ลิขิตรักในสายลม # จุฬามณี
รัก หวานๆ ขม ของสาวไทยกับหนุ่มมาเลย์
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 6.

บทที่ 6

แรกทีเดียวหลินฮันหมิงจะนำรถออกไปส่งปวุฒิกับขวัญชีวี แต่ว่าปวุฒินั้นแสดงอาการเกรงใจเป็นอย่างมาก จนหลินฮันหมิงไม่อาจคะยั้นคะยอ และย่าเล็กเองก็เหมือนจะรู้ดีว่าปวุฒินั้นตั้งป้อมขวางหลานชายของตน เขาพาขวัญชีวีเดินออกมารอแท็กซี่ที่หน้าบ้านโดยระหว่างนั้นหลินฮันหมิงก็ยืนรอส่งอยู่ห่าง ๆ ด้วย

...ปวุฒิให้รถแท็กซี่ไปส่งขวัญชีวีที่โรงแรมก่อน หลังจากนั้นเขาก็ไปโรงพยาบาล พอเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าบนโต๊ะอาหารของขนาดเล็กนั้นเต็มไปด้วยถุงใส่ของกินคาวหวานและผลไม้...ซึ่งน่าจะเป็นฝีมือของคนเฝ้าไข้

“หายไปเป็นชาติเลยนะเอ็ง” วุฒินารทที่นอนเอกเขนกบนโซฟาพลางดูรายการเพลงทางโทรทัศน์ทางเคเบิ้ลทีวีเอ่ยปากถาม

“ก็ กว่าจะเสร็จธุระ...ออเป็นอย่างไรบ้าง” ปวุฒิเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงแล้วใช้หลังมืออังไปที่หน้าผากของน้องสาวเช็คดูว่าน้องสาวตัวร้อนเป็นไข้หรือเปล่า

“ไม่เป็นไรค่ะ หลับ ๆ ตื่น ๆ” จริง ๆ แล้วเพียงออปวดแผล แต่หญิงสาวจะแสดงความอ่อนแอให้พี่ชายเห็นไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้นโปรแกรมที่เธอวางแผนไว้ว่าจะตะลุยพม่า จีน อินเดีย คงจะได้ถูกสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด

“หมอมาดูอาการหรือยัง เขาว่าอย่างไรบ้าง”

“มาไม่รู้กี่รอบแล้ว เขาบอกว่า ควรจะอยู่โรงพยาบาลสักสองถึงสามวัน ถึงจะขึ้นเครื่องได้”

“ถ้างั้นแกก็อยู่ดูแลออนะ”

“มันก็ต้องเป็นไปตามนั้นอยู่แล้ว เพราะข้ามันคนว่างงาน...” แม้ไม่มีงานแสดงแต่ว่าฝีมือการทำอาหารของวุฒินารทที่ไปเรียนเพิ่มเติมยามที่เขาว่างเว้นจากงานละครนั้นสามารถอยู่โยงแทนพ่อครัวแม่ครัวในร้านได้เลยทีเดียว...

“ออว่าพี่สองคนกลับพร้อมกันเลยก็ได้ค่ะ พี่นารทคอนเฟิร์มตั๋วเลยดีกว่า...ออ ดูแลตัวเองได้ค่ะ...แค่ผ่าตัดไส้ติ่งแค่นี้เองเรื่องเล็ก”

“เรื่องเล็กสำหรับเรา แต่มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพี่ และพี่นารท”

“ใช่แล้วน้องออ อออย่าลืมนะว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านเรา...” วุฒินารทผุดนั่งแล้วก็เสริมเข้ามา

“แต่ออยังไม่ได้สำรวจอะไรในปีนังเลยนะคะ”

“อาการดีขึ้นแล้วค่อยกลับมาใหม่ก็ได้นี่” ปวุฒินั้นรู้นิสัยของน้องสาวเป็นอย่างดี และจากที่อ่านหนังสือท่องเที่ยวที่เพียงออเขียน อุปสรรคระหว่างเดินทางนั้นเพียงออถือว่าเป็นสีสันของชีวิต...และคิดว่าปัญหาระหว่างการเดินทางเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่นักท่องเที่ยวแบบแบกเป้จะต้องพบเจอ...

“เอาอย่างนี้ก็ได้ ว่าไปพี่ก็อยากเที่ยวปีนังอยู่เหมือนกัน” ช่วงที่เพียงออหลับวุฒินารทก็อ่านหนังสือคู่มือท่องเที่ยวมาเลเซียที่เป็นผลงานของคนอื่นที่เพียงออถือติดมาด้วย ด้วยเขาเองยังไม่เคยมาปีนัง เขาก็อยากไปเที่ยวให้ทั่วเหมือนกัน

“ไอ้นารท”

“ไอ้ปุ้ม แกก็รู้นี่ว่าแกขวางน้องสาวแกไม่ได้อยู่แล้ว ก็ตามใจให้ถึงที่สุดไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ”

“แล้วแกจะอยู่กันสองคนได้อย่างไร” คำถามนั้นถ้าฟังให้ดี คือปวุฒิไม่ไว้ใจวุฒินารท...อย่างไรเสียทั้งคู่ก็คือผู้หญิงกับผู้ชาย...

