กล้วยไม้ในมือมาร
กล้วยไม้คือผู้หญิง...เธอคือผู้หญิงชาวจีนที่ถูกซื้อมาเป็นสาวรับใช้ตั้งแต่วัยเด็ก...นวนิยายเรื่องนี้ฉายภาพสยามประเทศใน พ.ศ. 2473
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 13

13…..


อาซิ่วชิงผลักประตูกลับไปเต็มแรงก่อน ทำให้ประตูกระแทกถูกหน้าผากของป้าซุง
“โอ๊ย…ลื้อจะฆ่าอั้วเหรอ ?”
ป้าซุงโวยวาย แต่หมดหนทางจะปิดประตู เพราะอาซิ่วแทรกตัวเข้ามายืนขวางไว้
“อะไรกัน ?” คนที่ป้าซุงมานอนด้วยถามขึ้น พลางลุกขึ้นมาดู
“อั้วมาขอยา อาลั้งไม่สบาย” อาซิ่วรีบกล่าว
“ลื้ออย่าไปเชื่ออี อีสองคนแม่ลูกแกล้งไม่สบายจะได้ไม่ต้องไปเมืองไทย” ป้าซุงบอกเพื่อนที่เป็นเจ้าของห้อง
“อาลั้งไม่ได้แกล้งไม่สบาย…แล้วที่อีไม่สบายก็เพราะลื้อ” อาซิ่วชี้นิ้วไปที่หน้าของป้าซุง “เพราะลื้อให้อีนอนพื้นเย็นๆทั้งคืน”
“จริงเหรออาซุง ?”
หญิงเจ้าของห้องที่อาซุงมานอนด้วย ซึ่งมีอายุวัยเดียวกันกับอาซุงถาม
“เอ่อ…เด็กๆอีขี้ร้อน อีชอบนอนพื้น” อาซุงแก้ตัว
“ไม่จริง…อาลั้งบอกอั้วว่าลื้อไม่ยอมให้อีนอนเตียง เพราะลื้อกลัวอึดอัด” อาซิ่วเถียง
“เอาละๆ ลื้อก็ใจเย็นๆ” เพื่อนอาซุงไกล่เกลี่ย “ลูกลื้อไม่สบายเป็นอะไรล่ะ ?”
“อีปวดท้อง” อาซิ่วเอ่ย เสียงเบาลงหน่อย เพราะนึกเกรงใจ ที่ห้องอื่นๆบางห้องโผล่หน้ามาดู พอเห็นไม่ใช่เรื่องของตนก็กลับไปนอนต่อ
“ปวดท้อง ถ้าไม่ใช่ท้องเสีย ก็มีลม” นางพูดแล้วนึกขึ้นได้ว่า “อั้วมียาหม่อง อาไน่ท่านให้อั้วเอาไว้ อั้วใช้อย่างทะนุถนอมเพราะเป็นของเมืองนอกทีเดียว ใช้ทาท้องแก้ปวดท้องดีมากเลย อั้วจะเอามาให้ลื้อไปทาให้อาหมวย”
ว่าแล้วนางก็ผลุบหายเข้าไปในห้อง เพียงเดี๋ยวเดียวก็กลับมาพร้อมกับตลับยาหม่อง นางเปิดฝาออกให้อาซิ่วดู พลางว่า
“เอายานี่ทาที่ท้องอาหมวยบางๆ แล้วเอามือลูบๆ มันจะร้อนอุ่นๆ อย่าทาเยอะนะ เดี๋ยวอาหมวยจะแสบผิว
“ขอบคุณค่ะ…ขอบคุณ”
อาซิ่วปากพร่ำขอบคุณ มือฉวยยาได้ก็รีบกลับห้อง เพราะเป็นห่วงลูกสาวตัวน้อย
ป้าซุงค้อนตามหลัง พร้อมแช่งชักหักกระดูก
“ให้ปวดท้องตายๆไปเลยยิ่งดี”
“ลื้อว่ายังงี้ไม่ดีนะ” เพื่อนป้าซุงเอ่ย “ถ้าอาหมวยไม่สบายหนัก ลื้อจะต้องถูกตำหนิเป็นคนแรกที่ให้อีนอนพื้น”
