เจ้าสาวแสนแสบ
เมื่อสายลับสาวแสบ ต้องจับพลัดจับผลูไปเป็นเมียเจ้าพ่อหนุ่มเข้าให้


มาลุ้นกันว่า...เธอจะทำภารกิจลับที่ได้รับมอบหมายสำเร็จ


หรือจะ...เสร็จ...มาเฟียตัวร้ายก่อนกัน!!


และถ้าต้องเลือก...เธอจะเลือกอย่างไหน...



หน้าที่...หรือ...หัวใจ


Tags: รัตนรัตน์,เจ้าสาวแสนแสบ,romantic comedy

ตอน: บทที่ 5 : พรหมลิขิต หรือซวย!!!

เจ้าสาวแสนแสบ


โดย รัตนรัตน์



บทที่ 5 : พรหมลิขิต หรือซวย!!!





หลังจากรอดปลอดภัยจากเหตุการณ์สุดระทึกขวัญอันเนื่องจากความบุ่มบ่ามไม่คิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบของตนจนเกือบจะทำให้เสียการเสียงาน และเกือบสูญเสียชีวิตนั้น ภิตะวันจึงได้ข้อคิดว่าต่อแต่นี้ตนนั้นจะไม่ทำอะไรตามอารมณ์อีกแล้ว ทุกอย่างที่ทำจะต้องมี ‘เหตุผล’ รองรับ


“ตะวันแน่ใจเหรอว่าได้ยินพายุพูดอย่างนั้น”


ดนัยเอ่ยถามภิตะวันอีกครั้งหลังจากที่หญิงสาวเล่าให้เขาฟังว่าพายุบอกกับคนสนิทว่าจะเลื่อนนัดคุยกับฟูจิวาระเป็นอีกวันหนึ่ง กับทั้งยังบอกสถานที่นัดหมายเสร็จสรรพ อะไรมันจะง่ายดายถึงปานนี้ เพราะก่อนหน้านี้กว่าที่เขาจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับการมาและการนัดหมายของฟูจิวาระนั้นไม่ใช่เรื่องงายเลย ยิ่งของเจ้าพ่อพายุนั้นยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก


“บางทีอาจเป็นกับดัก” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ขณะที่คิ้วหนาของเขาย่นขึ้นเล็กน้อย

“กับดัก? ”

“ใช่ บางทีนะ แต่มันก็ไม่เสมอไปหรอก”

“แล้วเราจะเอายังไงล่ะ จะไปหรือไม่ไปดี” ภิตะวันเริ่มไม่แน่ใจ เพราะที่อีกฝ่ายพูดก็มีเหตุผล...อา...เหตุผล...คำๆ นี้ช่างสูงส่งเหลือเกิน...

“ตะวันไม่ต้องไปหรอกคราวนี้ เดี๋ยวพี่จะไปเอง” ดนัยเอ่ยหลังจากที่ตัดสินใจได้

“ไม่เอา ตะวันจะไปด้วย จะปล่อยให้พี่ดนัยไปเสี่ยงคนเดียวได้ยังไง เราทีมเดียวกันนะ” ภิตะวันเอ่ยอย่างคนที่มีเลือดนักสู้เต็มเปี่ยม ลืมไปเสียสิ้นกับวีรกรรมที่เธอนั้นไปก่อไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า

“ไม่ได้หรอก ตะวันไปไม่ได้ ตะวันรู้รึเปล่าว่าตอนนี้พวกมันกำลังตามหาตะวันกันให้ควั่ก”

“หาตะวัน หาทำไม”

“ถามได้จะหาไปทำไม คนที่ทำให้นายใหญ่ของนนท์ธนิตเจ็บตัว คิดว่าพวกนั้นจะหาไปทำไมล่ะ”

“เอ๋ ตะวันก็แค่เอาหัวโขก กะตุ๊ยหน้าท้องแค่นั้นเอง ไอ้เจ้าพ่อนั่นก็ตัวออกโต โดนไปแค่นั้นไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก...มั้ง…” ภิตะวันตอบเสียงเจื่อน คำว่า ‘มั้ง’ ที่พูดเบาจนแทบไม่ได้ยิน

“ไม่เจ็บตัว แต่เจ็บใจน่ะสิ คนพวกนี้รักศักดิ์ศรียิ่งกว่าอะไร” ดนัยกล่าวเสียงเครียด เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของภิตะวัน เพราะหากคราวนี้เธอถูกจับได้แล้วล่ะก็ อันตรายถึงชีวิตทีเดียว ก็เล่นไปหยามพายุแบบนั้น เป็นใครก็ต้องแค้นมากเป็นธรรมดา