“แล้วทำไมจะอยู่ไม่ได้ล่ะ ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ก็ไปพักอยู่โรงแรม นอนคนละห้อง เวลาเที่ยวก็นั่งแท็กซี่ไป เกาะเล็ก ๆ แค่นี้ นั่งแท็กซี่วันเดียวก็คงมองเห็นหมดแล้วแหละ...และอีกอย่างการที่ข้าอยู่ด้วย ข้าก็จะได้คอยห้ามไม่ให้น้องออเขาซนเกินกำลังตัวเองได้ด้วย”

“ใช่ค่ะพี่ปุ้ม พี่นารทพูดถูกเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ”

“นี่ถ้าพ่อแม่รู้ว่าออป่วยจนถึงขั้นผ่าตัดแล้วยังคิดจะเที่ยวต่อ พ่อแม่บ่นพี่ตายเลย”

“เอาเป็นว่า ออจะดูแลตัวเองจนมั่นใจว่าเดินทางไหวแล้วกันค่ะ ออจะใช้เวลานี้ทำต้นฉบับเมืองที่ไปมาแล้ว ให้พี่นารทเที่ยวคนเดียวอย่างที่พี่นารทต้องการ แล้วพี่นารทก็บินกลับ... ออพอเดินทางไหวออก็ค่อยเที่ยวให้หมดแล้วก็บินกลับ แบบนี้ดีไหมคะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลากลับมาใหม่”

“ไม่ดี”

“พี่ปุ้มอ่ะ นะคะ...เดี๋ยวพอหมอให้ออกจากโรงพยาบาลแล้วออก็ไปอยู่ที่โรงแรมของคุณย่าซิ่วอิน พี่ปุ้มก็เห็นแล้วนี่ว่าคุณย่าใจดีแค่ไหน ท่านคงไม่ปล่อยให้ออเป็นอะไรหรอกค่ะ ...นะคะ ๆ”


หลังจากที่ขวัญชีวีและปวุฒิพากันกลับไปแล้ว หลินฮันหมิงก็เปิดฝาเปียโนแล้วนั่งลงพรมนิ้วมือไปบนคีย์ เขาเล่นเพลง The Love I Found in you ของ Jim Brickman ยังไม่ทันจบเพลง โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของเขาก็ดังขึ้น...เป็นสายจากวิศรุต

“ทำอะไรอยู่หรือเพื่อน” ด้วยวรรณรดาเห็นขวัญชีวีโพสต์รูปลงใน Instagram ว่าทำงานอยู่ที่ปีนัง หญิงสาวจึงได้โทรมาบอกกับวิศรุต วิศรุตเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์กับหลินฮันหมิงเขาจึงต่อสายมาหา

“เล่นเปียโนอยู่ครับ”

“อารมณ์ไหน”

“อยากเล่น...มีอะไรหรือเปล่า” อันที่จริงอารมณ์ที่เล่นเปียโนในวันนี้นั้นเพื่อที่จะกล่อมเกลาจิตใจให้กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม แต่ถ้าพูดไปตรง ๆ มีหวังเขาได้ถูกวิศรุตหัวเราะเยาะ

“คุณขวัญอยู่ปีนังนี่นา”

“อืม...”

“อืม นี่คืออะไร”

“ก็รับรู้ว่าเขาอยู่ปีนัง”

“อยากรู้ไหมละว่าเขาอยู่ที่ไหน พักที่ไหน”

“ทำไมต้องอยากรู้”

“แน่ใจนะว่าไม่อยากรู้”

“เมื่อครู่เขาก็มากินข้าวที่บ้าน” หลินฮันหมิงไม่อยากอ้อมค้อม และการได้เอ่ยถึงหญิงสาวก็ทำให้ใจหน่วงนั้นผ่อนคลายลงอย่างประหลาด เขามีกฏว่าจะไม่ยุ่งกับผู้หญิงของคนอื่น แต่ใจของเขามันไม่ยอมปฏิบัติตาม เขาถอนสายตาจากใบหน้าของขวัญชีวีไม่ได้ ดวงตาคู่นั้นเหมือนคุ้นเคยกันมาเนิ่นนาน ยามที่เธอเอ่ยปากเจรจา ตาของเธอยิ้มไปพร้อมกับริมฝีปาก...เขายอมรับว่าเขาชอบขวัญชีวี...

“ฮะ อะไรนะ”

“เขาเพิ่งมากินข้าวที่บ้านไอ เขามากับแฟนเขา นายปวุฒิน่ะ...”

