ลิขิตรักในสายลม # จุฬามณี
รัก หวานๆ ขม ของสาวไทยกับหนุ่มมาเลย์
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 5.

บทที่ 5

“แบบนี้ไม่เรียกว่าเป็นลิขิตฟ้าแล้วจะเรียกว่าอะไร” ย่าเล็กเปรยออกมาเบา ๆ หลังจากที่เขาส่งขวัญชีวีที่โรงแรมระดับห้าดาวและวนรถมาส่งมิราเกลลงหน้าโรงแรมเล็ก ๆ ของตนแล้วขับรถเลยมายังบ้านทรงจีนผสมสถาปัตยกรรมยุโรปซึ่งสร้างมาตั้งแต่สมัยพ่อของคุณปู่ของเขา และตั้งแต่กลับมาจากอเมริกาเขาก็พักอยู่กับย่าเล็กที่นี่ เพราะย่าเล็กไม่ยอมย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่พ่อของเขาสร้างไว้นอกเมือง

“ย่าเล็กรู้หรือเปล่าครับว่าคุณขวัญเขามีแฟนแล้ว”

“แฟน...แฟนแบบไหน”

“คู่รักนะครับ รักกันหวานชื่นเลยแหละ...เพราะฉะนั้น ย่าเล็กไม่ต้องเป็นแม่สื่อแม่ชักให้คุณขวัญเขาอึดอัดใจหรอกนะครับ แล้วเท่าที่ผมรู้มา ผมว่าพี่ชายของเพียงออนั่นแหละคือแฟนของเขา เขาถึงได้แสดงความห่วงใย เป็นธุระให้กันอย่างเต็มที่”

“อย่างนั้นเหรอ” ว่าแล้วย่าซิ่วอินก็ถอนหายใจอย่างแรง

“แล้วอีกอย่างผมก็ไม่มีวันชอบคนที่เขามีแฟนอยู่แล้วด้วยครับ”

“ก็เขายังไม่ได้แต่งงานกันไม่ใช่เหรอ”

รถซิตี้คาร์ของเขาถึงโรงจอด แต่ว่าคนเป็นย่ายังคงนั่งนิ่งเหมือนหมดแรง ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ย่าเล็กดูจะเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้คือ ‘ลิขิต’ จากเบื้องบน

“พรุ่งนี้เขาจะมาดูอาการน้องเขา พรุ่งนี้ย่าเล็กคงได้เห็นกับตาว่าทั้งคู่รักกันแค่ไหน”
หลินซิ่วอินถอนหายใจออกมาแรง ๆ อีกครั้ง

“เข้าบ้านนอนเถอะครับ”

“ย่าคงไม่นอนไม่หลับแล้ว” น้ำเสียงของหลินซิ่วอินแผ่วเบา

“ต้องหลับซิครับ เพิ่งจะตีห้าเอง”

“พรุ่งนี้ไปเยี่ยมเพียงออกับย่านะ” ตามปกติแล้วในเวลากลางวันหลินซิ่วอินยังขับรถไปไหนมาไหนได้ด้วยตนเอง หรือถ้าไม่อยากจะขับรถ ก็สามารถใช้สามีของมิราเกลพนักงานของโรงแรมมาขับให้ได้ แต่โดยมากแล้วหลินซิ่วอินจะใช้บริการรถแท็กซี่เสียมากกว่า เพราะไม่อยากทำตัวให้เป็นภาระของใครตามประสาคนโสด ที่มีจิตระลึกไว้ว่าต้องพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุด

...แม้ไม่มีลูกเป็นของตัวเองก็ใช่ว่าหลาน ๆ ลูกของพี่ชายจะไหว้วานพึ่งพาไม่ได้ หลินมู่กุ้ยพ่อของหลินฮันหมิงนั้นบอกไว้ว่าหากจะไปธุระที่ไหนไกล ๆ ก็ให้โทรไปบอกจะส่งรถมารับให้ไปทำธุระ

...แม้แต่หลินฮันเฉิงพี่ชายคนโตของหลินฮันหมิงนั้น แม้จะมีงานล้นมือ เขาก็แวะเวียนมาดูแลถึงที่บ้านหลังเดิมอยู่เนือง ๆ โดยเฉพาะตอนที่หลินฮันหมิงไปเรียนต่อที่ต่างประเทศนั้น หลานทั้งสามคนที่อยู่ปีนังไม่มีใครทำให้หลินซิ่วอินรู้สึกเดียวดาย และเมื่อหลินฮันหมิงเรียนจบกลับมาทำงาน เขาก็ขอผู้เป็นพ่อมาอยู่ที่นี่ เพราะหลินซิ่วอินเคยปรารภไว้ว่าจะยกบ้านหลังนี้ให้กับเขาเมื่อล่วงลับไปแล้ว และหลินฮันหมิงก็ชอบบ้านหลังนี้เช่นกัน

