ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ

เขา... นายตำรวจหนุ่ม

เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ

ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น

แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ

แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ

ตอน: บทที่ 5 (เผชิญหน้า... 2)

บทที่ 5
(เผชิญหน้า 2)

“สบายใจแล้วสิเราน่ะ”

คุณเปรมเอ่ยปากถามหลานสาวที่ตอนนี้กระดี๊กระด๊า ชะเง้อหน้ามองดูศิวกรกับดลินาที่เต้นรำอยู่กลางฟลอร์อย่างมีความสุข ในมือถือสมาร์ทโฟนกดถ่ายรูปเป็นการใหญ่

“แหม่คุณตาก็ เป็นใครก็ต้องดีใจทั้งนั้นแหละค่ะ หรือว่าคุณตาไม่ดีใจ”

“เรานี่ก็แสบใช่เล่นเหมือนกัน ดึงตามาร่วมกับแผนการนี้ด้วย ดีนะที่ตาเลี้ยงเรามาแต่เล็กไม่อย่างนั้นตาคงตามเราไม่ทัน”

“แสดงว่าคุณตาน่ะ... ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ไงคะถึงได้ตามหลานสาวที่วัยรุ๊นวัยรุ่นอย่างต้อมทัน”

“แก่นจริงๆ เรา”

คุณเปรมหัวเราะให้กับคำพูดของหลานสาวเพียงคนเดียวของเขา ตอนแรกคุณเปรมเองก็แปลกใจเหมือนกันที่อยู่ๆ หลายสาวจอมยุ้งก็มาพูดคุยกับท่านเรื่องแผนการอะไรบางอย่าง แต่เมื่อได้มาพบกับดลินาที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งชุดขาวปกรติยืนพูดคุยกันก็พอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงอย่างไรท่านก็เห็นดลินาเหมือนหลานสาวของท่าคนหนึ่งเหมือนกัน เขาก็ขอตรวจสอบชายหนุ่มว่าดีพอสำหรับหลานสาวคนนี้ของท่านหรือไม โดยที่ศิวกรไม่รู้เลยว่าเขาผ่านด่านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

*******************************************************

เรามาดูอีกด้านหนึ่งกันบ้างดีกว่า ในขณะที่ดลินากับศิวกรออกไปวาดลวดลายบนฟลอร์เต้นรำกันอยู่นั้น รจนากำลังลับฝีปากกับทนงศักดิ์อย่างดุเดือด จนคนรอบข้างเริ่มจะเดินหนีกันไปจนจะหมดอยู่แล้วแล้ว

“นี่คุณ... คิดยังไงถึงได้มางานอย่างนี้เนี่ย ฉันเพิ่งรู้นะว่างานนี้เขาเชิญอุรังอุตังมาร่วมงานด้วย”

“อ้าว!!! ทีเขายังเชิญชิมแพนซีมาร่วมงานได้เลย แล้วทำไมผมจะมาร่วมบ้างไม่ได้ล่ะครับ”

ทนงศักดิ์เน้นไปที่คำว่าชิมแพนซีอย่างชัดถ้อยชัดคำตรงหน้าเธอ รจนาอยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ แต่ก็กลัวจะเสียภาพพจน์ ขืนเธอมายืนเต้นกรี๊ดๆแล้วล่ะก็ คงไม่มีใครกล้ามาให้เธอรักษาอีกเป็นแน่ จึงได้จ้องทนงศักดิ์ตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้าอยู่แล้ว

“โอ้! คราวนี้เปลี่ยนมาเป็นนางอายแล้วหรือครับ... ตาโตเชียว”

รจนามองคนปากมอมด้วยความหมั่นไส้ อยู่ๆ ทนงศักดิ์ก็เงียบไปดื้อๆ ดูเป็นการเป็นงานจนรจนาเองก็ปรับตัวแทบไม่ทัน

“เรื่องลูกน้องผมจะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่ครับ”

รจนานิ่งเงียบเหมือนกำลังใช้ความคิดแกมแปลกใจ เธอไม่เคยเห็นเขาในมาดนี้มาก่อนไม่เหลือเค้าความขี้เล่น ชอบกวนโมโหเลยแม้แต่น้อย

“อาทิตย์หน้าก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้วค่ะ แผลจากการผ่าเอาลูกกระสุนออกเริ่มตกสะเก็ดแล้ว อีกทั้งดาบหาญชัยแกกำลังใจดีเลยหายไว”

ทนงศักดิ์พยักหน้ารับ

“แล้วก้องภพยังตามคุณอยู่หรือเปล่าครับ”

“เขาจะตามหรือไม่ตามฉัน คุณมายุ่งอะไรด้วย”

ทนงศักดิ์เกาหัวยิกๆ ชวนคุยดีๆ ได้ไม่นานคุณหมอสาวก็เริ่มรวนเขาเข้าให้แล้ว

“ไอ้เราก็อยากจะเตือนด้วยความหวังดี”