“โอ้ว...เรื่องจริงหรือนี่ มันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรวะเพื่อน”

“ฟังให้ดี ๆ นะ” ว่าแล้วเขาก็เล่าเรื่องความบังเอิญที่เริ่มต้นจากเพียงออมาพักที่โรงแรมของย่าหลินซิ่ว อินให้วิศรุตได้รับรู้ รวมถึงเรื่องที่พี่สาวของเขาไปเห็นขวัญชีวีที่ชายทะเลด้วย...

“โอ้ว...แบบนี้ภาษาไทยเขาเรียกว่าดวงสมพงษ์กันนะ...คุณขวัญเฮงน่าดูเลยว่ะ เดี๋ยวไอจะดำเนินการติดต่อบริษัทผลิตสื่อโฆษณาเลยนะ ยูคิดว่าอย่างไร”

“ให้บริษัทเขาคิดงานมาก่อนว่าจะออกมาแบบไหน....ทางนั้นพร้อมไอก็จะลงไปดู...”

“ตกลงบริษัทแม่เลือกขวัญชีวีเป็นพรีเซนเตอร์เวอซ่าดีโก้ คนแรกของประเทศไทย”

“ตอนนี้ยังไม่เป็นทางการนะ รอเข้าที่ประชุมอีกทีก่อน แต่เงื่อนไขของงานนี้ก็คือต้องมาถ่ายทำที่มาเลเซียเท่านั้น”

“และที่นั่นแกก็จะเดินเครื่องจีบคุณขวัญเต็มสูบ...”

“เขามีแฟนแล้ว” แม้จะอุ่นใจว่าขวัญชีวีกับปวุฒิน่าจะยังไม่มีความสัมพันธ์กันลึกซึ้ง เพราะเมื่อตอนกินข้าวเย็นย่าเล็กถามเขาว่าคืนนี้จะนอนที่ไหน เขาตอบว่าจะนอนเฝ้าเพียงอออยู่ที่โรงพยาบาลพร้อมกับเพื่อนของเขา แต่ตอนนี้หลินฮันหมิงก็ต้องการคำยืนยันจากวิศรุตอย่างแนบเนียนที่สุด

“ก็บอกแล้วไงว่า คบกันได้ก็เลิกกันได้ ขอให้นายตั้งใจเป็นมือที่สามเถอะ”

“แล้วคำว่าแฟนของคนไทยนี่มันขั้นไหนกัน”

“น่าจะยังไม่มีอะไรกันหรอก คุณขวัญหัวโบราณจะตาย แล้วที่สำคัญนายถือเรื่องพวกนี้เหมือนกันเหรอ”

“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ อย่าพูดถึงเขาเลย เปลี่ยนเรื่องคุยเหอะ”

“เปลี่ยนทำไม ไอรู้ว่านายชอบฟังเรื่องของคุณขวัญ”

“งั้นแค่นี้นะ ง่วงนอนแล้ว”

“เดี๋ยวซิวะ”

“เปลืองค่าโทรศัพท์ แล้วค่อยเจอกันที่เมืองไทย แค่นี้นะ” ตัดสายของวิศรุตแล้วหลินฮันหมิงก็ยิ้มบาง ๆ วางโทรศัพท์ลงบนเปียโนแล้วก็พรมนิ้วมือเล่นเพลงหวานซึ้งต่อไป


หลินฮันหมิงตัดสายไปแล้ววิศรุตที่นั่งอยู่ในร้านอาหารอิตาเลี่ยนกับวรรณรดาก็วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ

“เป็นอย่างไรบ้างค่ะ”

“น้องสาวของไอ้ปุ้ม..ดันไปป่วยที่ปีนังเสียอีก”

“พี่ปุ้มค่ะ” วรรณรดาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามเอ่ยแก้ด้วยดวงตาขวาง ๆ

“นั่นแหละ...ตอนนี้ปุ้มเขาก็อยู่ปีนังกับน้องขวัญ”...แล้ววิศรุตก็เล่าเรื่องที่ได้รับรู้จากปากของหลินฮัน หมิงให้วรรณรดาได้รับรู้ รวมถึงเรื่องที่พี่สาวของหลินฮันหมิงไปเจอขวัญชีวีถ่ายแบบที่ชายทะเลแล้วชื่นชอบจนกระทั่งมีแววว่าจะอนุมัติให้ขวัญชีวีเป็นพรีเซนเตอร์ของเวอซ่าดีโก้ซึ่งจะใช้คนไทยเป็นคนแรกตามที่หลินฮัน หมิงได้เสนอต่อที่ประชุมไว้ก่อนหน้านั้น

“แปลกดีนะคะ...”

“พี่ว่า บางทีคนทั้งคู่เขาอาจจะเกิดมาเพื่อกันและกันก็ได้ มันก็เลยต้องมีเหตุให้ต้องไปเจอกันที่โน่นโดยเฉพาะเรื่องที่พี่สาวของเจ้ามาร์คไปเห็นคุณขวัญนี่มันประหลาดมากเลย...”

