ลิขิตรักในสายลม # จุฬามณี
รัก หวานๆ ขม ของสาวไทยกับหนุ่มมาเลย์
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: 6.
บทที่ 6
แรกทีเดียวหลินฮันหมิงจะนำรถออกไปส่งปวุฒิกับขวัญชีวี แต่ว่าปวุฒินั้นแสดงอาการเกรงใจเป็นอย่างมาก จนหลินฮันหมิงไม่อาจคะยั้นคะยอ และย่าเล็กเองก็เหมือนจะรู้ดีว่าปวุฒินั้นตั้งป้อมขวางหลานชายของตน เขาพาขวัญชีวีเดินออกมารอแท็กซี่ที่หน้าบ้านโดยระหว่างนั้นหลินฮันหมิงก็ยืนรอส่งอยู่ห่าง ๆ ด้วย
...ปวุฒิให้รถแท็กซี่ไปส่งขวัญชีวีที่โรงแรมก่อน หลังจากนั้นเขาก็ไปโรงพยาบาล พอเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าบนโต๊ะอาหารของขนาดเล็กนั้นเต็มไปด้วยถุงใส่ของกินคาวหวานและผลไม้...ซึ่งน่าจะเป็นฝีมือของคนเฝ้าไข้
“หายไปเป็นชาติเลยนะเอ็ง” วุฒินารทที่นอนเอกเขนกบนโซฟาพลางดูรายการเพลงทางโทรทัศน์ทางเคเบิ้ลทีวีเอ่ยปากถาม
“ก็ กว่าจะเสร็จธุระ...ออเป็นอย่างไรบ้าง” ปวุฒิเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงแล้วใช้หลังมืออังไปที่หน้าผากของน้องสาวเช็คดูว่าน้องสาวตัวร้อนเป็นไข้หรือเปล่า
“ไม่เป็นไรค่ะ หลับ ๆ ตื่น ๆ” จริง ๆ แล้วเพียงออปวดแผล แต่หญิงสาวจะแสดงความอ่อนแอให้พี่ชายเห็นไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้นโปรแกรมที่เธอวางแผนไว้ว่าจะตะลุยพม่า จีน อินเดีย คงจะได้ถูกสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด
“หมอมาดูอาการหรือยัง เขาว่าอย่างไรบ้าง”
“มาไม่รู้กี่รอบแล้ว เขาบอกว่า ควรจะอยู่โรงพยาบาลสักสองถึงสามวัน ถึงจะขึ้นเครื่องได้”
“ถ้างั้นแกก็อยู่ดูแลออนะ”
“มันก็ต้องเป็นไปตามนั้นอยู่แล้ว เพราะข้ามันคนว่างงาน...” แม้ไม่มีงานแสดงแต่ว่าฝีมือการทำอาหารของวุฒินารทที่ไปเรียนเพิ่มเติมยามที่เขาว่างเว้นจากงานละครนั้นสามารถอยู่โยงแทนพ่อครัวแม่ครัวในร้านได้เลยทีเดียว...
“ออว่าพี่สองคนกลับพร้อมกันเลยก็ได้ค่ะ พี่นารทคอนเฟิร์มตั๋วเลยดีกว่า...ออ ดูแลตัวเองได้ค่ะ...แค่ผ่าตัดไส้ติ่งแค่นี้เองเรื่องเล็ก”
“เรื่องเล็กสำหรับเรา แต่มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพี่ และพี่นารท”
“ใช่แล้วน้องออ อออย่าลืมนะว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านเรา...” วุฒินารทผุดนั่งแล้วก็เสริมเข้ามา
“แต่ออยังไม่ได้สำรวจอะไรในปีนังเลยนะคะ”
“อาการดีขึ้นแล้วค่อยกลับมาใหม่ก็ได้นี่” ปวุฒินั้นรู้นิสัยของน้องสาวเป็นอย่างดี และจากที่อ่านหนังสือท่องเที่ยวที่เพียงออเขียน อุปสรรคระหว่างเดินทางนั้นเพียงออถือว่าเป็นสีสันของชีวิต...และคิดว่าปัญหาระหว่างการเดินทางเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่นักท่องเที่ยวแบบแบกเป้จะต้องพบเจอ...
“เอาอย่างนี้ก็ได้ ว่าไปพี่ก็อยากเที่ยวปีนังอยู่เหมือนกัน” ช่วงที่เพียงออหลับวุฒินารทก็อ่านหนังสือคู่มือท่องเที่ยวมาเลเซียที่เป็นผลงานของคนอื่นที่เพียงออถือติดมาด้วย ด้วยเขาเองยังไม่เคยมาปีนัง เขาก็อยากไปเที่ยวให้ทั่วเหมือนกัน
“ไอ้นารท”
“ไอ้ปุ้ม แกก็รู้นี่ว่าแกขวางน้องสาวแกไม่ได้อยู่แล้ว ก็ตามใจให้ถึงที่สุดไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ”
“แล้วแกจะอยู่กันสองคนได้อย่างไร” คำถามนั้นถ้าฟังให้ดี คือปวุฒิไม่ไว้ใจวุฒินารท...อย่างไรเสียทั้งคู่ก็คือผู้หญิงกับผู้ชาย...
“แล้วทำไมจะอยู่ไม่ได้ล่ะ ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ก็ไปพักอยู่โรงแรม นอนคนละห้อง เวลาเที่ยวก็นั่งแท็กซี่ไป เกาะเล็ก ๆ แค่นี้ นั่งแท็กซี่วันเดียวก็คงมองเห็นหมดแล้วแหละ...และอีกอย่างการที่ข้าอยู่ด้วย ข้าก็จะได้คอยห้ามไม่ให้น้องออเขาซนเกินกำลังตัวเองได้ด้วย”
“ใช่ค่ะพี่ปุ้ม พี่นารทพูดถูกเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ”
“นี่ถ้าพ่อแม่รู้ว่าออป่วยจนถึงขั้นผ่าตัดแล้วยังคิดจะเที่ยวต่อ พ่อแม่บ่นพี่ตายเลย”
“เอาเป็นว่า ออจะดูแลตัวเองจนมั่นใจว่าเดินทางไหวแล้วกันค่ะ ออจะใช้เวลานี้ทำต้นฉบับเมืองที่ไปมาแล้ว ให้พี่นารทเที่ยวคนเดียวอย่างที่พี่นารทต้องการ แล้วพี่นารทก็บินกลับ... ออพอเดินทางไหวออก็ค่อยเที่ยวให้หมดแล้วก็บินกลับ แบบนี้ดีไหมคะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลากลับมาใหม่”
“ไม่ดี”
“พี่ปุ้มอ่ะ นะคะ...เดี๋ยวพอหมอให้ออกจากโรงพยาบาลแล้วออก็ไปอยู่ที่โรงแรมของคุณย่าซิ่วอิน พี่ปุ้มก็เห็นแล้วนี่ว่าคุณย่าใจดีแค่ไหน ท่านคงไม่ปล่อยให้ออเป็นอะไรหรอกค่ะ ...นะคะ ๆ”
หลังจากที่ขวัญชีวีและปวุฒิพากันกลับไปแล้ว หลินฮันหมิงก็เปิดฝาเปียโนแล้วนั่งลงพรมนิ้วมือไปบนคีย์ เขาเล่นเพลง The Love I Found in you ของ Jim Brickman ยังไม่ทันจบเพลง โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของเขาก็ดังขึ้น...เป็นสายจากวิศรุต
“ทำอะไรอยู่หรือเพื่อน” ด้วยวรรณรดาเห็นขวัญชีวีโพสต์รูปลงใน Instagram ว่าทำงานอยู่ที่ปีนัง หญิงสาวจึงได้โทรมาบอกกับวิศรุต วิศรุตเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์กับหลินฮันหมิงเขาจึงต่อสายมาหา
“เล่นเปียโนอยู่ครับ”
“อารมณ์ไหน”
“อยากเล่น...มีอะไรหรือเปล่า” อันที่จริงอารมณ์ที่เล่นเปียโนในวันนี้นั้นเพื่อที่จะกล่อมเกลาจิตใจให้กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม แต่ถ้าพูดไปตรง ๆ มีหวังเขาได้ถูกวิศรุตหัวเราะเยาะ
“คุณขวัญอยู่ปีนังนี่นา”
“อืม...”
“อืม นี่คืออะไร”
“ก็รับรู้ว่าเขาอยู่ปีนัง”
“อยากรู้ไหมละว่าเขาอยู่ที่ไหน พักที่ไหน”
“ทำไมต้องอยากรู้”
“แน่ใจนะว่าไม่อยากรู้”
“เมื่อครู่เขาก็มากินข้าวที่บ้าน” หลินฮันหมิงไม่อยากอ้อมค้อม และการได้เอ่ยถึงหญิงสาวก็ทำให้ใจหน่วงนั้นผ่อนคลายลงอย่างประหลาด เขามีกฏว่าจะไม่ยุ่งกับผู้หญิงของคนอื่น แต่ใจของเขามันไม่ยอมปฏิบัติตาม เขาถอนสายตาจากใบหน้าของขวัญชีวีไม่ได้ ดวงตาคู่นั้นเหมือนคุ้นเคยกันมาเนิ่นนาน ยามที่เธอเอ่ยปากเจรจา ตาของเธอยิ้มไปพร้อมกับริมฝีปาก...เขายอมรับว่าเขาชอบขวัญชีวี...
“ฮะ อะไรนะ”
“เขาเพิ่งมากินข้าวที่บ้านไอ เขามากับแฟนเขา นายปวุฒิน่ะ...”
