ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ

เขา... นายตำรวจหนุ่ม

เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ

ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น

แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ

แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ

ตอน: บทที่ 6 (หนีตาย... 1)

บทที่ 6
(หนีตาย 1)

ร่างบางในชุดนอนเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสะดุ้งตื่นอย่างตกใจ เพราะเสียงโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะคอมพิวเตอร์ดังขึ้นอย่างกะทันหัน คนเมาขี้ตาหันไปหยิบนาฬิกาตั้งโต๊ะมาดูก็รู้ว่าล่วงเข้าสู่วันใหม่มาได้ 1 ชั่วโมงแล้ว แต่เมื่อตั้งสติได้ก็รีบลุกขึ้นจากเตียงไปรับโทรศัพท์ด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียว… ใครโทรมาวะ ไม่รู้เวลาเลย เดี๋ยวแม่จะด่าให้เละเลย

ดลินารีบลงจากเตียงปรี่ไปที่โต๊ะ มองโทรศัพท์อย่างจะกินมันเข้าไปทั้งเครื่อง อารมณ์หงุดหงิดของคนที่ถูกปลุกจากฝันหวานก็ปะทุขึ้น พอกดรับสายได้ก็เท่านั้น สารพัดคำที่นึกขึ้นได้ก็ใส่ไม่ยั้ง

“ใครน่ะ... รู้ไหมว่ามันกี่โมงแล้ว บ้าบอคอแตกที่สุดเลย โทรมาได้ยังไงตอนตีหนึ่ง แล้ว...”

ยังพูดไม่ทันจบ เสียงปลายสายก็สวนขึ้นมาก่อนที่เธอพรั่งพรูคำที่เกิดจะรับได้ออกมา เมื่อเธอได้ยินเสียงจากคิ้วที่ขมวดเข้าหากันด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียว ก็เปลี่ยนมาเป็นตาโตเป็นไข่ห่านด้วยความตกใจ

“ผู้กองเองหรือคะ มีธุระอะไรหรือเปล่า”

จากเสียงที่แข็งกระด้างกลายเป็นเสียงอ่อยทันที...ตายแล้ว เสียภาพพจน์ที่อุตส่าห์สร้างมานานไปหมดแล้ว คะแนนตกพอดีฉัน...

“คุณข้าว เปิดประตูด้านหลังร้านให้ผมที ตอนนี้ผมอยู่ที่หลังร้านของคุณ”

เสียงหอบหายใจของปลายสายพูดขึ้นอย่างรีบร้อน ระคนตื่นตระหนก

“ทำไมหรือคะ!? เกิดอะไรขึ้น?”

หญิงสาวถามอย่างตกใจ ถ้าไม่มีเหตุเขาคงไม่มาหาเธอกลางดึกอย่างนี้

“คุณข้าว... มาเปิดประตูให้ผมก่อน แล้วผมจะอธิบายให้คุณฟัง”

แล้วเขาก็กดตัดสายไปทันที ดลินามีท่าทีงงงวง และเริ่มจะใจไม่ดีขึ้นมาแล้ว ในใจก็สังหรณ์ว่ามันต้องมีเรื่องอะไรที่ร้ายแรงมากๆแน่ เขาถึงได้มาหาเธอตอนนี้ เธอรีบวางหูโทรศัพท์ลงก่อนจะเดินไปเปิดประตูหลังร้าน

เมื่อประตูแง้มขึ้นชายหนุ่มก็รีบแทรกตัวเข้าไปในร้านทันที พร้อมกับรุนหลังของหญิงสาวให้ตามเขามาในร้าน ร่างบางดูมีท่าทีที่ตระหนก แต่ศิวกรกลับรู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังคงปลอดภัย แต่ถ้าไม่รีบไปตอนนี้เธออาจเป็นอันตรายจริงๆก็ได้

“มีอะไรหรือเปล่าคะ”

หญิงสาวถามเสียงสั่นหน้าซีด เขาค่อยๆยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาจับที่ไหล่ทั้งสองข้างของหญิงสาวจนแน่น พร้อมกับก้มตัวลงเพื่อที่จะได้สบตากับเธอตรงๆ

“คุณจะต้องไปกับผมเดี๋ยวนี้ เพราะว่าคุณกำลังจะได้รับอันตราย”

“อะไรนะคะ!!”