“แล้วเมื่อไหร่พี่รุตจะเจอเนื้อคู่ของพี่ซะทีนะ อยากเห็นหน้าแฟนพี่บ้างจัง”

“ถ้าไม่มามัวเสียเวลาอยู่กับน้องขวัญ ป่านนี้พี่ก็คงหามาให้ดาได้เห็นแล้ว” ด้วยเป็นนักเที่ยวตัวยงทำให้เขาไม่ได้รู้สึกเหงาจนกระทั่งอยากมีคู่ครอง และด้วยต้องตามจีบขวัญชีวีในช่วงก่อนหน้านั้นเขาจึงไม่ยอมทำตัวสนิทกับสาว ๆ คนใด ทั้งที่พ่อแม่ของเขาก็พยายามจับคู่กับลูก ๆ ของเพื่อนที่มีฐานะทางการเงินเสมอกัน

“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์ช่วยเหลือ”

“ครั้งที่ร้อยแล้ว แล้วนี่ ตอนนี้จะไม่ลุยกับปวุฒิสักหน่อยหรือ”

“ไม่ดีกว่าค่ะ...ดาไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว...”

“หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วก็โทรไปหาเขาตอนนี้เลย แสดงความเป็นห่วงเป็นใย ร่วมทุกข์ร่วมสุข” วิศรุตแสดงความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรักออกมา แต่ว่าวรรณรดาหาได้คล้อยตามง่าย ๆ

“เขาอยู่ต่างประเทศ ถ้ารับสายก็เสียเงินแย่เลย อย่าดีกว่าค่ะ ถ้าพี่กับคุณมาร์คทำงานสำเร็จนะคะ ดาว่าดารอดามหัวใจเขาดีกว่าคะ” อันที่จริงวรรณรดากลัวว่าเขาจะไม่รับสายของเธอเสียมากกว่า

“งั้นก็ใช้ สมาร์ทโฟนให้เป็นประโยชน์ พิมพ์ข้อความไปถามเขาซิ เผื่อเขาจะตอบมา”

วรรณรดาทำท่าคิดหนัก...

“พี่ว่า ดาเปิดศึกให้ขวัญเขาเห็นไปเลยว่า ดาชอบปวุฒิ ขวัญเขาอาจจะถอยให้ดาก็ได้นะ”

“แบบนั้นคาแรคเตอร์นางร้ายในละคร ไม่ดีกว่าค่ะ”

“ยุอะไรไม่ขึ้นสักอย่างเลยนะ”

“ดาอยากให้ขวัญกับพี่ปุ้มเลิกกันก่อน ดาไม่อยากได้ชื่อว่าแย่งแฟนเพื่อน ดาไม่อยากเสียเพื่อนค่ะ”

“แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ ถ้าดาจะส่งข้อความไปหาปุ้มมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลยนะ”

“ก็ได้ค่ะ” ว่าแล้ววรรณรดาก็ดึงโทรศัพท์มือถือออกมากระเป๋าสะพายที่ราคาแพงลิบลิ่ว...

‘ทราบมาว่าพี่ปุ้มอยู่ปีนัง ออเป็นอย่างไรบ้างคะ’ วรรณรดารวบรัดจนได้ใจความ...และอึดใจใหญ่ ๆ

เขาก็พิมพ์ตอบกลับมาว่า

‘รู้ได้ไงครับ ออ ผ่าตัดไส้ติ่งดีขึ้นแล้ว พี่กลับกรุงเทพฯ พรุ่งนี้ครับ ขอบคุณครับ’ ข้อความนั้นเหมือนจะตัดบทอยู่ในที แต่ว่าวรรณรดาเมื่อต่อกับเขาติดแล้วก็ต้องใช้ช่องทางสื่อสารนี้ให้เป็นประโยชน์

‘คุณมาร์คบอกพี่รุตค่ะ...//อย่าลืมซื้อขนมมาฝากด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ’

‘ได้ครับ ถึงเมืองไทยแล้วจะโทรหานะครับ’
‘ค่ะ ดูแลตัวเองด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ’

ไม่มีบทสนทนาโต้ตอบกลับมาอีก แต่ว่าวรรณรดาก็รู้สึกว่าความคิดถึงที่มันล้นอกอยู่นั้นบรรเทาไปได้บ้างและความมืดที่เหมือนจะมืดสนิทก็คล้าย ๆ จะมีแสงดาวแสงเดือนช่วยทำให้เห็นหนทางข้างหน้า...