“โอ้ว...เรื่องจริงหรือนี่ มันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรวะเพื่อน”
“ฟังให้ดี ๆ นะ” ว่าแล้วเขาก็เล่าเรื่องความบังเอิญที่เริ่มต้นจากเพียงออมาพักที่โรงแรมของย่าหลินซิ่ว อินให้วิศรุตได้รับรู้ รวมถึงเรื่องที่พี่สาวของเขาไปเห็นขวัญชีวีที่ชายทะเลด้วย...
“โอ้ว...แบบนี้ภาษาไทยเขาเรียกว่าดวงสมพงษ์กันนะ...คุณขวัญเฮงน่าดูเลยว่ะ เดี๋ยวไอจะดำเนินการติดต่อบริษัทผลิตสื่อโฆษณาเลยนะ ยูคิดว่าอย่างไร”
“ให้บริษัทเขาคิดงานมาก่อนว่าจะออกมาแบบไหน....ทางนั้นพร้อมไอก็จะลงไปดู...”
“ตกลงบริษัทแม่เลือกขวัญชีวีเป็นพรีเซนเตอร์เวอซ่าดีโก้ คนแรกของประเทศไทย”
“ตอนนี้ยังไม่เป็นทางการนะ รอเข้าที่ประชุมอีกทีก่อน แต่เงื่อนไขของงานนี้ก็คือต้องมาถ่ายทำที่มาเลเซียเท่านั้น”
“และที่นั่นแกก็จะเดินเครื่องจีบคุณขวัญเต็มสูบ...”
“เขามีแฟนแล้ว” แม้จะอุ่นใจว่าขวัญชีวีกับปวุฒิน่าจะยังไม่มีความสัมพันธ์กันลึกซึ้ง เพราะเมื่อตอนกินข้าวเย็นย่าเล็กถามเขาว่าคืนนี้จะนอนที่ไหน เขาตอบว่าจะนอนเฝ้าเพียงอออยู่ที่โรงพยาบาลพร้อมกับเพื่อนของเขา แต่ตอนนี้หลินฮันหมิงก็ต้องการคำยืนยันจากวิศรุตอย่างแนบเนียนที่สุด
“ก็บอกแล้วไงว่า คบกันได้ก็เลิกกันได้ ขอให้นายตั้งใจเป็นมือที่สามเถอะ”
“แล้วคำว่าแฟนของคนไทยนี่มันขั้นไหนกัน”
“น่าจะยังไม่มีอะไรกันหรอก คุณขวัญหัวโบราณจะตาย แล้วที่สำคัญนายถือเรื่องพวกนี้เหมือนกันเหรอ”
“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ อย่าพูดถึงเขาเลย เปลี่ยนเรื่องคุยเหอะ”
“เปลี่ยนทำไม ไอรู้ว่านายชอบฟังเรื่องของคุณขวัญ”
“งั้นแค่นี้นะ ง่วงนอนแล้ว”
“เดี๋ยวซิวะ”
“เปลืองค่าโทรศัพท์ แล้วค่อยเจอกันที่เมืองไทย แค่นี้นะ” ตัดสายของวิศรุตแล้วหลินฮันหมิงก็ยิ้มบาง ๆ วางโทรศัพท์ลงบนเปียโนแล้วก็พรมนิ้วมือเล่นเพลงหวานซึ้งต่อไป
หลินฮันหมิงตัดสายไปแล้ววิศรุตที่นั่งอยู่ในร้านอาหารอิตาเลี่ยนกับวรรณรดาก็วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ
“เป็นอย่างไรบ้างค่ะ”
“น้องสาวของไอ้ปุ้ม..ดันไปป่วยที่ปีนังเสียอีก”
“พี่ปุ้มค่ะ” วรรณรดาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามเอ่ยแก้ด้วยดวงตาขวาง ๆ
“นั่นแหละ...ตอนนี้ปุ้มเขาก็อยู่ปีนังกับน้องขวัญ”...แล้ววิศรุตก็เล่าเรื่องที่ได้รับรู้จากปากของหลินฮัน หมิงให้วรรณรดาได้รับรู้ รวมถึงเรื่องที่พี่สาวของหลินฮันหมิงไปเจอขวัญชีวีถ่ายแบบที่ชายทะเลแล้วชื่นชอบจนกระทั่งมีแววว่าจะอนุมัติให้ขวัญชีวีเป็นพรีเซนเตอร์ของเวอซ่าดีโก้ซึ่งจะใช้คนไทยเป็นคนแรกตามที่หลินฮัน หมิงได้เสนอต่อที่ประชุมไว้ก่อนหน้านั้น
“แปลกดีนะคะ...”
“พี่ว่า บางทีคนทั้งคู่เขาอาจจะเกิดมาเพื่อกันและกันก็ได้ มันก็เลยต้องมีเหตุให้ต้องไปเจอกันที่โน่นโดยเฉพาะเรื่องที่พี่สาวของเจ้ามาร์คไปเห็นคุณขวัญนี่มันประหลาดมากเลย...”
“แล้วเมื่อไหร่พี่รุตจะเจอเนื้อคู่ของพี่ซะทีนะ อยากเห็นหน้าแฟนพี่บ้างจัง”
“ถ้าไม่มามัวเสียเวลาอยู่กับน้องขวัญ ป่านนี้พี่ก็คงหามาให้ดาได้เห็นแล้ว” ด้วยเป็นนักเที่ยวตัวยงทำให้เขาไม่ได้รู้สึกเหงาจนกระทั่งอยากมีคู่ครอง และด้วยต้องตามจีบขวัญชีวีในช่วงก่อนหน้านั้นเขาจึงไม่ยอมทำตัวสนิทกับสาว ๆ คนใด ทั้งที่พ่อแม่ของเขาก็พยายามจับคู่กับลูก ๆ ของเพื่อนที่มีฐานะทางการเงินเสมอกัน
“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์ช่วยเหลือ”
“ครั้งที่ร้อยแล้ว แล้วนี่ ตอนนี้จะไม่ลุยกับปวุฒิสักหน่อยหรือ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ...ดาไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว...”
“หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วก็โทรไปหาเขาตอนนี้เลย แสดงความเป็นห่วงเป็นใย ร่วมทุกข์ร่วมสุข” วิศรุตแสดงความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรักออกมา แต่ว่าวรรณรดาหาได้คล้อยตามง่าย ๆ
“เขาอยู่ต่างประเทศ ถ้ารับสายก็เสียเงินแย่เลย อย่าดีกว่าค่ะ ถ้าพี่กับคุณมาร์คทำงานสำเร็จนะคะ ดาว่าดารอดามหัวใจเขาดีกว่าคะ” อันที่จริงวรรณรดากลัวว่าเขาจะไม่รับสายของเธอเสียมากกว่า
“งั้นก็ใช้ สมาร์ทโฟนให้เป็นประโยชน์ พิมพ์ข้อความไปถามเขาซิ เผื่อเขาจะตอบมา”
วรรณรดาทำท่าคิดหนัก...
“พี่ว่า ดาเปิดศึกให้ขวัญเขาเห็นไปเลยว่า ดาชอบปวุฒิ ขวัญเขาอาจจะถอยให้ดาก็ได้นะ”
“แบบนั้นคาแรคเตอร์นางร้ายในละคร ไม่ดีกว่าค่ะ”
“ยุอะไรไม่ขึ้นสักอย่างเลยนะ”
“ดาอยากให้ขวัญกับพี่ปุ้มเลิกกันก่อน ดาไม่อยากได้ชื่อว่าแย่งแฟนเพื่อน ดาไม่อยากเสียเพื่อนค่ะ”
“แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ ถ้าดาจะส่งข้อความไปหาปุ้มมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลยนะ”
“ก็ได้ค่ะ” ว่าแล้ววรรณรดาก็ดึงโทรศัพท์มือถือออกมากระเป๋าสะพายที่ราคาแพงลิบลิ่ว...
‘ทราบมาว่าพี่ปุ้มอยู่ปีนัง ออเป็นอย่างไรบ้างคะ’ วรรณรดารวบรัดจนได้ใจความ...และอึดใจใหญ่ ๆ
เขาก็พิมพ์ตอบกลับมาว่า
‘รู้ได้ไงครับ ออ ผ่าตัดไส้ติ่งดีขึ้นแล้ว พี่กลับกรุงเทพฯ พรุ่งนี้ครับ ขอบคุณครับ’ ข้อความนั้นเหมือนจะตัดบทอยู่ในที แต่ว่าวรรณรดาเมื่อต่อกับเขาติดแล้วก็ต้องใช้ช่องทางสื่อสารนี้ให้เป็นประโยชน์
‘คุณมาร์คบอกพี่รุตค่ะ...//อย่าลืมซื้อขนมมาฝากด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ’
‘ได้ครับ ถึงเมืองไทยแล้วจะโทรหานะครับ’
‘ค่ะ ดูแลตัวเองด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ’
ไม่มีบทสนทนาโต้ตอบกลับมาอีก แต่ว่าวรรณรดาก็รู้สึกว่าความคิดถึงที่มันล้นอกอยู่นั้นบรรเทาไปได้บ้างและความมืดที่เหมือนจะมืดสนิทก็คล้าย ๆ จะมีแสงดาวแสงเดือนช่วยทำให้เห็นหนทางข้างหน้า...
