กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 12

12...

ป้าซำพาอาซิ่วมายังคฤหาสน์ที่อยู่ของอาเอี้ยอาไน่ตระกูลอึ๊ง...นางพาอาซิ่วเข้าทางประตูข้างที่เคยเข้า คนที่มาเปิดประตูให้เป็นชายชราอายุหกสิบเศษ
“อาแปะ (ลุง) อาเอี้ยอาไน่ให้อั้วพาอาซิ่วแม่อาลั้งมาพบท่าน”
ป้าซำบอกต่อคนที่มาเปิดประตู
“ฮ้อๆ…อั้วจะไปเรียนให้อาเอี้ยอาไน่ทราบ แล้วลื้อชื่ออะไร?”
อาแปะคนเปิดประตูถาม
“อั้วชื่อซำ…แล้วอาซุงอีไม่อยู่เหรอ” ป้าซำถามกลับ
“อีพาเด็กที่มาใหม่ไปซื้อเสื้อผ้า” อาแปะตอบ
“เด็กที่มาใหม่ใช่อาลั้งหรือเปล่าจ๊ะ?” อาซิ่วถามขึ้นบ้าง
“อาจจะใช่ หรือไม่ใช่ อั้วก็ไม่รู้แน่ชัด แต่ตอนนี้อั้วต้องไปเรียนให้อาเอี้ยอาไน่รู้เรื่องที่พวกลื้อมาหาก่อนดีกว่า”
ว่าแล้วอาแปะก็เดินจากไป ปล่อยให้ป้าซำกับอาซิ่วอยู่ที่ห้องพักของคนรับใช้ ซึ่งใช้เป็นห้องนั่งพัก ที่กินอาหาร ไปจนห้องนั่งเล่นสนทนากันระหว่างคนรับใช้ ซึ่งตอนนี้ว่างคน จึงมีแต่ป้าซำกับอาซิ่วนั่งรออยู่
“แก่แล้วเลอะเทอะ ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง” ป้าซำว่าอาแปะ เมื่อเห็นว่าอาแปะเดินไปไกลแล้ว คงไม่ได้ยินที่ตนพูด พอนางหันกลับมามองอาซิ่ว เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายไม่ค่อยดีนักก็ว่า “ลื้อทำหน้าเหมือนญาติตายไปทำไม?”
“อั้วเป็นห่วงอาลั้ง อาลั้งต้องไปเมืองไทย ไปไกลมาก ทั้งที่อายุน้อยเพียงแค่นี้” อาซิ่วว่าแล้วน้ำตาตก
“ลื้อต้องดีใจต่างหาก ผู้ใหญ่โตๆ บางคนอยากไปเมืองไทยแทบตาย ยังไม่มีวาสนาจะได้ไปเลย” ป้าซำว่า “ใครๆ เขาก็ว่าเมืองไทยดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ซื้อง่ายขายคล่อง ถ้าไม่ขี้เกียจ ก็จะทำมาหากินกลายเป็นคนรวยเอาง่ายๆ” ป้าซำสาธยายในขณะที่อาซิ่วยกมือปาดเช็ดน้ำตาเมื่อเห็นอาแปะเดินกลับมา
“อาเอี้ยอาไน่อนุญาตให้ลื้อสองคนไปพบได้…ตามอั้วมา”
อาแปะว่าแล้วก็หันกายเดินกลับไปใหม่…ป้าซำกับอาซิ่วจึงสงบปากสงบคำลุกขึ้นเดินตามไปอย่างเงียบๆ
ผ่านสวนดอกไม้และระเบียงคดที่ทอดตัวอยู่เหนือสระบัว จนกระทั่งไปถึงห้องโถงพักผ่อน ที่ชายคาแขวนกรงนก และมีซุ้มไม้ดอกประดับ…อาเอี้ยและอาไน่นั่งอยู่ที่สองข้างของโต๊ะฝังมุกเก้าอี้ที่นั่งก็เป็นไม้ฝังมุกอย่างดี มีเบาะแพรต่วนรองนั่งและหมอนอิงที่พนักพิง
อาแปะเข้าไปถึงก็ค้อมคำนับ
“สองคนมาถึงแล้วขอรับ”
“ดีแล้ว…ลื้อกลับไปได้ ถ้าอาซุงกลับมาถึงให้พาเด็กมาที่นี่ทันที”
อาเอี้ยสั่งอาแปะ
“ขอรับ” อาแปะรับคำ แล้วหันกายเดินกลับไปทางเก่า
“อาเอี้ยอาไน่” ป้าซำกับอาซิ่วต่างค้อมศีรษะคารวะ
“ลื้อคืออาซิ่วแม่ของอาลั้งใช่ไหม?”
