พักตร์อสูร
ชีวิตปกติสุขของเธอต้องสิ้นสลาย เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในร่างของเด็กหญิงคนหนึ่ง โชคชะตาหรือเวรกรรม ทำให้มาโผล่ในสถานการณ์ผัว1เมีย6 แถมต้องสู้รบเพื่อเอาตัวให้รอดอีก “ขอชีวิตเก่าฉันคืนมาเถิด”
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 5 (1/3)




มาอัพอีพทีวันจันทร์นะคะ

------------------------------



หนึ่งปีต่อมา

เสียงปี่พาทย์โหยหวนชวนเศร้ายิ่งนัก หมดแล้วที่พึ่งของอุษามันตราเมื่อคุณปู่สิ้นบุญเมื่อสามวันก่อน ท่านหลับแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีก เป็นการเสียชีวิตที่ไม่เจ็บปวด ทว่ากะทันหันเหลือเกินสำหรับลูกหลานและคนในครอบครัว

อุษามันตราหวั่นใจเหลือเกิน ที่ผ่านมาเธอได้พึ่งใบบุญท่านมหิทธิคุณา ความเมตตาที่ท่านให้ เป็นเกราะกำบังแก่เธอและแม่เป็นอย่างดี ซึ่งคุณพ่อเองก็ให้ความเมตตาแก่เธอเช่นกัน ทว่าไม่มากหากเทียบกับลูกชายอีกสี่คนของท่าน และนับจากนี้ อะไรอีกหลายอย่างคงเปลี่ยนไป

เธอมองวาดที่กำลังนั่งเชิดหน้า หล่อนคงไม่รู้ว่าท่าทางแบบนี้มันน่าสมเพชขนาดไหน เมื่อคนบนเรือนใหญ่ต่างช่วยกันเตรียมงาน เตรียมดอกไม้เครื่องหอมและข้าวของกันอย่างขะมักเขม้นไม่มีว่าง จะมีก็เพียงหล่อนเท่านั้นที่ชูคอไม่ทำอะไร แต่ไม่มีใครว่าอะไรได้ ไม่มีใครกล้าว่าทั้งนั้นเมื่อคุณพ่อยังไม่พูดอะไรสักคำหนึ่ง ซึ่งวาดไม่รู้ หรือแกล้งไม่รู้ หรือจงใจไม่รู้ ว่าคนในอาณาจักรมนสิการล้วนไม่ค่อยชอบใจหล่อนเท่าไหร่นักกับการที่คุณปู่ยังไม่ทันจะเผา หล่อนก็ทำตัวเช่นนี้เสียแล้ว นั่นจึงเป็นที่มาของความรู้สึกสมเพชของเธอในตอนนี้

และที่รู้แน่ชัดอีกอย่างก็คือ ทุกคนให้ความเคารพคุณแม่และป้าจิตตรามากกว่าเดิม และมิใช่เพราะตำแหน่งภริยาเอก ซึ่งนับจากนี้คือแม่นายใหญ่ของที่นี่ แต่เป็นเพราะความโอบอ้อมอารีมีเมตตาของตยาวดีต่างหากที่ทำให้คนเคารพ

‘จะคอยดูว่าจะยืดไปได้สักกี่น้ำ’

อุษามันตรานึกแบบนั้นก็ยกมือขึ้นพนม วงปี่พาทย์หยุดบรรเลงเมื่อพระสงฆ์เดินขึ้นมาบนเรือนใหญ่ พิธีทางศาสนาพุทธดำเนินไปจนไม่รู้สึกแตกต่างมากนัก

ไม่น่าเชื่อว่าในโลกประหลาดแห่งนี้ ก็มีบางอย่างที่ทำให้คุ้นเคย

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

ข่าวเรื่องท่านโชติระเสยอมให้วาดและบ่าวคนสนิทเข้าออกที่โรงหล่อโลหะทำให้คนบนเรือนใหญ่เสียใจไม่น้อย แม้จะเพียงส่งสำรับอาหารทุกเช้าเย็นในวันที่คุณพ่อมิได้ค้างเรือนภริยาอื่น แต่ก็ถือว่าผิดประเพณีปฏิบัติของมนสิการ นั่นก็เพราะวาดไม่ใช่ผู้สืบทอดและไม่ใช่สายเลือดโดยตรงของตระกูลที่จะอนุญาตให้เข้าไปได้ ความไม่พอใจของคนเก่าแก่และกลัวความวิบัติตามคำเล่าลือได้เริ่มขยายวงกว้าง แต่สำหรับวาดคงเป็นข่าวดีที่สุดของหล่อนเลยทีเดียว เพราะเมื่อไหร่ที่ได้เจอ หล่อนก็จะมีสีหน้ายิ้มกริ่ม ทำตัววางใหญ่วางโตไม่น้อยไม่ว่าจะกับใคร