แม้จะเดินเหินไม่สะดวกแต่เพียงออที่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บนเตียงพักฟื้นก็หาได้ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ หญิงสาวใช้โต๊ะสำหรับวางอาหารให้คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงวางรองสมุดบันทึกต้นฉบับที่บอกเล่าเรื่องราวระหว่างการเดินทางที่ยังทำค้างไว้พลางเปิดกล้องดิจิตอลดูรูปถ่ายเพื่อทวนความจำไปด้วย ส่วนวุฒิ นารทเมื่อปวุฒิอาบน้ำแต่งตัวขึ้นแท็กซี่ไปสนามบินแล้วเขาก็นอนหลับใหล ตื่นขึ้นมาลงไปหาของกินในย่านนั้นแล้วเขาก็กลับขึ้นมาทำหน้าที่คนเฝ้าไข้ที่ดี คือนั่ง นอน เปิดโทรทัศน์ดู โดยไม่ได้สนใจว่าเพียงออนั้นต้องการนอนหลับพักผ่อนหรือว่าต้องการใช้สมาธิทำงาน
“พี่นารทจะออกไปตระเวนเที่ยวปีนังตอนนี้เลยก็ได้นะคะ อออยู่คนเดียวได้ ไม่มีปัญหา”
“แต่พี่ลุยคนเดียวไม่ได้ ออก็รู้นี่พี่ไม่เก่งภาษาอังกฤษสักเท่าไหร่”
“มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย มีข้อมูล มีเงิน แล้วก็มีความกล้า ทุกอย่างมันก็จบแล้ว”
“ออพูดเหมือนง่าย”
“เนี่ย พี่ก็นั่งรถไปเที่ยว วัดงู วัดเก๊กล็อกซี หรือไม่ก็ไปขึ้นรถรางขึ้นไปบนปีนังฮิลล์ หรือจะไปช็อปปิ้ง แถว ๆ ตึกคอมต้าก็ได้ หนังสือเขามีบอกไว้หมด แล้วแผนที่ในมือก็มีนี่ มา ออจะเอากระดาษเขียนสถานที่ คร่าว ๆ ให้ แล้วพี่นารทก็ใช้บริการรถแท็กซี่ ถูกโก่งราคาบ้างอะไรบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก...”
“รอให้ออหายก่อนดีกว่า ไปพร้อมออก็ได้...”
“แล้วนี่ถ้ามีงานติดต่อมาพี่จะทำอย่างไร...จะอยู่กับออห้าวันหกวันได้เลยเหรอ” เพียงออนั้นอยากให้วุฒินารทตามพี่ชายกลับกรุงเทพฯไป เพราะอยากอยู่ตามลำพัง พักฟื้นจนกว่าจะแข็งแรงแล้วก็ตะลอนเที่ยวเก็บข้อมูลให้ทั่ว และที่สำคัญเพียงออก็ไม่อยากกลับเมืองไทยทางเครื่องบินพร้อมวุฒินารท เพียงอออยากนั่งรถไฟจากบัตเตอร์เวอร์ธไปที่หัวลำโพงตามโปรแกรมที่ได้วางไว้แต่แรก และเมื่อพี่ชายไม่อยู่แล้วแบบนี้ เธอจะต้องไล่วุฒินารทกลับเมืองไทยไปก่อนให้จงได้
“รับปากไอ้วุฒิไว้แล้ว ก็ต้องได้แหละ” ก่อนจะกลับปวุฒิบอกวุฒินารทไว้แล้วว่า งานนี้เขาต้องกลับพร้อมเพียงออเท่านั้น และเขาก็จะต้องปฏิบัติตามนั้น ไม่ว่าเพียงออจะมีเล่ห์กระเท่อย่างไรก็ตาม
“เซ็งแย่เลยนะ รอกลับพร้อมออ ดีไม่ดี อีกเป็นสิบ ๆ วันเลยนะ”
“ทำไงได้ล่ะ...รับปากจะช่วยเพื่อนดูแลน้องเพื่อน ก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด...”บอกกับเพียงออพลางกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปมา...และด้วยไม่ใช่โทรทัศน์ที่เชื่อมต่อเคเบิ้ลทีวีในเมืองไทยไม่ว่าจะเปลี่ยนไปช่องไหนก็หาได้มีรายการใดน่าสนใจเพราะว่าภาษานั้นเป็นอุปสรรค
“แต่ว่าไปแล้ว พี่นารทอยู่ในห้องแบบนี้ พี่นารทก็กวนออนะคะ” เมื่อกล่อมดี ๆ ไม่ได้ผลเพียงออจำต้องพูดตรง ๆ พอได้ยินเพียงออบอกอย่างนี้วุฒินารทก็เบิกตากว้าง..ทำหน้าเหรอหรา...
“โอ้วว นี่พี่ทำคุณบูชาโทษอย่างนั้นเหรอเนี่ย ไอ้ที่พี่อยู่เป็นเพื่อนเพราะพี่กลัวออจะเหงา...”
“แต่ออก็กลัวพี่เบื่อเหมือนกัน นั่ง ๆ นอน ๆ อออยากให้พี่ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ความตื่นเต้นมันเป็นสีสันของชีวิตนะ...พี่ต้องลองดู พี่ต้องกล้าหาญชาญชัย ไปซักหนอะไรมันก็ง่ายหมด...ออเป็นผู้หญิงออยังไม่เห็นกลัวอะไรเลย”
คำพูดของเพียงออนั้นเหมือนไปสะกิดรอยแผลเป็นของวุฒินารทเพราะก่อนหน้านั้นเขาคบหาอยู่กับสาวในวงการบันเทิงซึ่งเหมาบทนางร้ายมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง แต่ว่าอยู่ ๆ เจ้าหล่อนก็ตีจากเขาไปแต่งงานกับลูกนักการเมืองด้วยเหตุผลที่ว่า อยู่กับเขาชีวิตก็เหมือนย่ำอยู่กับที่และค่อนจะถอยหลังลงคลอง เพราะงานในวงการของเขานั้นดูจะเหมือนดวงดาวที่อับแสงลงเรื่อย ๆ และเขาเองก็เหมือนจะไม่มีหัวคิดก้าวหน้า
กระทั่งความสนิทสนมกับปวุฒิทำให้เขากล้านำเงินเก็บที่มีอยู่ก้อนหนึ่งลงทุนทำกิจการ และตั้งแต่นั้นมา เขาก็วุ่นวายอยู่กับร้านอาหารที่เพิ่งก่อร่างสร้างตัวเพราะหวังว่าที่นี่จะเป็นอาชีพที่มั่นคงให้กับเขา และด้วยหน้าตากับชื่อเสียงที่ยังพอมีอยู่ไม่น้อย ทำให้มีผู้หญิงมาติดพันเขาอยู่บ้าง แต่เขากลับกลัวการมีความรัก เคยคิดจะจีบวรรณรดาที่สูงเหมือนดอกฟ้า เขาก็รู้สึกว่าวรรณรดานั้นอยู่สูงเกินเอื้อม และวรรณรดาเองก็ดูจะชอบเพื่อนเขาที่เป็นพระเอกเสียมากกว่า...
ฟังเพียงออพูดแล้ววุฒินารทก็ใช้รีโมทกดปิดโทรทัศน์แล้วก็นั่งกอดอกอย่างงอน ๆ เพียงออกรอกตาไปมาแล้วก็แสร้งไม่เห็นอาการนั้น...
และอึดใจใหญ่ ๆ เขาก็ลุกขึ้นก่อนจะบอกกับเพียงอออย่างงอน ๆ ว่า “พี่จะออกไปเดินเล่นข้างนอกนะ”
เขาเดินออกไปแล้ว ออกไปอย่างไม่มีข้อมูลอะไรติดติดตัวไปด้วย เขาออกไปนานมาก นานจนเพียงออรู้สึกเป็นห่วง...
และเสียงเคาะประตูก็ทำให้เพียงออรีบเงยหน้าขึ้นไปมองก่อนที่จะเห็นคุณย่าหลินซิ่วอินเดินมาพร้อมกับหญิงชาวจีนวัยกลางคนคนหนึ่ง ดูจากการแต่งตัวแล้วเพียงออเดาออกว่าน่าจะเป็นคนงานในบ้านเพราะว่าในมือของหญิงคนนั้นมีตะกร้าใส่ของ ท่าทางก็ดูเจียมเนื้อเจียมตัวและเพียงออก็เดาไม่ผิดจริงๆ
หลังยกมือไหว้แล้ว เพียงออก็ถามว่า “เอาอะไรมาด้วยคะคุณย่า”
“ข้าวต้ม กับข้าว ไก่ดำตุ๋นยาจีน ผลไม้ อยากให้หนูแข็งแรงเร็วๆ”
“ออเพิ่งกินอาหารของโรงพยาบาลไปเมื่อกี้นี้เองค่ะ”
“อีกสักพักค่อยกินใหม่ก็ได้ กินเยอะๆ จะได้ฟื้นตัวได้เร็ว...ย่ายังไม่ได้รีบกลับหรอก แล้วนี่อยู่คนเดียวเหรอ คนเฝ้าไข้ไปไหน”
“พี่นารทออกไปเดินเล่นค่ะ เดี๋ยวก็คงกลับ...”