หญิงสาวถามเสียงสูงอย่างตกใจ เขาจับไหล่เธอแน่นขึ้นจนเธอเริ่มจะเจ็บแล้ว แต่ก็ไม่กล้าโวยวายไป

“มีคนกำลังจะมาทำร้ายคุณเพราะต้องการจะแก้แค้นผม แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริงผมยอมไม่ได้ ผมยอมให้มันมาทำร้ายคุณไม่ได้”

หญิงสาวจ้องเข้าไปในดวงตาคมกล้าอย่างค้นหาคำตอบ แต่เมื่อเธอจ้องตาเขาก็เห็นสายตาที่อ้อนวอนขอร้อง เธอจะต้องตัดสินใจว่าจะเชื่อเขาดีหรือไม่ แต่เมื่อดูจากทีถ้าตื่นตระหนกของชายหนุ่มแล้ว เขาคงไม่ล้อเธอเล่นแน่ๆ ร่างบางเอื้อมมือมาจากมือแข็งแกร่งของคนตัวโต

“ถ้าอย่างนั้นเราไปกันค่ะ”

หญิงสาวพูดจบก็กึ่งจูงกึ่งลากศิวกรออกปากหลังร้านทันที ทั้งสองวิ่งตรงไปยังรถที่ศิวกรจอดไว้อยู่ แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีรถกระบะสีดำทะมึนที่กระบะหลังมีคนนั่งอยู่ 3 คน มาจอดขวางทางหน้ารถของศิวกรพอดี ทั้งสองต้องเปลี่ยนทิศทางการวิ่ง หนึ่งในสามคนนั้นเห็นทั้งสองเข้าก็บอกให้พวกของตนให้วิ่งตามหญิงสาวผู้เป็นเป้าหมาย

“เฮ้ย!! มันอยู่นั้น ตามเร็ว”

สามคนนั้นก็วิ่งตามคนทั้งคู่ คนตัวเล็กรู้สึกกลัวกับเหตุการณ์ที่น่าหวาดผวาแบบนี้เป็นครั้งแรก เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตนเองจะต้องหนีการตามล่า เธอรู้สึกกลัว กลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มือเล็กกระชับแน่นมือหนา ดลินารับรู้ได้ถึงแรงบีบจากคนตัวโตดั่งเป็นคำสัญญาว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะไม่มีปล่อยมือนี้เป็นอันขาด

เพราะความที่ดลินาเป็นผู้หญิงถึงทำให้วิ่งเร็วมากไม่ได้ ศิวกรจึงต้องผ่อนความเร็วลงเพื่อให้หญิงสาวตามทัน ดลินาชี้ไปที่ซอยที่อยู่ข้างหน้าให้ศิวกรวิ่งเข้าไป เพราะว่าในซอยนั้นมีตรอกเล็กตรอกน้อยแยกย่อยออกไปอีกและแต่ละตรอกก็สามารถทะลุถึงกันได้หมด

การที่ดลินาเป็นเจ้าถิ่นก็ต้องรู้ทางหนีทีไล่ทั้งหมด ดังนั้นถ้าวิ่งเข้าตรอกนู้นออกตรอกนี้ก็น่าจะสลัดพวกนั้นหลุดได้ เธอชี้นิ้วแทนการพูดเพราะว่าเธอเหนื่อยมากจนพูดไม่ออก แล้วความเร็วก็เริ่มที่จะลดลงเรื่อยๆ ถึงแม้จะออกกำลังกายด้วยการวิ่งเป็นประจำ แต่ก็เป็นเพียงการวิ่งเหยาะเท่านั้น เมื่อต้องวิ่งด้วยความเร็วเป็นเวลานานแรงก็เริ่มตก