แม้จะเดินเหินไม่สะดวกแต่เพียงออที่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บนเตียงพักฟื้นก็หาได้ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ หญิงสาวใช้โต๊ะสำหรับวางอาหารให้คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงวางรองสมุดบันทึกต้นฉบับที่บอกเล่าเรื่องราวระหว่างการเดินทางที่ยังทำค้างไว้พลางเปิดกล้องดิจิตอลดูรูปถ่ายเพื่อทวนความจำไปด้วย ส่วนวุฒิ นารทเมื่อปวุฒิอาบน้ำแต่งตัวขึ้นแท็กซี่ไปสนามบินแล้วเขาก็นอนหลับใหล ตื่นขึ้นมาลงไปหาของกินในย่านนั้นแล้วเขาก็กลับขึ้นมาทำหน้าที่คนเฝ้าไข้ที่ดี คือนั่ง นอน เปิดโทรทัศน์ดู โดยไม่ได้สนใจว่าเพียงออนั้นต้องการนอนหลับพักผ่อนหรือว่าต้องการใช้สมาธิทำงาน

“พี่นารทจะออกไปตระเวนเที่ยวปีนังตอนนี้เลยก็ได้นะคะ อออยู่คนเดียวได้ ไม่มีปัญหา”

“แต่พี่ลุยคนเดียวไม่ได้ ออก็รู้นี่พี่ไม่เก่งภาษาอังกฤษสักเท่าไหร่”

“มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย มีข้อมูล มีเงิน แล้วก็มีความกล้า ทุกอย่างมันก็จบแล้ว”

“ออพูดเหมือนง่าย”

“เนี่ย พี่ก็นั่งรถไปเที่ยว วัดงู วัดเก๊กล็อกซี หรือไม่ก็ไปขึ้นรถรางขึ้นไปบนปีนังฮิลล์ หรือจะไปช็อปปิ้ง แถว ๆ ตึกคอมต้าก็ได้ หนังสือเขามีบอกไว้หมด แล้วแผนที่ในมือก็มีนี่ มา ออจะเอากระดาษเขียนสถานที่ คร่าว ๆ ให้ แล้วพี่นารทก็ใช้บริการรถแท็กซี่ ถูกโก่งราคาบ้างอะไรบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก...”

“รอให้ออหายก่อนดีกว่า ไปพร้อมออก็ได้...”

“แล้วนี่ถ้ามีงานติดต่อมาพี่จะทำอย่างไร...จะอยู่กับออห้าวันหกวันได้เลยเหรอ” เพียงออนั้นอยากให้วุฒินารทตามพี่ชายกลับกรุงเทพฯไป เพราะอยากอยู่ตามลำพัง พักฟื้นจนกว่าจะแข็งแรงแล้วก็ตะลอนเที่ยวเก็บข้อมูลให้ทั่ว และที่สำคัญเพียงออก็ไม่อยากกลับเมืองไทยทางเครื่องบินพร้อมวุฒินารท เพียงอออยากนั่งรถไฟจากบัตเตอร์เวอร์ธไปที่หัวลำโพงตามโปรแกรมที่ได้วางไว้แต่แรก และเมื่อพี่ชายไม่อยู่แล้วแบบนี้ เธอจะต้องไล่วุฒินารทกลับเมืองไทยไปก่อนให้จงได้

“รับปากไอ้วุฒิไว้แล้ว ก็ต้องได้แหละ” ก่อนจะกลับปวุฒิบอกวุฒินารทไว้แล้วว่า งานนี้เขาต้องกลับพร้อมเพียงออเท่านั้น และเขาก็จะต้องปฏิบัติตามนั้น ไม่ว่าเพียงออจะมีเล่ห์กระเท่อย่างไรก็ตาม

“เซ็งแย่เลยนะ รอกลับพร้อมออ ดีไม่ดี อีกเป็นสิบ ๆ วันเลยนะ”

“ทำไงได้ล่ะ...รับปากจะช่วยเพื่อนดูแลน้องเพื่อน ก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด...”บอกกับเพียงออพลางกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปมา...และด้วยไม่ใช่โทรทัศน์ที่เชื่อมต่อเคเบิ้ลทีวีในเมืองไทยไม่ว่าจะเปลี่ยนไปช่องไหนก็หาได้มีรายการใดน่าสนใจเพราะว่าภาษานั้นเป็นอุปสรรค

“แต่ว่าไปแล้ว พี่นารทอยู่ในห้องแบบนี้ พี่นารทก็กวนออนะคะ” เมื่อกล่อมดี ๆ ไม่ได้ผลเพียงออจำต้องพูดตรง ๆ พอได้ยินเพียงออบอกอย่างนี้วุฒินารทก็เบิกตากว้าง..ทำหน้าเหรอหรา...

“โอ้วว นี่พี่ทำคุณบูชาโทษอย่างนั้นเหรอเนี่ย ไอ้ที่พี่อยู่เป็นเพื่อนเพราะพี่กลัวออจะเหงา...”