ขณะที่คุยกับคุณย่าเล็กไป สายตาของเพียงออก็มองไปที่ประตูอยู่บ่อย ๆ กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสี่ทุ่ม เพียงออก็ขอให้คุณย่าเล็กกลับบ้านเพราะรู้สึกเกรงใจคนที่ตามมาด้วยซึ่งฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง
“แต่พี่ของหนูยังไม่กลับมานี่ แล้วเขามีโทรศัพท์หรือเปล่า”
“มีเบอร์ของเมืองไทยค่ะ แต่เขาคงไม่ได้เปิดเครื่องหรอก คุณย่ากลับไปก่อนเถอะค่ะ อออยู่ได้”
“ถ้างั้นหนูก็ดูแลตัวเองดีๆ นะ มีอะไรก็โทรหาย่าได้เลย” เวลาอยู่เมืองใด เพียงออก็จะใช้ซิมการ์ดแบบเติมเงินของเมืองนั้น เพื่อใช้ติดต่อโรงแรมประสานงาน และเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
ย่าเล็กกลับไปนานแล้ว นาฬิกาที่ผนังหมุนไปบอกเวลาเที่ยงคืน พยาบาลเดินเข้ามาวัดไข้ เข้ามาฉีดยา เข้ามาให้ยาก่อนนอน เข้ามาเปลี่ยนขวดน้ำเกลือไม่รู้ต่อกี่รอบ แต่ว่าวุฒินารทก็ยังไม่กลับมา เพียงออรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก โทรศัพท์เข้าเครื่องของวุฒินารทเขาก็ปิดเครื่องอย่างที่เดาไว้จริง ๆ กระทั่งเพียงออรู้สึกว่านอกตัวอาคารฝนกำลังตกอย่างหนัก เพียงออจึงเริ่มร้อนรนมากขึ้น และความร้อนรุ่มของเพียงออก็จบลงเมื่อเวลาสามนาฬิกา วุฒินารทเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับกลิ่นเหล้าคลุ้งติดตัว
“ไปไหนมา ทำไมเพิ่งจะกลับ”
“ก็ไปหาประสบการณ์อย่างที่ออต้องการ” เขาล้มตัวลงนอนอย่างหมดแรง ไฟที่หัวเตียงเปิดไว้สลัว เพียงออจึงไม่ได้เห็นหรอกว่า ตัวของเขาชื้นน้ำฝนหรือเปล่า แต่ว่าหญิงสาวก็ค่อย ๆ ลงจากเตียงลงมาดูสภาพ
“ไปกินที่ไหนมา” เพียงออยืนอยู่ห่างจากร่างของเขาพอประมาณ
“มีกะตังค์ซะอย่าง หากินไม่ยากหรอก...”
“เมาใช่ไหมเนี่ย”
“กินเหล้าก็ต้องเมาละซิ ไม่ได้กินน้ำนี่ ถามแปลกๆ”
“ไอ้เราก็รอไปเหอะ นึกว่าหลงทางซะแล้ว”
“..รู้แล้วใช่ไหมว่า เวลาหายหัวไปไหนโดยไม่ย่อมส่งข่าวนะ คนรอ คนอยู่ข้างหลังเขารู้สึกอย่างไร?...”
ช่วงที่นั่งรอขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ ปวุฒิได้สอบถามขวัญชีวีถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณย่าหลิน ซิ่วอินกับคุณยายแน่งน้อย ด้วยความบริสุทธิ์ใจขวัญชีวีจึงได้บอกเล่าเรื่องราวในอดีตความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่อย่างไม่คิดปิดบัง...และเมื่อปวุฒิจะซื้อช็อคโกแลตสินค้าเลื่องชื่อกับขนมกลับไปฝากวรรณรดา เขาก็ไม่คิดปิดบังขวัญชีวีด้วย ขวัญชีวีเองนั้นก็ซักถามเขาพอเป็นพิธีว่า ทำไมต้องซื้อไปฝาก และวรรณรดารู้ได้อย่างไรว่าเขามาปีนัง เขาบอกเล่าไปตามที่รู้ นั่นก็คือ หลินฮันหมิงกับวิศรุตคงจะโทรคุยกัน โลกที่เหมือนกว้างจึงได้แคบลงไปอย่างมาก
กลับมาถึงเมืองไทยแล้วปวุฒิก็รีบไปกองถ่าย ตอนเย็นมีงานอีเวนท์ใช้เวลาน้อยแต่ได้เงินมากกว่าเล่นละครหนึ่งตอน แต่ว่าละครคืองานที่ทำให้มีงานอีเวนท์ สองสิ่งนี้นักแสดงอย่างเขาต้องทำให้ดีที่สุด...
และเขาก็ไม่ได้ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับวรรณรดาคนสำคัญผู้ที่อยู่เบื้องหลังความดังของดาราหลาย ๆ คน รวมถึงเขาด้วย วรรณรดารีบกดรับสายเมื่อปวุฒิโทรเข้ามา...“ขอโทษทีครับคุณดา...พอดีพี่เพิ่งว่าง”
“ดาเข้าใจค่ะ” สำหรับปวุฒิ วรรณรดาพร้อมจะเข้าใจเขาเสมอ ทั้งที่วันนี้ทั้งวันวรรณรดามองโทรศัพท์มือถืออยู่หลายรอบ คิดจะโทรไปทวงของฝากก็เกรงว่าจะทำให้เขารำคาญ
“ตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ ผมจะเอาของฝากไปให้น่ะ”
“ดากำลังจะกลับบ้านค่ะ ติดอยู่บนถนน เพิ่งออกจากบริษัท พี่ปุ้มละคะ”
“ผมก็อยู่บนถนนเหมือนกัน...”
และเมื่อรู้ว่าปวุฒินั้นขับรถอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน เพียงแต่ว่าขับตามหลังมา วรรณรดาจึงถือเป็นโอกาส “พี่ปุ้มทานข้าวเย็นหรือยังคะ”
“ยังเลย...”
“ดาก็ยังไม่ได้ทานค่ะ หิวมาก ทานข้านเย็นด้วยกันนะคะ”
“ดีเหมือนกัน”
“งั้นดารอผมที่ร้าน...ตรงซอย.... นะคะ” นัดหมายกันเรียบร้อยแล้วความทุกข์ร้อนใจเรื่องรถติดก็อันเป็นหายไป วรรณรดาถึงก่อนปวุฒิ หญิงสาวเข้าไปในร้านอาหาร และขณะดูเมนูเลือกอาหารหญิงสาวก็โทรศัพท์ถามเขาไปด้วย
“ผมทานได้หมดแหละ หิวจะแย่แล้ว คุณดาสั่งได้เลย”
“ค่ะ...ห้าหกอย่าง พี่ปุ้มต้องทานให้หมดนะคะ”
“โอเคครับ แล้วเจอกัน” ปวุฒิพยายามจะพูดกับวรรณรดาให้น้อยที่สุดเหมือนกับที่ขวัญชีวีทำกับเขา
วรรณรดาเลือกอาหารแล้วก็เดินไปเข้าห้องน้ำสำรวจดูใบหน้าตัวเองกับกระจกเงา และคนที่ผลักประตูเขามา ก็ทำให้วรรณรดาต้องรีบหันไปยิ้มทั้งปากทั้งตาให้กมลมาลย์เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย ที่ผลันตัวเองไปเป็นนักข่าวสายบันเทิง...วรรณรดาทักทายถามไถ่สารทุกข์สุขดิบพูดคุยด้วยอย่างไม่ถือตัว แล้วโทรศัพท์ในกระเป๋าถือของตัวเองก็ดังขึ้น
“พี่ปุ้ม ถึงแล้วเหรอคะ ค่ะ ๆ ดาอยู่ในห้องน้ำค่ะ” วางโทรศัพท์แล้ว...วรรณรดาก็
บอกกับกมลมาลย์ที่บังเอิญพบกันว่า... “ดาขอตัวก่อนนะ”
“ปุ้มไหนเหรอดา...ใช้พี่ปุ้มปวุฒิหรือเปล่า” กมลมาลย์รีบซักไซ้ตามประสานักข่าว
“ใช่”
“มาด้วยกันได้อย่างไรล่ะ”
“ไม่ได้มาด้วยกัน...ต่างคนต่างมา...แค่นัดทานข้าวด้วยกันนะ ขอตัวก่อนนะ...” วรรณรดารู้ว่าเพียงแค่นี้ในสังคมที่กระหายข่าวสารของคนดัง ก็น่าจะพอสำหรับการเขย่าบัลลังก์รักของเพื่อนสนิท...