“ถึงคุณไม่เตือนฉันก็พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”

“รู้ก็ดีครับ คุณจะได้ไม่เพิ่มปัญหามาให้ผม แค่นี้ผมก็จะหงอกหมดหัวอยู่แล้ว”

รจนาตอนแรกก็ไม่ชอบก้องภพอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำเตือนจากทนงศักดิ์ก็เริ่มฉุกคิดเรื่องของลูกชายอดีตนายตำรวจใหญ่ขึ้นมา บวกกับท่าทีของเขาทั้งสองคนที่ปะทะกันในลิฟต์วันนั้นก็พอจะเดาได้ว่ามันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีมากนัก เธอเบนสายตามองไปที่ฟลอร์เต้นรำก็เห็นเพื่อนสวากำลังวาดลวดลายอยู่กับศิวกร ทั้งสองดูมีความสุขเหมือนโลกมีพวกเขาแค่สองคน รจนายิ้มให้กับภาพตรงหน้าที่เห็นเพื่อนรักมีความสุข

“แล้วเพื่อนฉัน จะไม่เป็นไรใช่หรือเปล่าคะ”

รจนาถามทั้งที่สายตาจ้องไปทางดลินาก่อนจะเสไปมองก้องภพที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ฟลอร์ถึงแม้จะกำลังสนทนาอยู่กับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งอยู่แต่สายตาที่คอยเฝ้ามองเพื่อนเธอกับศิวกรทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ ทนงศักดิ์มองตามสายตาของหญิงสาวก็หนักใจเหมือนกัน

“เพื่อนผมเขาไม่ปล่อยให้เพื่อนคุณเป็นอะไรไปหรอกครับ... คุณเองถ้าเป็นไปได้ตัดการติดต่อกับนายก้องภพไว้ดีกว่า”

รจนาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ทนงศักดิ์ผายมือออกเป็นเชิงให้เธอเดินตามเขาไปยังบริเวณที่คนไม่พลุกพล่านมากนัก เพราะต้องการสนทนาเรื่องราวบางอย่าง รจนาเดินตามไปอย่างให้ความร่วมมือ

“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับนายก้องภพบ้าง”

“เท่าที่ทราบมา เขาเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ สส. ท่านหนึ่งอดีตเคยเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มาก่อน ทำธุรกิจส่วนตัวเขาบอกฉันว่าหุ้นกับเพื่อนเปิดสถานบันเทิงน่ะค่ะ”

“แล้วเรื่องหุ้นส่วนของเขาล่ะครับ คุณรู้จักใครบ้าง”

“ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวค่ะ แต่พอทราบมาจากคนที่อยู่ในแวดวงนักท่องราตรีว่าหุ้นส่วนของเขาเป็นลูกชายของนักธุรกิจท่านหนึ่ง... ซึ่งรายนั้นก็ร้ายไม่แพ้กัน เมื่อสองสามวันก่อนได้ข่าวมาว่าหนีไปชุบตัวที่ยุโรปไม่ทราบเหมือนกันว่าไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้”

“พอจะทราบประเทศหรือเปล่าครับ”

“แต่ฉันพอจะรู้จักคนที่สามรถตอบคำถามคุณได้”

“วันนี้เขามาหรือเปล่าครับ”

รจนาส่ายหน้าเป็นคำตอบ เธอเห็นเขามองไปรอบๆ งานเลี้ยงอย่างสังเกต รจนาอดแปลกใจกับผู้ชายคนนี้พอสมควร ไม่คิดว่าเขาจะใจกล้ามาสืบคดีในถ้ำเสือเช่นนี้ ขนาดทนงศักดิ์ยังใจกล้าขนาดนี้เพื่อนของเขาก็คงกล้าไม่แพ้กัน รจนาเริ่มหนักใจแทนเพื่อนสาวที่ดูเหมือนยังไม่รู้ว่าชายหนุ่มที่เธอเต้นรำด้วยกำลังต่อกรกับคนที่ยากจะต่อกรด้วยเข้าให้แล้ว

ทนงศักดิ์แอบมองหญิงสาวตรงหน้าที่ตอนนี้นิ่งเงียบอย่างใช่ความคิด ใบหน้าสวยตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ชุดราตรีอวดแผ่นหลังที่ยืดตรง ผิวใสอย่างคนสุขภาพดีบวกกับการดูแลเอาใจใส่ของเจ้าตัวทำให้ดูเนียนนุ่มน่าสัมผัส บุคลิกของหญิงสาวชวนให้หลงใหลราวกับนางพญา เขาเพิ่งจะสังเกตหญิงสาวดีๆ ก็คราวนี้ เธอสูงเท่าคางของเขาเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถ้าถอดส้นสูงออกก็คงสูงเลยหัวไหล่เขาเล็กน้อยเท่านั้น โดยไม่ทันตั้งตัวคนที่ถูกแอบมองหันมามองเขา เล่นเอาคนกำลังแอบมองสะดุ้งเฮือก

