ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ

เขา... นายตำรวจหนุ่ม

เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ

ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น

แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ

แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ

ตอน: บทที่ 6 (หนีตาย... 2)

บทที่ 6
(หนีตาย 2)

เกือบจะ 1 ชั่วโมงแล้วที่ไฟหน้าห้องผ่าตัดยังคงแดงและบานประตูสีเขียวอ่อนก็ยังคงปิดอยู่อย่างนั้น ดลินายืนจ้องไปยังประตูห้องเพื่อรอเวลาให้มันเปิดอย่างไร้ความรู้สึกด้วยหัวใจที่แตกสลาย...เพราะฉัน ถ้าไม่เพราะฉันเขาก็ไม่ต้องมาเจ็บตัวอย่างนี้...

หยาดน้ำใสๆ ก็ไหลรินอีกครั้ง แต่ไร้เสียงสะอื้นใดๆ หลังจากที่มันเหือดแห้งไปนาน ทนงศักดิ์มองดูหญิงสาวแล้วก็สะท้อนใจ เขาเองก็พูดปลอบคนไม่เก่งเสียงด้วย กลัวว่าจะไปทำให้เธอโทษตัวเองหนักเข้าไปอีก

เขาเองก็เดินเป็นหนูติดจั่น จิตใจกระวนกระวายเป็นห่วงเพื่อนที่อยู่ในห้องผ่าตัดใจจะขาด เขาเอามือถูศีรษะตัวเองไปมาสีหน้าเคร่งเครียด เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งเดินมาทางห้องผ่าตัดอย่างรีบร้อน เขาเงยหน้าขึ้นไปมองยังต้นเสียงนั้น ร่างระหงสูงเพรียวของคุณหมอสาวที่สวมชุดทำงานเต็มยศกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาทางที่เขายืนอยู่ ใบหน้าสวยเฉียบมีท่าทีตื่นตกใจ

“เกิดอะไรขึ้นคะ พอฉันได้ยินข่าวก็รีบมาทันทีเลย”

รจนาพูดเสียงเหนื่อยหอบมองหน้าเขา ทนงศักดิ์มองคุณหมอสาวด้วยสายตาที่อ่านยากก่อนจะตอบคำถามของเจ้าหล่อน

“ถูกยิงครับ 2 นัด เสียเลือดเยอะพอสมควร เข้าไปในห้องผ่าตัด เกือบ 1 ชั่วโมงกว่าแล้วยังไม่ออกมาเลยครับ”

ทนงศักดิ์พูดออกมาได้อย่างยากลำบาก รจนาเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจจิตใจของเขาว่าตอนนี้เขารู้สึกเช่นไร จึงไม่ได้ตีรวนกวนประสาทเขาเหมือนยามปรกติ มีพยาบาลคนหนึ่งเดินถือถุงเลือดมาอย่างรีบร้อน รจนารีบคว้าแขนนั้นไว้ก่อนที่จะหายเข้าไปในห้องผ่าตัด

“ใครรับผิดชอบเคสนี้คะ แล้วอาการคนไข้เป็นอย่างไรบ้าง”

“คุณหมอวันชัยค่ะ คนไข้เสียเลือดมากแต่ว่าตอนนี้ผ่าเอาหัวกระสุนที่ฝังอยู่ตรงหัวไหล่ซ้ายออกได้แล้วค่ะ เหลืออีกนัดตรงกลางหลังคุณหมอวันชัยกำลังจะผ่าออก โชคดีมากค่ะอีกนิดเดียวก็เกือบจะถึงปอดแล้วค่ะ”
พอได้คำตอบที่ต้องการรจนาก็ปล่อยให้พยาบาลทำหน้าที่ของตนต่อไป เธอเริ่มเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น รจนาอกกังวลไม่ได้เลยว่าหากกระสุนทะลุปอดอาการคนในห้องผ่าตัดคงเข้าขั้นวิกฤต

“อาการหนักหรือเปล่าครับ”

ทนงศักดิ์มองหญิงสาวที่ดูน่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับวิชาแพทย์มากกว่าตนอย่างใคร่รู้

“หากกระสุนทะลุปอดอาการน่าเป็นห่วงค่ะ โชคดีมากๆ ที่ไม่ทะลุปอด อีกอย่างถ้าคุณพ่อเป็นคนลงมือเองก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไรมากหรอกค่ะ”