“แม่แจ่ม ข้าละกลัวนักเชียว นายท่านมหิทธิคุณามิเคยให้แม่หญิงคนใดเข้าใกล้แม้เพียงเงาของโรงหล่อ แต่นี่...นายท่านโชติระเสทำเช่นนี้ ข้ากลัวอาเพศนัก”

บ่าวชายวัยชรากล่าวอย่างหนักใจกับแม่ครัวใหญ่ น้ำเสียงจะว่าดังก็ไม่ดัง จะว่าเบาก็ไม่เบา แต่อาการที่แสดงถึงความรักและเป็นห่วงมีมากล้นถึงสถานที่พักพิงพาอาศัยมาทั้งชีวิต

อุษามันตราไม่ค่อยเชื่อเรื่องอาเพศอย่างที่ได้ยินตอนนี้นัก เพราะถ้าจะกลัว ก็น่าจะกลัวการบริหารคนบริหารงานของคุณพ่อมากกว่าว่าจะดูแลจัดการและควบคุมได้ดีขนาดไหน

เสียงพูดคุยถึงเรื่องต่างๆ ประหนึ่งสภากาแฟได้เริ่มต้นจากประโยคก่อนหน้า เด็กน้อยวัยสี่ขวบที่ไม่มีใครสนใจกำลังนั่งวิเคราะห์สิ่งที่ได้ยินโดยไม่มีใครรู้ อุษามันตราแสร้งนั่งดูบ่าวหญิงจุดไฟซึ่งไม่บ่อยที่จะได้เห็น เพราะเมื่อไหร่ที่มาถึง ส่วนมากก็จัดการกันเรียบร้อยตั้งแต่เช้ามืดและจะต่อไฟในเตามากกว่าก่อใหม่ แต่ในบ่ายค่อนเย็นของวันนี้มีรายการพิเศษที่ต้องรมเนื้อสัตว์นอกโรงครัวเพื่อถนอมอาหารชุดใหญ่ เธอก็เลยได้แวะก่อนจะกลับเรือน

คนที่นี่มืออาชีพมากในสายตาของเธอ การจุดไฟตามความถนัดของแต่ละคนในแบบต่างๆ ก็ทำให้สนุกเมื่อลุ้นว่าไฟจะติดตอนไหน ใครมีกรรมวิธีพิเศษอย่างไร ชีวิตวัยเด็กแต่กลายเป็นเด็กจริงๆ ก็ทำให้ไม่เบื่อเมื่อบ่าวแต่ละคนตั้งใจแสดงฝีมือเต็มที่เพื่ออวดเมื่อเห็นเธอจ้องมอง และเธอก็ปรบมือให้กำลังใจทุกครั้งเมื่อไฟติด

อุษามันตราแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวระหว่างเก็บข้อมูลจากบ่าวทั้งหลาย ทว่าการพูดคุยถึงหัวข้อนั้นก็มีไม่นานนัก ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่

“พี่เลี้ยงของอุษาไปไหนเสียล่ะแม่แจ่ม ปล่อยให้อยู่คนเดียว ประเดี๋ยวแม่จิตราก็ทำโทษดอก”

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเสียงของใคร เพราะมีคนเดียวที่กล้าเรียกเธอด้วยชื่อสั้นๆ ประหนึ่งเรียกลูกของตนเอง ซึ่งหากใช้เรียกลูกที่เกิดจากภรรยารองอื่นๆ นั้นไม่ถือว่าผิด แต่สำหรับลูกภริยาเอกแล้ว ในสังคมนี้ให้การยกย่องนับถือว่าไม่ว่าจะเป็นลูกหญิงหรือลูกชาย ภรรยารองและลูกภรรยารองจะใช้สรรพนามเช่นนี้กับลูกภริยาเอกไม่ได้ เป็นการไม่ให้เกียรติอย่างยิ่ง