แรกทีเดียวหลินฮันหมิงจะนำรถออกไปส่งปวุฒิกับขวัญชีวี แต่ว่าปวุฒินั้นแสดงอาการเกรงใจเป็นอย่างมาก จนหลินฮันหมิงไม่อาจคะยั้นคะยอ และย่าเล็กเองก็เหมือนจะรู้ดีว่าปวุฒินั้นตั้งป้อมขวางหลานชายของตน เขาพาขวัญชีวีเดินออกมารอแท็กซี่ที่หน้าบ้านโดยระหว่างนั้นหลินฮันหมิงก็ยืนรอส่งอยู่ห่าง ๆ ด้วย
...ปวุฒิให้รถแท็กซี่ไปส่งขวัญชีวีที่โรงแรมก่อน หลังจากนั้นเขาก็ไปโรงพยาบาล พอเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าบนโต๊ะอาหารของขนาดเล็กนั้นเต็มไปด้วยถุงใส่ของกินคาวหวานและผลไม้...ซึ่งน่าจะเป็นฝีมือของคนเฝ้าไข้
“หายไปเป็นชาติเลยนะเอ็ง” วุฒินารทที่นอนเอกเขนกบนโซฟาพลางดูรายการเพลงทางโทรทัศน์ทางเคเบิ้ลทีวีเอ่ยปากถาม
“ก็ กว่าจะเสร็จธุระ...ออเป็นอย่างไรบ้าง” ปวุฒิเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงแล้วใช้หลังมืออังไปที่หน้าผากของน้องสาวเช็คดูว่าน้องสาวตัวร้อนเป็นไข้หรือเปล่า
“ไม่เป็นไรค่ะ หลับ ๆ ตื่น ๆ” จริง ๆ แล้วเพียงออปวดแผล แต่หญิงสาวจะแสดงความอ่อนแอให้พี่ชายเห็นไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้นโปรแกรมที่เธอวางแผนไว้ว่าจะตะลุยพม่า จีน อินเดีย คงจะได้ถูกสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด
“หมอมาดูอาการหรือยัง เขาว่าอย่างไรบ้าง”
“มาไม่รู้กี่รอบแล้ว เขาบอกว่า ควรจะอยู่โรงพยาบาลสักสองถึงสามวัน ถึงจะขึ้นเครื่องได้”
“ถ้างั้นแกก็อยู่ดูแลออนะ”
“มันก็ต้องเป็นไปตามนั้นอยู่แล้ว เพราะข้ามันคนว่างงาน...” แม้ไม่มีงานแสดงแต่ว่าฝีมือการทำอาหารของวุฒินารทที่ไปเรียนเพิ่มเติมยามที่เขาว่างเว้นจากงานละครนั้นสามารถอยู่โยงแทนพ่อครัวแม่ครัวในร้านได้เลยทีเดียว...
“ออว่าพี่สองคนกลับพร้อมกันเลยก็ได้ค่ะ พี่นารทคอนเฟิร์มตั๋วเลยดีกว่า...ออ ดูแลตัวเองได้ค่ะ...แค่ผ่าตัดไส้ติ่งแค่นี้เองเรื่องเล็ก”
“เรื่องเล็กสำหรับเรา แต่มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพี่ และพี่นารท”
“ใช่แล้วน้องออ อออย่าลืมนะว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านเรา...” วุฒินารทผุดนั่งแล้วก็เสริมเข้ามา
“แต่ออยังไม่ได้สำรวจอะไรในปีนังเลยนะคะ”
“อาการดีขึ้นแล้วค่อยกลับมาใหม่ก็ได้นี่” ปวุฒินั้นรู้นิสัยของน้องสาวเป็นอย่างดี และจากที่อ่านหนังสือท่องเที่ยวที่เพียงออเขียน อุปสรรคระหว่างเดินทางนั้นเพียงออถือว่าเป็นสีสันของชีวิต...และคิดว่าปัญหาระหว่างการเดินทางเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่นักท่องเที่ยวแบบแบกเป้จะต้องพบเจอ...
“เอาอย่างนี้ก็ได้ ว่าไปพี่ก็อยากเที่ยวปีนังอยู่เหมือนกัน” ช่วงที่เพียงออหลับวุฒินารทก็อ่านหนังสือคู่มือท่องเที่ยวมาเลเซียที่เป็นผลงานของคนอื่นที่เพียงออถือติดมาด้วย ด้วยเขาเองยังไม่เคยมาปีนัง เขาก็อยากไปเที่ยวให้ทั่วเหมือนกัน
“ไอ้นารท”
“ไอ้ปุ้ม แกก็รู้นี่ว่าแกขวางน้องสาวแกไม่ได้อยู่แล้ว ก็ตามใจให้ถึงที่สุดไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ”
“แล้วแกจะอยู่กันสองคนได้อย่างไร” คำถามนั้นถ้าฟังให้ดี คือปวุฒิไม่ไว้ใจวุฒินารท...อย่างไรเสียทั้งคู่ก็คือผู้หญิงกับผู้ชาย...
“แล้วทำไมจะอยู่ไม่ได้ล่ะ ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ก็ไปพักอยู่โรงแรม นอนคนละห้อง เวลาเที่ยวก็นั่งแท็กซี่ไป เกาะเล็ก ๆ แค่นี้ นั่งแท็กซี่วันเดียวก็คงมองเห็นหมดแล้วแหละ...และอีกอย่างการที่ข้าอยู่ด้วย ข้าก็จะได้คอยห้ามไม่ให้น้องออเขาซนเกินกำลังตัวเองได้ด้วย”
“ใช่ค่ะพี่ปุ้ม พี่นารทพูดถูกเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ”
“นี่ถ้าพ่อแม่รู้ว่าออป่วยจนถึงขั้นผ่าตัดแล้วยังคิดจะเที่ยวต่อ พ่อแม่บ่นพี่ตายเลย”
“เอาเป็นว่า ออจะดูแลตัวเองจนมั่นใจว่าเดินทางไหวแล้วกันค่ะ ออจะใช้เวลานี้ทำต้นฉบับเมืองที่ไปมาแล้ว ให้พี่นารทเที่ยวคนเดียวอย่างที่พี่นารทต้องการ แล้วพี่นารทก็บินกลับ... ออพอเดินทางไหวออก็ค่อยเที่ยวให้หมดแล้วก็บินกลับ แบบนี้ดีไหมคะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลากลับมาใหม่”
“ไม่ดี”
“พี่ปุ้มอ่ะ นะคะ...เดี๋ยวพอหมอให้ออกจากโรงพยาบาลแล้วออก็ไปอยู่ที่โรงแรมของคุณย่าซิ่วอิน พี่ปุ้มก็เห็นแล้วนี่ว่าคุณย่าใจดีแค่ไหน ท่านคงไม่ปล่อยให้ออเป็นอะไรหรอกค่ะ ...นะคะ ๆ”
หลังจากที่ขวัญชีวีและปวุฒิพากันกลับไปแล้ว หลินฮันหมิงก็เปิดฝาเปียโนแล้วนั่งลงพรมนิ้วมือไปบนคีย์ เขาเล่นเพลง The Love I Found in you ของ Jim Brickman ยังไม่ทันจบเพลง โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของเขาก็ดังขึ้น...เป็นสายจากวิศรุต
“ทำอะไรอยู่หรือเพื่อน” ด้วยวรรณรดาเห็นขวัญชีวีโพสต์รูปลงใน Instagram ว่าทำงานอยู่ที่ปีนัง หญิงสาวจึงได้โทรมาบอกกับวิศรุต วิศรุตเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์กับหลินฮันหมิงเขาจึงต่อสายมาหา
“เล่นเปียโนอยู่ครับ”
“อารมณ์ไหน”
“อยากเล่น...มีอะไรหรือเปล่า” อันที่จริงอารมณ์ที่เล่นเปียโนในวันนี้นั้นเพื่อที่จะกล่อมเกลาจิตใจให้กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม แต่ถ้าพูดไปตรง ๆ มีหวังเขาได้ถูกวิศรุตหัวเราะเยาะ
“คุณขวัญอยู่ปีนังนี่นา”
“อืม...”
“อืม นี่คืออะไร”
“ก็รับรู้ว่าเขาอยู่ปีนัง”
“อยากรู้ไหมละว่าเขาอยู่ที่ไหน พักที่ไหน”
“ทำไมต้องอยากรู้”
“แน่ใจนะว่าไม่อยากรู้”
“เมื่อครู่เขาก็มากินข้าวที่บ้าน” หลินฮันหมิงไม่อยากอ้อมค้อม และการได้เอ่ยถึงหญิงสาวก็ทำให้ใจหน่วงนั้นผ่อนคลายลงอย่างประหลาด เขามีกฏว่าจะไม่ยุ่งกับผู้หญิงของคนอื่น แต่ใจของเขามันไม่ยอมปฏิบัติตาม เขาถอนสายตาจากใบหน้าของขวัญชีวีไม่ได้ ดวงตาคู่นั้นเหมือนคุ้นเคยกันมาเนิ่นนาน ยามที่เธอเอ่ยปากเจรจา ตาของเธอยิ้มไปพร้อมกับริมฝีปาก...เขายอมรับว่าเขาชอบขวัญชีวี...
“ฮะ อะไรนะ”
“เขาเพิ่งมากินข้าวที่บ้านไอ เขามากับแฟนเขา นายปวุฒิน่ะ...”
“โอ้ว...เรื่องจริงหรือนี่ มันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรวะเพื่อน”
“ฟังให้ดี ๆ นะ” ว่าแล้วเขาก็เล่าเรื่องความบังเอิญที่เริ่มต้นจากเพียงออมาพักที่โรงแรมของย่าหลินซิ่ว อินให้วิศรุตได้รับรู้ รวมถึงเรื่องที่พี่สาวของเขาไปเห็นขวัญชีวีที่ชายทะเลด้วย...
“โอ้ว...แบบนี้ภาษาไทยเขาเรียกว่าดวงสมพงษ์กันนะ...คุณขวัญเฮงน่าดูเลยว่ะ เดี๋ยวไอจะดำเนินการติดต่อบริษัทผลิตสื่อโฆษณาเลยนะ ยูคิดว่าอย่างไร”
“ให้บริษัทเขาคิดงานมาก่อนว่าจะออกมาแบบไหน....ทางนั้นพร้อมไอก็จะลงไปดู...”
“ตกลงบริษัทแม่เลือกขวัญชีวีเป็นพรีเซนเตอร์เวอซ่าดีโก้ คนแรกของประเทศไทย”
“ตอนนี้ยังไม่เป็นทางการนะ รอเข้าที่ประชุมอีกทีก่อน แต่เงื่อนไขของงานนี้ก็คือต้องมาถ่ายทำที่มาเลเซียเท่านั้น”
“และที่นั่นแกก็จะเดินเครื่องจีบคุณขวัญเต็มสูบ...”
