหันหน้าไปทางซ้ายก็เห็นสายตากรุ่มกริ่มแกมคาดคั่นของผกาวดี พอหันไปทางขวาก็เห็นสายตายิ้มๆ ของคุณเปรม พอหันไปข้างหน้าก็เห็นสายตาหวานซึ้งของศิวกร จะหันหลังก็คงไม่พ้นสายตานับสิบคู่ที่จ้องมองเธออยู่
...เอาไงดี ถ้าปฏิเสธเขาไปก็คงไม่ดี แต่ว่ามันเขินนี่หน่า ยื่นมือไปให้เขาดีหรือเปล่า ฮือๆๆ เอาไงดี...
ยืนคิดอยู่นานสองนานสุดท้ายมือเรียวเล็กของดลินาก็ไปวางอยู่บนมือหนาๆ ของศิวกร เขาค่อยๆประคองพาเธอเดินไปยังฟลอร์เต้นรำที่มีคู่เต้นอยู่ 5-6 คู่ ตลอดทางที่เธอเดินไป สายตานับสิบคู่ต่างจ้องมองมายังเขาและเธอ อย่างชื่นชมเพราะว่าเมื่อทั้งสองมายืนคู่กันแล้ว เหมาะสมกันอย่างที่สุด
พอทั้งสองมาหยุดอยู่กลางฟลอร์เต้นรำศิวกรค่อยๆ เอามือซ้ายค่อยๆ ขึ้นประคองที่หลังหญิงสาวอย่างให้เกียรติ มือขวาประคองมือซ้ายของดลินาอย่าง ทะนุถนอม หญิงสาวจะทำอย่างไรได้ล่ะก็ต้องไหลตามน้ำไปอย่างเดียวเมื่อเขาจับจังหวะของเพลงได้แล้วเขาจึงกระตุกมือของหญิงสาวเบาๆเป็นสัญญาณให้เธอพร้อม
“เตรียมตัวโดนฉันเหยียบเท้าไว้เลยนะคะผู้กอง”
“ไม่เป็นไรครับ เหยียบจนเล็บเท้าแตกผมก็ยอม ถือว่าคุ้ม”
ดลินามองเขาอย่างมั่นไส้ แต่ก็ทำได้เท่านั้นเพราะศิวกรเริ่มนำเธอเต้นแล้ว

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ม.ค. 2556, 15:55:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ม.ค. 2556, 15:55:18 น.
จำนวนการเข้าชม : 1316
<< บทที่ 4 (เริ่มต้น... 3) | บทที่ 5 (เผชิญหน้า... 2) >> |