เธอวิ่งเข้าตรอกนั้นออกตรอกนี้ จนศิวกรงงไปหมดแล้วแต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวยังคงชี้ต่อไปอย่างมั่นใจ วิ่งวนเป็นวงกลมแต่ก็ยังสลัดเจ้าพวกที่วิ่งตามไม่หลุดเสียงทีพอวิ่งทิ้งห่างเพียงไม่นานก็ตามมาทัน

เหนื่อยใจแทบขาดแต่ก็หยุดวิ่งไม่ได้ เธอเงยหน้ามองดูหน้าด้านข้างของเขาเลยน้ำตาก็เริ่มจะเอ่อขึ้นมา เธอรู้ตัวว่าตัวเองกำลังเป็นตัวถ่วงเขาอยู่ ถ้าไม่มีเธอเขาคงจะหนีรอดไปได้ตั้งนานแล้ว เธอสลัดมือของเขาออกสุดแรง หยุดวิ่งยืนหอบตัวโยน สายตาจ้องเขา ศิวกรต้องหยุดวิ่งแล้วหันมามองหญิงสาวที่ตอนนี้ยืนหายใจแรงอยู่อย่างฉงน

“ผู้กองคะ... คุณไปต่อเถอะ ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว”

หญิงสาวที่เริ่มจะถอดใจแล้วพูดกลั้นสะอื้น ศิวกรรีบเดินมาจับมือเธอแล้วจ้องเข้าไปในดวงตากลมโตที่เริ่มจะแดงขึ้นอย่างปลอบโยน

“ผมจะทิ้งคุณไปก็ต่อเมื่อหัวใจผมหยุดเต้นไปแล้วเท่านั้น”

ทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของเขาอย่างหนักแน่นและจริงจังทุกคำ ทำให้น้ำใสๆ ไหลออกมาอาบแก้มด้วยความปราบปลื้มใจ เสียงฝีเท้าของคนที่วิ่งไล่ตามมาห่างๆ เริ่มดังขึ้นเลื่อยๆ ศิวกรต้องตัดสินใจแล้วว่าจะหนีไปทางไหนต่อดี แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นตรอกเล็กๆ ที่เขาและเธอสามารถหลบได้

ที่ตรอกนั้นมีตู้เย็นเก่าทรงสูงตั้งขวางทางอยู่ แต่ก็พอมีช่องว่างเพียงพอที่จะให้ผู้ชายตัวโตตะแคงตัวผ่านเข้าไปได้ เขารีบรุนหลังหญิงสาวให้เข้าไปก่อน ดลินาผ่านเข้าไปได้สบายแต่ศิวกรค่อนข้างลำบากเพราะตัวเขาแทบจะพอดีกับช่องว่างนั้น เมื่อทั้งคู่ผ่านช่องทางเล็กๆ นั้นมาได้ ศิวกรรีบฉุดหญิงสาวมานั่งซ้อนอยู่ข้างหน้า

ร่างหนากอดร่างบางไว้แน่นจนชิดกับอกกว้างอย่างปกป้อง เขาหายใจแรงแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด แต่หญิงสาวนี้สิทั้งหอบ ทั้งเหนื่อย เธอเอามือทั้งสองข้างยกขึ้นมาปิดปากของตัวเองเอาหน้าผากชนกับอกกว้างเพื่อกลั้นเสียงหายใจของตัวเองไม่ให้ดังออกมา เขามองการกระทำของหญิงสาวก่อนจะกระชับอ้อมกอดนั้น ไออุ่นจากตัวเขาทำให้หญิงสาวเริ่มจะสงบลง เสียงฝีเท้าของคนที่วิ่งไล่ทั้งคู่มาหยุดอยู่สักครู่เหมือนจะพักให้หายเหนื่อย

“มันหายไปไหนแล้ววะ ไอซอยบ้านี่ก็อย่างกับเขาวงกต งงเป็นบ้า”

หนึ่งในพวกนั้นพูดขึ้นเสียงดูจะห้วนๆ ก่อนจะออกวิ่งต่อไป ทั้งสองเงียบเพื่อจะได้ยินเสียงของพวกนั้นได้ชัด เมื่อเสียงฝีเท้าเริ่มเบาลงจนไม่ได้ยินแล้ว เขาถึงถอนใจออกมาอย่างโล่งอก เขาก้มลงมองหญิงสาวที่ซุกอยู่ตรงอกเขาอย่างเอ็นดู ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูของเธอ

“อย่าส่งเสียนะครับ เดี๋ยวพวกมันจะรู้ตัว”

ร่างบางพยักหน้ารับไม่ส่งเสียอะไรออกมาตามที่ชายหนุ่มบอก เขาเกือบหลุดหัวเราะออกมา แต่ต้องฝืนเอาไว้ แต่ปากนี้สิยิ้มจนจะฉีกอยู่แล้ว แล้วเขาก็สูดกลิ่นหอมจากเรือนผมของหญิงสาวเข้าไปเต็มปอด

ดลินายังคงซุกหน้าอยู่ตรงอกเขาไม่ยอมเงยหน้า มือก็กำเสื้อของเขาแน่น ไม่รู้ว่าเขาจะไปโกหกเธอทำไมกัน แต่เขาอยากจะอยู่กับเธอให้นานอีกนิด มองด้วยตาดูเหมือนว่าหญิงสาวจะดูตัวบางแต่ว่าเมื่อเขาได้กอดเธออย่างนี้ ก็ต้องรบคำครหานั้นไปทันที ใครจะไปคิดล่ะว่าคนตัวเบาอย่างเธอน่ะนุ่มจะตายไป เหมือนได้กอดตุ๊กตายัดนุ่นในสมัยเด็กๆเลย

*****************************************

นี้มันก็นานแล้วแต่ทำไมพวกมันยังไม่ไปเสียที หญิงสาวเริ่มจะหวั่นๆใจกลัวว่าพวกนั้นจะหาเธอพบ หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาก็สบเข้ากับสายตาระยิบระยับของชายหนุ่มเข้า แล้วเธอก็รู้สึกว่าหน้ามันจะร้อนๆ ขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้ แต่เธอก็รู้สึกผิดสังเกตบางอย่าง เพราะแถวนั้นไม่เห็นจะมีใครเลยนอกจากเขาและเธอ บรรยากาศภายนอกก็เงียบจนผิดปรกติ...ไหนเขาบอกว่าพวกมันอยู่แถวนี้ไง...

แล้วเธอก็เหมือนจะลำดับเหตุการณ์ได้ถูก ก่อนจะเงยหน้ามองคนเจ้าเล่ห์แล้วทุบอั๊กเข้าไปที่หน้าอกเขาหนึ่งที ชายหนุ่มถึงกับจุกเลยทีเดียวก่อนจะใช้มือหนึ่งขึ้นมาลูบหน้าอกตัวเองเบาๆ

“โอ้ย!!! คุณมาทุบผมทำไม มือก็ใช่เบา ถ้าหน้าอกหน้าใจผมช้ำขึ้นมาจะทำไงล่ะ”

เขาพูดเสียงเบาเหมือนเสียงกระซิบ

“ก็คุณนั้นแหละมาโกหกฉัน ไหนบอกว่าพวกมันยังอยู่แถวนี้ไง แต่พอฉันเงยหน้าขึ้นมานะ เงียบกริบเหมือนไม่มีใครอยู่เลย มันน่าทุบไหมล่ะ”

“อะไรกันคุณรู้แล้วหรือ แหม...น่าเสียดาย”

เขากระเซ้าเย้าแหย่หญิงสาวอย่างลืมสถานการณ์ไปแล้วว่าเมื่อสักครู่พวกเขาเกือบจะไม่รอดอยู่แล้ว

“แล้วนี้คุณจะกอดฉันอีกนานไหมเนี่ย ปล่อยฉันได้แล้ว”

เธอตีไปที่ไหล่เขาอีกที ก่อนจะใช่มือทั้งสองข้างยันอกเขาไว้

“ปล่อยไม่ได้ครับ เพราะเดี๋ยวมันจะสังเกตเห็นคุณเข้า ตู้เย็นนี้ก็ใช่ว่าจะใหญ่พอจะบังเราสองคนมิด คุณนั่งอยู่บนตักผมอย่างนี้แหละดีแล้ว แล้วอีกอย่างผมก็ไม่อยากปล่อยคุณด้วย”