“อีกอย่างพวกนั้นอาจจะจำหน้าตะวันได้แล้วก็ได้นะ ก็ตะวันทำหนวดหลุดไม่ใช่เหรอ”

“ตะวันไม่ได้ตั้งใจทำหลุดซะหน่อย มันหลุดเองนี่นา อีกอย่างถึงหนวดหลุดแต่เครายังอยู่นะ ไม่น่าจะมีใครจำได้หรอก และคนที่เห็นตะวันหนวดหลุดก็มีไอ้เจ้าพ่อขี้เก๊กเห็นคนเดียวเอง คนอื่นไม่เห็นซะหน่อย” ภิตะวันยกแม่น้ำทั้งห้ามาอ้าง ไอ้เรื่องหว่านล้อมหรือแก้ตัว เธอถนัดนักล่ะ

“แต่ยังไงพี่ก็ไม่ให้ตะวันไป คราวนี้มันอันตรายเกินไป” ดนัยยังคงยืนยันเช่นเดิม

“ว่าแต่ไอ้เดอะเฮเวนอะไรนี่มันคือที่ไหนเหรอ” ภิตะวันทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุย

“THE HEAVEN คือ ชื่อคลับหรูแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ๆ นักท่องราตรีนิยมไปใช้บริการกัน แต่ต้องพวกมีพวกกระเป๋าหนักเท่านั้นนะ เพราะได้ข่าวว่าค่าบริการสูงไม่ใช่เล่น”

“ที่แท้ก็แค่คลับธรรมดาๆ” ภิตะวันเอ่ยอย่างดูแคลน ก็ขนาดสถานเริงรมย์เธอยังเคยปลอมตัวเข้าไปแล้ว นับประสาอะไรกับไนท์คลับกันเล่า ไม่ครนามือยอดหญิงภิตะวันหรอก ไม่อยากจะโม้...

“ไม่! ไม่ธรรมดาสักนิด เพราะคลับแห่งนี้เป็นกิจการของนนท์ธนิตโดยตรง ดังนั้นหากมีเรื่องมีราวกันล่ะก็ รับรองได้ว่าคราวนี้คนของพวกมันมากันเป็นกองทัพแน่ๆ” น้ำเสียงเครียดมีร่องรอยหวาดหวั่นอย่างชัดเจน

"ดังนั้นหากเราจะไปที่นั่นจริงๆ ล่ะก็ เราจะให้พวกมันรู้ตัวไม่ได้เป็นอันขาด!”

ภิตะวันแอบยิ้มเมื่อได้ยินอีกฝ่ายแทนตัวว่า ‘เรา’ หากแต่เพียงวินาทีเดียวเท่านั้นรอยยิ้มของเธอก็ค้างเก้อ

“อ้อ พี่ลืมไป คราวนี้ตะวันไม่ได้ไปด้วยนี่นา”

กล่าวจบก็เดินออกไปทันที ทิ้งให้หญิงสาวที่อยากไปด้วยใจจะขาดมองตามตาละห้อย


***************************************



THE HEAVEN


ดวงตากลมโตยืนมองภาพตัวอาคารทรงโคโลเนียล ซึ่งมีรูปปั้นเทพีแห่งความงามขนาดใหญ่วางขนาบบันไดทางเข้า สีทองบนโดมใหญ่ของคลับหรูสะท้อนแสงจันทร์ระยิบระยับจนคนมองเริ่มแสบตา


ภิตะวันถอนหายใจเฮือกใหญ่หลายต่อหลายครั้งขณะมองภาพความอลังการของตัวอาคารเบื้องหน้า ดูท่าว่าที่ดนัยเคยบอกว่าเดอะเฮเวนนั้นเป็นคลับสำหรับคนชั้นสูงเห็นท่าจะจริง เพราะจากที่เธอยืนแอบดูอยู่ครู่ใหญ่ รถที่แล่นเข้าไปนั้นมักเป็นลีมูซีนหรือไม่ก็รถยุโรปคันใหญ่ของผู้มีอันจะกินทั้งนั้น


“ว่าแต่ทำไมพี่ดนัยถึงยังมาไม่ถึงอีกนะ” เจ้าของใบหน้าหวานในชุดเสื้อเชิ้ตดำ กางเกงยีนส์สีซีดพอดีตัวและรองเท้าผ้าใบแบบลุยๆ ยืนรอชายหนุ่มรุ่นพี่ด้วยความกระวนกระวายใจ ทั้งนี้แม้จะอยากเข้าไปข้างในใจจะขาด แต่เธอก็ไม่อยากขัดคำสั่งของดนัย หน้าที่ของเธอตอนนี้ก็เพียงแค่คอยจับตาว่าเมื่อไหร่รถของไอ้เจ้าพ่อขี้เก๊กจะมาถึง และเธอก็ได้แต่หวังว่าชายหนุ่มรุ่นพี่ที่จู่ๆ ก็ถูกเรียกตัวกะทันหันจะกลับมาได้ทันก่อนที่เป้าหมายจะมา