“มองอะไรคะ”

รจนาถามอย่างหาเรื่อง แต่มีหรือที่จำเลยอย่างเจาจะยอมรับผิด

“ไม่ได้มองเสียหน่อย อย่ามาใส่ความผมสิครับ”

“คุณนี้มันกะร่อนตัวพ่อเลยจริงๆ”

“กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ครับคุณหมอ ลื่นเป็นปลาไหลอย่างผมน่ะหายากนะครับ”

ทนงศักดิ์เล่นลิ้นปริ้นตาทำตาโตล้อเลียนรจนา คราวนี้หญิงสาวด้วยความหมั่นไส้ยกสอนิ้วขึ้นมาแล้วจิ้มเข้าไปที่เบ้าตาของทนงศักดิ์อย่างหมั่นไส้ไม่ออมแรง แต่ด้วยสัญชาติญาณการป้องกันตัวเองของมนุษย์เปลือกตาของเขาจึงเลื่อนมาปิดป้องกันดวงตาได้ทัน เขาจึงรอดพ้นจากการตาบอดได้อย่างหวุดหวิด

“โอ้ย!!! คุณ...”

เขาร้องออกมาเสียงดังแล้วเอามือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดตาทั้งสอง

“ใจคอกะจะให้ผมพิการเลยหรือไง”

เขาพูดอย่างโกรธ แต่รจนานั้นยืนหัวเราะในลำคอหน้าเชิดอย่างหยิ่งๆ

“ใช่แล้วจะทำไม”

...สะใจเจ้าค่ะ กล้ามาล้อเลียนฉันหรอ แค่นี้มันยังน้อยไปนะยะ รอดพ้นจากการตาบอดได้ก็นับว่าเป็นบุญของนายแล้วนะ คราวหน้ารับรอง... สูญพันธ์แน่...

ทนงศักดิ์คำรามอยู่ในใจอย่างเจ็บใจ ที่คุณหมอสาวจิ้มตาเขาอย่างไม่ปราณี เขากระพริบตาถี่ๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บนั้น เมื่อเขาสามารถลืมตาได้เต็มที่แล้วนั้น ร่างสูงเพรียวของคุณหมอสาวก็หายไปเสียแล้ว
...หน่อยแน่ะ หนีไปได้นะแม่ตัวแสบ คราวหน้ารับรองฉันเอาคืนเป็นสองเท่า...

“ศักดิ์! ตาแกไปโดนอะไรมา”

เพื่อนร่วมรุ่นของเขาถามอย่างตกใจเมื่อเห็นตาของทนงศักดิ์แดงอย่างเด่นชัด

“โดนเสือตะปบ เสือดุ... หวิดตาบอดไปนิดเดียวเอง”

คิดแล้วก็แค้น ไม่เคยมีใครที่ทำร้ายเขาแล้วหนีรอดไปได้แบบนี้

“เสือ!?”

“ก็เออ... เสือ แกหูไม่ฝาดไปหรอก แสบจริงๆจิ้มเข้ามาเต็มเบ้าตาฉันเลย”

“แล้วแกไปทำอะไรให้คุณหมอเขาโกรธล่ะ”

ศิวกรถามหน้านิ่ง ทนงศักดิ์มองหน้าเพื่อนรักของเขาอย่างอึ้งๆ ทั้งที่ยังไม่ได้เอ่ยนามถึงคนที่ทำให้ตาเขาเป็นแบบนี้เลย แต่ศิกวรรู้ได้ไง ทนงศักดิ์ไม่ได้ตอบได้แต่บ่นอะไรอุบอิบในลำคออยู่คนเดียว

“ว่าแต่แกเถอะ เจ้าหญิงไปไหนเสียแล้วล่ะ”

“เขากลับไปแล้ว”

ว่าแล้วมันก็พานให้นึกถึงการเต้นรำเมื่อสักครู่นี้ เสียงเพลงบรรเลงอ่อนหวาน และเจ้าหญิงผู้เลอโฉมอยู่ในอ้อมแขนของเขา หญิงสาวที่หน้าดงระเรื่อยามเมื่อเขาสบตากับเธอ กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆของสาวเจ้าลอยมากระทบจมูกเขา เขาอยากจะสูดหายใจเข้าไปให้เต็มปอดก็ได้แต่คิด เธอไม่ได้เหยียบเท้าเขาเหมือนอย่างที่ขู่ไว้ในตอนแรก ตรงกันข้ามหญิงสาวเป็นคู่เต้นรำที่เก่งใช้ได้เลยทีเดียว