เธอก็เริ่มอ่อนใจเมื่อได้ฟังเหตุผลของเขา แต่เมื่อว่าเจอคำที่พูดต่อท้ายเข้าเหตุผลที่มีน้ำหนักเหล่านั้น ก็มลายหายไปทันที เธอเงื้อมือเตรียมซัดเข้าไปอีกหนึ่งตุ้บ แต่ก็ถูกมือใหญ่รั้งไว้ก่อนจะจุ๊ปากเหมือนบอกให้เธอเงียบเสียง คราวนี้สีหน้าของเขาจริงจังเธอจึงยอมหยุดการกระทำลง

เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งมาหยุดลงตรงหน้าตรอกที่พวกเขาหลบอยู่นั้น ศิวกรค่อยรั้งหญิงสาวเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง พยายามทำตัวเล็กที่สุดในชีวิต เขาชะโงกหน้าออกไปช้าๆ พอเห็นชาย 3 คนยืนเท้าเอวอยู่ตรงหน้าตรอกนั้นก่อนจะรีบชักหน้ากลับมาทันที

“พวกมันอยู่แถวนี้ คุณพยายามอย่าส่งเสียงนะ”

เขากระซิบแทบไม่มีเสียงหลุดลอดออกมาบอกเธอ ดลินาก็ยกมือขึ้นปิดปากพยักหน้ารับคำ แล้วเขาก็หันไปสนใจการสนทนาของทั้ง 3 คนนั้นต่อ

“มันหายไปไหนกันแล้ววะ ไวอย่างกับลิง”

“อีกอย่างซอยนี้โคตรงงเลยว่ะ เมื่อกี้ก็หลงตั้งนาน”

“แล้วเราจะเอาไงกันต่อ ถ้าจับไม่ได้พวกเรานี่แหละที่จะซวย”

“ก็ต้องหาต่อจนกว่าจะเจอ หรือพวกเอ็งจะกลับไปรับลูกกระสุนจากนายหรือไงวะ”

“แยกย้ายกันไปดีกว่า ถ้าใครเจอก่อนก็ส่งข่าวกันด้วย”

ทั้งสามคนพูดตกลงกันก่อนจะแยกย้ายกันออกตามล่าคนทั้งสอง

*****************************************

ดลินาค่อยๆ ลดมือลงแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอเงยหน้าคนตัวใหญ่ที่นั่งนิ่งมองเธอ เนื่องจากตรงตรอกนั้นค่อนข้างมืดทำให้เธอเดาสีหน้าของเขาไม่ออกว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่

“คิดอะไรอยู่หรือคะ”

เธอถามทั้งที่ยังนั่งอยู่บนตักของเขา ตาต่อตาประสานกัน

“ขอบคุณสวรรค์ที่ผมได้พบคุณก่อนที่พวกนั้นจะเจอคุณ”

เขาพูดเสียงนุ่ม อ้อมกอดของเขามันช่างอบอุ่นเหมือนอ้อมกอดของแม่เธอไม่มีผิด เธอมักจะรู้สึกอบอุ่น และปลอดภัยเสมอเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของแม่ แต่ทว่าเธอได้สูญอ้อมกอดนั้นไปแล้ว และคิดว่าเธอจะได้อ้อมกอดที่อบอุ่นนั้นกลับมาอีกครั้ง

“และก็ขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้ผมได้มารู้จักกับคุณ”

เหมือนมีกระแสไออุ่นไหลวงอยู่รอบๆคนทั้งคู่ ทั้งสองต่างไม่สามารถละสายตาไปจากกันได้เลย เหมือนพวกเขาได้ถูกตรึงให้อยู่ในห้วงแห่งความฝัน และถ้าเป็นอย่างนั้นก็ขออย่าได้ตื่นขึ้นจากฝันเลย

