ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ

เขา... นายตำรวจหนุ่ม

เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ

ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น

แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ

แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ

ตอน: บทที่ 5 (เผชิญหน้า... 3)

บทที่ 5
(เผชิญหน้า 3)

ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ตอนที่นั่งกอดปืนนอนอยู่ในป่าเขาได้แต่นั่งคิดถึงเธอ อยากจะมาหาใจจะขาด หรือไม่ขอเพียงได้มองอยู่ห่างๆ เพียงแค่นี้เขาก็สุขใจแล้ว เพราะเขายังอยู่ในหน้าที่จะทำอะไรตามอำเภอใจก็ไม่ได้ ได้แต่อดทนและรอ แต่มันช่างเป็นการรอที่แสนจะทรมาน เขาเคยพยายามที่จะลืมความต้องการของหัวใจตัวเองแล้วหันมามีสมาธิกับการทำงาน แต่ก็ดูว่าจะยากเสียเหลือเกิน ดูอย่างเมื่อคืนนี้ อยู่ดีๆก็เกิดได้ยินเสียงของคนที่หัวใจเพรียกหาดังเข้ามาในหู

แต่เมื่อเขาได้มายืนอยู่ตรงหน้าเธออีกครั้ง เขากลับรู้สึกปอดขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไม่กล้าเอ่ยทักขึ้นมาก่อน หัวใจเหมือนจะหยุดเต้น รู้สึกปั่นป่วนในท้อง แล้วก็สั่นขึ้นมา เขายิ้มให้ตัวเองอย่างสมเพช เกิดมาเขาไม่เคยเป็นอย่างนี้ ต่อให้เป็นงานที่เสี่ยงอันตรายที่สุดในชีวิตเขาก็ทำได้อย่างไม่มีหวั่น แต่พอมาเรื่องของหญิงสาวตัวเล็กคนนี้ เขากลับกลายมาเป็นคนปอดแหกไปได้พริบตา

ความรู้สึกโหยหาอาทรนี้มันอะไรกัน เขาเองก็ไม่ใช่เด็กน้อยที่จะไม่รู้เดียงสา ว่าตอนนี้เขารู้สึกกับเธออย่างไร แล้วเธอล่ะจะรู้สึกเหมือนอย่างเขาหรือเปล่า มือสีแทนสวยค่อยๆเอื้อมออกไปช้าๆหวังจะได้สัมผัสเส้นผมสีน้ำตาลไหม้ แต่ก็ต้องชะงัก อยู่ๆร่างบางในท่าหน้าฟุบลงกับโต๊ะก็พูดขึ้นมาทำให้คนที่กำลังจะเอื้อมมือลูบผมเธอต้องรีบดึงมือกลับทันที เธอคงไม่รู้หรอกว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ไม่ใช่เพื่อนสาว แต่เป็นคนที่หัวใจกำลังเรียกหาต่างหาก

“นี่หมอแยม... ตอนนี้ฉันรู้สึกทรมานอย่างไรก็ไม่รู้ อยากจะยิ้มแต่ก็ยิ้มไม่ออก โดยเฉพาะตรงหัวใจมันจะเจ็บแปลบขึ้นมาทุกครั้งที่คิดถึงเขา”

ศิวกรชะงักอยู่กับที่เหมือนต้องมนต์ ยืนฟังหญิงสาวพูดเสียงสะอื้นเหมือนกับจะร้องไห้ คราวนี้ต่อให้ช้างมาฉุด เอาลามาลากเขาก็ต้องรู้ให้ได้ว่าคนที่หญิงสาวพูดถึงเป็นใคร ในใจก็ภาวนาขอให้คนคนนั้นเป็นเขาแต่ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็คงจะดีไม่ใช่น้อย

“ฉันอยากเห็นหน้าเขา อยากได้ยินเสียงเขา หรือไม่อย่างน้อยขอได้ยินข่าวของเขาก็พอ ฉันขอแค่นี้มันมากไปหรือเปล่า เมื่อเช้า...ฉันตกใจมากที่เห็นเขาต้องไปทำงานที่เสี่ยงอันตรายขนาดนั้น ฉันกลัว...กลัวว่าจะไม่ได้เห็นเขาอีก กลัวจะเสียเขาไป แกเข้าใจฉันหรือเปล่า”

ประโยคสุดท้ายดังขึ้นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นเพื่อที่จะมองหน้าคู่สนทนา เมื่อหญิงสาวเห็นว่าคู่สนทนาไม่ใช่เพื่อนของตนเธอก็ตกใจอ้าปากค้าง น้ำตาที่ไหลอาบพวกแก้มใสทั้งสองข้างเธอก็รีบเอามือป้ายออกอย่างลวกๆ

ดลินาไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไรดีตอนนี้ ดีใจก็ดีใจ ตกใจก็ตกใจ แถมยังรู้สึกอายเสียด้วยซ้ำ นี่เขาคงได้ยินทุกคำพูดของเธอเป็นแน่ หญิงสาวพยายามปั้นหน้ายิ้มแต่ก็ฝืนเต็มทน ศิวกรเห็นอย่างนั้นแล้วอยากจะเดินเข้าไปกอดร่างบางใจจะขาด

“ผะ...ผู้กองเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ค่ะ ทานอะไรมาหรือยัง จริงสิน้ำ…ต้องเสริฟน้ำก่อน”

เสียงที่กลั้นสะอื้นนั้นกว่าจะกล่าวออกมาได้แต่ละคำมันช่างยากเย็น ดลินาลุกจากเก้าอี้แล้วเดินวนไปวนมาอยู่หลังเคาท์เตอร์เป็นหนูติดจั่น ไม่รู้ว่าจะหยิบจับอะไรก่อนดี มือข้างหนึ่งก็ควานหาแก้วน้ำ อีกมือก็เช็ดน้ำตาที่อยู่ดีๆ ไม่ก็ไม่ยอมหยุดไหลเสียอย่างนั้น