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าอีจะบอบบางเป็นคุณหนูยังงี้ เป็นขี้ข้าก็ต้องทนทาน ไม่ว่าร้อน ไม่ว่าหนาว “ ป้าซุงเอ่ยประชด “แบบนี้เขาเรียกว่าเกิดผิดที่ผิดทาง”
เพื่อนร่วมห้องป้าซุงมองป้าซุงแล้วถอนหายใจพลางส่ายหน้า ไม่พูดไม่จาอะไรอีกก็ล้มตัวนอนต่อ
ป้าซุงเองแม้จะทำปากเก่ง แต่ในใจก็อดกังวลไม่ได้…นี่ถ้าเด็กเป็นอะไรไป จนเดินทางไปเมืองไทยไม่ได้ อาเอี้ยกับอาไน่ต้องโทษว่าเป็นความผิดของนางแน่ๆ…

อาซิ่วบรรจงเอายาหม่องทาท้องให้ลูกสาวตัวน้อยบางๆ นางรู้สึกได้ว่าผิวท้องนั้นเย็นกว่าปกติ จึงใช้มือทั้งสองข้างของตนถูกันจะเกิดความอุ่น แล้วเอามือที่อุ่นนั้นนาบที่ท้องลูก พลางถามว่า “ดีขึ้นมั้ยลูก”
“ค่ะ” อาลั้งพยักหน้า
อาซิ่วทำซ้ำอย่างเดิมอยู่สี่ห้าครั้ง อาลั้งก็ผายลมออกมา เมื่อผายลมติดต่อกันครู่หนึ่ง
สีหน้าอาลั้งก็ดีขึ้น
“หายปวดท้องหรือยังลูก ?” อาซิ่วถามเสียงอ่อนโยน
“หายแล้วค่ะ” อาลั้งตอบ
“งั้นหนูมานอนหนุนตักแม่” อาซิ่วเรียก นั่งพิงกำแพงห้อง วางขาทั้งสองข้างชิดกันบนเตียงนอน
อาลั้งก็ลงนอนหนุนตักมารดาอย่างว่าง่าย อาซิ่วคลุมผ้าห่มให้แก่ลูกสาวจนถึงคาง เอามือลูบเส้นผมที่หน้าผากเด็กหญิงออก พลางคิด…
ถ้าตนบอกอาลั้งให้เสแสร้งแกล้งทำไม่สบาย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปเมืองไทยดีไหม ?”
ถ้าอาลั้งไม่ได้ไปเมืองไทย…อาลั้งก็ต้องเป็นเด็กรับใช้อยู่ที่นี่ เติบโตขึ้นที่นี่ อาจจะไม่ได้แต่งงานเหมือนกับป้าซุง ไม่มีลูก ไม่มีหลาน อาลั้งอาจจะแก่เฒ่าเป็นคนรับใช้แก่ๆที่โดดเดี่ยวเดียวดาย
ถ้าอาลั้งไปเมืองไทย…อาลั้งอาจจะได้พบได้เจอผู้ชายดีๆ อยู่อย่างสุขสบายที่เมืองไทยก็ได้
แม้อาซิ่วจะรู้ดีว่า…จินตนาการย่อมสวยงามกว่าความเป็นจริงเสมอ แต่นางก็ยังอยากเสี่ยง เผื่อโชคดี…ความฝันเป็นความจริง อาลั้งจะได้ไม่ต้องทุกข์ยากเหมือนอย่างตน !

“อาลั้งๆ…ตื่นได้แล้วลูก” เสียงแม่ปลุกอยู่ข้างหู ตอนแรกอาลั้งคิดว่าฝันไป แต่พอลืมตาก็เห็นว่าตนเองยังนอนหนุนตักแม่อยู่ ก็รีบลุกขึ้น
“แม่…เช้าแล้วเหรอ”
“จ้ะ” อาซิ่วยิ้มให้ลูกด้วยสีหน้าเศร้าๆ พลางลองขยับขาที่เหน็บชากินจนแทบไม่มีความรู้สึก สักพักมันก็เจ็บแปลบๆเหมือนเข็มนับพันนับหมื่นเล่มทิ่มแทง
เห็นสีหน้าแม่ อาลั้งก็เอ่ยว่า “แม่เจ็บมากมั้ยคะ ?”