อาไน่ถามอาซิ่วด้วยสีหน้าเมตตา
“ใช่ค่ะ” อาซิ่วรับคำเสียงดังพอสมควร เพราะรู้มาจากป้าซำว่า อาเอี้ยกับอาไน่ไม่ชอบคนพูดเบานัก เพราะท่านได้ยินไม่ถนัด
“รู้แล้วยังว่าอั้วจะพาลูกลื้อไปเมืองไทย? อาไน่ถามอีก
“รู้แล้วค่ะ” เอ่ยถึงตรงนี้ น้ำตาของอาซิ่วก็ไหลลงมา
อาไน่ทอดถอนหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “อั้วเรียกลื้อมาก็ตั้งใจจะให้ลื้ออยู่กับลูกสักคืน พรุ่งนี้อั้วจะออกเดินทางไปที่เมืองท่า ขึ้นเรือใหญ่ไปเมืองไทย ลื้อก็อย่าร้องไห้ให้ลูกเห็นเดี๋ยวอีจะใจไม่ดี ร้องไห้งอแง ซึ่งอั้วไม่ชอบ”
“ค่ะ…อาไน่”
อาซิ่วรับคำรีบปาดเช็ดน้ำตา ซึ่งทำท่าว่าจะไม่ยอมหยุดไหลง่ายๆ นางพยายามกลั้นน้ำตาเต็มที่ ให้มันไหลย้อนลงในอก เพราะเกรงว่าหากน้ำตาไม่หยุดไหล อาไน่อาจจะไม่ให้ตนพบกับลูกสาว เพราะกลัวจะเป็นตัวอย่างให้ลูกร้องตาม
“ลื้อคงไม่ว่าอั้วใจดำนะ ที่ไม่ให้ลื้อร้องไห้”
“ไม่ค่ะ…อาไน่เมตตาต่อสัตว์ผู้ยากอย่างอั้วมาก ที่ให้ได้มาพบลูก ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะไม่สนใจด้วยซ้ำว่า แม่ลูกจะได้พบหน้ากันก่อนเดินทางไกลหรือเปล่า” อาซิ่วตอบอย่างที่ใจคิด
“ลื้อเข้าใจก็ดีแล้ว…”
อาไน่พูดยังไม่ทันจะจบประโยคดี ป้าซำก็เอ่ยแทรกขึ้นว่า
“เอ่อ…อาไน่ขา อั้วก็พาอาซิ่วมาแล้ว”
อาไน่ยกมือห้ามนางพูดต่อ แล้วเอ่ยว่า
“ลื้อไม่ต้องกลัว อั้วให้ค่าป่วยการลื้อแน่” แล้วอาไน่ก็ส่งเสียงดังหน่อยว่า “ข้างนอกใครอยู่บ้าง เข้ามาหน่อยซิ”
“ค่ะ” มีเสียงขานรับ แล้วหญิงอายุสามสิบเศษคนหนึ่งก็เข้ามา
“ลื้อไปเอาเงินที่ห้องบัญชีให้อาซำสิบเหรียญ” อาไน่สั่ง
“ค่ะ” หญิงรับใช้คนนั้นรับคำ แล้วเดินจากไป พอดีกับป้าซุงจูงมืออาลั้งเข้ามา
อาลั้งพอเห็นแม่ ก็โผเข้าหาทันที พร้อมๆ กับร้องเรียกอย่างดีใจ ลืมไปว่ากำลังอยู่ต่อหน้าอาเอี้ยกับอาไน่
“แม่…แม่มาได้ยังไง”
ป้าซุงจึงเอ่ยเสียงดุว่า “อาลั้งลื้อทำอะไร ยังไม่รีบคารวะอาเอี้ยกับอาไน่ก่อน”
“ชั่งเถอะ” อาไน่เอ่ย “ลูกได้เห็นแม่ก็ดีใจเป็นธรรมดา”
“อาเอี้ยอาไน่”
อาลั้งรีบเรียก พลางย่อกายคารวะ
“อืมม์…” อาเอี้ยเพียงทำเสียงรับรู้
ส่วนอาไน่พยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะถามป้าซุงว่า