พอได้ยินคุณหมอสาวบอกอย่างนี้เขาก็ชื้นใจขึ้นมาเป็นกอง ห่วงก็แต่หญิงสาวที่ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องผ่าตัดเท่านั้น รจนาผละจากร่างสูงใหญ่ของทนงศักดิ์เดินหาเพื่อนสาวที่ยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิกหน้าห้องผ่าตัดอย่างใจเย็น

มือเรียวสวยยื่นไปแตะที่บ่าของเพื่อนรัก ดลินาหันหน้ามามองคนที่แตะตัวเธออย่างไร้จิตใจ แต่เมื่อเห็นแววตาแห่งความอาธรของเพื่อนสาว น้ำตาที่เหือดแห้งกลับมาไหลอีกครั้ง ก่อนจะโผเข้ากอดแล้วร้องไห้เหมือนกับเด็กเล็กๆไม่มีผิด รจนาลูบผมของดลินาอย่างปลอบโยน เธอเข้าใจจิตใจของเพื่อนในตอนนี้ว่ารู้สึกอย่างไร เพราะเธอได้เห็นเหตุการณ์แบบนี้แทบจะทุกวัน

“ไม่เป็นไรข้าว ไม่เป็นไร คุณศิลาเขาต้องปลอดภัย”

“เพราะฉัน ถ้าไม่เพราะฉันเขาก็คงไม่ต้องมาเป็นแบบนี้”

เสียงสะอื้นพูดออกมาได้อย่างยากเย็น น้ำเสียงของดลินาเต็มไปด้วยความปวดร้าว

“โธ่... แล้วกัน”

รจนากอดปลอบเพื่อนรักอย่างรู้สึกสงสารอย่างจับใจ นานแล้วที่เธอไม่เห็นเพื่อนคนนี้ร้องไห้ ครั้งสุดท้ายที่เธอจำได้ก็เมื่อสองปีก่อน ตอนที่ดลินาเสียแม่ของเธอไป ยามที่เพื่อนของเธอรู้สึกอ่อนแอเช่นนี้ เธอจะต้องเป็นเสาหลักให้กับเพื่อนรักให้จงได้

1 ชั่วโมงต่อมาประตูห้องผ่าตัดก็ยังไม่เปิด รจนาเองก็เริ่มจะหวั่นใจบ้างแล้ว เพราะว่ามันชักจะนานเกินไป รจนาหันไปมองหน้าเพื่อนรักที่นั่งซบไหล่ของเธอ และแล้วการรอคอยที่แสนจะยาวนานก็จบลง เมื่อไฟห้องผ่าตัดได้ถูกปิดลงและประตูสีเขียวอ่อนนั้นได้ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง

ดลินารีบลุกขึ้นจากพื้นแล้วเดินเข้าไปหาคุณหมอที่ทำการผ่าตัดให้กับศิวกร ดลินาเกาะแขนของคุณวันชัยก่อนจะเขย่าเบาๆ คุณวันชัยมองหน้าหญิงสาวที่เอ็ดดูเหมือนรู้อีกคนอย่างอ่อนโยน

“คุณพ่อคะ ผู้กองเขาเป็นอย่างไรบ้าง เขาไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”

ดลินาถามเสียงสะอื้นน้ำตานองหน้า

“ปลอดภัยแล้ว กระสุนไม่โดนจุดสำคัญนับว่าเขาโชคดีมาก ข้าวไม่ต้องห่วงนะ พ่อรับรองว่าเขาไม่เป็นอะไรไปหรอก”

คุณวันชัยตบหลังมือของดลินาอย่างแผ่วเบาเหมือนปลอบโยน เหมือนยกภูเขาออกจากอก... ดลินารู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินคำตอบนั้น อยากจะร้องกรี๊ดออกมาแต่เสียงก็ไม่มี

“แยม...พาหนูข้าวไปตรวจร่างกายหน่อยดีกว่า พ่อเป็นห่วง”

“ได้ค่ะคุณพ่อ”

ลูกสาวคนสวยของคุณหมอวันชัยรับคำอย่างแข็งขัน เดินมาหาเพื่อนที่ยืนเกาะแขนบิดาของตน แล้วใช้มือทั้งสองข้างค่อยๆประคองเพื่อนสาวเดินไปยังห้องทำงานของตน เพื่อตรวจร่างกาย ดลินาก็ยอมเดินตามไปแต่โดยดี ทนงศักดิ์เดินเข้ามาหาคุณวันชัยในวินาทีต่อมา เจ้าของโรงพยาบาลยิ้มให้เขาเล็กน้อย แต่ก็พร้อมที่จะตอบคำถามเสมอ