“แต่ออก็กลัวพี่เบื่อเหมือนกัน นั่ง ๆ นอน ๆ อออยากให้พี่ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ความตื่นเต้นมันเป็นสีสันของชีวิตนะ...พี่ต้องลองดู พี่ต้องกล้าหาญชาญชัย ไปซักหนอะไรมันก็ง่ายหมด...ออเป็นผู้หญิงออยังไม่เห็นกลัวอะไรเลย”

คำพูดของเพียงออนั้นเหมือนไปสะกิดรอยแผลเป็นของวุฒินารทเพราะก่อนหน้านั้นเขาคบหาอยู่กับสาวในวงการบันเทิงซึ่งเหมาบทนางร้ายมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง แต่ว่าอยู่ ๆ เจ้าหล่อนก็ตีจากเขาไปแต่งงานกับลูกนักการเมืองด้วยเหตุผลที่ว่า อยู่กับเขาชีวิตก็เหมือนย่ำอยู่กับที่และค่อนจะถอยหลังลงคลอง เพราะงานในวงการของเขานั้นดูจะเหมือนดวงดาวที่อับแสงลงเรื่อย ๆ และเขาเองก็เหมือนจะไม่มีหัวคิดก้าวหน้า

กระทั่งความสนิทสนมกับปวุฒิทำให้เขากล้านำเงินเก็บที่มีอยู่ก้อนหนึ่งลงทุนทำกิจการ และตั้งแต่นั้นมา เขาก็วุ่นวายอยู่กับร้านอาหารที่เพิ่งก่อร่างสร้างตัวเพราะหวังว่าที่นี่จะเป็นอาชีพที่มั่นคงให้กับเขา และด้วยหน้าตากับชื่อเสียงที่ยังพอมีอยู่ไม่น้อย ทำให้มีผู้หญิงมาติดพันเขาอยู่บ้าง แต่เขากลับกลัวการมีความรัก เคยคิดจะจีบวรรณรดาที่สูงเหมือนดอกฟ้า เขาก็รู้สึกว่าวรรณรดานั้นอยู่สูงเกินเอื้อม และวรรณรดาเองก็ดูจะชอบเพื่อนเขาที่เป็นพระเอกเสียมากกว่า...

ฟังเพียงออพูดแล้ววุฒินารทก็ใช้รีโมทกดปิดโทรทัศน์แล้วก็นั่งกอดอกอย่างงอน ๆ เพียงออกรอกตาไปมาแล้วก็แสร้งไม่เห็นอาการนั้น...

และอึดใจใหญ่ ๆ เขาก็ลุกขึ้นก่อนจะบอกกับเพียงอออย่างงอน ๆ ว่า “พี่จะออกไปเดินเล่นข้างนอกนะ”

เขาเดินออกไปแล้ว ออกไปอย่างไม่มีข้อมูลอะไรติดติดตัวไปด้วย เขาออกไปนานมาก นานจนเพียงออรู้สึกเป็นห่วง...


และเสียงเคาะประตูก็ทำให้เพียงออรีบเงยหน้าขึ้นไปมองก่อนที่จะเห็นคุณย่าหลินซิ่วอินเดินมาพร้อมกับหญิงชาวจีนวัยกลางคนคนหนึ่ง ดูจากการแต่งตัวแล้วเพียงออเดาออกว่าน่าจะเป็นคนงานในบ้านเพราะว่าในมือของหญิงคนนั้นมีตะกร้าใส่ของ ท่าทางก็ดูเจียมเนื้อเจียมตัวและเพียงออก็เดาไม่ผิดจริงๆ

หลังยกมือไหว้แล้ว เพียงออก็ถามว่า “เอาอะไรมาด้วยคะคุณย่า”

“ข้าวต้ม กับข้าว ไก่ดำตุ๋นยาจีน ผลไม้ อยากให้หนูแข็งแรงเร็วๆ”

“ออเพิ่งกินอาหารของโรงพยาบาลไปเมื่อกี้นี้เองค่ะ”

“อีกสักพักค่อยกินใหม่ก็ได้ กินเยอะๆ จะได้ฟื้นตัวได้เร็ว...ย่ายังไม่ได้รีบกลับหรอก แล้วนี่อยู่คนเดียวเหรอ คนเฝ้าไข้ไปไหน”

“พี่นารทออกไปเดินเล่นค่ะ เดี๋ยวก็คงกลับ...”