“เขามีแฟนแล้ว” แม้จะอุ่นใจว่าขวัญชีวีกับปวุฒิน่าจะยังไม่มีความสัมพันธ์กันลึกซึ้ง เพราะเมื่อตอนกินข้าวเย็นย่าเล็กถามเขาว่าคืนนี้จะนอนที่ไหน เขาตอบว่าจะนอนเฝ้าเพียงอออยู่ที่โรงพยาบาลพร้อมกับเพื่อนของเขา แต่ตอนนี้หลินฮันหมิงก็ต้องการคำยืนยันจากวิศรุตอย่างแนบเนียนที่สุด
“ก็บอกแล้วไงว่า คบกันได้ก็เลิกกันได้ ขอให้นายตั้งใจเป็นมือที่สามเถอะ”
“แล้วคำว่าแฟนของคนไทยนี่มันขั้นไหนกัน”
“น่าจะยังไม่มีอะไรกันหรอก คุณขวัญหัวโบราณจะตาย แล้วที่สำคัญนายถือเรื่องพวกนี้เหมือนกันเหรอ”
“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ อย่าพูดถึงเขาเลย เปลี่ยนเรื่องคุยเหอะ”
“เปลี่ยนทำไม ไอรู้ว่านายชอบฟังเรื่องของคุณขวัญ”
“งั้นแค่นี้นะ ง่วงนอนแล้ว”
“เดี๋ยวซิวะ”
“เปลืองค่าโทรศัพท์ แล้วค่อยเจอกันที่เมืองไทย แค่นี้นะ” ตัดสายของวิศรุตแล้วหลินฮันหมิงก็ยิ้มบาง ๆ วางโทรศัพท์ลงบนเปียโนแล้วก็พรมนิ้วมือเล่นเพลงหวานซึ้งต่อไป
หลินฮันหมิงตัดสายไปแล้ววิศรุตที่นั่งอยู่ในร้านอาหารอิตาเลี่ยนกับวรรณรดาก็วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ
“เป็นอย่างไรบ้างค่ะ”
“น้องสาวของไอ้ปุ้ม..ดันไปป่วยที่ปีนังเสียอีก”
“พี่ปุ้มค่ะ” วรรณรดาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามเอ่ยแก้ด้วยดวงตาขวาง ๆ
“นั่นแหละ...ตอนนี้ปุ้มเขาก็อยู่ปีนังกับน้องขวัญ”...แล้ววิศรุตก็เล่าเรื่องที่ได้รับรู้จากปากของหลินฮัน หมิงให้วรรณรดาได้รับรู้ รวมถึงเรื่องที่พี่สาวของหลินฮันหมิงไปเจอขวัญชีวีถ่ายแบบที่ชายทะเลแล้วชื่นชอบจนกระทั่งมีแววว่าจะอนุมัติให้ขวัญชีวีเป็นพรีเซนเตอร์ของเวอซ่าดีโก้ซึ่งจะใช้คนไทยเป็นคนแรกตามที่หลินฮัน หมิงได้เสนอต่อที่ประชุมไว้ก่อนหน้านั้น
“แปลกดีนะคะ...”
“พี่ว่า บางทีคนทั้งคู่เขาอาจจะเกิดมาเพื่อกันและกันก็ได้ มันก็เลยต้องมีเหตุให้ต้องไปเจอกันที่โน่นโดยเฉพาะเรื่องที่พี่สาวของเจ้ามาร์คไปเห็นคุณขวัญนี่มันประหลาดมากเลย...”
“แล้วเมื่อไหร่พี่รุตจะเจอเนื้อคู่ของพี่ซะทีนะ อยากเห็นหน้าแฟนพี่บ้างจัง”
“ถ้าไม่มามัวเสียเวลาอยู่กับน้องขวัญ ป่านนี้พี่ก็คงหามาให้ดาได้เห็นแล้ว” ด้วยเป็นนักเที่ยวตัวยงทำให้เขาไม่ได้รู้สึกเหงาจนกระทั่งอยากมีคู่ครอง และด้วยต้องตามจีบขวัญชีวีในช่วงก่อนหน้านั้นเขาจึงไม่ยอมทำตัวสนิทกับสาว ๆ คนใด ทั้งที่พ่อแม่ของเขาก็พยายามจับคู่กับลูก ๆ ของเพื่อนที่มีฐานะทางการเงินเสมอกัน
“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์ช่วยเหลือ”
“ครั้งที่ร้อยแล้ว แล้วนี่ ตอนนี้จะไม่ลุยกับปวุฒิสักหน่อยหรือ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ...ดาไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว...”
“หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วก็โทรไปหาเขาตอนนี้เลย แสดงความเป็นห่วงเป็นใย ร่วมทุกข์ร่วมสุข” วิศรุตแสดงความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรักออกมา แต่ว่าวรรณรดาหาได้คล้อยตามง่าย ๆ
“เขาอยู่ต่างประเทศ ถ้ารับสายก็เสียเงินแย่เลย อย่าดีกว่าค่ะ ถ้าพี่กับคุณมาร์คทำงานสำเร็จนะคะ ดาว่าดารอดามหัวใจเขาดีกว่าคะ” อันที่จริงวรรณรดากลัวว่าเขาจะไม่รับสายของเธอเสียมากกว่า
“งั้นก็ใช้ สมาร์ทโฟนให้เป็นประโยชน์ พิมพ์ข้อความไปถามเขาซิ เผื่อเขาจะตอบมา”
วรรณรดาทำท่าคิดหนัก...
“พี่ว่า ดาเปิดศึกให้ขวัญเขาเห็นไปเลยว่า ดาชอบปวุฒิ ขวัญเขาอาจจะถอยให้ดาก็ได้นะ”
“แบบนั้นคาแรคเตอร์นางร้ายในละคร ไม่ดีกว่าค่ะ”
“ยุอะไรไม่ขึ้นสักอย่างเลยนะ”
“ดาอยากให้ขวัญกับพี่ปุ้มเลิกกันก่อน ดาไม่อยากได้ชื่อว่าแย่งแฟนเพื่อน ดาไม่อยากเสียเพื่อนค่ะ”
“แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ ถ้าดาจะส่งข้อความไปหาปุ้มมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลยนะ”
“ก็ได้ค่ะ” ว่าแล้ววรรณรดาก็ดึงโทรศัพท์มือถือออกมากระเป๋าสะพายที่ราคาแพงลิบลิ่ว...
‘ทราบมาว่าพี่ปุ้มอยู่ปีนัง ออเป็นอย่างไรบ้างคะ’ วรรณรดารวบรัดจนได้ใจความ...และอึดใจใหญ่ ๆ
เขาก็พิมพ์ตอบกลับมาว่า
‘รู้ได้ไงครับ ออ ผ่าตัดไส้ติ่งดีขึ้นแล้ว พี่กลับกรุงเทพฯ พรุ่งนี้ครับ ขอบคุณครับ’ ข้อความนั้นเหมือนจะตัดบทอยู่ในที แต่ว่าวรรณรดาเมื่อต่อกับเขาติดแล้วก็ต้องใช้ช่องทางสื่อสารนี้ให้เป็นประโยชน์
‘คุณมาร์คบอกพี่รุตค่ะ...//อย่าลืมซื้อขนมมาฝากด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ’
‘ได้ครับ ถึงเมืองไทยแล้วจะโทรหานะครับ’
‘ค่ะ ดูแลตัวเองด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ’
ไม่มีบทสนทนาโต้ตอบกลับมาอีก แต่ว่าวรรณรดาก็รู้สึกว่าความคิดถึงที่มันล้นอกอยู่นั้นบรรเทาไปได้บ้างและความมืดที่เหมือนจะมืดสนิทก็คล้าย ๆ จะมีแสงดาวแสงเดือนช่วยทำให้เห็นหนทางข้างหน้า...
แม้จะเดินเหินไม่สะดวกแต่เพียงออที่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บนเตียงพักฟื้นก็หาได้ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ หญิงสาวใช้โต๊ะสำหรับวางอาหารให้คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงวางรองสมุดบันทึกต้นฉบับที่บอกเล่าเรื่องราวระหว่างการเดินทางที่ยังทำค้างไว้พลางเปิดกล้องดิจิตอลดูรูปถ่ายเพื่อทวนความจำไปด้วย ส่วนวุฒิ นารทเมื่อปวุฒิอาบน้ำแต่งตัวขึ้นแท็กซี่ไปสนามบินแล้วเขาก็นอนหลับใหล ตื่นขึ้นมาลงไปหาของกินในย่านนั้นแล้วเขาก็กลับขึ้นมาทำหน้าที่คนเฝ้าไข้ที่ดี คือนั่ง นอน เปิดโทรทัศน์ดู โดยไม่ได้สนใจว่าเพียงออนั้นต้องการนอนหลับพักผ่อนหรือว่าต้องการใช้สมาธิทำงาน
“พี่นารทจะออกไปตระเวนเที่ยวปีนังตอนนี้เลยก็ได้นะคะ อออยู่คนเดียวได้ ไม่มีปัญหา”
“แต่พี่ลุยคนเดียวไม่ได้ ออก็รู้นี่พี่ไม่เก่งภาษาอังกฤษสักเท่าไหร่”
“มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย มีข้อมูล มีเงิน แล้วก็มีความกล้า ทุกอย่างมันก็จบแล้ว”
“ออพูดเหมือนง่าย”
“เนี่ย พี่ก็นั่งรถไปเที่ยว วัดงู วัดเก๊กล็อกซี หรือไม่ก็ไปขึ้นรถรางขึ้นไปบนปีนังฮิลล์ หรือจะไปช็อปปิ้ง แถว ๆ ตึกคอมต้าก็ได้ หนังสือเขามีบอกไว้หมด แล้วแผนที่ในมือก็มีนี่ มา ออจะเอากระดาษเขียนสถานที่ คร่าว ๆ ให้ แล้วพี่นารทก็ใช้บริการรถแท็กซี่ ถูกโก่งราคาบ้างอะไรบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก...”