ทั้งนี้หากว่าดนัยมาไม่ทัน แม้เธอจะอยากเข้าไปทำหน้าที่แทน เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าตนนั้นจะสามารถลอบเข้าไปยังตัวอาคารดังกล่าวได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้เธอมาแต่ตัว และหอบ ‘เจ้าปุปะ’ มอเตอร์ไซด์สี่สูบคันเก่งมาด้วยกันเท่านั้น ไม่ได้มีรถยนต์คันหรูเหมือนแขกที่มาใช้บริการคนอื่นๆ



‘เจ้าปุปะ’ เป็นชื่อของมอเตอร์ไซด์ที่เธอแอบเก็บหอมรอมริบไปซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองโดยไม่ให้พ่อและแม่รู้ น่าเสียดายที่สุดท้ายความก็แตกจนได้เมื่อครั้งล่าสุดที่เธอขับหลบเด็กๆ ที่วิ่งเล่นกันบนถนนโดยไม่มีผู้ปกครองดูแลจนไปชนเข้ากับต้นไม้เข้า หลังจากนั้นแม่ของเธอจึงสั่งไม่ให้เธอเข้าใกล้เจ้าปุปะอีกเลย แต่เรื่องอะไร นี่มันพาหนะคันเก่งของเธอนี่นะ พังได้ก็ซ่อมใหม่ได้ ตอนนี้เจ้าปุปะ จึงได้ฉายาใหม่ว่า ‘ปุปะเนเวอร์ดาย’


"รู้งี้น่าจะยืมรถพี่ดินมานะเนี่ย"


ภิตะวันถอนหายใจอย่างเสียดาย เมื่อนึกขึ้นได้ว่าน่าจะหยิบยืมรถยนต์ของพี่ชายมาใช้ เพื่อจะได้กลมกลืนกับแขกที่มาใช้บริการคนอื่นๆ หากว่าดนัยมาไม่ทัน และเธอจะต้องเข้าสู่ด้านในตัวอาคารดังกล่าวด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายเมื่อนึกถึงคำสั่งห้ามของดนัย เจ้าตัวก็อดมองอาคารเบื้องหน้าด้วยความเสียดายไม่ได้ รู้สึกเหมือนหมามองเครื่องบินก็ครานี้...เฮ้อ...

ภิตะวันคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยหันมาอีกทีก็ชนกับร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งเข้า เธอมั่นใจว่าเธอไม่ได้กระแทกอีกฝ่ายแรงสักนิด แต่ร่างของหญิงสาวคนดังกล่าวกลับล้มลงและร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะก้มลงดูท่อนขาของตนที่ครูดกับพื้นถนนด้วยน้ำตาคลอเบ้า

“เอ่อ...ขอโทษนะเป็นอะไรรึเปล่า?” หญิงสาวผู้แสนซุ่มซ่ามและพกความหายนะติดหนึบยิ่งกว่าเงาตามตัวเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ แม้จะชอบก่อเรื่องเดือดร้อนให้ชาวบ้านชาวช่องอยู่เป็นนิจ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธออยากให้มันเป็นแบบนั้นแม้แต่น้อย...เธอรักความสงบสุข เธอมั่นใจเช่นนั้น

ภิตะวันเดินเข้าไปหาหวังช่วยประคองเธอคนนั้นให้ลุกขึ้น แม้เจ้าตัวจะพยายามส่ายหน้าคล้ายกับบอกว่าไม่ต้อง ขณะที่ดวงตาภายใต้ใบหน้าที่ถูกแต่งจนเข้มจัดของหญิงสาวคนดังกล่าวเบิกกว้างคล้ายกับกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่างสุดชีวิต


“เจ็บมากเหรอ ไปทำแผลก่อนมั้ย ฉันไม่ได้ตั้งใจจะชนจริงๆ นะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงและขอโทษขอโพยอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมนิ้วเรียวไปยังเนินไหล่ขาวลออตา ที่โผล่พ้นเกาะอกสีแดงเพลิงหวังช่วยพยุง