เขาค่อยบรรจงประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากกลมมลอย่างแผ่วเบา หัวใจเต้นแรง ก่อนจะกระชับอ้อมแขนกอดร่างบางอย่างรักใคร่ ส่วนหญิงสาวเองเหมือนต้องมนต์สะกด ความรู้สึกปราบปลื้ม และดีใจ ริมฝีปากบางแย้มขึ้นเล็กน้อยอย่างพอใจ

เสียดายที่สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่บรรยากาศที่โรแมนติกอย่างที่เธออยากจะให้เป็น แต่แค่นี้มันก็เกินพอแล้ว เท่านี้ก็พอแล้วจริงๆ

“เราออกไปจากที่นี่กันเถอะครับ อยู่นานกว่านี้ผมกลัวว่าพวกนั้นจะเจอเราเข้า”

ชายหนุ่มบอกกับหญิงสาวในที่สุด เธอก็พยักหน้าเบาๆก่อนจะค่อยลุกขึ้นจากตักเข้าช้าๆไม่โพลงพลาง เขาชะโงกหน้าออกมาดูว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใคร เขาค่อยจูงมือหญิงสาววิ่งออกไปจากที่ซ่อนทันที

*****************************************

หลังจากพ้นปากซอยมาแล้ว เขาก็รีบพาเธอวิ่งไปยังรถโฟร์วิวไดร์ฟสีแดงเลือดหมูกลางเก่ากลางใหม่ของเขาที่จอดอยู่ไม่ห่างจากร้านของเธอ รถกระบะสีดำคันนั้นยังคงจอดอยู่ที่เดิม แต่ไม่เห็นมีคนขับอยู่ตรงนั้นเลย สัญชาติญาณของเขากำลังบอกว่ามันดูผิดปรกติเสียแล้ว ...หรือนี่จะเป็นกับดัก...

เขามองไปรอบๆบริเวณนั้นแต่ก็ไม่เห็นใครเลย หันไปมองหญิงสาวที่ยืนหอบอยู่ข้างๆ แล้วหางตาก็เหลือบไปเห็นเงาลางๆ อยู่หลังตู้ไปรษณีย์กำลังเล็งปืนมาทางพวกเขา

ปัง!! ปัง!! ปัง!! ปัง!!

เสียงกระสุนที่ดังขึ้น 4 นัดติด ทำให้เขาฉุดเธอเข้ามาในอ้อมกอดก่อนจะเบี่ยงตัวเพื่อจะได้บดบังร่างของหญิงสาว เขาเอาตัวเองเป็นโล่รับกระสุนแทนเธอ แล้วทั้งคู่ก็ล้มลงไปนอนอยู่ที่พื้น กลิ่นคาวเลือดของใครบางคนลอยมาถูกจมูกของเธอ

หญิงสาวมองคนตัวใหญ่ที่เอามือลองศีรษะเธอป้องกันการกระแทกกับพื้นซึ่งนอนทับอยู่บนตัวเธอ น้ำสีแดงข้นคลักไหลออกมาจากไหลซ้าย และหลังของเขา ทำให้หญิงสาวตาเบิกกว้าง น้ำตาไหลออกมาทันที เธอร้องตะโกนเรียกเขา

“ผู้กองคะ!! ผู้กอง!!! ผู้กอง!!!!”

เธอเขย่าร่างที่ไร้สติของเขาอย่างแรงเพื่อให้เขาลืมตาขึ้นมา แต่ก็ไม่เป็นผล เธอค่อยๆ ยันร่างตัวเองให้นั่งขึ้นก่อนจะประคองศีรษะของเขาขึ้นมาพาดไว้บนตักอย่างระมัดระวัง ตัวของเขานอนคว่ำลงกับพื้นทำให้เห็นว่าเขาถูกยิง 2 นัด น้ำสีแดงข้นเริ่มซึมออกมาให้เห็นชัด... หญิงสาวเห็นแล้วใจจะขาด

“ใครก็ได้ ได้ยินฉันหรือเปล่าตามรถพยาบาลให้ที ช่วยตามรถพยาบาลให้ที ใครก็ได้...ตามให้ที”

หญิงสาวตะโกนสุดเสียงเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ เสียงสะเอื้อนไห้พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอย่างไม่ขาดสายมองร่างไร้สติของชายหนุ่มใจแทบสลาย