“อะไรวะ!!! ถามถึงแค่นี้ถึงกับยืนฝันหวานเลยหรือไง จะลอยอยู่แล้ว แต่ทำไมทีฉันมันเป็นฝันร้ายวะ แถมยังหวุดหวิดเป็นคนพิการอีก พูดแล้วก็เจ็บใจไม่หาย”

ศิวกรมองคนเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างระอา แล้วเหมือนฟ้าจะกลั่นแกล้งที่จะมาซ้ำเติมให้เขาเจ็บใจดันโพล่มาตอนนี้

“โอ้โห! ผู้กองศักดิ์ครับ ตาไปโดนอะไรมาครับนั้นแดงแจ๋เลย มองสาวๆมากจนตาแดงเลยหรือครับ”

จ่าดำรงค์พาซื่อ ถามทนงศักดิ์อย่างตกใจแต่ไม่วายที่จะเหน็บเขา

“จ่านั้นปากเหรอนั้น... อยากรู้ใช่ไหมว่าผมไปโดนอะไรมา เดี๋ยวจะสาธิตให้ดู มาจ่าดำยื่นหน้าม่ะ”

ขาดคำเท่านั้นทนงศักด์ก็ยกนิ้วชี้และนิ้วกลางขึ้นมาคู่กัน เตรียมจะจิ้มไปที่เบ้าตาของจ่าดำเพื่อเป็นการสาธิตว่าเขาไปโดนอะไรมา แต่ดูเหมือนว่าปฏิกิริยาการเอาตัวรอดของจ่าดำนั้น ไวกว่าที่ทนงศักดิ์จะจิ้มมาที่เบ้าตาเขาได้ทัน อดีตนักวิ่ง 100 เมตรของกรมตำรวจก็โกยอ้าวไปหลบอยู่ข้างหลังศิวกรแล้วยิ้มแบบแหยๆมาให้ทนงศักดิ์ที่ยืนทำหน้าโหดอยู่

“ไม่ต้องสาธิตแล้วก็ได้ครับผู้กอง ผมพอจะรู้แล้ว แหะ... แหะ...”

“จ่าดำได้เรื่องมาบ้างหรือเปล่า”

ศิวกรถามขึ้นหลังจาดยืนดูสองคนเจ้านายกับลูกน้องทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ จ่าดำรงค์ก็เปลี่ยนฉากมายืนตรงระหว่างศิวกรและทนงศักดิ์เพื่อง่ายต่อการสนทนา ยังไงเขาก็ยังไม่ลืมว่าที่มางานเลี้ยงในวันนี้มาเรื่องงานด้วย เขาไม่อยากทำงานพลาดอีกเดี๋ยวได้ไปนอนในมุ้งสายบัวอีกรอบ โดนสั่งขังคราวที่แล้วก็เข็ดจะแย่ เท่านั้นยังไม่พอกลับไปบ้านยังจะโดน ผู้บังคับบัญชาที่บ้านดึงหูแทบยานอีก

“ครับผม... ได้มาพอสมควร เพราะเท่าที่ผมไปตะลอนๆ เอี้ยวหูฟังชาวบ้านเขาคุยกันรอบงานดูเหมือนว่างานนี้คงหนักเอาการ มันพันกันยุ่งเหยิงไปหมดเลยครับ”

“อืม... ดีมากจ่า”

ศิวกรกล่าวชมลูกน้องคนสนิท ทำให้จ่าดำรงยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิงเลยทีเดียว ไม่บ่อยนักที่เขาจะได้รับคำชมจากศิวกร เพราะส่วนใหญ่จะโดนด่าเสียมากกว่า แต่พอมาเจอคำพูดของคนพานอย่างทนงศักดิ์เข้า ก็ถึงกับหน้าเหี่ยวเลยทีเดียว

“เรื่องสอดรู้สอดเห็นถนัดนักนะจ่า ทีตอนให้ออกความเห็นเงียบเป็นเป่าสาก ระวังให้ดีอีกเถอะอีกหน่อยคงจะสอดไปเจอบาทาใครเขาเข้า”

*******************************************************

ภายในห้องนอนสี่เหลี่ยมไม่เล็กเกินไปไม่ใหญ่เกินไป แสงสลัวๆ จากโคมไฟบนโต๊ะทำงานให้ความสว่างภายในห้อง นาฬิกาแขวนลายขนมเค้กน่ารักที่ตอนนี้เข็มสั้นมาชี้อยู่ที่เลข 1 ของวันใหม่แล้ว แต่เจ้าของห้องยังนั่งชันเขาสงบนิ่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้หน้าต่างมองดูท้องฟ้ายามคำคืน ถึงแม้จะถูกตึกระฟ้ามากมายบดบังความงามนั้น แต่หญิงสาวก็ยังคงนั่งมองอย่างไม่ใส่ใจนัก