“เขาไม่เป็นอะไรมากใช่หรือเปล่าครับ”

“ครับ...ไม่เป็นอะไรมาก กระสุนฝังในแต่ไม่โดนจุดสำคัญโชคดีมากๆ คนไข้เป็นคนแข็งแรงถึงจะเสียเลือดมากแต่ก็คงจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าคนอื่น พักสัก 3 -4 อาทิตย์ก็คงจะหายเป็นปรกติ”

ทนงศักดิ์ลอบถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆ ก่อนจะเอ่ยขอบคุณคุณวันชัย เมื่อคุณวันชัยเห็นว่าได้ตอบคำถามหมดแล้วเขาจึงขอตัวกลับไปทำงานต่อ

*************************************************

บ่ายแก่ๆ ของวันรุ่งขึ้น ศิวกรค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ได้อย่างยากลำบาก แสงสีส้มของพระอาทิตย์ในยามบ่ายคล้อยส่องแสงลอดผ่านม่านสีขาวที่ปิดไม่สนิทผ่านมาต้องที่ใบหน้าคมเข้มชวนน่ามอง เขาถูกจัดให้นอนในท่าตะแคงเพื่อลดการกดทับบาดแผล

เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาแล้วมองๆ ไปรอบๆ เท่าที่ร่างกายจะอำนวยได้ แต่ก็พบแต่ความว่างเปล่า เขาพยายามที่จะลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ครั้งสุดท้ายที่เขาจำความได้คือเขากอดดลินาไว้เพื่อป้องกันลูกกระสุนให้เธอ แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นก็สุดที่จะรับรู้

เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขาสลบไป แล้วหญิงสาวล่ะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ นึกได้เท่านั้นร่างสูงใหญ่ก็ค่อยๆ ยันกายตัวเองขึ้นได้อย่างทุลักทุเล แต่เมื่อเคลื่อนกายเท่านั้นแผลที่เพิ่งได้รับการรักษามาสดๆ ร้อนๆ ก็ทำพิษเขาเสียแล้ว

“โอ้ย!!!”

แล้วก็ไม่พ้นต้องล้มตัวลงไปนอนที่เตียงอีกครั้ง เขาสบถออกมาเบาๆก่อนจะพยายามชันกายขึ้นมาอีกครั้ง
“เฮ้ย!! จะทำไรวะนั้น ตื่นมาก็ได้เรื่องเลย”

เสียงของทนงศักดิ์พูดขึ้นเมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้อง แล้วรีบวิ่งมาประคองเพื่อนเขาที่ดูเหมือนกำลังพยายามทำให้ตัวเองตกลงมาจากเตียง

“แล้วคุณข้าวล่ะ คุณข้าวเป็นไงบ้าง”

เขาต้องกัดปากพูดเพราะรู้สึกระบมที่แผลอย่างมาก ทนงศักดิ์มองเพื่อนรักด้วยสายตาที่อ่านยาก ก่อนจะถอนหายใจออกมาหนักๆ

“โชคดีที่ฉันไปทัน... ไม่อย่างนั้นคุณข้าวได้มีกระสุนฝังอยู่ที่ศีรษะแน่ๆ”

ศิวกรเบิกตาอย่างตกใจ แล้วชันกายขึ้นมาอีกครั้งทนงศักดิ์ต้องรีบเบรกเพื่อนไว้ก่อนไม่อย่างนั้นคนเจ็บคงได้ลงไปนอนที่พื้นแทนบนเตียงแน่ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เขาพยายามฝืนร่างกายลุกขึ้นอีกครั้ง เสียงเปิดประตูดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยร่างของนายแพทย์เจ้าของไข้และลูกสาวคนสวยเดินเข้ามาในห้อง ภาพที่พวกเขาเห็นก็คือร่างสูงใหญ่ที่กันฟันทนความเจ็บพยายามที่จะลุกจากเตียงโดยมีเพื่อนของเขาพยายามจะห้ามไว้สุดแรงเกิด

หมอใหญ่เจ้าของโรงพยาบาลต้องรีบเข้ามาช่วยทนงศักดิ์เพื่อไม่ให้ศิวกรลุกขึ้นจากเตียง และทำให้แผลต้องฉีกแล้วมันจะสาหัสกว่านี้

“ผู้กองจะลุกไปไหนคะ”

“ผมจะไปหาคุณข้าว”