“มึงเป็นใครวะ มายุ่งอะไรกับเมียกู!” เสียงโหวกเหวกที่ดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับที่เจ้าของเสียงผลักร่างเล็กๆ ของเธอล้มไปยังพื้นถนน เป็นเหตุให้ศอกทั้งสองข้างที่ยังไม่หายฟกช้ำฟาดเคราะห์ซ้ำสอง


“โอ้ย!!!” ภิตะวันรู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าแปล๊บปล๊าบที่ปลายศอก ทำให้เจ้าตัวไม่อาจขยับเขยื้อนได้ หากแต่แม้ร่างกายจะไม่สามารถเคลื่อนไหว แต่ดวงตาของเธอเห็นภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างชัดเจน และนั่นก็ทำให้ใบหน้าหวานหน้ายุ่งทันทีเมื่อเห็นว่าชายผู้มาใหม่ที่ดูท่าว่าจะเมาหนักกำลังทำร้ายหญิงสาวคนนั้นอยู่


“นี่แน่ะ กูสั่งแล้วใช่มั้ยว่าให้วางเงินไว้ให้กู ทำไมมึงถึงไม่ทำตาม วอนหาเรื่องเองนะมึง ช่วยไม่ได้!” มือหนาจิกศีรษะคนที่เจ้าตัวเรียกว่าเมียดึงขึ้นมา ก่อนจะตบไม่เลี้ยง โดนบ้างไม่โดนบ้าง เพราะคนตบเมาหนัก และคนถูกตบก็หาได้ยอมอยู่เฉย หลบซ้ายหลบขวาพัลวัน



“พี่จ๋า หยุดก่อนเถอะนะ ฉันก็ไม่มีเงินเหมือนกัน นี่ก็กำลังจะมาหาเงินให้พี่ยังไงล่ะจ๊ะ” เสียงกล่าวตอบกระท่อนกระแท่น พร้อมกับที่พยายามหลบฝ่ามือของสามี เธอจะให้ใบหน้าของเธอมีบาดแผลไม่ได้เป็นอันขาด เพราะเธอต้องใช้มันในการหาเงินในคืนนี้ แค่ที่ได้รับบาดเจ็บที่ขา นี่ก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้าที่อย่างที่ทำเป็นประจำทุกคืนได้รึเปล่า



ทว่าแรงผู้หญิงหรือจะสู้ผู้ชาย ถึงจะหลบเก่งแค่ไหน สุดท้ายก็โดนฝ่ามือหนาตบเข้าจนได้ เสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวดทำให้ภิตะวันพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นหมายไปช่วยเธอคนนั้น เพราะถึงจะบอกว่าเรื่องผัวๆ เมียๆ ห้ามยุ่งก็เถอะ แต่ลองตบตีแบบไม่ยั้งเช่นนั้นแล้วล่ะก็ เห็นทีเธอคงไม่เข้าไปยุ่งไม่ได้แล้ว



“ปล่อยผู้หญิงคนนั้นเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงแหลมเล็กตะโกนออกไป และนั่นก็ทำให้เจ้าคนเมาที่กำลังฟาดหัวฟาดหางกับเมียตัวเองต้องหันมอง และเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ามีใครบางคนอยู่ด้วยก็ตอนนี้นี่เอง


“สวยไม่เบานี่น้องสาว อย่างนี้ค่อยน่าเล่นด้วยหน่อย” ใบหน้าดำที่แดงก่ำเพราะฤทธิ์น้ำเมาเดินเข้าหา ด้วยหมาย ‘เล่น’ กับอีกฝ่ายอย่างที่ใจต้องการ


หากแต่เดินยังไม่ทันถึงตัว ก็ถูกหมัดดุ้นๆ ของหญิงสาวหน้าหวานกระแทกเข้าเต็มกราม จนใบหน้าคร้ามแดงก่ำสะบัดจนหน้าหัน แต่มันหาได้ยอมแพ้ไม่ ยังคงปาดป่ายมือหวังจับตัวหญิงสาวตัวแสบที่ทำให้ตนต้องเจ็บตัวมาลงทัณฑ์ให้จงได้ ภิตะวันหลบหลีกอย่างรวดเร็ว ด้วยเพราะสติสัมปชัญญะที่มีอยู่อย่างครบถ้วน ทำให้เจ้าตัวมั่นใจว่าตนนั้นไม่มีวันแพ้คนเมาไม่ได้สติตรงหน้าแน่ๆ


ร่างบางโยกซ้ายที ขวาทีแบบฟุตเวิร์กไปรอบกายชายคนดังกล่าว และเมื่อสบโอกาสทีเผลอก็ปล่อยหมัดฮุคเข้าหา จนชายคนนั้นล้มตึงลงยังกอหญ้าข้างถนนและหลับตาลงอย่างสิ้นฤทธิ์