นี้ก็เกือบจะ 1 เดือนแล้วที่เขาหายเงียบไปไม่เห็นแม้เงา เขาไม่ได้โพล่มากวนให้เธอหัวใจเต้นแรง ‘เขาหายไปไหน’ คำถามนี้วนเวียนอยู่ห้วงความคิดของเธอตลอดเวลา หรือว่าเขาเบื่อเธอเสียแล้ว ไม่สิ...มันต้องไม่ใช่อย่างนั้น หรือว่าเขาได้รับคำสั่งไปภารกิจสำคัญที่ไม่สามารถบอกใครได้ ใช่แล้วอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้ที่ทำให้เขาหายไปอย่างนี้

หญิงสาวพยายามหาเหตุผลต่างๆ นานามาพูดปลอบใจตัวเองอยู่เงียบๆ แต่ดูเหมือนว่ามันไม่ค่อยจะได้ผลสักเท่าไหร่นัก หญิงสาวพูดพึมพำเบาๆไปบนท้องฟ้าเมื่อหลับตาหยาดน้ำใสก็ไหลรินผ่านแก้มเนียน
“ผู้กองคะ... คุณหายไปไหน”

*******************************************************

เพียงสายลมเอื่อยที่พัดผ่านไปเพียงชั่ววูบ ศิวกรรู้สึกถึงน้ำเสียงเศร้าๆ ของใครบางคนกำลังเรียกเขาอยู่ เขาหันซ้ายหันขวาเพื่อหาที่มาของต้นเสียงนั้น

“เฮ้ย!! ไอ้ศิลาแกเป็นอะไรหรือเปล่าวะ ดูลุกลี้ลุกลนอย่างไรชอบกล”

ทนงศักดิ์กระซิบถามเพื่อนของเขาที่เอาแต่หันซ้ายหันขวาอยู่นั้นอย่างเป็นห่วง

“เปล่าไม่เป็นอะไร แต่รู้สึกเหมือนว่ามีคนเรียกอย่างไรก็ไม่รู้”

“ฮะ...ฮะ... ไอนี้ เพ้อหนักแล้วเว้ย คิดถึงใครมากไปจนหลอนเลยหรือไงวะ”

“หุบปากไปเลย...ฉันรู้ว่าแกหมายความว่าอย่างไร”

ศิวกรตวาดเพื่อนเขาเบาๆ ทำให้ทนงศักดิ์สงบปากสงบคำทันที แล้วก็กลับไปมีสมาธิกับงานที่เขาจะต้องทำอยู่ในขณะนี้ ภายในซอยลึกแห่งหนึ่งแถวชานเมืองหลวง ซึ่งส่วนใหญ่จะมีโรงงานขนาดกลางตั้งอยู่หลายบริษัท เพราะฉะนั้นมันก็ไม่แปลกอะไรที่จะมีโกดังตั้งเรียงรายอยู่มากมาย และโกดังหนึ่งในนั้นก็ถูกใช้เป็นสถานที่ซื้อ-ขาย ‘อาวุธสงคราม’ ที่ลักลอบเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างผิดกฎหมาย

ตำรวจหลายสิบนาย สารพัดหน่วยงานได้ดักซุ้มล้อมบริเวณนั้น รวมทั้งโกดังที่ตั้งอยู่ขนาบข้าง และป่าอ้อที่อยู่ด้านหลังของโกดังก็มีหน่วยจู่โจมพิเศษดักซุ้มอยู่ แผนที่ได้รับการทบทวนมาเป็นอย่างดีถ้าไม่มีเหตุสุดวิสัยงานนี้ก็คงจะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

ทนงศักดิ์และศิวกรกำลังซุ้มอยู่ตรงถังน้ำมันที่ตั้งกองอยู่ใกล้ๆโกดังแห่งนั้น ยิ่งเมื่อใกล้เวลาที่ได้ตกลงไว้ตามแผนประสาทสัมผัสของศิวกรก็ยิ่งตื่นตัว ความเครียดเพิ่มเป็นทวีคูณ เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นตามไรผม ทนงศักดิ์สะกิดเขาเบาๆ เมื่อเห็นว่าหน่วยจู่โจมพิเศษเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

‘ตรงเวลาพอดี’

“เอาล่ะวะ! งานนี้มีเลื่อนขั้นแน่ๆ”

ทนงศักดิ์ผู้ที่ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ไหนก็มีอารมณ์สนุกได้เสมอ ศิวกรมองเพื่อนเขาอย่างยิ้มๆ แล้วปลดเซฟปืนสั้นกึ่งออโตเมติกขึ้นมาเตรียมพร้อม ถ้าหากคนที่พวกเขาต้องการตัวหนีออกมาทางเขาแล้วล่ะก็เขาก็พร้อมที่จะเข้าจับกุม โดยที่ให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด

ตูม!! ตูม!! ตูม!!