“ถ้าคุณพยายามที่จะดื้อดึงลุกไปหาเธอในสภาพนี่แล้วล่ะก็ ฉันเชื่อว่าคุณต้องทำให้เธอร้องไห้แน่”
รจนาพยายามที่จะใช้น้ำเย็นเข้าลูบและมันก็ได้ผล เขาหยุดดิ้นรนที่จะลงจากเตียงแล้วยอมนอนอยู่บนเตียงแต่โดยดี แต่ก็อย่าคิดว่าเขาจะหยุดอยู่แค่นั้น เขายิงคำถามใส่รจนาทันที คุณหมอใหญ่และนายตำรวจหนุ่มเพื่อนคนไข้ เลือกที่จะให้รจนาเป็นคนตอบคำถามของศิวกรมากกว่า

“คุณข้าวล่ะครับ เธอเป็นอะไรมากหรือเปล่า”

“ตอนนี้กำลังนอนให้น้ำเกลืออยู่ค่ะ เพราะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีอาการเครียด เกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหวเลยเกิดอากาศหน้ามืด ก็เลยต้องบังคับให้นอนให้น้ำเกลืออยู่ที่ห้องใกล้ๆ นี่แหละค่ะ”

เมื่อได้รับคำยืนยันจากคุณหมอสาวศิวกรเลยวางใจ แต่ก็อดที่จะกังวลไม่ได้

“ผมขอไปเยี่ยมเธอได้หรือเปล่าครับ”

รจนาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะยิ้มร่าให้เขา

“ผู้กองคะ คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณน่ะ อาการหนักกว่ายายข้าวอีกนะคะ ให้คุณพ่อของฉันเป็นคนอนุญาตจะดีกว่า”

ว่าแล้วคุณหมอสาวก็โยนภาระไปให้ผู้เป็นบิดารับผิดชอบต่อ ก่อนจะพาร่างของตัวเองมายืนอยู่ข้างๆ ทนงศักดิ์ที่ยืนเงียบอยู่อีกมุมของห้อง

“คุณนี่เก่งเหมือนกัน พูดให้ศิลาเชื่อได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ”

“อันนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว ฉันกับคุณมันคนล่ะชั้นกัน”

คุณหมอสาวเชิดหน้าใส่นายตำรวจหนุ่ม ทนงศักดิ์อยากจะเถียงใจจะขาด แต่เห็นว่าบิดาของหญิงสาวอยู่ในนี้ด้วย เดี๋ยวเขาจะว่าจีบลูกสาวเขาอยู่

...หรือว่าจะจริง...

*************************************************

อาทิตย์ต่อมาศิวกรเริ่มที่จะลุกนั่งได้เองบ้างแล้ว เขาไม่ได้ข่าวของหญิงสาวเลยตอนนี้เขาอยากจะเห็นหน้าหวานๆ นั้นใจจะขาดอยู่แล้ว เขาหันซ้ายหันขวาก็เจอแต่ความว่างเปล่า เขาอยากออกจากโรงพยาบาลเต็มแก่แล้ว เสียงเปิดประตูดังขึ้นแต่ศิวกรก็ไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่นัก เขาคิดว่าคุณหมอคงจะมาตรวจตามปรกติ แต่ว่าทำไมคุณหมอไม่ทักทายตามปรกติ ทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะเห็นเงาของใครคนหนึ่งจากหน้าต่างข้างเตียง ทำให้เขารีบหันหน้าควับมาทันที

“คุณข้าว”

เสียงเรียกชื่อของหญิงสาวเหมือนกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเห็น เขาขยี้ตาด้วยมือข้างขาวเบาๆ แต่ร่างของเธอคนนั้นก็ยังไม่หายไปไหน ร่างบางในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนต์สวมสบาย ใบหน้าซีดเสียวแต่ยังคงไว้ซึ่งความน่ามอง ดลินาค่อยๆ เดินเข้าหาเขาอย่างช้าๆ แล้วลากเก้าอี้ตัวเล็กมาวางไว้ข้างเตียงก่อนจะลดตัวลงนั่ง น้ำตาที่พยายามอดกลั้นเอาไว้ก็แตกเหมือนกับทำนบที่ทำด้วยเศษแก้วบางๆ ชายหนุ่มพยายามฝืนตัวเองเอื้อมมือขาวไปเช็ดน้ำตาเธอแผ่วเบา

“ร้องไห้อีกแล้ว ร้องไห้บ่อยๆ เดี๋ยวตาจะบวมเป็นปลาทองนะครับ”