“อุษา เจ้าทำสิ่งใดอยู่” วาดพูดซ้ำ แล้วนั่งลงใกล้กับที่เธอนั่งอยู่นี้

อุษามันตรายิ้มหยันในใจโดยยังก้มหน้าไว้ แสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ เธอรู้ว่าวาดต้องการจะทำอะไร จะแสดงอะไร น้ำเสียงเหมือนเอ็นดูแต่คำพูดที่ใช้ผิดกาลเทศะและผิดปกติมันก็น่าขัน เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณพ่อหล่อนก็ยังเรียกเธอว่า ‘แม่นายน้อยอุษามันตรา’ ได้ ไฉนเมื่ออยู่ลับหลังและอยู่ต่อหน้าบ่าวจึงใช้คำพูดเช่นนี้ เธอเงยหน้าขึ้น ถามไปแบบสงสัยว่า

“แม่วาดเรียกฉันหรือเจ้าข้า”

พูดแล้วก็ตีหน้าซื่อ มองตาใส แสดงสีหน้าเป็นเชิงถามว่าเรียกจริงหรือไม่ เธอกำลังรอคำตอบนะ

วาดเม้มปาก สองมือบีบกันแน่น นี่ถ้าเป็นน้องๆ ของเธอที่เกิดจากภรรยารองและใช้คำพูดแบบนี้ คงมิแคล้วว่าถูกวาดหยิกตีไปเรียบร้อย

ท่าทางอยากจะตีก็ทำไม่ได้อยากจะด่าก็ด่าไม่ออกของวาดทำให้อุษามันตราอดสะใจนิดๆ ในส่วนลึกไม่ได้เช่นกัน และเมื่อมองเลยไปทางบ่าว พวกนั้นก็ก้มหน้าหลบกันจ้าละหวั่น บ้างก็แสร้งเดินหนีแต่แผ่นหลังสั่นไหวคล้ายกลั้นหัวเราะ

วาดหันไปมองรอบข้าง แล้วหยุดอยู่ที่เธออีกครั้ง “เหตุใดเจ้าจึงเรียกข้าเช่นนี้”

ในเมื่ออยากรู้ เธอก็จะตอบให้หายสงสัย อุษามันตราทำหน้าไม่เข้าใจคำพูดของวาดกึ่งถามว่าเธอผิดหรือ “ก็ในมนสิการ มีแต่คนเรียกฉันว่าแม่นายน้อยอุษามันตรานี่เจ้าข้า ก่อนนี้แม่วาดก็เรียกแม่นายน้อยอุษามันตรา จึงมิรู้ว่าแม่วาดเรียกผู้ใดเจ้าข้า”

ทำหน้าเหมือนงงกับคำพูดของวาดไม่หายแล้วลุกขึ้นยืน เอามือปัดฝุ่นผงที่ก้น แล้วเดินออกมา แกล้งทำเป็นพูดกับฟ้ากับลมว่า “พี่ศีลาไปไหน อุษาอยากกลับเรือนแล้วเจ้าข้า”

แต่เมื่อยังไม่เห็นคนเรียกหาจึงเดินเข้าไปใกล้แม่ครัวใหญ่ “ป้าแจ่มเจ้าข้า อุษาจะกลับเรือนใหญ่แล้ว ให้บ่าวไปส่งอุษาด้วยเจ้าข้า”

โดยทั้งหลายทั้งปวงนับตั้งแต่ลุกขึ้น อุษามันตราไม่ได้หันกลับไปมองวาดอีกเลย การส่งคำเตือนให้รู้ว่าหล่อนไม่ได้มีความสำคัญอะไร และอย่าได้ข่มเหงกันง่ายๆ แบบนี้ วาดจงรู้ว่าตัวเองเป็นใครและเธอเป็นใคร จะมาทำเหมือนกับที่เสียงดังข่มคุณแม่ของเธอไม่ได้ผลหรอก มันคนละคนกัน ถึงจะถูกเลี้ยงและสั่งสอนในแบบสังคมนี้ก็เถอะ แต่เธอก็ยังมีความเป็นตัวของตัวเองที่ติดมาจากโลกเดิมไม่เปลี่ยน