“รอให้ออหายก่อนดีกว่า ไปพร้อมออก็ได้...”
“แล้วนี่ถ้ามีงานติดต่อมาพี่จะทำอย่างไร...จะอยู่กับออห้าวันหกวันได้เลยเหรอ” เพียงออนั้นอยากให้วุฒินารทตามพี่ชายกลับกรุงเทพฯไป เพราะอยากอยู่ตามลำพัง พักฟื้นจนกว่าจะแข็งแรงแล้วก็ตะลอนเที่ยวเก็บข้อมูลให้ทั่ว และที่สำคัญเพียงออก็ไม่อยากกลับเมืองไทยทางเครื่องบินพร้อมวุฒินารท เพียงอออยากนั่งรถไฟจากบัตเตอร์เวอร์ธไปที่หัวลำโพงตามโปรแกรมที่ได้วางไว้แต่แรก และเมื่อพี่ชายไม่อยู่แล้วแบบนี้ เธอจะต้องไล่วุฒินารทกลับเมืองไทยไปก่อนให้จงได้
“รับปากไอ้วุฒิไว้แล้ว ก็ต้องได้แหละ” ก่อนจะกลับปวุฒิบอกวุฒินารทไว้แล้วว่า งานนี้เขาต้องกลับพร้อมเพียงออเท่านั้น และเขาก็จะต้องปฏิบัติตามนั้น ไม่ว่าเพียงออจะมีเล่ห์กระเท่อย่างไรก็ตาม
“เซ็งแย่เลยนะ รอกลับพร้อมออ ดีไม่ดี อีกเป็นสิบ ๆ วันเลยนะ”
“ทำไงได้ล่ะ...รับปากจะช่วยเพื่อนดูแลน้องเพื่อน ก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด...”บอกกับเพียงออพลางกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปมา...และด้วยไม่ใช่โทรทัศน์ที่เชื่อมต่อเคเบิ้ลทีวีในเมืองไทยไม่ว่าจะเปลี่ยนไปช่องไหนก็หาได้มีรายการใดน่าสนใจเพราะว่าภาษานั้นเป็นอุปสรรค
“แต่ว่าไปแล้ว พี่นารทอยู่ในห้องแบบนี้ พี่นารทก็กวนออนะคะ” เมื่อกล่อมดี ๆ ไม่ได้ผลเพียงออจำต้องพูดตรง ๆ พอได้ยินเพียงออบอกอย่างนี้วุฒินารทก็เบิกตากว้าง..ทำหน้าเหรอหรา...
“โอ้วว นี่พี่ทำคุณบูชาโทษอย่างนั้นเหรอเนี่ย ไอ้ที่พี่อยู่เป็นเพื่อนเพราะพี่กลัวออจะเหงา...”
“แต่ออก็กลัวพี่เบื่อเหมือนกัน นั่ง ๆ นอน ๆ อออยากให้พี่ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ความตื่นเต้นมันเป็นสีสันของชีวิตนะ...พี่ต้องลองดู พี่ต้องกล้าหาญชาญชัย ไปซักหนอะไรมันก็ง่ายหมด...ออเป็นผู้หญิงออยังไม่เห็นกลัวอะไรเลย”
คำพูดของเพียงออนั้นเหมือนไปสะกิดรอยแผลเป็นของวุฒินารทเพราะก่อนหน้านั้นเขาคบหาอยู่กับสาวในวงการบันเทิงซึ่งเหมาบทนางร้ายมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง แต่ว่าอยู่ ๆ เจ้าหล่อนก็ตีจากเขาไปแต่งงานกับลูกนักการเมืองด้วยเหตุผลที่ว่า อยู่กับเขาชีวิตก็เหมือนย่ำอยู่กับที่และค่อนจะถอยหลังลงคลอง เพราะงานในวงการของเขานั้นดูจะเหมือนดวงดาวที่อับแสงลงเรื่อย ๆ และเขาเองก็เหมือนจะไม่มีหัวคิดก้าวหน้า
กระทั่งความสนิทสนมกับปวุฒิทำให้เขากล้านำเงินเก็บที่มีอยู่ก้อนหนึ่งลงทุนทำกิจการ และตั้งแต่นั้นมา เขาก็วุ่นวายอยู่กับร้านอาหารที่เพิ่งก่อร่างสร้างตัวเพราะหวังว่าที่นี่จะเป็นอาชีพที่มั่นคงให้กับเขา และด้วยหน้าตากับชื่อเสียงที่ยังพอมีอยู่ไม่น้อย ทำให้มีผู้หญิงมาติดพันเขาอยู่บ้าง แต่เขากลับกลัวการมีความรัก เคยคิดจะจีบวรรณรดาที่สูงเหมือนดอกฟ้า เขาก็รู้สึกว่าวรรณรดานั้นอยู่สูงเกินเอื้อม และวรรณรดาเองก็ดูจะชอบเพื่อนเขาที่เป็นพระเอกเสียมากกว่า...
ฟังเพียงออพูดแล้ววุฒินารทก็ใช้รีโมทกดปิดโทรทัศน์แล้วก็นั่งกอดอกอย่างงอน ๆ เพียงออกรอกตาไปมาแล้วก็แสร้งไม่เห็นอาการนั้น...
และอึดใจใหญ่ ๆ เขาก็ลุกขึ้นก่อนจะบอกกับเพียงอออย่างงอน ๆ ว่า “พี่จะออกไปเดินเล่นข้างนอกนะ”
เขาเดินออกไปแล้ว ออกไปอย่างไม่มีข้อมูลอะไรติดติดตัวไปด้วย เขาออกไปนานมาก นานจนเพียงออรู้สึกเป็นห่วง...
และเสียงเคาะประตูก็ทำให้เพียงออรีบเงยหน้าขึ้นไปมองก่อนที่จะเห็นคุณย่าหลินซิ่วอินเดินมาพร้อมกับหญิงชาวจีนวัยกลางคนคนหนึ่ง ดูจากการแต่งตัวแล้วเพียงออเดาออกว่าน่าจะเป็นคนงานในบ้านเพราะว่าในมือของหญิงคนนั้นมีตะกร้าใส่ของ ท่าทางก็ดูเจียมเนื้อเจียมตัวและเพียงออก็เดาไม่ผิดจริงๆ
หลังยกมือไหว้แล้ว เพียงออก็ถามว่า “เอาอะไรมาด้วยคะคุณย่า”
“ข้าวต้ม กับข้าว ไก่ดำตุ๋นยาจีน ผลไม้ อยากให้หนูแข็งแรงเร็วๆ”
“ออเพิ่งกินอาหารของโรงพยาบาลไปเมื่อกี้นี้เองค่ะ”
“อีกสักพักค่อยกินใหม่ก็ได้ กินเยอะๆ จะได้ฟื้นตัวได้เร็ว...ย่ายังไม่ได้รีบกลับหรอก แล้วนี่อยู่คนเดียวเหรอ คนเฝ้าไข้ไปไหน”
“พี่นารทออกไปเดินเล่นค่ะ เดี๋ยวก็คงกลับ...”
ขณะที่คุยกับคุณย่าเล็กไป สายตาของเพียงออก็มองไปที่ประตูอยู่บ่อย ๆ กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสี่ทุ่ม เพียงออก็ขอให้คุณย่าเล็กกลับบ้านเพราะรู้สึกเกรงใจคนที่ตามมาด้วยซึ่งฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง
“แต่พี่ของหนูยังไม่กลับมานี่ แล้วเขามีโทรศัพท์หรือเปล่า”
“มีเบอร์ของเมืองไทยค่ะ แต่เขาคงไม่ได้เปิดเครื่องหรอก คุณย่ากลับไปก่อนเถอะค่ะ อออยู่ได้”
“ถ้างั้นหนูก็ดูแลตัวเองดีๆ นะ มีอะไรก็โทรหาย่าได้เลย” เวลาอยู่เมืองใด เพียงออก็จะใช้ซิมการ์ดแบบเติมเงินของเมืองนั้น เพื่อใช้ติดต่อโรงแรมประสานงาน และเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
ย่าเล็กกลับไปนานแล้ว นาฬิกาที่ผนังหมุนไปบอกเวลาเที่ยงคืน พยาบาลเดินเข้ามาวัดไข้ เข้ามาฉีดยา เข้ามาให้ยาก่อนนอน เข้ามาเปลี่ยนขวดน้ำเกลือไม่รู้ต่อกี่รอบ แต่ว่าวุฒินารทก็ยังไม่กลับมา เพียงออรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก โทรศัพท์เข้าเครื่องของวุฒินารทเขาก็ปิดเครื่องอย่างที่เดาไว้จริง ๆ กระทั่งเพียงออรู้สึกว่านอกตัวอาคารฝนกำลังตกอย่างหนัก เพียงออจึงเริ่มร้อนรนมากขึ้น และความร้อนรุ่มของเพียงออก็จบลงเมื่อเวลาสามนาฬิกา วุฒินารทเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับกลิ่นเหล้าคลุ้งติดตัว
“ไปไหนมา ทำไมเพิ่งจะกลับ”
“ก็ไปหาประสบการณ์อย่างที่ออต้องการ” เขาล้มตัวลงนอนอย่างหมดแรง ไฟที่หัวเตียงเปิดไว้สลัว เพียงออจึงไม่ได้เห็นหรอกว่า ตัวของเขาชื้นน้ำฝนหรือเปล่า แต่ว่าหญิงสาวก็ค่อย ๆ ลงจากเตียงลงมาดูสภาพ
“ไปกินที่ไหนมา” เพียงออยืนอยู่ห่างจากร่างของเขาพอประมาณ
“มีกะตังค์ซะอย่าง หากินไม่ยากหรอก...”