เสียงระเบิดที่ดังขึ้นพร้อมกับสปอร์ทไลท์ที่เปิดขึ้น 1 ดวงจากโกดังด้านข้างเพื่อเพิ่มความสว่างให้กับสถานที่ และทำให้สามารถเห็นคนร้ายได้ง่ายขึ้น แต่มันก็เสี่ยงเหมือนกันเพราะคนร้ายก็จะเห็นตำรวจเช่นเดียวกัน
ระเบิดทั้ง 3 ลูกระเบิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งลูกแรกระเบิดหลังคาเพื่อทีจะได้จู่โจมจากด้านบน ตูมที่ 2 ประตูโกดังด้านหน้า และตูมที่ 3 ระเบิดประตูโกดังด้านหลัง แล้วเจ้าหน้าที่ก็กรูกันเข้าไปในโกดัง พร้อมตะโกนสั่งให้คนร้ายวางอาวุธและยอมมอบตัวเอะอะกันจนไม่รู้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร

หลังจากนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นอย่างกับห่าฝน ดูเหมือนว่าคนร้ายจะไม่ยอมจำนนง่ายๆ ศิวกรและทนงศักดิ์ยังคงหลบอยู่หลังถังน้ำมัน ถ้าขืนลุกยืนสุ่มสี่สุ่มห้าอาจจะพลาดโดนลูกหลงเป็นแน่ เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ากระสุนนั้นปลิวไปทางไหนบ้าง

ศิวกรมองผ่านช่องว่างระวังถังน้ำมันไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนวิ่งมายังทางที่เขาดักซุ้มอยู่ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ชาย 2 คนในชุดสีดำวิ่งมาพร้อมอาวุธในมือ กำลังวิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตายพร้อมกับยิ่งโต้ตอบเป็นระยะ ศิวกรประคองปืนขึ้นมาเล็งไปยังขาของผู้ร้ายตรงช่องที่เขาใช้มองนั้นแหละ ทนงศักดิ์เห็นท่าทางของศิวกรที่ยกปืนขึ้นเตรียมยิงก็ตกใจ

“เฮ้ย! นั้นแกกำลังจะทำอะไรวะ”

ศิวกรเงียบไม่ตอบอะไรออกไป เพียงช่วงอึดใจเสียงปืนจากเขาก็ดังขึ้น 4 นัดติด พร้อมกับคนร้ายที่ลงไปนอนไม่เป็นท่าก็ร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวด อาวุธหลุดออกจากมือ ศิวกรรีบลุกขึ้นจากตำแหน่งแล้ววิ่งตรงไปยังจุดที่ผู้ร้ายทั้ง 2 คนนั้นนอนเจ็บอยู่ เขารีบเตะปืนให้กระเด็นออกไปไกลพอที่คนร้ายไม่สามารถเอื้อมถึง แล้วจ่อปืนไปยังคนร้ายคนหนึ่ง ทนงศักดิ์รีบตามมาสมทบพร้อมจ่อปืนไปยังคนร้ายอีกคน ที่ขาของคนร้ายทั้ง 2 มีเลือดไหลออกทั้ง 2 ข้าง

‘แม่นเหมือนจับวาง’ ทนงศักดิ์คิดอยู่ในใจ ไม่ว่าสถานการณ์จะกดดันเพียงใดแต่เพื่อนของเขาก็ไม่เคยพลาด แค่ช่องว่างระหว่างถังน้ำมันเพียงน้อยนิด เขาก็สามารถที่จะลั่นลูกปืนให้ไปโดนเป้าหมายได้ เขารู้ฝีมือเพื่อนคนนี้ของเขาดีแต่ก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้

...เก่งจริงๆ วิธีนี้สามารถหลีกเลี่ยงการปะทะกันโดยตรงได้ และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆก็ต้องมีใครที่ได้ลงไปร้องเพลงพิภพมัจจุราชแน่ๆ...

ศิวกรยังคงเอาปืนจ่ออยู่ที่คนร้ายอยู่อย่างนั้น ส่วนทนงศักดิ์ก็เก็บปืนเข้าซองพร้อมกับจับให้คนร้ายพลิกตัวนอนคว่ำแล้วจัดการรวบแขนมาใส่กุญแจมือทันทีทั้งสองคน เขาจัดการค้นตัวคนร้ายเพื่อหาอาวุธแต่ก็ไม่พบอะไร ศิวกรรายงานผ่านทางวิทยุว่าจับคนร้ายได้สองคนและทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บ

ผ่านไปเกือบ 15 นาทีตั้งแต่เสียงปืนนัดแรกดังขึ้น 15 นาที แต่มันเหมือนนาน 15 วันก็ไม่ปาน และในที่สุดเสียงปืนนั้นก็ได้เงียบสงบลง พร้อมกับเจ้าหน้าที่ที่ดักซุ้มอยู่บริเวณนั้นต่างพากันเข้าเคลียร์สถานที่เกิดเหตุทันที ผู้ต้องหามีทั้งหมด 15 คน ถูกวิสามัญฯ 5 คน บาดเจ็บ 8 คน หนีรอดไปได้ 2 คน ส่วนฝ่ายตำรวจ บาดเจ็บ 6 นาย และบาดเจ็บสาหัสอีก 3 นาย แต่ยังเคราะห์ดีที่ไม่มีใครเสียชีวิตเลย

เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่เสียงปืนสงบลง เหล่ากองทัพนักข่าวก็แห่กันเข้ามายังสถานที่เกิดเหตุเพื่อทำข่าวกันอย่างหนาแน่น แต่ก็ถูกนายตำรวจที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าสกัดกั้นไม่ให้นักข่าวเข้าไปในที่เกิดเหตุ คนร้ายที่ได้รับบาดเจ็บได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงทันที รวมทั้งตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บก็เช่นเดียวกัน ช่างภาพต่างรัวชัตเตอร์กันถี่ยิบ เสียงรายงานข่าวของนักข่าวแต่ละสถานีก็รายงานสถานการณ์อย่างตื่นเต้น

ตำรวจกำลังเข้าเคลียร์สถานที่เกินเหตุ ร่างไร้วิญญาณของคนร้ายตำรวจได้ทำการเก็บภาพลงบันทึกและรวบรวมวัตถุพยานในสถานที่เกิดเหตุ ทนงศักดิ์และศิวกรเดินสำรวจสถานที่เกิดเหตุไปรอบๆ เนื่องจากคดีนี้ผัวผันกับคดีที่เขาทำอยู่

“โหย! ตายกันเกลื่อนแต่ละศพอนาถทั้งนั้น ถ้ามันยอมเสียแต่ทีแรก ก็คงไม่ต้องมาดับอนาถอย่างนี้หรอก”

ทนงศักดิ์มองศพของคนร้ายอย่างสมเพช ศิวกรเองก็คิดเช่นนั้นเขาเดินดูศพแต่ละรายอย่างพิเคราะห์ แล้วก็ต้องไปสะดุดตาเข้ากับศพหนึ่ง

“ไอ้ศักดิ์ แกว่าศพนี้คุ้นๆหรือเปล่าวะ”

“ไหนวะ”

ทนงศักดิ์พูดพร้อมกับเข้าไปนั่งยองๆ เพื่อที่จะได้เห็นหน้าชัดๆ ก็ต้องเบิกตาโพลงอย่างตกใจเมื่อเห็นชัดแล้วว่าร่างไร้ชีวิตนั้นเป็นใคร

“คนนี้...ที่เราเจอที่ไวท์ไวน์ของนายก้องภพนี่ ตายล่ะหว่า... บร๊ะ! สนุกจริงๆ โว้ยงานนี้”

“อย่างน้อยมันก็ทำให้เราได้รู้ว่าต้องจับตามอง และระมัดระวังนายเส้นใหญ่คนนี้ให้ดีๆ”

ศิวกรยืนขึ้นเต็มความสูงของเขา ใบหน้าคมเข้มเครียดตึงขึ้นมาทันที ก่อนจะเดินสำรวจสถานที่เกิดเหตุต่อด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง

*******************************************************

“เมื่อเวลา 2 นาฬิกาที่ผ่านมา ตำรวจได้นำกำลังเข้าจับกุมแก๊งค้าอาวุธสงครามข้ามชาติ....”

ดลินายืนมองโทรศัพท์อย่างไม่เชื่อตาตัวเอง หญิงสาวยืนจ้องตาเบิกโพลงอ้าปากค้าง ภาพข่าวเหตุการณ์เข้าจับกุมการซื้อ-ขายอาวุธสงครามอย่างตกใจ เธอกำลังจะลงไปเตรียมทำขนมเปิดร้านเช่นเดียวกับทุกเช้าเธอต้องมาดูข่าวช่วงเช้าเพื่อตามเหตุการณ์แต่ไม่คิดว่าจะมาเจอข่าวนี้เข้า แล้วหญิงสาวก็อยากจะเป็นลมซ้ำเมื่อเห็นร่างของศิวกรที่กำลังฉุดหนึ่งในคนร้ายที่นอนเอามือไขว้หลังอยู่กับพื้นให้ลุกขึ้นอย่างช้าๆ

ดลินาตอนนี้ไม่มีแก่จิตแก่ใจที่จะทำอะไรแล้วตอนนี้ เธอตั้งใจฟังผู้ประกาศข่าวรายงานข่าวนี้อย่างขวัญเสีย พอภาพตัดไปที่ภาพภายในโกดังดลินาถึงกับเข่าอ่อนเลยทีเดียว ศพของคนร้าย ลูกกระสุนกลื่นไปหมด รอยเขม่าดำ