ขณะที่คุยกับคุณย่าเล็กไป สายตาของเพียงออก็มองไปที่ประตูอยู่บ่อย ๆ กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสี่ทุ่ม เพียงออก็ขอให้คุณย่าเล็กกลับบ้านเพราะรู้สึกเกรงใจคนที่ตามมาด้วยซึ่งฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง

“แต่พี่ของหนูยังไม่กลับมานี่ แล้วเขามีโทรศัพท์หรือเปล่า”

“มีเบอร์ของเมืองไทยค่ะ แต่เขาคงไม่ได้เปิดเครื่องหรอก คุณย่ากลับไปก่อนเถอะค่ะ อออยู่ได้”

“ถ้างั้นหนูก็ดูแลตัวเองดีๆ นะ มีอะไรก็โทรหาย่าได้เลย” เวลาอยู่เมืองใด เพียงออก็จะใช้ซิมการ์ดแบบเติมเงินของเมืองนั้น เพื่อใช้ติดต่อโรงแรมประสานงาน และเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”

ย่าเล็กกลับไปนานแล้ว นาฬิกาที่ผนังหมุนไปบอกเวลาเที่ยงคืน พยาบาลเดินเข้ามาวัดไข้ เข้ามาฉีดยา เข้ามาให้ยาก่อนนอน เข้ามาเปลี่ยนขวดน้ำเกลือไม่รู้ต่อกี่รอบ แต่ว่าวุฒินารทก็ยังไม่กลับมา เพียงออรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก โทรศัพท์เข้าเครื่องของวุฒินารทเขาก็ปิดเครื่องอย่างที่เดาไว้จริง ๆ กระทั่งเพียงออรู้สึกว่านอกตัวอาคารฝนกำลังตกอย่างหนัก เพียงออจึงเริ่มร้อนรนมากขึ้น และความร้อนรุ่มของเพียงออก็จบลงเมื่อเวลาสามนาฬิกา วุฒินารทเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับกลิ่นเหล้าคลุ้งติดตัว

“ไปไหนมา ทำไมเพิ่งจะกลับ”

“ก็ไปหาประสบการณ์อย่างที่ออต้องการ” เขาล้มตัวลงนอนอย่างหมดแรง ไฟที่หัวเตียงเปิดไว้สลัว เพียงออจึงไม่ได้เห็นหรอกว่า ตัวของเขาชื้นน้ำฝนหรือเปล่า แต่ว่าหญิงสาวก็ค่อย ๆ ลงจากเตียงลงมาดูสภาพ

“ไปกินที่ไหนมา” เพียงออยืนอยู่ห่างจากร่างของเขาพอประมาณ

“มีกะตังค์ซะอย่าง หากินไม่ยากหรอก...”

“เมาใช่ไหมเนี่ย”

“กินเหล้าก็ต้องเมาละซิ ไม่ได้กินน้ำนี่ ถามแปลกๆ”

“ไอ้เราก็รอไปเหอะ นึกว่าหลงทางซะแล้ว”

“..รู้แล้วใช่ไหมว่า เวลาหายหัวไปไหนโดยไม่ย่อมส่งข่าวนะ คนรอ คนอยู่ข้างหลังเขารู้สึกอย่างไร?...”


ช่วงที่นั่งรอขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ ปวุฒิได้สอบถามขวัญชีวีถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณย่าหลิน ซิ่วอินกับคุณยายแน่งน้อย ด้วยความบริสุทธิ์ใจขวัญชีวีจึงได้บอกเล่าเรื่องราวในอดีตความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่อย่างไม่คิดปิดบัง...และเมื่อปวุฒิจะซื้อช็อคโกแลตสินค้าเลื่องชื่อกับขนมกลับไปฝากวรรณรดา เขาก็ไม่คิดปิดบังขวัญชีวีด้วย ขวัญชีวีเองนั้นก็ซักถามเขาพอเป็นพิธีว่า ทำไมต้องซื้อไปฝาก และวรรณรดารู้ได้อย่างไรว่าเขามาปีนัง เขาบอกเล่าไปตามที่รู้ นั่นก็คือ หลินฮันหมิงกับวิศรุตคงจะโทรคุยกัน โลกที่เหมือนกว้างจึงได้แคบลงไปอย่างมาก

กลับมาถึงเมืองไทยแล้วปวุฒิก็รีบไปกองถ่าย ตอนเย็นมีงานอีเวนท์ใช้เวลาน้อยแต่ได้เงินมากกว่าเล่นละครหนึ่งตอน แต่ว่าละครคืองานที่ทำให้มีงานอีเวนท์ สองสิ่งนี้นักแสดงอย่างเขาต้องทำให้ดีที่สุด...

และเขาก็ไม่ได้ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับวรรณรดาคนสำคัญผู้ที่อยู่เบื้องหลังความดังของดาราหลาย ๆ คน รวมถึงเขาด้วย วรรณรดารีบกดรับสายเมื่อปวุฒิโทรเข้ามา...“ขอโทษทีครับคุณดา...พอดีพี่เพิ่งว่าง”

“ดาเข้าใจค่ะ” สำหรับปวุฒิ วรรณรดาพร้อมจะเข้าใจเขาเสมอ ทั้งที่วันนี้ทั้งวันวรรณรดามองโทรศัพท์มือถืออยู่หลายรอบ คิดจะโทรไปทวงของฝากก็เกรงว่าจะทำให้เขารำคาญ

“ตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ ผมจะเอาของฝากไปให้น่ะ”

“ดากำลังจะกลับบ้านค่ะ ติดอยู่บนถนน เพิ่งออกจากบริษัท พี่ปุ้มละคะ”

“ผมก็อยู่บนถนนเหมือนกัน...”