ทันทีที่หญิงสาวหันหน้าเข้าปะทะกับร่างหนาเธอก็ไปอยู่ในอ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่นนั้นแล้ว เขากอดเธอแน่นอย่างปลอบโยน ในช่วงเวลานั้นดลินาไม่มีแรงที่จะขัดขืนได้เลย และอีกอย่างอ้อมกอดนี้เธอก็ถวินหามันเช่นเดียวกัน เธอเองก็กอดเขาตอบเหมือนจะกอดแน่นมากกว่าเขาด้วยซ้ำ เธอซบหน้ากับอกกว้างร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีอายอีกต่อไป

ยิ่งเธอสะอื้นหนักเขาก็ยิ่งรู้สึกเจ็บที่หัวใจน้ำตาอุ่นๆ ของเธอมันทะลุผ่านเสื้อไปสัมผัสกับผิวหนังของเขา เหมือนมันซึมลึกเข้าไปบาดหัวใจเขา เขาไม่รู้จะพูดปลอบเธออย่างไรได้แต่ถ่ายทอดความรู้สึกผ่านวงแขนเท่านั้น นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ร่างบางร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของเขา เขากอดเธอแน่นขึ้นโยกตัวเบาๆเหมือนปลอบโยนเด็กน้อย

เมื่อเสียงสะอื้นนั้นเริ่มลดลงมันเหมือนยกภูเขาออกจากอก ศิวกรก็ค่อยๆเชยคางมนนั้นขึ้นอย่างช้าๆ หน้าใสๆที่มีแต่คราบน้ำตา ตากลมโตแดงเหมือนตากระต่าย เขาค่อยๆใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำตาออกให้อย่างแผ่วเบา ...ผู้หญิงคนนี้ ร้องไห้ได้น่าสงสารจริงๆ...

ทุกการกระทำของเขามันช่างอบอุ่นและอ่อนโยนขัดกับบุคลิกที่คูแข็งกร้าวอย่างสิ้นเชิง หญิงสาวได้แต่มองหน้าของชายหนุ่มในใจก็ได้คิดแต่ว่า ‘ใช่เขาจริงจริงๆหรือเปล่า เธอไม่ได้ฝันไปแน่นะ’ เธอค่อยยกมือที่สั่นเท่าลูบใบหน้าเขาช้าๆ ชานหนุ่มลื่นมือมาจับมือเธอที่แนบอยู่ตรงแก้มเขาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะยกมันขึ้นมาสัมผัสที่ริมฝีปากอย่างแผ่วเบา แล้วเอาไปกุมไว้ตรงที่หัวใจของเขาตั้งอยู่

“ร้องไห้ทำไม ตาบวมหมดแล้ว”

เสียงทุ้มกระซิบถามอยู่ข้างๆหูของเธอ

“เพราะคุณนั้นแหละ เป็นเพราะคุณที่ทำให้ฉันต้องร้องไห้”

หญิงสาวเอามือทุบบึกเข้าไปที่อกกว้างอย่างแรงอ่างไม่กลัวว่าเขาจะเจ็บ แต่มันก็ไม่เท่ากับคำพูดของหญิงสาวที่มันเจ็บเสียยิ่งกว่าโดนทุบเสียอีก

“ผมขอโทษ”

“ดีแล้ว... รู้ตัวว่าผิดก็ดีแล้ว คราวหน้าจะได้ไม่ทำอีก”

ว่าแล้วหญิงสาวก็ซัดเพี๊ยะเข้าไปอีกหนึ่งที ครั้งเดียวก็ไม่เจ็บเท่าไหร่แต่เมื่อโดนอีกครั้งเขาก็เริ่มเจ็บแล้วเหมือนกัน นางเอกของเราเธอไม่รู้ตัวเลยหรือว่า ตัวเองกำลังเสียเปรียบอย่างถึงที่สุดตราบใดที่เธอยังอยู่ในอ้อมแขนของเขาเช่นนี้

"ทำอะไร! ผมทำอะไรผิด”

ชายหนุ่มพูดปนหัวเราะเล็กน้อย ตอนแรกก็อยากจะดุเธอเหมือนกันที่อยู่ดีๆมาทุบเขา แต่เมื่อรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้เธอต้องร้องไห้เป็นเพราะ เขารู้สึกดีใจเสียด้วยซ้ำเพราะมันทำให้เขารู้ว่า หญิงสาวก็แคร์เขาเหมือนกัน

“ก็คุณเล่นหายหน้าหายตาไปเกือบเดือน ไม่มีแม้กระทั้งโทรศัพท์มาบอกว่าคุณหายไปไหน ไม่มีข่าวเลย รู้ไหมว่าฉันคิดถึงคุณมากแค่ไหน ฉันร้องไห้เกือบทุกคืน แล้วเมื่อเช้าฉันเห็นคุณทางทีวีว่าคุณไปทำอะไรมา ฉันแทบจะเป็นลมตายเลยคุณรู้บ้างหรือเปล่า”

ความน้อยใจบวกกับความโกรธทำให้หญิงสาวพูดรัวไม่หยุดหายใจกว่าจะพูดจบก็เล่นเอาหอบเหมือนกัน แถมยังทำเก่งทุบเข้าไปที่หน้าอกของร่างหนาอีกที เมื่อเงยหน้าขึ้นมาแทนที่จะเห็นสีหน้าที่โกรธของชายหนุ่ม กลับเห็นรอยยิ้มและสายตากรุ้มกริ่มแทน

เท่านั้นแหละร่างบางถึงกับหน้าแดงแป๊ด แล้วเอามือปิดปากตัวเองเหมือนนึกขึ้นได้ว่าพลาดท่าเข้าเสียแล้ว ก็เธอเล่นบอกความในใจไปเสียหมดอย่างนั้น พอรู้ว่าพลาดก็พยายามจะหาทางถอยไปตั้งหลักแต่ก็ได้แต่คิด เพราะอ้อมแขนที่ล็อคแน่นนั้นไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆเสียด้วย...ลูกไก่เดินมาอยู่ในกำมือเองแล้วแท้ๆ มีหรือจะยอมปล่อยง่ายๆ...