“บ้า... ใครบอกว่าฉันร้องไห้ ไหนล่ะน้ำตาไม่เห็นมีเลย”

หญิงสาวเถียงเสียงสะอื้นก่อนจะเช็ดน้ำตาลวกๆ เพียงเท่านี้เธอก็ไม่ได้ร้องไห้แล้ว รอยแย้มน้อยๆที่ริมฝีปากของดลินาเหมือนช่วยชุบให้หัวใจที่ห่อเหี่ยวของเขากลับมาชุ่มชื้นอีกครั้ง เขากำลังรู้สึกเบื่ออย่างมากเพราะต้องมาทนนอนอุดอู้อยู่บนเตียงอย่างนี้

“คุณไม่เป็นอะไรมากใช่หรือเปล่าคะ”

เสียงใสเอ่ยถามไร้เสียงสะอื้น

“ใครบอกล่ะครับว่าผมสบายดี... ไหล่ก็เจ็บ หลังก็ปวดขาดพยาบาลมาดูแล”

เขาพูดน้ำเสียงออดอ้อน แววตาดูเจ้าเล่ห์อย่างไรชอบกล หญิงสาวหรี่ตามองคนตัวโตที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความหมั่นไส้

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันไปตามพยาบาลมาให้นะคะ”

พูดแล้วก็ทำท่าจะลุกไปจริงๆ ศิวกรต้องรีบห้ามไว้ก่อนที่หญิงสาวจะหายไปจากห้อง จังหวะที่กำลังจะห้ามนั้นแหละ

“โอ้ย!!!”

ชายหนุ่มร้องขึ้นมาเสียงดังจนเกือบจะลั่นห้อง ดลินาต้องรีบหยุดการกระทำทั้งหมดแล้วตรงไปหาเขาที่เตียง สีหน้าตื่นตกใจ จากหน้าที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดหนักกว่าเก่าอีก เธอดูตื่นตกใจทำอะไรไม่ถูกมือจับตัวของศิวกรไปมาอย่างรนราน

“เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ เจ็บตรงไหน บอกมาสิคะ หรือว่าจะให้ตามคุณหมอมาดู”

“เจ็บตรงไหล่ซ้ายครับ”

เขาพูดน้ำเสียงแสดงถึงความเจ็บปวดอย่างมาก ดลินาไม่รู้เลยว่าเสียงร้องนั้นศิวกรใส่จริตเข้าไปเต็มที่ ร่างบางจึงค่อยๆเอื้อมมือจะไปจับที่แขนซ้ายของเขา จังหวะที่หน้าใสฉีดใกล้กับใบหน้าของเขา

ไวปานงูฉก... จมูกนูนสันของเขาก็ประชิดเข้ากับแก้มใสเข้าไปเต็มปอด ร่างบางรีบถอยหนีจากเตียงคนป่วยทันที เธอจับแก้มซ้ายของตัวเองแล้วเอานิ้วชี้ไปยังเตียงคนเจ็บที่ต้องนี้ไม่หลงเหลือความเจ็บปวดแต่อย่างใด เขากลับมาสีหน้าที่ดูสบายๆแถมยังฮัมเพลงออกมาได้อย่างน่าหมั่นไส้

“คะ... คุณ... คุณ!”

ดลินาพูดเสียงลอกไรฟัน หน้าแดงแจ๊ด

“ผมทำไมหรือครับ”

คนเจ็บถามหน้าตาเฉย

“คุณมาหอมแก้มฉันทำไม”

“อะไรนะครับ ผมไม่ค่อยได้ยิน”

“คุณนี่แย่ที่สุดเลย... ฉวยโอกาสเก่งเป็นที่หนึ่ง”

หญิงสาวพูดเสียงกระฟัดกระเฟียด แต่ดูเหมือนคนที่ถูกกล่าวหาดูจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจเท่าไหร่นัก

“ครับผมยอมรับ... แต่ผมเป็นกับคุณเท่านั้นนะ คนอื่นผมไม่ทำหรอกเดี๋ยวโดนตบ”

“แล้วไม่กลัวฉันตบหรือไง”

“ตอนแรกก็กลัว แต่ถ้าแลกกับเมื่อกี้อีกทีก็ยอม”

คนพูดหน้าตาย แต่คนฟังน่ะหน้าแดง เธอไม่เคยคิดว่าก่อนเลยว่า ศิวกรจะหวานได้มากถึงขนาดนี้ เธอนึกว่าเขาจะเป็นพระอิฐพระปูนเสียอีก

...ไข้ขึ้นแน่ๆเลยฉัน ทำไมรู้สึกหน้าร้อนๆเนี่ย...