“เช๊อะ! นึกว่าจะแน่! นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำเลยด้วยซ้ำ”


ริมฝีปากสีชมพูเอ่ยจบก็แลบลิ้นใส่ จากนั้นจึงสาวเท้าไปยังหญิงสาวที่โดนซ้อมจนสะบักสะบอมซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก



ทว่าทุกอย่างหาได้เป็นอย่างที่ตาเห็น แค่เพียงเธอหันหลังกลับเท่านั้นดวงตาแดงก่ำก็เบิกกว้างพร้อมกับมีดปลายแหลมในมือ ประกายตาของมันยามนี้ลืมความผิดชอบชั่วดีไปเสียสิ้น กลิ่นเหล้าที่คละคลุ้งอบอวลบอกให้รู้ว่าตอนนี้สติของมันอยู่เหนือการควบคุมอย่างสิ้นเชิง
เพียงเสี้ยววินาทีที่ร่างบางเดินหันหลังเท่านั้น มีดในมือของมันก็แหวกม่านอากาศเข้าหาอย่างรวดเร็ว



“อย่า!!!”


เสียงตะโกนจากหญิงสาวที่นอนเจ็บดังขึ้น เมื่อเห็นว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีกำลังจะทำอะไร
ภิตะวันหันกลับมามองด้วยความตกใจ ภาพที่เห็นคือใบหน้าถมึงทึงของคนเมาที่กำลังขาดสติกับมีดปลายแหลมที่กำลังพุ่งตรงมาทางเธอ! ใกล้...ใกล้มาก จนเธอคิดว่าไม่น่าจะหลบได้ทัน


หากแต่ทันใดนั้น!



พลั่ก!!! เคร้งงง....



เสียงของมีคมหล่นลงกระทบพื้นยางมะตอยก่อนจะแน่นิ่ง พร้อมกับที่ร่างบางของเธอถูกดึงเข้าหาแผงอกแกร่ง มือหนาเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังอย่างชายชาตรีโอบกระหวัดเอวบางของเธอราวกับเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ และนั่นทำให้เรือนร่างอรชรแนบสนิทกับอ้อมอกอุ่นราวกับเป็นเนื้อเดียวกัน



แว่บหนึ่งในห้วงสำนึกบอกเธอว่า...สัมผัสเหล่านี้ช่างคุ้นเคย...คล้ายกับเคยเกิดเรื่องแบบนี้มาแล้วอย่างนั้นแหละ ภิตะวันเหลือบมองเห็นร่างของชายที่คิดจะทำร้ายเธอกระเด็นกระดอนไปไกล เจ้าตัวจึงค่อยโล่งอก



ว่าแต่…ใคร? ใครกันมาช่วยเราไว้? เจ้าของแผงอกอบอุ่นแสนปลอดภัยคนนี้คือใคร?



หญิงสาวได้แต่ถามตัวเองในใจ ขณะที่หัวใจยังเต้นระรัวในอ้อมแขนของชายหนุ่มเจ้าของสูทเนื้อดีที่สัมผัสแนบสนิทกับใบหน้าของเธออยู่ยามนี้



“จัดการให้เรียบร้อย!”


น้ำเสียงเข้มแฝงความดุดันที่เปล่งออกมาจากเรียวปากบางเฉียบทำเอาเจ้าของดวงตากลมโตต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อรู้ว่าตอนนี้ตนนั้นตกอยู่ในอ้อมกอดของใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก...


พายุ นนท์ธนิต!



เจ้าพ่อขี้เก๊กที่เธอเพิ่งไปมีเรื่องมีราวกันมาเมื่อวานนั่นเอง พระเจ้า! ทำไมถึงได้ดวงซวยอะไรอย่างนี้ห๊ะยัยตะวัน!





ฉับพลันถ้อยคำสนทนาระหว่างตนกับดนัยก็หวนกลับมาในมโนสำนึก…


“ตะวันรู้รึเปล่าว่าตอนนี้พวกมันกำลังตามหาตะวันกันให้ควั่ก”

“หาตะวัน หาทำไม”

“ถามได้จะหาไปทำไม คนที่ทำให้นายใหญ่ของนนท์ธนิตเจ็บตัว คิดว่าพวกนั้นจะหาไปทำไมล่ะ”

“เอ๋ ตะวันก็แค่เอาหัวโขก กะตุ๊ยหน้าท้องแค่นั้นเอง ไอ้เจ้าพ่อนั่นก็ตัวออกโต โดนไปแค่นั้นไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก...มั้ง…”

“ไม่เจ็บตัว แต่เจ็บใจน่ะสิ คนพวกนี้รักศักดิ์ศรียิ่งกว่าอะไร”


น้ำเสียงหวั่นวิตกของดนัยยังก้องอยู่ในหู ดวงตากลมโตเหลือบมองไปยังด้านข้าง รอบกายเธอตอนนี้มีคนของนนท์ธนิตมากมายก่ายกอง ที่สำคัญคนที่เธอตุ๊ยท้องไปเมื่อวาน กำลังโอบกอดเธออยู่ตอนนี้เสียด้วย!...