“ไม่หรอกลูก นิดเดียวเท่านั้น” อาซิ่วพูดให้ลูกสาวตัวน้อยสบายใจ
“หนูตั้งใจจะอยู่คุยกับแม่ทั้งคืน แต่ทำไมเผลอหลับไปได้ก็ไม่รู้” อาลั้งเอ่ยอย่างเสียดายเวลาที่ผ่านไปคืนหนึ่ง
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ แม่ก็ได้นั่งดูหนูตลอดทั้งคืน”
อาลั้งโผเข้ากอดแม่
“แม่…วันนี้หนูต้องไปแล้ว”
“ขอให้ลูกแม่ไปดีมีความสุขนะ” อาซิ่วเอ่ยได้เพียงเท่านี้ ลำคอก็ตีบตัน นางรีบเงยหน้ามองเพดาน เพื่อที่จะไม่ให้น้ำตาไหลลงมาให้ลูกสาวเห็น พยายามคิดหาเรื่องดีๆมาพูด เพื่อปลอบใจลูก และปลอบใจตนเอง
“เห็นใครๆเขาว่าเมืองไทยดี ถ้าขยัน อดทน ก็เป็นคนรวยได้ไม่ยาก ที่ดินเมืองไทยก็อุดมสมบูรณ์ เพาะปลูกอะไรก็งอกงาม น้ำท่าก็บริบูรณ์ มีกินมีใช้ตลอดปี…ลูกไปอยู่เมืองไทยแล้วต้องขยันให้มากๆเข้าใจไหม”
“ค่ะ…หนูจะทำงานหาเงินเยอะๆแล้วส่งมาให้แม่” อาลั้งเองก็วาดหวัง แม้ใจหนึ่งจะเศร้าที่ต้องจากแม่ไปไกล แต่เป็นการจำยอม ไม่มีทางเลือก เมื่อไม่มีทางเลือก ก็ต้องทำให้ทางที่จำต้องไป ดีที่สุดสำหรับตนและแม่
“ถ้าหนูรวยเมื่อไหร่ หนูกลับมาหาแม่บ้างนะ”
“ค่ะ…ถ้าหนูมีเงินเมื่อไหร่ หนูจะมาหาแม่”
อาลั้งให้สัญญา…ที่ไม่รู้ว่าอีกกี่เดือนกี่ปีจึงจะทำได้!

อาซิ่วมองอาลั้งก้าวขึ้นรถม้าที่อาเอี้ยอาไน่นั่ง เด็กหญิงหันมามองแม่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะถูกป้าซุงผลักขึ้นรถ เด็กหญิงที่นั่งอยู่ปลายเท้าของอาไน่ นั่งน้ำตาตกเงียบๆ
ป้าซุงซึ่งไปด้วยก็ดุเอาว่า “จะร้องไปทำไม แม่ลื้อยังไม่ตายซักหน่อย รออีตายก่อนลื้อค่อยร้องก็ได้”
“อาซุง…” เสียงอาไน่ปราม “ลื้อพูดน้อยๆหน่อยได้มั้ย!”
ทำให้ป้าซุงจำใจต้องปิดปากเงียบ แล้วพาลมาแค้นเด็กหญิง หาว่าเป็นต้นเหตุให้ตนถูกว่า…
อาซิ่วมองรถม้าจนลับสายตา แล้วทรุดลงนั่งกับพื้นร้องไห้อย่างไม่อาจอดกลั้นอีกต่อไป…
ลูกลับสายตาไปแล้ว!
ไม่รู้ว่า…อีกเมื่อไหร่จะได้พบพานกันอีก…1ปี…10ปี…20ปี…หรือจะไม่ได้พบกันอีกเลยชั่วชีวิต!
“ลื้ออย่าร้องไห้เลย” อาแปะเอ่ยกับอาซิ่ว “อาไน่ท่านให้อั้วเอาเงินให้ลื้อ 20 เหรียญ เพราะรู้ว่าบ้านลื้อยากจนมาก อาไน่ท่านว่า 20 เหรียญนี้ท่านให้ลื้อเปล่าๆ ไม่นับรวมกับค่าตัวอาหมวย ถ้าลื้อมีเงินเมื่อไหร่ก็มาไถ่ตัวอาหมวยได้เมื่อนั้น”
อาซิ่วค่อยๆพยุงกายลุกขึ้น ถามว่า “ค่าตัวอาหมวยเท่าไหร่เหรออาแปะ?”