“นี่คุณ...ปล่อยฉันนะ”

ดลินาดิ้นคลุกคลักอยู่ในอ้อมแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามนั้นสุดชีวิต แต่ยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นอีก

“ผมยังไม่ปล่อย มาคุยให้รู้เรื่องก่อน”

“คุณกอดฉันอยู่อย่างนี้จะไปคุยรู้เรื่องได้ไง ปล่อยฉันก่อนสิ”

หญิงสาวต่อรอง

“ไม่ปล่อย อยู่แบบนี้ผมว่าคุยกันรู้เรื่องกว่านะ แล้วถ้าคนที่อยู่ในอ้อมแขนผมเกิดดื้อขึ้นมา ผมจะได้ทำโทษได้ง่ายๆหน่อย และวิธีทำโทษของผมรับรองว่าคงทำให้เด็กดื้อต้องหยุดดิ้นได้แน่ๆ”

ดลินาขนลุกซู่เพราะเสียงกระซิบข้างหูมันช่างเซ็กซี่เสียเหลือเกิน ได้ผลชะงักร่างบางนิ่งทันที ศิวกรยิ้มออกมาอย่างพอใจ แต่หญิงสาวกลับทำปากขมุบขมิบเหมือนกำลังจะบริภาษคาถาสาปแช่งใครอยู่ เขายิ้มบางๆก่อนจะคลายแขนออกจนกลายเป็นโอบที่เอวแทน เพื่อว่าจะได้เห็นหน้ากันชัดๆ

“เอาล่ะครับ ไหนบอกผมทีว่าที่ร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่เนี่ยเป็นเพราะผมอย่างนั้นหรอ”

“ใครบอกคุณ ฉันไม่ได้ร้องไห้เพราะคุณสักหน่อย”

หญิงสาวตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มปาก

“อะไรกันไม่ใช่เพราะผมหรอกหรอ ก็คุณสารภาพออกมาจนหมดเปลือก แล้วยังทั้งทุบ ทั้งด่า ก็นึกว่าคิดถึงมากก็เลยทุบเสียเต็มรัก”

“บ้า! บ้า! บ้า! คุณอย่าพูดเองเออเองอย่างนั้นสิ มันไม่จริงสักหน่อย ไหนล่ะหลักฐาน”

“หรือว่าคุณอยากเห็น เดี๋ยวผมถอดเสื้อให้คุณดูก็ได้”

ไม่พูดเปล่าศิวกรปล่อยดลินาออกจากอ้อมแขนถอนเสื้อนอกออก แล้วเตรียมจะถอดเสื้อยืดที่สวมทับอยู่ข้างในออก ชายเสื้อที่เลิกขึ้นมาจนเห็นกล้าที่หน้าท้อง แต่ดลินาก็เข้ามาห้ามไว้เสียก่อน หน้านี้แดงจนไม่รู้จะแดงอย่างไรแล้ว

“นี่คุณจะบ้าหรอ มาถอดเสื้อต่อหน้าผู้หญิงได้ยังไง”

“อ้าว...ก็ผมจะให้คุณดูหลักฐานที่คุณทุบผมน่ะสิ”

คราวนี้เขาทำท่าจะถอดจริงๆ ดลินาเลยตีมือเขาแรงๆเหมือนเป็นการบอกให้หยุด

“พอๆ ไม่ต้องแล้วก็ได้ ฉันไม่อยากเห็น”

พูดจบก็ถอยร่นไปตั้งหลักให้พ้นรัศมีของชายหนุ่ม ถ้าคราวนี้พลาดท่าโดนเขารวบไปอยู่ในอ้อมแขนอีกครั้ง เลือดกำเดาเธอได้ไหลออกมายลโลกแน่ๆ แค่เมื่อกี้ก็แข้งขาอ่อนหมดแล้ว แต่ก็พยายามฝืนเต็มที่ ไม่อย่างนั่งตัวเองก็คงลงไปนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นเป็นนางเอกละครพื้นบ้านแน่

ศิวกรมองหญิงสาวตาแดงจากการร้องไห้ถอยล่นไปตั้งหลักห่างจากเขาอีกฝั่งของเคาท์เตอร์อย่างขำขัน รอยยิ้มปรากฏบนหน้าหลังจากที่แทบไม่ปรากฏขึ้นเลยตลอดเวลาเกือบหนึ่งเดือน ผู้หญิงคนนี้มักทำให้เขายิ้มและหัวเราะได้เสมอ เธอมองเขาตาขุ่น ยืนเอามือกอดอกอย่างหาเรื่องเพราะตอนนี้เธอไม่ได้เสียเปรียบเขาแล้วหนิ

“คุณยิ้มทำไม”

ร่างบางพูดเหมือนชวนทะเลาะเต็มที่

“ผมไม่ได้ยิ้มเสียหน่อย”

เขาตอบปฏิเสธแต่หลักฐานมันปรากฏหลาอยู่บนหน้าของเขาอย่างชัดเจน หญิงสาวทำปากขมุบขมิบ เหมือนท่องบริกรรมคาถาอยู่คนเดียว ชายหนุ่มทำท่าจะเดินออกมาจากหลังเคาท์เตอร์ แล้วก็เหมือนอย่างที่คิด คนตัวเล็กตั้งท่าถอยหนีเขาทันที เขาเดินออกมาจากหลังเคาท์เตอร์ แล้วมานั่งลงยังเก้าอี้หน้าเคาท์เตอร์แทน แต่ดลินาไปยืนอยู่อีกฝากตรงข้ามกับเขาเรียบร้อยแล้ว ทำอย่างกับเขาเป็นเชื้อโรคที่น่ารังเกียดอย่างนั้นแหละ
“ทำไมคุณต้องถอยห่างอย่างนั้นด้วยล่ะ