“อีกอย่างพวกนั้นอาจจะจำหน้าตะวันได้แล้วก็ได้นะ ก็ตะวันทำหนวดหลุดไม่ใช่เหรอ”

“ตะวันไม่ได้ตั้งใจทำหลุดซะหน่อย มันหลุดเองนี่นา อีกอย่างถึงหนวดหลุดแต่เครายังอยู่นะ ไม่น่าจะมีใครจำได้หรอก และคนที่เห็นตะวันหนวดหลุดก็มีไอ้เจ้าพ่อขี้เก๊กเห็นคนเดียวเอง คนอื่นไม่เห็นซะหน่อย”


‘ซวยแล้ว!!!! ...ไอ้เจ้าพ่อบ้านี่จะจำเราได้มั้ยเนี่ย!!!


สาธุๆๆๆๆ! ขอให้ไอ้เจ้าพ่อขี้เก๊กชอบกินหญ้าด้วยเถิ๊ด...อย่าได้ชอบกินปลาเล้ย...


ขอให้โง่ๆๆๆๆ จำเราไม่ได้ทีเถิ๊ดดดด...ไม่อย่างนั้นซวยหยังเขียดแน่ภิตะวันเอ๊ย!!!!’



คำภาวนาอาจส่งไปไม่ถึงสวรรค์ก็จริง หากแต่ดูเหมือนเจ้าของอกแกร่งจะสัมผัสได้ถึงแรงกระตุกเล็กๆ จากร่างบางในอ้อมแขน และนั่นก็ทำให้เจ้าพ่อหนุ่มค่อยๆ หันกลับมายังแก้มเนียนใสอมชมพูที่ซุกหน้ากับอ้อมอกของตนจนยุบยวบ เส้นผมหยักศกที่คลอเคลียอยู่ตรงปลายคางมีแรงดึงดูดให้เจ้าของจมูกโด่งคมโน้มลงหา


หากแต่ยังไม่ทันถึงเส้นไหมเรียบลื่นที่ดำสนิทราวกับความมืดของรัตติกาล เสียงเรียกขัดจังหวะก็ดังขึ้นเสียก่อน


“นายครับ คนที่นัดหมายมาถึงแล้วครับ!”


พายุเงยหน้าขึ้น พยักหน้าให้ลูกน้อง “อืม!” จากนั้นจึงหันไปยังหญิงสาวอีกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้

“ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร?” น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยถาม และนั่นก็ทำให้ผู้จัดการของคลับที่วิ่งตามมายังที่เกิดเหตุ ต้องรีบออกมาแสดงตัวทันที


“เอ่อ...เธอเป็นนักเต้นของเราครับนาย” เสียงลนลานเอ่ยตอบ ขณะก้มหน้า วางมือประสานกันที่หน้าขาของตน ด้วยไม่บ่อยนักที่เจ้านายของเขาจะมาปรากฏตัว เพราะเป็นที่รู้ดีว่าธุรกิจไหนของนนท์ธนิตที่ดำเนินการไปได้ด้วยดี คุณพายุจะยกให้ คุณยิ่งยศ ซึ่งเป็นลุงสานต่อ โดยจะดูแลเพียงภาพรวมเท่านั้นหากมีปัญหาก็จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เพื่อจะได้มีเวลาบุกเบิกธุรกิจใหม่ๆ ขยายฐานอำนาจของนนท์ธนิตให้ก้าวหน้านั่นเอง ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกในรอบปีก็ว่าได้ที่เจ้านายใหญ่มาเยือนคลับแห่งนี้ แต่แม้จะมานานๆ ครั้ง แต่กิตติศัพท์ความเด็ดขาดของเจ้านายใหญ่นั้นไม่มีใครที่อยู่ใต้การปกครองของนนท์ธนิตจะไม่รู้ นอกเสียจากว่าคนๆ นั้นจะหูหนวกและตาบอด!


“ชื่ออะไร?”