“ร้อยเหรียญ” อาแปะตอบ
“งั้นอาแปะเอายี่สิบเหรียญที่อาไน่ให้คืนไป ค่าตัวอาลั้งจะได้ลดลงเหลือแปดสิบเหรียญ” อาซิ่วเอ่ย
“ฮ้อๆ…” อาแปะพยักหน้าหงึกหงัก
ป้าซำที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยก็โพล่งขึ้น “ลื้อบ้าหรือโง่กันแน่…ลูกลื้อก็ไปแล้ว เขายื่นเงินมาให้แทนที่จะรับเอาไว้ กลับไม่เอา” แล้วหันไปเจ้ากี้เจ้าการ “อาแปะเอาเงินให้อาซิ่วเถอะ”
“อาแปะไม่ต้อง” อาซิ่วขัดขืน “อั้วตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว อั้วจะพยายามหาเงินมาไถ่ตัวอาลั้งให้ได้”
“เชอะ…แม่คนรักลูก” ป้าซำว่าประชดประชัน
“จริงๆแล้ว…อั้วคิดผิดตั้งแต่แรกที่ขายอาลั้ง” อาซิ่วเอ่ย “เพราะเชื่อคำแนะนำของลื้อ”
“อ้าว…ทำไมมาโยนความผิดกันตอนนี้ล่ะ” ป้าซำเท้าสะเอว “ตอนแรกใครน้ำหูน้ำตาไหลไปหาอั้วถึงบ้าน บอกว่าผัวป่วยหนัก ไม่มีเงินจะรักษา ให้อั้วหาทางช่วย”
“ก็เพราะว่า…อั้วผิดเองน่ะสิ ที่ไปหาคนอย่างลื้อ”
ว่าแล้วอาซิ่วก็เดินหนีไป
“คนอย่างอั้วเป็นยังไง…ลื้อกลับมาพูดให้ชัดๆก่อน”
ป้าซำตะโกนไล่หลัง พลางเดินตามไปติดๆ คิดจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด
อาแปะมองคนทั้งสอง แล้วได้แต่ส่ายหน้า ถอนใจ
“คนหนึ่งก็ถูกความรักบดบังตา อีกคนก็ถูกความโลภบดบังใจ”

อาซิ่วกลับถึงบ้านเวลาเย็นมาก…ลูกชายคนโตของนางต้องนอนค้างที่ร้านขายของที่เขาไปเป็นเด็กฝึกงานอยู่ ส่วนลูกชายคนรองนั้นกลับจากเลี้ยงวัว มาหุงข้าวต้มที่ผสมด้วยมันเทศ เพื่อให้มีเนื้อมากขึ้นจะได้กินอิ่มท้อง เรื่องรสชาตินั้นไม่ต้องพูดถึงสำหรับคนยากคนจน แค่มีให้กินไม่อดตายก็ถือว่ามีบุญโขแล้ว
พอเห็นแม่เดินใจลอยกลับมา…เขาก็ร้องเรียก
“แม่…”
อาซิ่วจึงรู้สึกตัวว่า ได้เดินกลับมาถึงบ้านแล้ว พยักหน้าฝืนยิ้มกับลูกชายคนรอง
“อายี่ กินข้าวหรือยัง ?”
“อั้วรอกินพร้อมแม่น่ะ” ลูกชายคนรองหรืออายี่ตอบ พลางจุดตะเกียงดวงเล็กๆให้แสงสว่าง
พอที่สองแม่ลูกจะเห็นสิ่งของภายในบ้านได้ แล้วถามว่า “อาลั้งเป็นอย่างไรบ้าง ?”
“อาลั้งไปเมืองไทยแล้ว” อาซิ่วตอบลูกด้วยเสียงแห้งแล้ง
อายี่ได้แต่กลืนน้ำลาย
“ถ้าเรามีเงินไปไถ่ตัว อาลั้งถึงจะได้กลับมา” อาซิ่วเอ่ย
“เงินเท่าไหร่แม่” อายี่ถามไปยังงั้นเอง เขาเองก็ใช่จะหาเงินได้เก่งได้คล่องซะเมื่อไหร่
“แปดสิบเหรียญ”
ได้ยินจำนวนเงินจากมารดา อายี่ถึงกับอุทานเสียงดังลั่น “หา !”
ทั้งสองเงียบไปเป็นครู่…
อายี่จึงทำลายความเงียบขึ้นก่อน
“จำได้ว่า แม่บอก…ตอนขายอาลั้งให้ลุงฮึงกับป้าเง็กนั้น เพียงสิบห้าเหรียญไม่ใช่เหรอ ?”