เขาดูมีท่าทีที่ผ่อนคลายมากกว่าหญิงสาว

“ก็คุณน่ะ... ไม่น่าไว้ใจน่ะสิ ขืนไปอยู่ใกล้แล้วฉันโดนแบบเมื่อกี้อีกจะทำอย่างไรล่ะ”

หญิงสาวพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง หน้าก็ก็รู้สึกเห่อๆขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้

“เมื่อกี้คุณเป็นคนซบผมเองนะครับ”

“แต่คุณเข้ามากอดฉันก่อนหนิ”

ว่าแล้วก็อยากจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี อายแบบสุดๆไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะพลั้งปากพูดเรื่องที่หน้าอายออกไปได้ แต่คนที่ถูกกล่าวหาว่า ‘เป็นคนที่เข้าไปกอดเธอก่อน’ กลับยิ้มยิงฟันออกมาอย่างไม่สะทกสะท้านเลย ดูพอใจเสียด้วยซ้ำ

“ไม่ต้องมายิ้มเลยนะ คุณน่ะผิดเต็มประตู”

“อ้าว!! ผิดก็ผิด ผมคงเถียงสู้คุณไม่ได้หรอก แต่ผมยอมให้กับคุณแค่คนเดียวเท่านั้นนะ”

เขาพูดพร้อมกับส่งสายตาซึ้งๆมาให้เธอ

...โอ้ย!!! เขานี่เสือซ่อนเล็บชัดๆ เห็นหน้าเข้มๆขรึมๆอย่างนี้ บทจะหวาน ก็หวานซะน้ำตาลอายเลย แต่ก็น่ารักไปอีกแบบแหะ...

“ผมไม่ได้เจอคุณตั้งเกือบเดือน ขอผมดูหน้าคุณชัดๆ หน่อยได้หรือเปล่าครับ”

เปลี่ยนอารมณ์เร็วเสียจริง... เขาพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หญิงสาวเตรียมอ้าปากจะด่าเขา แต่ก็ทำไม่ลงเมื่อเจอสายตาที่ว้าวอนขอร้องได้อย่างน่าสงสารแถมยังมีความน่าหมั่นไส้ซ้อนอยู่ลึกๆ ดูเหมือนหญิงสาวจะลังเลเล็กน้อย ใจหนึ่งก็บอกว่า

...อย่าเข้าไปติดกับดักของเขาเชียวนะเมื่อกี้ไม่เข็ดหรือไง เดี๋ยวก็ได้แข้งขาอ่อนอีกหรอก...

อีกใจก็อยากจะเข้าไปลูบใบหน้าคมเข้มนั้นใจจะขาด แต่ก็ไม่กล้า ศิวกรนั่งมองหญิงสาวที่กำลังอยู่ในห้วงของความคิด คิ้วขมวดเข้าหากันจนจะเป็นโบว์อยู่แล้วอย่างเอ็นดู เขาลุกจากเก้าอี้ทรงสูงที่หน้าเคาท์เตอร์เดินตรงเข้าไปหาเธอ ก่อนจะจูงมือเธอเบาๆ เดินกลับไปที่เก้าอี้หน้าเคาท์เตอร์อีกครั้ง คราวนี้ดลินาพยายามที่จะขัดขืนเขาแต่อยู่ดีๆก็ไม่มีแรงจะขัดขืนเสียอย่างนั้น มันเหมือนมีพลังอะไรบางอย่างที่ผ่านมือหนานั้น มันชวนให้เธอคล้อยตามเขาเสียเหลือเกิน

เขาอุ้มเธอตัวลอยขึ้นไปนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างทะนุถนอม ก่อนจะปัดผมที่ลงมาปรกหน้าเธอไปทัดหูอย่างแผ่วเบา ทุกการกระทำของเขามันฉันนุ่มนวลจนทำให้เธอเคลิบเคลิ้ม ตาสบตา ไม่ต้องมีคำพูดใดๆแล้วในตอนนี้ทั้งสองก็สามารถเข้าใจกันและกัน

******************************************

“แหม...ผู้กองครับ เมื่อวานยังหน้าบึ้งเป็นตูดลิงอยู่เลย ไม่ทราบได้ “ยาใจ” ดีหรือครับ วันนี้ถึงได้หน้าบานมาเชียว”

นั้นเป็นคำทักทายแรกที่เขาย่างเท้าก้าวเข้ามายังสถานที่ทำงาน เสียงเพื่อนตัวดีของทักได้ประชดประชันเสียจริง ศิวกรตอนแรกก็เดินเข้าที่ทำงานอารมณ์ดีอยู่แท้ๆ ก็เปลี่ยนกลับมาสวมหน้ากากยักษ์อีกครั้ง

“ไอ้ศักดิ์ อยากไปนอนให้คุณรจนาเอาเข็มมาฉีดมากเลยใช่หรือเปล่าวะ ทักทายได้วอนบาทามาก”

“อย่านะเว้ย... ไม่งั้นฟ้องคุณข้าวจริงด้วยนะเว้ย”

ทันทีที่เอ่ยนามของหญิงสาวขึ้น ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นถึงกับร้องออกมาอย่างประหลาดใจระคนหยอกล้อ

“ผู้กองศิลามีแฟนแล้วหรือครับ สาวๆ แถวนี้คงอกหักกันเป็นแถว”

เสียงนายดาบคนหนึ่งที่นั่งดื่มกาแฟอยู่แถวนั้นถามขึ้นอย่างเป็นกันเอง เพราะรู้ดีว่านายของเขาคนนี้ถึงจะดูน่ากลัว และเคร่งขรึม แต่เมื่อถึงเวลาก็คุยเล่นกับเขาเป็นเหมือนกัน