หญิงสาวที่ถูกเอ่ยถามค่อยๆ ชันตัวขึ้นด้วยความยากลำบาก และแม้จะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เจ้านายใหญ่ของนนท์ธนิตถามชื่อเสียงเรียงนามของตน หากแต่เมื่อเห็นสายตาดุจากผู้จัดการร้าน เจ้าหล่อนจึงเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม



“ดาราค่ะ เป็นนักเต้นของที่นี่ค่ะนาย ส่วนคนที่ก่อเรื่องอาละวาดคือสามีของฉันเอง ต้องขอโทษด้วยนะคะนาย มันเมาไม่รู้เรื่อง อย่าทำโทษมันถึงแก่ชีวิตเลยนะคะนาย” หญิงสาวที่ชื่อดาราประนมมือไหว้ขอชีวิตสามี ด้วยเป็นที่รู้กันดีว่าเจ้านายใหญ่นั้นเฉียบขาดเพียงใด ถึงเธอจะไม่ชอบให้สามีดุด่าตบตี แต่เธอก็ยังไม่อยากสูญเสียเขาไป เพราะยามที่น้ำเมาไม่ได้เข้าปาก เขาก็เป็นคนรักที่ดีของเธอ


“กฎก็ต้องว่าไปตามกฎ...ว่าแต่แล้วเธอล่ะ?”


พายุหันมายังหญิงสาวที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมอก ด้วยหมายซ่อนเร้นใบหน้าหวานให้พ้นจากสายตาของทุกคน โดยที่เจ้าตัวหารู้ไม่ว่า ไม่สามารถซ่อนกลิ่นหอมละมุนของกายสาวที่โชยมาต้องจมูกได้แต่อย่างใด


กลิ่นหอมจางๆ คุ้นจมูกที่ทำให้ใครบางคนนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน กับทั้งอยากเร่งให้คืนนี้มาถึงโดยเร็ว!


"เธอเป็นใคร?”


น้ำเสียงเข้มที่เอ่ยถามอยู่ใกล้หูทำเอาวัวน้อยสันหลังหวะสะดุ้งวาบด้วยความตกใจ ก็คำถามนี้มิใช่หรือที่ทำเอาเธอแทบเอาตัวไม่รอดเมื่อวานนี้


...คิดสิ...คิด...ยัยตะวัน! อยากถูกถลกหนังหัวทำเนื้อแดดเดียวรึยังไง ห๊ะ!!!


ข้างพายุเมื่อเห็นหญิงสาวในอ้อมแขนเงียบไป และดูท่าว่าจะใช้ความคิดอย่างหนัก เพราะเขาสังเกตเห็นคิ้วเรียวขมวดมุ่นเป็นปม กับทั้งสัมผัสได้ถึงก้อนลมหายใจเฮือกใหญ่ที่ระเบิดออกมา ซึ่งนั่นก็ทำให้เจ้าพ่อหนุ่มต้องแอบซ่อนยิ้มที่มุมปาก


“ว่าไง? เธอ...เป็น...ใคร!”


น้ำเสียงที่ถามแม้จะก้องกังวานและดุดัน หากแต่ผู้เป็นเจ้าของรู้ดีว่าตนนั้นกำลังสนุกกับการหยอกล้อนางกวางน้อยตาสวยตรงหน้าเพียงไร หญิงสาวผู้มีดวงตาหวานซึ้งที่ตราตรึงให้นึกถึงทุกครั้งที่เขาหลับตา!


“ฉัน...เอ่อ...ฉันเป็น...” เสียงแหลมเล็กละล่ำละลักตอบแทบไม่เป็นภาษา ขณะที่เจ้าของเสียงนึกหาคำตอบอยู่ในใจมากมาย และในที่สุดเธอก็ได้คำตอบ...



“ฉันเป็นนักเต้น!”


เมื่อตอบไปแล้วเจ้าตัวก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อคิดว่าคำตอบของเธอน่าจะสมเหตุสมผลพอสมควร ก็ในเมื่อหญิงสาวที่ชื่อดาราบอกว่าเจ้าหล่อนเป็นนักเต้น แล้วเธอจะเป็นนักเต้นด้วยอีกคนผิดตรงไหน คลับใหญ่ขนาดนี้ย่อมต้องมีพนักงานมากมายอยู่แล้ว ใครจะมาจำหน้าทุกคนได้หมดกันเล่า



...ว่าแล้วก็อดทึ่งตัวเองไม่ได้ ทำไมถึงได้ฉลาดขนาดนี้ภิตะวัน อิอิ…



หากแต่หญิงสาวผู้มั่นอกมั่นใจในมันสมองของตัวเองหารู้ตัวไม่ว่า สุภาษิตที่บอกว่า ปากพาจน นั้นมีอยู่จริงและกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเองในไม่ช้า เพราะปากของเธอกำลังจะพาความ ซวย มาเยือนในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้!