“ก็ใช่นะ…แต่มีการขายต่อเป็นทอดๆมาถึงบ้านอาเอี้ยอาไน่ตระกูลอึ๊งนี้ ค่าตัวอาลั้งก็เพิ่มจากสิบห้าเหรียญเป็นร้อยเหรียญ”
“หา ?” อายี่อุทานเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะถามมารดาว่า “แม่…ตกลงค่าตัวอาลั้งร้อยเหรียญหรือแปดสิบเหรียญกันแน่”
“คือ…” อาซิ่วนึกลำดับคำพูดให้ฟังเข้าใจง่ายขึ้น ก่อนจะบอกต่อลูกชายคนรอง
“ค่าตัวจริงๆของอาลั้งคือร้อยเหรียญ แต่อาไน่สงสารแม่ ให้เงินแม่ยี่สิบเหรียญ แม่ก็เลยใช้ยี่สิบเหรียญนั้นผ่อนค่าตัวอาลั้ง ตอนนี้ถ้าพวกเรามีเงินแปดสิบเหรียญก็ไถ่ตัวอาลั้งได้”
“อ๋อ…” อายี่พยักหน้า แล้วบอกว่า “แม่…พวกเรากินข้าวต้มกันเถอะ”
แล้วอายี่ก็เอาชามข้าวมา ก่อนจะยกหม้อเทข้าวต้มลงในชามทั้งสองใบเท่าๆกัน ซึ่งระดับข้าวต้มในชามทั้งสองใบมีแค่เจ็ดส่วนเท่านั้น แถมน้ำยังมีมากกว่าเนื้อ
อาซิ่วยกชามของตนขึ้นดื่มน้ำข้าว เหลือเนื้อข้าวก็เทลงในชามของลูกชาย พลางพูดว่า “ลื้อกำลังโต ต้องกินให้มากหน่อย”
“แม่ก็หิวแย่น่ะสิ” อายี่ว่า
“แม่อิ่มแล้ว คนมีอายุกินไม่มากหรอก
ว่าแล้ว…อาซิ่วก็ถือชามของตนออกมา
ที่นางออกมาก็เพื่อให้อายี่กินได้อย่างสบายใจ และตนเองจะได้ไม่เห็นแล้วหิว แล้วแสดงอาการให้ลูกชายรู้
อาซิ่วคิดถึงข้าวสวยที่บ้านอาเอี้ยอาไน่…แล้วนางก็สองจิตสองใจ
การที่อาลั้งไปอยู่เมืองไทยอาจจะเป็นการดีก็ได้ เพราะอย่างน้อยก็ได้กินอิ่ม
แต่อีกใจหนึ่ง…อาซิ่วก็คิดถึงลูกสาวใจแทบขาด
ขณะที่อาซิ่วยืนเหม่อมองหน้าบ้านอยู่นั้น…ก็เห็นเงาตะคุ่มๆเงาหนึ่ง เหมือนจะเดินเข้ามาสักประเดี๋ยวก็ถอยออกไป อาซิ่วจึงตัดสินใจส่งเสียงถาม
“นั่นใครน่ะ ?”
เงานั้นชะงักและเงียบ จนอาซิ่วต้องถามเป็นซ้ำสอง จึงส่งเสียงตอบ
“อั้วเอง…แม่”
เสียงนั้นคืออาตั่วลูกชายคนโตของนาง
“อาตั่ว…ลื้อกลับมาบ้านเหรอ ?”
อาซิ่ว พลางเดินเข้าใกล้เงาร่างนั้น…ภายใต้แสงจันทร์ครึ่งดวงสว่างรางๆ พอให้นาง
มองเห็นลูกชายคนโตของนาง…นางสังหรณ์ใจว่าจะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับอาตั่วแน่ เขาจึงกลับบ้านมาในเวลานี้ !
แต่ด้วยความเป็นแม่…อาซิ่วจึงยังไม่พูดอะไรมาก นอกจากบอกว่า
“เข้าบ้านไปนั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนลูก”
“ครับ”
อาตั่วรับคำแล้วเดินตามแม่เข้าไปในบ้านที่มีความสว่างมากกว่าข้างนอก จึงทำให้เห็นว่าหน้าตาของเขาเขียวช้ำเหมือนถูกใครชกต่อยมา
ทันทีที่เขาก้าวเข้าบ้าน…อายี่ก็ทักว่า
“พี่ใหญ่…ลื้อไปถูกใครเขาต่อยมา”





คำรัก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ม.ค. 2556, 13:04:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ม.ค. 2556, 13:04:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 1476





<< ตอนที่ 12   ตอนที่ 14 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account