“ตามรถพยาบาลหรือจ๊ะคนสวย คงไม่ได้หรอกเพราะน้องต้องไปพบเจ้านายของพี่เสียก่อน”

ชายคนที่ลั่นกระสุนใส่ศิวกรนั้นฉุดแขนเธอให้ลุกขึ้นมา แต่เธอก็พยายามจะฝืดตัวไว้อย่างสุดฤทธิ์ แต่มีหรือแรงของอิสตรีจะสู้แรงของบุรุษได้ เธอแทบจะปลิวไปตามแรงฉุดอย่างไร้ปราณีของเขา หญิงสาวรีบหันกลับไปมองร่างของชายหนุ่มที่นอนนิ่งก่อนจะสะบัดแขนของตัวเองสุดแรง จนเธอเป็นอิสระจากมือหยามกระด้างนั้น ก่อนจะวิ่งไปยังร่างที่ไร้สติของคนที่เป็นเจ้าของหัวใจของเธอ แล้วประคองศีรษะพาดขึ้นมาบนตักอีกครั้ง

“นังนี้...วอนตายเสียแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็จะสงเคราะห์ให้”

ชายคนนั้นจ่อปืนมาตรงศีรษะของหญิงสาว เธอหลับตาปี๋อย่างหวาดกลัวแต่ก็ยังคงกอดชายหนุ่มไม่ยอมจากไปไหน แล้วเสียงปืนก็ดังขึ้น 1 นัด ร่างบางเตรียมรับชะตากรรมของตัวเอง แต่ทำไมเธอถึงไม่รู้สึกเจ็บเลยล่ะ

เธอค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะเห็นร่างของมือปืนคนนั้นลงไปนอนอาบกองเลือดของตัวเองเรียบร้อยแล้ว แสงไฟจากไฟฉุกเฉินบนรถตำรวจ 2 คันที่สาดส่องทำให้บริเวณนั้นมีไฟสีแดงและสีขาวสลับกันไป

ทนงศักดิ์กำลังจะลงมาจากรถแล้วเห็นชายคนนั้นจ่อปืนไปที่หญิงสาวกำลังจะเหนี่ยวไกสังหาร โดยไม่ต้องคิดทนงศักดิ์รีบชักปืนออกมาเล็งไปที่ศีรษะของชายฉกรรจ์คนนั้น แล้วกระสุนนัดนั้นก็ดับชีวิตของเขาลงทันที

ทนงศักดิ์และตำรวจอีก 4-5 นายรีบวิ่งมาดูสถานที่เกิดเหตุ แล้วก็เห็นร่างไร้สติของศิวกรที่มีแผลจากลูกกระสุน 2 นัดและเลือดไหลออกมาไม่หยุด อย่างตกใจแล้วก็เสมองไปยังร่างของคนที่ใช้ตักตัวเองเป็นหมอนหนุนให้กับเพื่อนรักของเขา ใบหน้าหวานอาบไปด้วยน้ำตา เธอเงยหน้ามองเขาอย่างอ้อนวอนขอร้อง
“ช่วยที คุณศักดิ์ช่วยคุณศิลาที”

เสียงสะอื้นเหมือนจะขาดใจดังขึ้นอย่างอ้อนวอน เขารีบหันไปยังลูกน้องก่อนจะตะโกนออกคำสั่งสุดเสียง
“ตามรถพยาบาลเร็วเข้า มีตำรวจถูกยิง”


แล้วเขาก็รีบผละไปหาร่างของเพื่อนเขาจับมือไว้แน่นน้ำตาก็รื้อขึ้นมาแต่ก็ไม่ไหลริน เขากัดฟันแน่นอย่างแค้นใจ ใครที่กล้าทำกับเพื่อนรักของเขาแบบนี้ ชาตินี้อย่าได้อยู่ร่วมโลกกันอีกเลย



TooMMeng
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ม.ค. 2556, 08:31:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ม.ค. 2556, 08:31:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1259





<< บทที่ 5 (เผชิญหน้า... 3)   บทที่ 6 (หนีตาย... 2) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account