“นั้นสิดาบ ผมก็ว่าสาวๆ คงหายไปบานเลย แล้วคราวนี้ใครจะเอาขนมนมเนยมาให้เรากินอีกล่ะ”
เสียงนายตำรวจอีกคนพูดขึ้น

“ผมจะบอกให้นะ แฟนของผู้กองศิวกรคนนี้นะ น่ารักมาก ขนาดผมเองเจอครั้งแรกเห็นแล้วยังเคลิ้มเลย สวยอย่างกับนางฟ้า”

จ่าดำรงค์พูดผสมโรงขึ้นเพื่อสร้างสีสันให้กับที่ทำงาน ดูผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาแต่ละคนจะดูครื้นเครงกว่าทุกวัน เพราะว่าวันนี้เป็นวันแรกที่พวกเขาสามารถคุยเล่นได้โดยไม่กลัวศิวกรเลย ปรกติพวกเขาจะกล้าๆ กลัวๆ แต่พักหลังๆ มานี้พวกเขาเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมเขาดูจะลดความเคร่งขรึมลงและพูดเล่นกับพวกเขามากขึ้น

นั้นยิ่งสามารถความนิยมตัวเขาในหมู่ลูกน้องจึงเพิ่มขึ้นเรื่อย ถ้าถามเรื่องน้ำใจแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงน้ำใจนักกีฬาสุดๆ แต่อย่างไรผู้กองศิวกรก็ยังเป็นผู้กองศิวกรอยู่วันยังค่ำ งานคืองาน เล่นคือเล่น และลูกน้องของเขาต่างก็เคารพในกฎข้อนี้

“วันนี้ครื้นเครงกันจริงนะ ได้ยินแว่วๆ ว่าศิวกรมีแฟนแล้วหรือ”

เสียงท่านผู้กำกับที่เดินขึ้นที่ทำงานมาหมาดๆ ทันได้ยินบทสนทนาเมื่อสักครู่ก็ไม่วายขอเข้าร่วมแจมด้วย นายตำรวจทุกนายที่อยู่บริเวณนั้นลุกขึ้นทำความเคารพผู้มาใหม่ทันที

“ตามสบายไม่ต้องเกรงใจผม วันนี้ดูทุกคนจะอารมณ์ดีกันเหลือเกินนะ”

นายใหญ่แห่งสถานีตำรวจผู้ทักทายลูกน้องอย่างเป็นกันเอง

“จะไม่ให้อารมณ์ดีได้อย่างไรครับนาย ก็มีใครบางคนเขากำลังอินเลิฟอยู่น่ะสิครับ รังสีความรักมันแผ่ออกมา”

ทนงศักดิ์พูดอย่างอารมณ์ดี แต่คนที่ถูกพาดพิงกลับหน้าตึงขึ้นเรื่อยๆ

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ มีข่าวดีเมื่อไหร่ก็บออกผมด้วยแล้วกันนะ”

ท่านผู้กำกับพูดกับศิวกร เขาก็ได้แต่ตอบรับคำเบาๆ แล้วท่านผู้กำกับก็ทำลายบรรยากาศครื้นเครงนั้นทันทีด้วยเรื่องที่ชวนให้แต่ละคนหน้านิ่วคิ้วขมวดกันเป็นแถว

“เมื่อวานผมได้ข้อมูลที่น่าสนใจมา เพราะฉะนั้นเตรียมตัวให้พร้อมอีก 30 นาทีไปพบผมที่ห้องประชุมด้วย เพราะเราจะเดินหน้า”

ท่านผู้กำกับพูดจบก็เดินตรงไปยังห้องทำงาน ผู้ใต้บังคับบัญชาลุกขึ้นทำความเคารพ

“เอาแล้วไง... งานนี้คงได้มีการเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงแน่ๆ”

“มันก็ไม่แน่ ถ้าเกิดไม้ซุงข้างในมันกลวง อะไรมันก็เกิดขึ้นได้”

ศิวกรพูดจบก็เดินกลับไปยังห้องทำงานของตน เตรียมพร้อมกับคำสั่งใหม่ที่จะออกมาในไม่อีกอึดใจข้างหน้า

******************************************

“พวกตำรวจมันรู้เรื่องการส่งของได้ไง... บอกมา”

ภายในห้องทำงานของสถานเริงรมย์ “ไวท์ไวน์” เสียงตะโกนลั่นจากปากชายหนุ่มเจ้าของร้าน ดังขึ้น พร้อมกับสิ่งของอะไรก็ตามที่สามารถใช้มือเดียวถือได้บินไปบินมาว่อนห้อง ลูกน้องเขาแต่ละคนต้องคอยหลบสิ่งของเหล่านั้นก็ให้วุ่น

“ตอบมาสิวะ!!!”

เขาตะโกนถามอีกครั้งเพราะกับตบโต๊ะดัง ปัง!! อย่างโกรธจัด แล้วก็มีผู้กล้าเป็นตัวแทนตอบคำถามนั้น ด้วยอาการที่สั่นเหมือนเจ้าเข้า

“ไม่ทราบเหมือนกันครับนายว่าพวกมันรู้ได้อย่างไง”

“ไม่รู้... ไม่รู้งั้นหรอ ไอ้พวกไม่ได้เรื่อง!!”