“อาซุง…ซื้อเสื้อผ้าให้เด็กเรียบร้อยแล้วหรือ?”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ ซื้อมาสองชุดเอาไว้ผลัดเปลี่ยนไปซักไป” ป้าซุงเอ่ย
“อั้วให้ลื้อซื้อให้อีสี่ห้าชุด ทำไมลื้อซื้อแค่สองชุด” อาไน่ถาม
“เด็กๆ แป็บๆ ก็โต ซื้อหลายชุดก็เปลืองเงินเปล่าๆ แล้วเสื้อผ้าเก่าของอีก็มี ให้อีเอาชุดใหม่ไว้ใส่ขึ้นเรือลงเรือก็พอค่ะ” ป้าซุงเอ่ย ลอบค้อนอาลั้งที่ทำให้นางถูกต่อว่า
“เอาละๆ…คืนนี้ลื้อก็ไปนอนกับเพื่อนๆ ก่อนก็แล้วกัน ให้แม่ลูกเขานอนด้วยกันสักคืนหนึ่ง ให้หายคิดถึง” อาไน่สั่ง
“ค่ะ” ป้าซุงรับคำ รู้สึกไม่ถูกชะตากับสองแม่ลูกคู่นี้เลย ที่ทำให้ตนต้องไปนอนเบียดกับเพื่อนคนใช้ด้วยกัน แทนที่จะได้นอนห้องตนเองสบายๆ

ป้าซุงพาอาซิ่วและอาลั้งกลับไปยังโถงห้องพักของคนรับใช้ ซึ่งใช้เป็นที่รับประทานอาหารร่วมกันด้วย มีคนรับใช้บางคนรับประทานเสร็จแล้ว และผละไป ป้าซุงก็พูดประชดอาซิ่วว่า
“จะกินข้าวก็ตักเองนะ ไม่ใช่คุณหนูคุณนาย จะได้มีคนตักให้”
“ค่ะ” อาซิ่วรับคำเสียงอ่อนโยน นางไม่อยากจะก่อศัตรู ยิ่งศัตรูที่อาจจะให้ผลต่ออาลั้งลูกสาวตัวน้อยของนางด้วย
ส่วนป้าซำนั้นเอาเงินสิบเหรียญที่ได้มาเก็บใส่กระเป๋าเสื้อตัวในเป็นอย่างดี แล้วไปตักข้าวใส่ชามมานั่งลงกินอย่างไม่ต้องมีใครเชื้อเชิญ
อาซิ่วตักข้าวให้อาลั้งชามหนึ่ง ให้ตนเองชามหนึ่ง แล้วพากันไปนั่งกิน อาลั้งใช้ตะเกียบคีบได้หมูชิ้นหนึ่ง ก็ใส่ในชามข้าวของแม่
“แม่กินหมูนะคะ”
อาซิ่วคีบหมูชิ้นนั้นใส่ในชามข้าวของอาลั้ง พูดยิ้มๆ ว่า
“ลูกกินซะนะจะได้โตไวๆ”
“แต่หนูอยากให้แม่กินของอร่อยๆ บ้างนี่คะ” อาลั้งเอ่ย คีบหมูชิ้นนั้นจะใส่กลับลงในชามข้าวของแม่ แต่ยังไม่ทันได้ใส่ในชาม ป้าซุงก็ใช้ตะเกียบคีบเอาไปใส่ปากตนเอง เคี้ยวพลางเอ่ยว่า “อั้วกินเอง พวกลื้อไม่ต้องเกี่ยงกัน…แหมอร่อยจริงๆ”
อาซิ่วได้แต่เม้มปากกล้ำกลืนกับการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะที่อาลั้งได้แต่มองตาปริบๆ
“กินๆๆ…รีบๆ กิน…เดี๋ยวคนอื่นยังต้องมากินอีก”
ป้าซุงเอ่ยอย่างไม่สนใจไยดีต่อสีหน้าสะเทือนใจของสองแม่ลูกแม้แต่น้อยนิด

คืนนั้นอาซิ่วได้นอนในห้องกับลูกสาวคนเล็กสองต่อสอง…เห็นอาลั้งปูผ้าห่มลงที่พื้นก็ถามว่า
“ลูกปูผ้าห่มที่พื้นทำไม?”