…นี้เขาไปทำงานที่อันตรายถึงขนาดนี้เลยหรือเนี่ย…

เพราะเหตุนี้หรือเปล่าเขาถึงได้หายหน้าหายตาไปเกือบเดือน นี่เขาต้องไปทำงานเสี่ยงอันตรายขนาดนี้เชียวหรือ เธอรู้ว่าอาชีพที่เขาทำมันเสี่ยงแค่ไหน ดูจากโจรปล้นธนาคารคราวที่แล้วก็รู้ ถึงแม้ว่าศิวกรจะเป็นนายตำรวจมือดีคนหนึ่ง แต่ก็แน่ล่ะมันก็ต้องมีพลาดกันได้บ้างเหมือนกัน

แต่ดูผ่านจากทีวีเขาดูไม่เป็นอะไรมาก ถึงแม้เขาจะดูมอมแมมไปบ้าง แต่มันก็ไม่ได้บดบังความหล่อของเขาไปได้เลย ...ผู้กองนี้ขึ้นก้องเหมือนกันแหะ...

********************************************************

“นี่แก...ใจลอยไปไหนแล้วเนี่ย แล้วจะเป็นอย่างนี้อีกนานหรือเปล่า”

รจนาถามเพื่อนรักอย่างอ่อนใจหลังจากที่นั่งมองมานานเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ก็ไม่เห็นท่าทีว่าเพื่อนเธอจะทำอะไรเป็นการเป็นงานเสียที ตั้งแต่ก้าวแรกที่รจนาย่างก้าวเข้ามาในร้านก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเพื่อนของตนนั่งเอามือเท้าคางมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างร้าน

“ก็คงอีกนาน”

ดลินาตอบน้ำเสียงไร้ชีวิตชีวา ก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะเคาท์เตอร์อย่าไม่ใส่ใจต่อเหตุการณ์ของโลกภายนอกมากเท่าไหร่นัก รจนายืนท้าวเอวมองเพื่อนสาวอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเจ้าหล่อนดี

“สงสัยวันนี้แกคงไม่มีแก่จิตแก่ใจจะทำอะไรแล้วใช่หรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นฉันปิดร้านนะ”
เพื่อสาวถามหยั่งเชิง

“อืม...”

ดลินาตอบทั้งทียังฟุบหน้าอยู่อย่างนั้น รจนาถอนหายใจหนึ่งเฮือกใหญ่แล้วก็เดินไปจัดแจงเอาผ้าม่านลง เหลือไว้แต่ตรงประตูทางเข้าเท่านั้นที่เธอยังไม่ได้ปิด เธอกำลังจะลื่นบานลื่นลงแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างของใครคนหนึ่งกำลังเดินตรงมายังร้าน รจนาจึงเปลี่ยนใจไม่เอาบานเลื่อนตรงประตูหน้าลง แล้วรีบเดินไปหยิบกระเป๋าของตนที่วางอยู่ตรงโต๊ะเคาท์เตอร์พยายามไม่ให้ดลินารู้ตัว แล้วรจนาก็ค่อยๆ ย่องออกมาสวนทางพอดีกับผู้ที่มาใหม่

รจนาเงยหน้ายิ้มหวานให้เหมือนกล่าวทักทาย ก่อนจะเอ่ยวาจาที่ทำให้ผู้มาใหม่ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“กำลังจะกลายเป็นหินแล้วค่ะ ผู้กองช่วยไปกะเทาะหินนั้นออกหน่อยนะคะ ฉันไปล่ะโชคดีนะคะ อ้อ! แล้วอีกอย่างอย่าลืมเอาบานเลื่อนนี้ลงด้วยนะคะ จะได้เป็นส่วนตัว”

พูดจบรจนาก็ทำการเคลื่อนย้ายร่างของตนไปอย่างเร็วโดยที่ไม่ลืมจะส่งต่อแท่งเหล็กที่ใช้เกี่ยวกับบานเลื่อนให้กับเขา ศิวกรมองแท่งเหล็กทีมองหลังของรจนาที แล้วก็หันไปมองหญิงสาวที่นั่งเอาหน้าฟุปอยู่กับท่อนแขนอย่างไม่สนใจใครเลย ร่างสูงก็จัดการเกี่ยวบานเหล็กลงมาจัดการปิดให้เรียบร้อยก่อนจะวางแท่งเหล็กนั้นลงข้างๆประตู แล้วก็เดินตรงไปหาหญิงสาวเจ้าของร้าน ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาฟุบอยู่อย่างไม่สนใจเลยว่าตอนนี้เธออยู่กับใครภายในร้าน



TooMMeng
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ม.ค. 2556, 12:44:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ม.ค. 2556, 12:44:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 1235





<< บทที่ 5 (เผชิญหน้า... 1)   บทที่ 5 (เผชิญหน้า... 3) >>
Auuuu 10 ม.ค. 2556, 19:29:35 น.
น่ารักกกกกกก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account