แล้วคนที่อยู่ใกล้มือสุดก็กลายเป็นผู้โชคร้าย... ฝ่ามือของก้องภพฟาดเข้าไปเต็มหน้าถึงกับกระเด็นลงไปกองที่พื้น ต้องใช้คนถึงสองคนฉุดให้ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล

“พวกมึงไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง สักแต่ว่าทำกันหรือไง แล้วกูจะเสียเงินจ้างพวกมึงทำไม เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ”

แล้วก็คว้าเอาแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะขว้างผ่านลูกน้องของเขาไปกระทบกับพนังอย่างแรง ก็จะแตกเป็นเสี่ยง จนลูกน้องแต่ละคนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา

พวกเขารู้ดีว่า... ดูจากภายนอกแล้วเจ้านายของเขาบุคลิกเขาออกจะสุภาพเรียบร้อย แต่มันก็เป็นแค่เพียงเปลือกนอกเท่านั้น แต่ว่าข้างในจริงๆแล้ว เขาเป็นเสือร้ายที่มากไปด้วยอำนาจ เจ้าชู้ได้อย่างน่ากลัว เห็นชีวิตคนอื่นเป็นผักปลา เย็นชาและไร้ปราณี เพราะเขาทะนงตนว่าตัวเองลูกของอดีตนายตำรวจใหญ่ และปัจจุบันก็เป็นถึง สส. ผู้ทรงอิทธิพลอีก จึงเห็นว่ากฎหมายเป็นเพียงเศษฝุ่นเท่านั้น

“ไปสืบมาว่าใครมันกล้าทรยศหักหลังคนอย่างก้องภพ ลากคอมันมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นพวกแกเองนั้นแหละที่จะต้องเจ็บตัว ไป!! ออกไปให้หมด!!”

เขาตะโกนลั่นอีกครั้ง คราวนี้ลูกน้องเขารีบสลายตัวออกไปจากนอกห้องของเขาทันที ทิ้งให้ก้อภพยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่กลางห้องเพียงลำพัง เขาตบโต๊ะลงอีกครั้ง ก่อนจะกวาดทุกสิ่งทุกอย่างบนโต๊ะให้ลงไปกองกับพื้นด้วยความกราดเกรี้ยว

“โธ่เว้ย!!!”

“ไอ้ศิวกร ไอ้ทนงศักดิ์ พวกแกกับฉันไม่มีทางที่จะอยู่ร่วมโลกกันได้หรอก ศิวกร แกจะต้องชดใช้ในสิ่งที่แกทำลงไป แกจะได้รับตอบแทนอย่างสาสม คอยดู”

แล้วภาพในงานเลี้ยงการกุศลก็ปรากฏขึ้นในสมอง รอยยิ้มกระหยิ่มยิ้มย่องก็ปรากฏบนในหน้าที่บิดเบี้ยวไปด้วนความแค้น

“ดี! แกกล้าทำลายการค้าของฉัน ฉันจะเล่นให้แกแสบไปถึงทรวงเลย”

เขาพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างหัวเสีย อาฆาตแค้น

******************************************

ประตูห้องประชุมได้เปิดออกอีกครั้งหลังจากปิดไปนานถึง 5 ชั่วโมง มันช่างเป็นการประชุมที่แสนโหดและตรึงเครียด บรรยากาศครึกครื้นเมื่อเช้าได้หายไปไม่หรือเคล้าเลย ศิวกรและทนงศักดิ์เดินออกมา ก่อนจะถูกรั้งไว้ด้วยเสียงของท่านผู้กำกับ

“ผู้กองศิลา เดี๋ยวคุณไปพบผมที่ห้องทำงานด้วยนะ”

“ครับผม”

ถึงเขาจะสงสัยว่าท่านผู้กำกับจะเรียกเขาไปพบเรื่องอะไร แต่ก็ต้องรับคำไปโดยไม่ปริปากถามสักคำ แล้วท่านผู้กำกับก็เดินจากไป

“สงสัยคงมีงานสำคัญให้แกทำอีกแล้วมั้ง”

ทนงศักดิ์พูดออกความเห็น ศิวกรยังคงยืนเงียบไม่พูดอะไร แล้วก็เดินตรงไปยังห้องทำงานของท่านผู้กำกับตามคำสั่ง ยังไม่ทันที่ศิวกรจะเดินไปถึงห้องทำงานของท่านผู้กำกับ ประตูก็เปิดเหมือนเขารู้ว่าศิวกรกำลังเดินมา เขาเดินเข้าไปในห้องโดยที่ไม่ลืมปิดประตูตามหลัง

“ไม่ทราบว่าเรียกผมมามีเรื่องอะไรหรือครับ”

เขายืนตรงถามเสียงเรียบ

“นั่งลงก่อนสิ”

“ครับ”

เขารับคำก่อนจะเดินมานั่งลงยังเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับท่านผู้กับ

“ที่ผมเรียกคุณมาพบครั้งนี้เพราะอยากจะเตือนอะไรคุณบางอย่าง”

ท่านผู้กำกับหยุดทิ้งช่วงไปสักพักก่อนจะเอ่ยวาจาต่อ

“คุณคงรู้ดีว่างานนี้นายก้องภพต้องเสียหายไปไม่ใช่น้อย และนี้ก็เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่คุณสามารถเข้าไปสกัดกั้นการค้าอาวุธสงคราม ผมอยากจะให้คุณระวังตัวให้มากขึ้น อย่าประมาท ผมได้สั่งให้คนคอยเฝ้าแม่ของคุณ ตลอด 24 ชม.ไว้แล้ว เพราะกลัวว่านายก้องภพจะเล่นไม่ซื่อ”

“ครับ”

ศิวกรรับคำเสียงเรียบ ไม่มีอาการตกอกตกใจแต่อย่างไร เขากลับรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้านายเขาเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าท่านผู้กำกับเป็นนายตำรวจที่ตรงคนหนึ่ง และยังเป็นที่เคารพนับถือของเขาเป็นอย่างมาก

“ต่อจากนี้ไปคุณต้องระวังทุกฝีก้าว ห้ามประมาทโดยเด็ดขาด เพราะหลังจากนี้คุณจะเป็นเป้าหมายต่อไปที่พวกมันจะเล่นงาน และคืนนี้ คุณออกไปตรวจพื้นที่ด้วยนะโดยเฉพาะ ‘ไวท์ไวน์’ อย่าให้พวกนั้นรู้ตัว ”