“หนูนอนตรงนี้ค่ะ อาลั้งตอบเลียงใส
“หนูไม่ได้นอนบนเตียงเหรอ?” อาซิ่วถาม
“เปล่าค่ะ…” เด็กหญิงตอบซื่อๆ
“ทำไมล่ะ...บนพื้นเย็นออก เดี๋ยวจะไม่สบายไปได้” อาซิ่วถาม “หรือว่าป้าซุงไม่ให้นอน?”
“ค่ะ…ป้าซุงว่าไม่ชอบนอนเบียดอึดอัด”
คิดแล้ว…อาซิ่วรู้สึกเจ็บปวดใจ…ไม่ใช่ลูกหลานเขา เขาก็ไม่เมตตาสงสารว่าเด็กจะนอนหนาว เจ็บป่วยไม่สบายไปหรือเปล่า
อาซิ่วก้มลงเก็บผ้าห่มของลูก พลางว่า “คืนนี้ หนูนอนกับแม่บนเตียง”
“เดี๋ยวแม่จะอึดอัด” อาลั้งมองแม่ด้วยสายตาเป็นห่วง
“ไม่อึดอัดหรอกลูก” อาซิ่วบอก
อาลั้งดีใจ ไปนั่งชิดแม่ที่บนเตียง แล้วกอดเอวแม่เอาไว้ พึมพำว่า
“หนูคิดถึงแม่มาก คิดถึงแม่ทุกๆ คืนเลย”
ฟังแล้ว…อาซิ่วน้ำตาจะตก แต่พยายามฝืนเอาไว้ เพราะเข้าใจคำเตือนของอาไน่…คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่สองแม่ลูกจะได้อยู่ด้วยกัน จะมามัวร้องไห้ไม่ได้
อาซิ่วจึงจับอาลั้งให้นอนหนุนตักของตน แล้วเอามือตบเบาๆ ที่ไหล่ของเด็กหญิง “แม่จะร้องเพลงกล่อมให้หนูนอนหลับ เหมือนตอนหนูเล็กๆ”
แล้วอาซิ่วก็ร้องเพลงพื้นบ้านกล่อมเด็กเบาๆ พลางแตะมือเป็นจังหวะที่ไหล่ของลูกสาวคนเล็ก
แต่อาลั้งกลับบอกแม่ว่า
“แม่…หนูไม่อยากนอนเลย”
“ทำไมล่ะลูก?” อาซิ่วถาม
“เพราะเวลานอนหลับมันผ่านไปเร็ว พอตื่นขึ้นมาก็เช้าแล้ว หนูก็ต้องจากกับแม่ หนูอยากอยู่กับแม่นานๆ คืนนี้หนูจะไม่นอนหลับ” อาลั้งเอ่ย แล้วน้ำตาของหนูน้อยก็หลั่งไหล
อาซิ่วเอามือปาดเช็ดน้ำตาให้ลูกสาว พลางว่า
“อย่าร้องไห้อาลั้ง…แม่ก็คิดถึงหนูทุกวันทุกคืน…แต่จะทำยังไงได้ล่ะ เรายากจน แม่ไม่มีเงินมาไถ่ตัวหนูคืน เขาก็ขายหนูมากันเป็นทอดๆ กระทั่งถึงอาเอี้ยอาไน่ ซึ่งจะพาหนูไปเมืองไทย มันไกลเกินความสามารถของแม่ที่จะไปแอบดูหนูอีก”
พูดถึงตรงนี้…น้ำตาของอาซิ่วก็หลั่งไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่มีเสียงสะอื้นไห้แต่ปาดเช็ดเท่าไหร่น้ำตาก็ไม่เหือดหายสักที
อาลั้งเห็นแม่น้ำตาไหล ก็กอดแม่เอาไว้ เปลี่ยนเรื่องสนทนาว่า
“เขาว่าเมืองไทยเงินทองหาง่าย ไม่ยากลำบากเหมือนเมืองจีน หนูไปเมืองไทยหนูจะขยันทำงานมากๆ เผื่ออาเสี่ยเนี้ยที่หนูไปอยู่ด้วย จะให้รางวัลหนู หนูจะส่งเงินมาให้แม่ แม่จะได้สบายขึ้น”
อาซิ่วไม่ว่าอะไร ได้แต่พยักหน้า
อยู่ๆ อาลั้งก็ตัวงอร้องครวญคราง เอามือกุมท้อง
“อู๊ยย…”
“อาลั้งเป็นอะไร?” อาซิ่วถามอย่างเป็นห่วง
“หนู…หนูปวดท้อง” อาลั้งตอบ เหงื่อเม็ดโป้งๆ ผุดเต็มหน้าผาก
อาซิ่วมองดูลูกสาวด้วยความเป็นห่วง เอามือลูบหน้าอกกับหน้าท้องและแผ่นหลังของลูกน้อย ในใจก็ภาวนาขออย่าได้เป็นอะไรมากเลย
“ดีขึ้นมั้ย?” อาซิ่วถามอย่างกังวล
“ไม่เลยค่ะแม่”
อาลั้งส่ายหน้า…เด็กหญิงรู้สึกปวดท้องอย่างมาก จนไม่สามารถเหยียดตัวให้ตรงได้ โดยไม่รู้สักนิดว่า…นั่นคือความกดดันทางใจที่ปรากฏออกมาทางร่างกาย!