“เมาใช่ไหมเนี่ย”
“กินเหล้าก็ต้องเมาละซิ ไม่ได้กินน้ำนี่ ถามแปลกๆ”
“ไอ้เราก็รอไปเหอะ นึกว่าหลงทางซะแล้ว”
“..รู้แล้วใช่ไหมว่า เวลาหายหัวไปไหนโดยไม่ย่อมส่งข่าวนะ คนรอ คนอยู่ข้างหลังเขารู้สึกอย่างไร?...”
ช่วงที่นั่งรอขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ ปวุฒิได้สอบถามขวัญชีวีถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณย่าหลิน ซิ่วอินกับคุณยายแน่งน้อย ด้วยความบริสุทธิ์ใจขวัญชีวีจึงได้บอกเล่าเรื่องราวในอดีตความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่อย่างไม่คิดปิดบัง...และเมื่อปวุฒิจะซื้อช็อคโกแลตสินค้าเลื่องชื่อกับขนมกลับไปฝากวรรณรดา เขาก็ไม่คิดปิดบังขวัญชีวีด้วย ขวัญชีวีเองนั้นก็ซักถามเขาพอเป็นพิธีว่า ทำไมต้องซื้อไปฝาก และวรรณรดารู้ได้อย่างไรว่าเขามาปีนัง เขาบอกเล่าไปตามที่รู้ นั่นก็คือ หลินฮันหมิงกับวิศรุตคงจะโทรคุยกัน โลกที่เหมือนกว้างจึงได้แคบลงไปอย่างมาก
กลับมาถึงเมืองไทยแล้วปวุฒิก็รีบไปกองถ่าย ตอนเย็นมีงานอีเวนท์ใช้เวลาน้อยแต่ได้เงินมากกว่าเล่นละครหนึ่งตอน แต่ว่าละครคืองานที่ทำให้มีงานอีเวนท์ สองสิ่งนี้นักแสดงอย่างเขาต้องทำให้ดีที่สุด...
และเขาก็ไม่ได้ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับวรรณรดาคนสำคัญผู้ที่อยู่เบื้องหลังความดังของดาราหลาย ๆ คน รวมถึงเขาด้วย วรรณรดารีบกดรับสายเมื่อปวุฒิโทรเข้ามา...“ขอโทษทีครับคุณดา...พอดีพี่เพิ่งว่าง”
“ดาเข้าใจค่ะ” สำหรับปวุฒิ วรรณรดาพร้อมจะเข้าใจเขาเสมอ ทั้งที่วันนี้ทั้งวันวรรณรดามองโทรศัพท์มือถืออยู่หลายรอบ คิดจะโทรไปทวงของฝากก็เกรงว่าจะทำให้เขารำคาญ
“ตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ ผมจะเอาของฝากไปให้น่ะ”
“ดากำลังจะกลับบ้านค่ะ ติดอยู่บนถนน เพิ่งออกจากบริษัท พี่ปุ้มละคะ”
“ผมก็อยู่บนถนนเหมือนกัน...”
และเมื่อรู้ว่าปวุฒินั้นขับรถอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน เพียงแต่ว่าขับตามหลังมา วรรณรดาจึงถือเป็นโอกาส “พี่ปุ้มทานข้าวเย็นหรือยังคะ”
“ยังเลย...”
“ดาก็ยังไม่ได้ทานค่ะ หิวมาก ทานข้านเย็นด้วยกันนะคะ”
“ดีเหมือนกัน”
“งั้นดารอผมที่ร้าน...ตรงซอย.... นะคะ” นัดหมายกันเรียบร้อยแล้วความทุกข์ร้อนใจเรื่องรถติดก็อันเป็นหายไป วรรณรดาถึงก่อนปวุฒิ หญิงสาวเข้าไปในร้านอาหาร และขณะดูเมนูเลือกอาหารหญิงสาวก็โทรศัพท์ถามเขาไปด้วย
“ผมทานได้หมดแหละ หิวจะแย่แล้ว คุณดาสั่งได้เลย”
“ค่ะ...ห้าหกอย่าง พี่ปุ้มต้องทานให้หมดนะคะ”
“โอเคครับ แล้วเจอกัน” ปวุฒิพยายามจะพูดกับวรรณรดาให้น้อยที่สุดเหมือนกับที่ขวัญชีวีทำกับเขา
วรรณรดาเลือกอาหารแล้วก็เดินไปเข้าห้องน้ำสำรวจดูใบหน้าตัวเองกับกระจกเงา และคนที่ผลักประตูเขามา ก็ทำให้วรรณรดาต้องรีบหันไปยิ้มทั้งปากทั้งตาให้กมลมาลย์เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย ที่ผลันตัวเองไปเป็นนักข่าวสายบันเทิง...วรรณรดาทักทายถามไถ่สารทุกข์สุขดิบพูดคุยด้วยอย่างไม่ถือตัว แล้วโทรศัพท์ในกระเป๋าถือของตัวเองก็ดังขึ้น
“พี่ปุ้ม ถึงแล้วเหรอคะ ค่ะ ๆ ดาอยู่ในห้องน้ำค่ะ” วางโทรศัพท์แล้ว...วรรณรดาก็
บอกกับกมลมาลย์ที่บังเอิญพบกันว่า... “ดาขอตัวก่อนนะ”
“ปุ้มไหนเหรอดา...ใช้พี่ปุ้มปวุฒิหรือเปล่า” กมลมาลย์รีบซักไซ้ตามประสานักข่าว
“ใช่”
“มาด้วยกันได้อย่างไรล่ะ”
“ไม่ได้มาด้วยกัน...ต่างคนต่างมา...แค่นัดทานข้าวด้วยกันนะ ขอตัวก่อนนะ...” วรรณรดารู้ว่าเพียงแค่นี้ในสังคมที่กระหายข่าวสารของคนดัง ก็น่าจะพอสำหรับการเขย่าบัลลังก์รักของเพื่อนสนิท...

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ม.ค. 2556, 10:43:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ม.ค. 2556, 10:43:57 น.
จำนวนการเข้าชม : 2045
<< 5. | ึ7. >> |

จุฬามณีเฟื่องนคร 14 ม.ค. 2556, 10:45:15 น.
ขอโทษนะครับที่ปล่อยให้รอกันนานเลย...ตอนนี้เขียนเสร็จแล้วสัญญาว่าจะมาถี่ขึ้น ๆ ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับ เสียงสะท้อนกลับครับ...แว่ว ๆ มาจาก บก.พี่โป่งจากมายดรีมว่าจะพิมพ์รวมเล่มประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์นะครับ...
ฝากเป็นแรงใจด้วยนะครับ...
ขอโทษนะครับที่ปล่อยให้รอกันนานเลย...ตอนนี้เขียนเสร็จแล้วสัญญาว่าจะมาถี่ขึ้น ๆ ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับ เสียงสะท้อนกลับครับ...แว่ว ๆ มาจาก บก.พี่โป่งจากมายดรีมว่าจะพิมพ์รวมเล่มประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์นะครับ...
ฝากเป็นแรงใจด้วยนะครับ...


คิมหันตุ์ 14 ม.ค. 2556, 15:48:03 น.
ลงชื่อให้แรงใจจ่ะ ^^
ลงชื่อให้แรงใจจ่ะ ^^

Zephyr 14 ม.ค. 2556, 16:08:49 น.
ไม่ชอบดาเลยค่ะ ขนาดจะทำให้คนอื่นรักร้าว เธอยังงอมืองอ... ให้ชาวบ้านรับบทมือที่สาม
แล้วเธอก็เนียนแทรกแซง ดูร้ายลึก ลงเหวเลย
ดูๆอ่านๆไป ขวัญกับปุ้มก็ไม่ผิดอะไรที่เค้าจะรักกัน แต่มีมือสามสี่ห้าอยากแทรกคนทั้งคู่เหลือเกิน
เผอิญคุณเฟื่องไม่ได้เขียนมาให้คู่กันน่ะนะ ทำใจเถอะ คริคริ
ไม่ชอบดาเลยค่ะ ขนาดจะทำให้คนอื่นรักร้าว เธอยังงอมืองอ... ให้ชาวบ้านรับบทมือที่สาม
แล้วเธอก็เนียนแทรกแซง ดูร้ายลึก ลงเหวเลย
ดูๆอ่านๆไป ขวัญกับปุ้มก็ไม่ผิดอะไรที่เค้าจะรักกัน แต่มีมือสามสี่ห้าอยากแทรกคนทั้งคู่เหลือเกิน
เผอิญคุณเฟื่องไม่ได้เขียนมาให้คู่กันน่ะนะ ทำใจเถอะ คริคริ


loveleklek 15 ม.ค. 2556, 21:42:32 น.
รอจนลืม
รอจนลืม