“ครับผม”

เขายืนตรงรับทราบคำสั่ง แล้วรับซองเอกสารจากท่านผู้กำกับที่ภายในเต็มไปด้วยข้อมูลสำคัญๆ

“งั้น...ก็เชิญตามสบายเลยนะผู้กอง”

“ครับผม ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวครับ”

เขาทำความเคารพท่านผู้กำกับก่อนจะเดินออกไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง

******************************************

เสียงเพลงที่เปิดชวนให้เต้นกระจายดังอื้ออึ้งจนปวดหู กับผู้คนมากมายบนฟลอร์เต้นรำก็เต้นกันอย่างสุดเหวี่ยง กลิ่นควันบุหรี่ลอยคุ้งเหม็นเต็มไปหมด แต่ดูเหมือนเหยี่ยวราตรีทั้งหลายจะไม่สนใจมันเท่าไหร่นัก

ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งดื่ม พร้อมกับโยกหัวเบาๆ คลอกับคนตรีไป เขาไม่ชอบที่มีเสียงอึกทึกอย่างนี้เท่าไหร่นัก แต่ด้วยหน้าที่แล้วก็ต้องฝืนใจทำ เขานั่งอยู่ตามลำพังสักพักก็มีหญิงสาวในชุดเกาะอกสีดำสวมทับด้วยเสื้อคอคว้านลึกสีขาว กางเกงยีนต์ตัวสวยพอดีตัวเดินมานั่งลงเก้าอี้ข้างๆเขา ในมือก็ถือแก้วที่มีน้ำสีอัมพันอยู่ ดูท่าจะเมาได้ที่ด้วยซ้ำสายตาหล่อนที่ดูเชิญชวนเปิดเผยออกมาอย่างเต็มที่ หล่อนเอาหน้าซบลงบนไหล่หนาของเขาอย่างออดอ้อน

“มาคนเดียวไม่เหงาหรือคะ อยากจะไปร่วมวงกับพวกเราหรือเปล่า”

เจ้าหล่อนบุ้ยหน้าไปยังโต๊ะที่พวกเธอนั่งอยู่ แต่ละคนก็ดูจะเมามายไม่ได้ต่างอะไรไปจากหญิงสาวที่นั่งเบียดเขาอยู่ขณะนี้

“หรือว่าอยากจะไปกับฉันเป็นการส่วนตัวก็ได้”

หล่อนพูดเสียงกระซิบที่หูของเขา แต่มันกลับไม่มีประโยชน์อะไรเลย ชายหนุ่มดูจะไม่สนใจเสียด้วยซ้ำ หญิงสาวเริ่มหน้าเบ้ด้วยความขัดใจ ไม่เคยมีใครปฏิเสธเธอมาก่อน แล้วนี่เขาเป็นใครกันกล้ามาปฏิเสธเธอได้
ถึงแม้ว่าแสงไฟในร้านจะสลัว แล้วก็มีไฟหลากสีเปิดแวบๆตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถมองหน้ากันได้อย่างชัดเจน แต่เธอแน่ใจว่าเขาคนที่เธอกำลังนั่งคุยอยู่นี่จะต้องหล่อแน่ๆ ก็ดูจากข้างหลังเขาออกจะแมนขนาดนั้น แล้วเดี๋ยวนี้ผู้ชายแท้ๆยิ่งหายากอยู่ด้วย มีหรือที่เธอจะปล่อยให้หลุดมือไป

“ผมว่าคุณกลับไปนั่งรวมกับเพื่อนของคุณจะดีกว่านะครับ”

“ไม่...ฉันพอใจที่จะนั่งอยู่ตรงนี้ ใครจะทำไม”

หญิงสาวพูดอย่างถือดี นี้สงสัยคงเป็นลูกคนใหญ่คนโตถึงได้กล้ามาวางอำนาจแบบนี้ ชายหนุ่มเหลือบตามองเธออย่างระอา ก็จะลุกขึ้นเดินหนีไปยังเคาท์เตอร์เพื่อจะสั่งเครื่องดื่ม แล้วเพื่อเป็นการหนีให้พ้นจากเหยี่ยวราตรีสาวคนนั้น

วันนี้เขาปลอมตัวอย่างประณีตที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาแต่งให้ดูเหมือนพวกเพลย์บอย ถึงภายนอกจะดูเพลย์บอยแต่นิสัยเขานี้แหละที่ทำให้เป็นเพลย์บอยตามไปด้วยไม่ได้เสียที นี้อาจจะทำให้พวกของก้องภพสงสัยได้ แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะในเมื่อใจมันไม่ให้

เขามาหยุดยืนเท้าแขนตรงเคาท์เตอร์สั่งเครื่องดื่มที่ต้องการ ก่อนจะเอี่ยวหลังหันไปมองรอบๆสถานบันเทิงแห่งนั้น แล้วก็มีชายสองคนเดินมายังเคาท์เตอร์ สั่งเครื่องดื่มก่อนจะมีบทสนทนาที่ทำให้ศิวกรสนใจขึ้นมา

“เมื่อวานนั้นได้ดูข่าวหรือเปล่าวะ เห็นคุณชายท่านฉุนน่าดูเลย สะใจเป็นบ้า”

“อย่างนี้ลูกค้าคงหมดความน่าเชื่อถือไปเยอะเลย แต่เห็นมันว่างานหน้าคงไม่พลาดอีก แต่ฉันว่าก็คงไม่แคล้วหรอกว่ะ”

“กูก็ว่า... แล้วเมื่อกี้นี้ อาศัยว่ามันเมาก็เลยบอกมาหมดเปลือกเลย เห็นมันจะเอาคืนไอ้ตำรวจที่ไปขัดขวางการส่งของของมันเมื่อวันก่อน แล้วรู้ไหมมันจะทำยังไง”

“เอ็งก็บอกมาสิวะ มัวแต่ลีลาอยู่นั้นแหละ”