และเมื่อรู้ว่าปวุฒินั้นขับรถอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน เพียงแต่ว่าขับตามหลังมา วรรณรดาจึงถือเป็นโอกาส “พี่ปุ้มทานข้าวเย็นหรือยังคะ”

“ยังเลย...”

“ดาก็ยังไม่ได้ทานค่ะ หิวมาก ทานข้านเย็นด้วยกันนะคะ”

“ดีเหมือนกัน”

“งั้นดารอผมที่ร้าน...ตรงซอย.... นะคะ” นัดหมายกันเรียบร้อยแล้วความทุกข์ร้อนใจเรื่องรถติดก็อันเป็นหายไป วรรณรดาถึงก่อนปวุฒิ หญิงสาวเข้าไปในร้านอาหาร และขณะดูเมนูเลือกอาหารหญิงสาวก็โทรศัพท์ถามเขาไปด้วย

“ผมทานได้หมดแหละ หิวจะแย่แล้ว คุณดาสั่งได้เลย”

“ค่ะ...ห้าหกอย่าง พี่ปุ้มต้องทานให้หมดนะคะ”

“โอเคครับ แล้วเจอกัน” ปวุฒิพยายามจะพูดกับวรรณรดาให้น้อยที่สุดเหมือนกับที่ขวัญชีวีทำกับเขา

วรรณรดาเลือกอาหารแล้วก็เดินไปเข้าห้องน้ำสำรวจดูใบหน้าตัวเองกับกระจกเงา และคนที่ผลักประตูเขามา ก็ทำให้วรรณรดาต้องรีบหันไปยิ้มทั้งปากทั้งตาให้กมลมาลย์เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย ที่ผลันตัวเองไปเป็นนักข่าวสายบันเทิง...วรรณรดาทักทายถามไถ่สารทุกข์สุขดิบพูดคุยด้วยอย่างไม่ถือตัว แล้วโทรศัพท์ในกระเป๋าถือของตัวเองก็ดังขึ้น

“พี่ปุ้ม ถึงแล้วเหรอคะ ค่ะ ๆ ดาอยู่ในห้องน้ำค่ะ” วางโทรศัพท์แล้ว...วรรณรดาก็
บอกกับกมลมาลย์ที่บังเอิญพบกันว่า... “ดาขอตัวก่อนนะ”

“ปุ้มไหนเหรอดา...ใช้พี่ปุ้มปวุฒิหรือเปล่า” กมลมาลย์รีบซักไซ้ตามประสานักข่าว

“ใช่”

“มาด้วยกันได้อย่างไรล่ะ”

“ไม่ได้มาด้วยกัน...ต่างคนต่างมา...แค่นัดทานข้าวด้วยกันนะ ขอตัวก่อนนะ...” วรรณรดารู้ว่าเพียงแค่นี้ในสังคมที่กระหายข่าวสารของคนดัง ก็น่าจะพอสำหรับการเขย่าบัลลังก์รักของเพื่อนสนิท...




จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ม.ค. 2556, 10:43:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ม.ค. 2556, 10:43:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 1947





<< 5.   ึ7. >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 14 ม.ค. 2556, 10:45:15 น.
ขอโทษนะครับที่ปล่อยให้รอกันนานเลย...ตอนนี้เขียนเสร็จแล้วสัญญาว่าจะมาถี่ขึ้น ๆ ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับ เสียงสะท้อนกลับครับ...แว่ว ๆ มาจาก บก.พี่โป่งจากมายดรีมว่าจะพิมพ์รวมเล่มประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์นะครับ...
ฝากเป็นแรงใจด้วยนะครับ...


คิมหันตุ์ 14 ม.ค. 2556, 15:48:03 น.
ลงชื่อให้แรงใจจ่ะ ^^


Zephyr 14 ม.ค. 2556, 16:08:49 น.
ไม่ชอบดาเลยค่ะ ขนาดจะทำให้คนอื่นรักร้าว เธอยังงอมืองอ... ให้ชาวบ้านรับบทมือที่สาม
แล้วเธอก็เนียนแทรกแซง ดูร้ายลึก ลงเหวเลย
ดูๆอ่านๆไป ขวัญกับปุ้มก็ไม่ผิดอะไรที่เค้าจะรักกัน แต่มีมือสามสี่ห้าอยากแทรกคนทั้งคู่เหลือเกิน
เผอิญคุณเฟื่องไม่ได้เขียนมาให้คู่กันน่ะนะ ทำใจเถอะ คริคริ


loveleklek 15 ม.ค. 2556, 21:42:32 น.
รอจนลืม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account