ศีลารีบเดินเข้ามาหา หน้าตาตื่นเมื่อรู้ว่าอุษามันตราเรียก “ศีลามาแล้วเจ้าข้าแม่นายน้อยอุษา” พูดทั้งที่อยู่ใกล้ๆ แล้วคุกเข่า “อิฉันไปขอปันใบมะพร้าวครู่เดียว แม่นายน้อยอุษาจะขึ้นเรือนแล้วหรือเจ้าข้า”

“เจ้าข้า”

บอกแล้วก็กอดคอของศีลา เด็กพี่เลี้ยงก็ทำหน้าเหลอหลาเมื่อหันไปทางวาดและเห็นสายตาที่มองอย่างจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้

“กลับเรือนเถิดเจ้าข้าพี่ศีลา คิดถึงป้าจิตรา คิดถึงคุณแม่แล้วเจ้าข้า”

พูดเร่งแล้วก็ซบบ่าเด็กพี่เลี้ยงที่ความสูงไล่เลี่ยกัน แม้ตัวของศีลาจะไม่สูงใหญ่นัก แต่ก็แข็งแรงพอที่จะอุ้มเธอได้สบาย อุษามันตราไม่ได้มองวาดอีกเลย ทว่าหางตาก็ยังเห็นคู่กรณีหันไปทำท่าฮึดฮัดกับคนรอบข้าง ใจหนึ่งก็สงสารอยู่หรอกที่คนไม่รู้เรื่องต้องมาโดนแบบนี้ แต่มันก็อดไม่ได้

‘ให้มันรู้ซะมั่งว่ามายุ่งกับใคร’

แม้ในใจจะคิดแบบนั้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นกับอนาคต อุษามันตรารู้ดีว่าโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ

“พวกเจ้ามองสิ่งใดกันรึ”

เสียงของวาดตวาดลั่นอยู่ข้างหลัง อุษามันตราไม่รู้ว่าคุณพ่อรักผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไร ลับหลังหล่อนออกจะร้ายกาจ แต่อีกใจหนึ่งก็เถียงว่าคิดแบบนั้นก็คงไม่ถูก เพราะคุณพ่อท่านคงเห็นเพียงเบื้องหน้าที่แสนดีและช่างเอาอกเอาใจของวาด ส่วนเธอกับคนบนเรือนใหญ่ก็ต้องพลอยตั้งรับสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าวันไหนจะเพลี่ยงพล้ำเพราะรู้เบื้องหลัง ที่สำคัญคือขออย่าถูกใส่ร้ายก็เป็นพอ

‘แล้วมันจะเป็นไปได้เหรอ’

เฮ้อ... ความคิดจ๋า จะให้ฝันหวานสักหน่อยก็มิได้

ครั้นมาถึงเรือนใหญ่ได้เพียงครู่

“ตยาวดีน้องเจ้า ทราบข่าวเรื่องอุษามันตราล่วงเกินแม่วาดรึไม่”

ตยาวดีและจิตราตกใจ หันหน้ามามองอุษามันตราที่กำลังนั่งสานปลาตะเพียนตามที่ศีลาสอน อุษามันตรามองโชติระเส มองนิ่งๆ โดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ

“อุษามันตรายังเล็กนัก เหตุใดจึงล่วงเกินแม่วาดได้เล่าเจ้าข้าคุณพี่ น้องมิเคยสั่งสอนลูกให้ก้าวร้าวผู้ใด”

“แต่แม่วาดบอกพี่ อุษามันตราพูดกับแม่วาดเช่นพูดกับบ่าว”

โชติระเสพูดกับตยาวดีจบก็หันมาหาอุษามันตราอีกครั้ง สีหน้าเรียบเฉยของอุษามันตราคล้ายไม่รู้เรื่อง ได้ถ่วงดุลความเชื่อของโชติระเสเช่นกัน เพราะในส่วนลึกเขาก็ไม่อยากเชื่อว่าลูกจะทำเช่นนั้นได้ แต่ก็ต้องหาความกระจ่าง

“เป็นไปได้หรือเจ้าข้านายท่าน แม่นายน้อยอุษาอายุเพียงเท่านี้”