อาซิ่วเห็นลูกสาวตัวน้อยปวดท้องจนหน้าซีดเผือดก็ตกใจ จึงวางร่างของอาลั้งลงบนเตียง แล้วว่า
“รอแม่เดี๋ยวนะ แม่จะไปขอยามาให้”
ว่าแล้ว…อาซิ่วก็เปิดประตูออกจากห้องเล็กๆ นั้น ไปเคาะประตูห้องข้างๆ
“ใครมาเคาะประตูดึกๆ ดื่นๆ”
เสียงคนข้างในห้องถามออกมา
“อั้วอาซิ่วแม่อาลั้ง อาลั้งไม่สบาย ช่วยหน่อยค่ะ” อาซิ่วเอ่ยเสียงรัวเพราะความกระวนกระวาย
“เอ่อ…รอเดี๋ยว”
ประเดี๋ยวหนึ่งประตูห้องก็เปิดออก…คนมาเปิดคือป้าซุง นางมองอาซิ่วอย่างเคืองจัด พลางกระชากเสียงถามว่า
“มาตบประตูโครมครามกลางดึกกลางดื่นอย่างงี้ ลื้อมีเรื่องอะไร?”
“อาลั้งไม่สบายค่ะ” อาซิ่วพยายามพูดดีด้วย ถึงแม้จะสัมผัสได้ถึงความไม่เป็นมิตรนักของอีกฝ่าย
“ไม่สบายเป็นอะไร…ตอนกลางวันก็เห็นดีๆ อยู่” ป้าซุงพูดเสียงมะนาวไม่มีน้ำ แล้วแถมท้ายด้วยการยกมือขึ้นปิดปากหาว
“อาลั้งปวดท้อง” อาซิ่วเอ่ยร้อนรน
แต่ป้าซุงไม่เชื่อ “โกหก”
“อั้วจะโกหกลื้อทำไม?” เสียงอาซิ่วชักจะห้วน
“ก็ลื้อสองคนแม่ลูกสมคบคิดกัน แกล้งทำเป็นป่วย จะได้ไม่ต้องไปเมืองไทยไงเล่า” ป้าซุงเอ่ยเป็นฉากๆ “ลื้ออย่าคิดนะว่าอั้วรู้ไม่ทันเหรอ”
“อั้วไม่ได้โกหก ยิ่งอาลั้งแล้วอาการของอีโกหกไม่ได้อยู่แล้ว”
อาซิ่วเอ่ยอย่างมีโมโหขึ้นมา
“อั้วไม่เชื่อ”
ป้าซุงยืนยันคำเดิม
“ลื้อจะเชื่อหรือลื้อจะไม่เชื่อ ลื้อก็ต้องหายามาให้อั้ว”
อาซิ่วยื่นคำขาด
“ทำไมอั้วต้องทำ?”
ป้าซุงเอ่ยใส่หน้าอาซิ่ว แล้วทำท่าจะปิดประตูกลับ





คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ม.ค. 2556, 11:52:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ม.ค. 2556, 11:52:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1487





<< ตอนที่ 11   ตอนที่ 13 >>
อ้อย 10 ม.ค. 2556, 00:17:09 น.
อีป้าซำเลวแล้ว เจออีป้าซุงเลวเข้าไปอีก เฮ้อๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account