เขายื่นมือขวาออกมาเหมือนต้องการให้คนที่ยืนอึ้งหน้าแดงจับมือของเขาไว้ แต่เหมือนสติเธอยังกู่ไม่กลับ เขาจึงต้องส่งเสียงเรียกเธอเบาๆ น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลชวนฝัน

“คุณข้าวครับ”

สายตายามที่เขามองเธอนั้นทำให้คนที่ถูกทองแทบจะละลาย ดลินามองมือที่เขายื่นมาให้อย่างช่างใจ แต่เธอก็ใจไม่แข็งพอที่จะปฏิเสธเขา มือเล็กค่อยวางลงบนมือใหญ่ แล้วมือใหญ่ก็จับมือเล็กแล้วจูงเธอเบาๆให้กลับมานั่งที่เก้าอี้ใกล้ๆเตียง เขากุมมือเล็กไว้ไม่ยอมปล่อย

“ขอบคุณสวรรค์ที่คุณปลอดภัยดีทุกอย่าง”

ศิวกรปล่อยมือของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปจับที่ใบหน้าของเธอแทน เขาใช้นิ้วโป้งลูบที่แก้มใสนั้นอย่างรักใคร่

“ตอนที่ผมหลับไป ตอนนั้นผมเหมือนเดินอยู่ในทะเลทรายที่แห้งแล้ง ผมเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมายมองไปทางไหนก็เห็นแต่ทราย พอเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นพระอาทิตย์ส่องแสงแผดเผ่าทุกสิ่งทุกอย่าง”

ดลินาเงียบฟังชายหนุ่มเล่าเรื่องราวอย่างสนใจ เขาลูบแก้มเธออีกครั้งก่อนจะเปลี่ยนมากุมมือของเธอ มือที่อบอุ่นของเขาช่วยทำให้มือที่เย็นเชียบของเธอค่อยๆอุ่นขึ้น

“ผมเดินไป เดินไป จนผมทนไม่ไหวล้มลงกับกองกับพื้นในที่สุด ตอนนั้นผมเตรียมใจที่จะตายอยู่ตรงนั้นแล้ว แต่ก็มีเงาของใครคนหนึ่งขึ้นมาบดบังแสงอาทิตย์ให้ผม แล้วเธอก็พูดขึ้นมาว่า”

“ลุกขึ้นมาสิ คุณจะยอมแพ้ไม่ได้”

“แล้วผมก็พยายามที่จะลุกขึ้น แต่มันก็ช่างยากเย็น เมื่อยืนขึ้นมาได้ ร่างของผู้หญิงคนนั้นก็ได้หายไปแล้ว ผมก็มองไปรอบๆเพื่อจะหาร่างของเธอ แล้วผมก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นโอเอซีสอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมเท่านั้น”
เขากระชับมือแน่นขึ้น จ้องเข้าไปในดวงตาของดลินาอย่างจริงจัง

“ผมรีบวิ่งเข้าไปในโอเอซีสนั้น ตรงเข้าไปยังแหล่งน้ำแล้วดื่มน้ำอย่างกระหาย เมื่อผมได้ดื่มน้ำอย่างช่ำใจแล้วผมก็ล้มตัวลงนอนอยู่ตรงนั้น แต่เหมือนมีตักของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาให้ผมใช่หนุนนอน มันเป็นตักที่นุ่นและแสนจะอบอุ่น”

“ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าเจ้าของตักนั้น แล้วต้องตกใจอย่างมากเมื่อผมพบว่าเจ้าของตักนั้นก็คือคนที่ผมจับมืออยู่นี้ คุณเป็นคนทีทำให้ผมรอดพ้นจากความตาย คุณเป็นเสมือนนางฟ้าของผม และจะเป็นนางฟ้าเพียงคนเดียวในใจผมตลอดไป”

แล้วเขาก็จุมพิตที่ฝ่ามือของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา น้ำตาใสๆ ก็ไหลลงมาจากตากลมโตทันที มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความเศร้า แต่มันเป็นน้ำตาแห่งความปีติ



TooMMeng
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ม.ค. 2556, 12:59:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ม.ค. 2556, 12:59:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1304





<< บทที่ 6 (หนีตาย... 1)   บทที่ 6 (หนีตาย... 3) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account