จิตราพูดยังไม่ทันจบ วาดก็เดินอาดๆ เข้ามา แล้วกล่าวว่า

“จะอายุเท่าใดใช่สำคัญดอกแม่จิตรา อิฉันพูดออกไปไยต้องกล่าวเท็จ บ่าวในโรงครัวล้วนได้ยินกันทั้งสิ้น สั่งสอนกันเยี่ยงไรจึงกล้าทำเช่นนี้”

“แม่วาดหยุดก่อน พี่ไม่อนุญาต เหตุใดเจ้าจึงขึ้นมาบนเรือนใหญ่” โชติระเสเอ่ย

“อิฉันอยากเห็นด้วยตาว่าคุณพี่จะจัดการให้อิฉันจริงๆ เจ้าข้า”

น้ำเสียงของวาดที่เอ่ยกับนายท่านโชติระเสช่างอ่อนหวานผิดกันลิบลับกับประโยคพูดก่อนนั้น

จิตราตัวสั่นเพราะความโกรธ แค่ขึ้นมาบนเรือนใหญ่ก็ถือว่าหยามกันมากแล้ว ยังมากล่าววาจาด้วยน้ำเสียงเช่นนี้อีก ตยาวดีส่ายหน้าเมื่อเห็นจิตราทำท่าจะเถียง

วาดทรุดนั่งพับเพียบใกล้ๆ กับท่านโชติระเส “อิฉันเรียกบ่าวในครัวมาด้วยเจ้าข้า” แล้วก็หันหน้าไปทางประตู “พวกเจ้าขึ้นมา”

เสียงสั่งการช่างใหญ่โตเหลือเกิน ในความรู้สึกผู้เป็นเจ้าเรือน โชติระเสวางสีหน้านิ่ง มองไปทางบ่าวที่กล้าๆ กลัวๆ ไม่ยอมขึ้นมา

“พวกเจ้าขึ้นมา ข้าจะชำระความ”

“กับเด็กแค่สี่ขวบปีนี่นะรึเจ้าข้านายท่าน”

สายตานิ่งๆ ของท่านโชติระเสที่มองทำให้จิตราหยุดพูดทันที ทุกคนเริ่มกดดัน ไม่บ่อยนักที่ท่านโชติระเสจะมีอาการเช่นนี้ อุษามันตราเห็นทุกอย่างโดยไม่พูดหรือทำอะไร กำลังไตร่ตรองว่าเรื่องราวมันจะลุกลามไปมากขนาดไหนจากเรื่องไม่เป็นเรื่อง

‘นึกแล้วเชียวว่ายายวาดมันต้องบ้าอำนาจขึ้นมาสักวัน ช่างเร็วทันใจจริงๆ’ นึกในแบบนั้นก็คอยดูสถานการณ์ต่อไป บ่าวแต่ละคนนั่งก้มหน้ากับพื้น

“สิ่งที่แม่วาดกล่าวเรื่องอุษามันตราล่วงเกิน เหตุเพราะใช้คำพูดเช่นคุยกับบ่าว พวกเจ้าได้ยินจริงรึไม่”

หลายคนอึกอัก เสียงตอบหรอมแหรมขึ้นมาว่า “อิฉันไม่ทันได้ยินเจ้าข้านายท่าน” “กระผมก็หาได้ยินเจ้าข้านายท่าน”

“แต่อิฉันได้ยินเต็มสองหูเจ้าข้า”



สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ม.ค. 2556, 16:10:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ม.ค. 2556, 16:10:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 2504





<< บทที่ 4 (ครึ่งหลัง)   บทที่ 5 (2/3) >>
สุชาคริยา 11 ม.ค. 2556, 16:19:14 น.

ตอบคอมเม้นท์จากตอนที่แล้วจ้า (บทที่ 4 [ครึ่งหลัง]) >>

ขอบพระคุณทุกๆ คอมเม้นท์นะคะ ดีใจมากที่มีเพื่อนๆ อ่านและแสดงตัวให้รู้ ยิ่งเห็น คนเขียนก็ยิ่งมีกำลังใจปั่นอีกหลายเฮือกค่ะ รักนะ จุ๊บุ๊ จุ๊บุ๊


คุณโซดา = ขอบพระคุณมากๆ เลยค่ะ ดีใจมากที่ได้ยินว่ามีคนมาเม้นท์ให้รู้ว่ารออ่าน จะพยายามมาให้ได้ไม่ต่ำกว่าอาทิตย์ละสองครั้งค่ะ ^^