ชายคนหนึ่งพูดอย่างัวเสียใส่เพื่อนของเขา

“มันบอกว่ามันจะไปลงกับผู้หญิงของไอ้ตำรวจตนนั้นน่ะสิ มันเพิ่งจะสั่งคนให้เตรียมไปจับตัวเมื่อกี้นี้เอง แม่งมันเล่นโคตรแมนเลยว่ะ แค้นผู้ชายแต่จะไปลงกับผู้หญิง หน้าตัวเมียจริงๆ ฮะๆๆฮะๆ…”

ทั้งสองคนนั้นหัวเราะลั่นอย่างถูกอกถูกใจ ก่อนจะชนแก้วกันดวลสุรากันต่อไป ศิวกรยืนฟังคำสนทนาเหล่านั้นตัวเย็นหน้าชา เขารีบวางแก้วที่ถืออยู่ในมือลงทันที ก่อนจะเดินแหวกฝูงชนไปอย่างทุลักทุเล ตอนนี้ใจของเขาแล่นไปถึงใครคนนั้นที่กำลังจะกลายเป็นเป้าหมายในการแก้แค้นเขาทันที เขากำลังทำให้เธอเดือดร้อน... เขารู้ว่าคนระดับก้องภพ แค่จะสืบหาใครสักคนมันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงเขาเลย

เขากำลังจะเดินฝ่าดงมนุษย์ไป แต่เกือบจะถึงประตูอยู่แรงแต่ก็ต้องหยุดลง เพราะคนที่ยืนขวางหน้าเขาอยู่นั้นคือหญิงสาวเมื่อสักครู่นี้ สายตาของหญิงสาวดูพออกพอใจ และอยากได้ยามมองเขา มันทำให้เขารู้สึกสมเพชเวทนา

“คุณจะรีบร้อนไปไหน ขอฉันไปด้วยคนสิ”

“เสียใจด้วยครับ และคุณช่วยหลีกผมหน่อย”

“ฉันไม่หลีก”

น้ำเสียงกระด้างตอบกลับมาอย่างท้าทาย แต่สายตากลับหวานเหยิ้มเพราะพิษสุรา

...ยืนก็จะไม่ตรงอยู่แล้ว ยังมาใจกล้าอีก เป็นผู้หญิงที่น่ากลัวจริงๆ...

เขาถอนหายใจก่อนจะเดินเลี่ยงเธอมาพยายามทำให้มันสุภาพที่สุด แต่ก้ดูเหมือนว่าเขาจะเดินชนเธอเสียมากกว่า หญิงสาวร้องกรี๊ดออกมาอย่างขัดใจ ก่อนจะกระทืบเท้าเดินตึง...ตึง...ตึง เหมือนเด็กเล็กๆที่ถูกตามใจจนเคยตัว ก่อนจะสะบัดหน้าเดินกลับเข้าไปในร้านอีกครั้ง

******************************************

ศิวกรเดินออกมาจาก “ไวท์ไวน์” ด้วยอาการรีบร้อนกึ่งวิ่งกึ่งเดิน ทันทีที่เขาถึงรถเขารีบถอดอุปกรณ์การปลอบตัวออกไปทันที ก่อนสตาร์ทรถขับออกไปด้วยความเร็ว เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ของหญิงสาวที่ป่านนี้คงหลับอยู่บนเตียงอย่างมีความสุข แต่สิ่งที่ได้รับกลับมา เป็นเสียงบริการรับฝากข้อความอัตโนมัติ เพราะหมายเลขที่เรียกนั้นไม่สามารถติดต่อได้

เขากดหมายเลขอยู่หลายรอบแต่เสียงของปลายสายก็ยังคงเหมือนเดิม ก่อนจะเปลี่ยนหมายเลขต่อสายไปยังเพื่อนของเขาแทน เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังอยู่นานกว่าปลายสายจะรับ เสียงงัวเงียอย่างคนเพิ่งตื่นกรองใส่โทรศัพท์

“ว่าไงไอ้ศิลา... โทรมาไม่รู้เวลาเลยนะเว้ย นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”

ทนงศักดิ์พูดเสียงอย่างหัวเสีย

“หุบปากก่อนได้หรือเปล่าไอ้ศักดิ์ แล้วฟังฉัน... คุณข้าวกำลังจะโดนไอ้ก้องภพมันเล่นงาน”

“เฮ้ย!!! หมายความว่าไงนะพูดเป็นเล่นไป”

เสียงปลายสายตอบอย่างตกใจ ตื่นเต็มตาน้ำเสียงหายงัวเงียไปทันที

“ใครเขาจะไปพูดเล่นกันวะ ตอนนี้ฉันกำลังขับรถจะไปหาคุณข้าว แกตามฉันไปทีหลังด้วยพาคนไปด้วยนะ งานนี้คงไม่ใช่เล่นๆ”

เขาพูดจบก็วางสายลง ก่อนตาจะจับจ้องไปยังถนนตรงหน้าแล้วเร่งความเร็วขึ้นจนเกือบจะถึงเลข 130 อยู่แล้ว ในใจก็ภาวนาขออย่าให้เธอเป็นอะไรไปเลย ถ้าเธอเป็นอะไรเขาจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเป็นอันขาด

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-

สวัสดีค่ะ หุหุ... ขอบพระคุณที่ติดตามอ่นกันนะคะ ไม่ค่อยได้มีโอกาสทักทานทุกท่านเลย

และก็ขอให้สนุกกับจินตนาการของผู้แต่งนะคะ



TooMMeng
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ม.ค. 2556, 13:23:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ม.ค. 2556, 13:23:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1519





<< บทที่ 5 (เผชิญหน้า... 2)   บทที่ 6 (หนีตาย... 1) >>
Auuuu 11 ม.ค. 2556, 13:47:22 น.
คุณข้าวระวังด้วยเน้อ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account