“หึๆ ...นักเต้นงั้นหรือ ดี! ฉันชอบดูโชว์ซะด้วยสิ ไม่ได้ดูมานานแล้ว!” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นก่อนจะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ซึ่งนั่นก็ทำให้บรรดาลูกน้องที่ล้อมหน้าล้อมหลังอดแปลกใจไม่ได้ เพราะรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก



ร่างสูงปล่อยคนตัวเล็กออกจากอ้อมแขน ไม่ได้รู้สึกแปลกใจสักนิดที่เห็นหญิงสาวคนดังกล่าวก้มหน้างุดหลบหน้าหลบตาตนเองราวกับว่าถ้ามุดดินหนีได้เธอคงทำไปแล้ว จากนั้นจึงหันไปทางเหล่าลูกน้อง



“ไปกันเถอะ ให้แขกรอเจ้าของบ้านนานเห็นทีจะเป็นการเสียมารยาท”



เมื่อได้ยินดังนั้น ภิตะวันอดถอนหายใจอย่างโล่งอกไม่ได้ ฝ่ามือเล็กยกขึ้นปากเหงื่อชื้นที่ซึมตามไรผมทั้งที่อากาศในยามนี้หาได้ร้อนอบอ้าวสักนิด ด้วยมีลมเบาๆ โชยมาต้องผิวกายตลอดเวลา...



รอดแล้วเรา! สาวน้อยที่มีชนักติดหลังอันเบ้อเริ่มแอบยิ้มดีใจให้กับตัวเอง ภายใต้ผมยาวหยักศกที่ปิดบังใบหน้า ขณะเงี่ยหูฟังบทสนทนาของเจ้าพ่อหนุ่มกับบรรดาลูกน้องที่ดูจะไม่เกี่ยวข้องกับตนเองเลยสักนิด



“ผู้จัดการศักดิ์ชัยใช่มั้ย?” พายุหันไปทางผู้จัดการคลับที่ยืนเหงื่อแตกพลั่กอยู่ไม่ไกล

“ครับๆ ใช่ครับ มีอะไรให้ผมรับใช้ครับท่าน” ศักดิ์ชัยรีบตอบรับ


“โชว์วันนี้เริ่มกี่โมง?”


ศักดิ์ชัยได้แต่งงๆ กับคำถามเจ้านายใหญ่ ก่อนจะตอบออกไปตามจริง “สี่ทุ่มครับท่าน”
พายุก้มลงมองนาฬิกา เมื่อเห็นว่าตอนนี้ก็ปาเข้าไปสามทุ่มครึ่งแล้ว ชายหนุ่มจึงหัวเราะหึๆ ในลำคอ


“ถ้าอย่างนั้นอีกครึ่งชั่วโมงฉันต้องได้ดูโชว์ชุดพิเศษชุดนี้!” กล่าวจบก็หันกลับมายังร่างบอบบางที่ยังยืนก้มหน้า หัวหูยุ่งเหยิงไปหมด



“รีบแต่งตัวเข้าล่ะ ฉันจะรอดูโชว์ของเธอสาวน้อย!”







to be continued....


***************************

ซวยจริง ไรจริง ผิดมั้ยถ้าอยากให้นางเอกซวยบ่อยๆ 555


ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะคะ...^^


~รัตนรัตน์ ~




รัตนรัตน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 เม.ย. 2554, 11:05:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 เม.ย. 2554, 11:05:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 2814





<< บทที่ 4 : กระตุกหนวดเสือ (PART III)    บทที่ 6 : ซวย! บอกได้คำเดียวว่า ซวย!!! PART I >>
jink 5 เม.ย. 2554, 19:05:53 น.
555 ซวยแล้วหนูตะวัน จะเอาอะไรขึ้นโชว์เนี่ย


SaiParn 10 เม.ย. 2554, 18:27:35 น.
แว๊กกกกกกกกกกกกก แย่แล้ววววววววววว


cherryfirm 1 พ.ค. 2554, 20:48:31 น.
ว๊าาาา จะเข้าทางทั้งทีทำมัยมันเป็นทางตรงซะทู๊กกกทีนะ......5555


XaWarZd 29 พ.ค. 2554, 01:30:28 น.
ปากพาจนจริงๆ แถมพกความซวยติดตัวตลอด ฮาแล้วงานนี้


fullmoonparty2000 18 ก.ค. 2554, 21:00:53 น.
ซวย บอกได้คำเดียว 55555555555555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account