คุณ Auuuu = อุษามันตราสู้ๆ แน่นอนค่ะ (คนเขียนด้วยจ้า) ^^

คุณแว่นใส = จ้า ^^

คุณแล่นแต๊ = ขอบพระคุณมากๆ เลยค่ะ

คุณเดิมเดิม = 5555 ใช่เลยค่ะ แต่จริงๆ แล้วแอบสู้เพื่อตัวเองด้วยสิคะ

คุณ Pat = ขอบคุณจ้า

คุณอัปสรา = ขอบพระคุณจ้า คนเขียนด้วยหรือเปล่าเอ่ย อิอิ

คุณ konhin = นั่นน่ะสิคะ ^^

คุณอริสา = ขอบพระคุณมากๆ เลยค่ะที่ช่วยอุดหนุนผลงาน ^^ และดีใจมากๆ ที่ติดตามอ่านเรื่องนี้ด้วยค่ะ

คุณใบบัวน่ารัก = 55555 เนอะๆๆ ถูกต้องที่สุดเลยค่ะ

คุณ ree = จ้า คนเขียนก็ดีใจที่แอ๊บเนียนได้สนิทค่ะ แต่ก็ยังมีคุณ ree จับสังเกตได้น้ออออ

คุณแพม = จุ๊บๆ ^^



ปิศาจสัญจร 11 ม.ค. 2556, 16:39:45 น.
ฮู้ย! จะอยู่ทันได้โตเป็นสาวมั้ยนี่
หมั่นไส้แม่วาด


แว่นใส 11 ม.ค. 2556, 17:01:20 น.
ช่างร้ายจริง ๆ เชียว แล้วใครนะที่กล่าวว่าได้ยิน แล้วได้ยินเยี่ยงไรนะ


wind 11 ม.ค. 2556, 18:27:03 น.
หวังว่าพ่อของนางเอกจะได้ส่วนฉลาดมาจากพ่อบ้าง
เสียดายปู่นางเอกเสียเร็วไป


konhin 11 ม.ค. 2556, 20:47:20 น.
ปู่เสียแล้ว คุณพ่อก็หูเบา นางเอกอย่ายอม ทำหน้าซื่อพูดความจริงให้หมด เอาให้หงายยยยย


Chii 11 ม.ค. 2556, 21:21:16 น.
ทำหน้าซื่อ เล่าความเท็จกว่าใส่ไปเลย... เด็กกว่าชนะ ร้องไห้ก่อนชนะ
//อ้าว นางเอกทำเยี่ยงนี้มิได้ เพราะมิเหมาะมิควรหรือเจ้าข้า


ree 11 ม.ค. 2556, 22:23:04 น.
พยายามกลับไปหาอ่านว่ามีใครเรียกแม่วาดอย่างอื่นหรือไม่
ปรากฏว่ามีจิตราคนเดียวที่เคยเรียกว่า "คุณวาด" ที่เหลือคือนายช่างก็เรียก "แม่วาด" เหมือนกัน
ก็เลยสงสัย...ที่ว่าล่วงเกินคือที่เรียกว่า "แม่วาด" ใช่หรือไม่
คงต้องติดตามเอาคำตอบในวันจันทร์สินะ


Pat 11 ม.ค. 2556, 23:13:01 น.
ได้ยินเต็มสองหู. ว่าเรียกแม่นายน้อยอุษามันตราว่า อุษา ถ้าบ่าวพูดประโยคนี้ออกมา อยากรู้จริงว่า "คุณพ่อ" จะว่าอย่างไร


อริสา 12 ม.ค. 2556, 01:30:59 น.
เพี้ยงขอให้นายน้อยอุษารอดตัวด้วยเถอะ เมื่อไหร่ท่านพ่อจะเห็นความดีของตยาวดี หรือต้องรอจนแก่ น่าสงสาร


เดิมเดิม 12 ม.ค. 2556, 08:32:11 น.
เจ้าคุณพ่อต้องให้ความยุติธรรมด้วยนา


โซดา 13 ม.ค. 2556, 18:24:06 น.
มาแล้วจร้า แต่แหม ลงมานิดเดียวเอง อิอิ แต่ไม่เป็นไรจร้า ยังไงก็รออ่านคะ แต่อย่านานนะ จุ๊ฟๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account