การกตัญญูรู้คุณของเขา ตั้งแต่ตอนที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่นั้นก็ทำให้หลินซิ่วอินนั้นซาบซึ้งอยู่ไม่น้อย

และด้วยเขายังไม่มีคู่รัก ตามธรรมเนียมจีนแล้วพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ก็จะต้องเฟ้นหาจัดแจงคนที่ควรมาให้ แต่ว่าด้วยยุคสมัยเปลี่ยนไป หลินซิ่วอินก็เข้าใจว่าหนุ่มสาวต้องเลือกคู่กันเองเหมือนที่พี่สาวทั้งสองคนของหลินฮันหมิงไม่ยอมให้คลุมถุงชน ทั้งคู่เลือกสามีจากความรักความพอใจไม่ได้สนใจที่ฐานะเงินทอง แต่กรณีของหลินฮันหมิงนี้ หลินซิ่วอินรู้สึกว่าเนื้อคู่ของเขาคงจะไม่ใช่คนที่ปีนังแน่ ๆ เพราะตั้งแต่เล็กคุ้มใหญ่นางไม่เห็นว่าเขาจะชอบใครในปีนังสักคนเดียว...

และความรู้สึกแรกเมื่อรู้ว่าหลานสาวเพียงคนเดียวของแน่งน้อยยังเป็นโสด... หลินซิ่วอินก็นึกถึงหลินฮันหมิงขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกว่าเขาทั้งคู่นั้นเกิดมาคู่กัน ความรู้สึกมันบอกอย่างนั้นจริง ๆ

“โอเคครับ ผมจะไป”

และเมื่อย่าเล็กลงจากรถมาแล้วเขาก็เดินไปหาพร้อมกับประคองพาเดินเข้าบ้าน...
“ย่าเล็ก ผมว่าเพียงออเขาก็น่ารักนะ”

“อย่ามาพูดเล่น”

“พูดจริง ๆ”

“คนอย่างเธอน่ะไม่ชอบผู้หญิงอย่างนั้นหรอกย่าดูออก” เพียงออนั้นไว้ผมหน้าม้าซอยด้านข้างชี้โด่ชี้เด่ด้านหลังเป็นบ๊อบมองเห็นติ่งหู หน้าตาเพียงออไม่เรียกว่างดงามจนสะดุดตากิริยาท่าทางรึก็ไม่อ่อนหวานชวนมองแต่เป็นลักษณะห้าวหาญกล้าแกร่งกล้าอย่างเด็กยุคใหม่...ไม่มีทางที่หลินฮันหมิงจะชอบอย่างแน่นอน..


พอกลับมาถึงโรงแรม ขวัญชีวีก็ปรี่ขึ้นเตียงนอนหลับสนิทกระทั่งได้ยินเสียงโทรศัพท์ภายในห้องพักดังขึ้น ทีมงานรอขวัญชีวีอยู่ที่ห้องอาหารกันแล้ว

“อุ้ย...ขอโทษค่ะพี่ ขวัญเพิ่งตื่น ขอเวลาขวัญครึ่งชั่วโมง” ครึ่งชั่วโมงกับการอาบน้ำสระผมแต่งตัวแต่งหน้าพอเป็นพิธีสำหรับขวัญชีวีในเวลาปกติอาจจะไม่พอ แต่สำหรับวันนี้ขวัญชีวีสามารถทำเวลาได้ และเมื่อแต่งตัวเสร็จ ขวัญชีวีก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู มีข้อความสนทนาของปวุฒิจากโปรแกรมเฟสบุ๊ค
‘พี่ขึ้นเครื่องแล้วนะ จะถึงที่โน่นประมาณสี่โมงเช้า แล้วจะไปที่โรงพยาบาลเลย อย่างไรจะโทรหาอีกทีหรือถ้ามีไวไฟสาธารณะคงได้คุยกันทางนี้...’

ปวุฒิกำลังมาดูเพียงออ ขวัญชีวีนึกถึงใบหน้าของหลินฮันหมิงขึ้นมา...สายตาของเขาเผยความในใจ... และเธอเองก็รู้สึกแปลกๆ กับเขาอยู่เหมือนกัน...

ขวัญชีวีถอนหายใจออกมาเบา ๆ กับ ‘ลิขิตฟ้า’ อย่างที่คุณยายหลินซิ่วอินเชื่อมั่น..


พอเห็นหน้าหลินซิ่วอินกับคนที่ได้ช่วยพาน้องสาวมาส่งที่โรงพยาบาล ปวุฒิก็ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ เขาจำได้ว่าวันนั้นผู้ชายคนนี้นั่งอยู่กับณิชกานต์ในร้านอาหารญี่ปุ่น ตอนนั้นขวัญชีวีบอกกับเขาว่าผู้ชายคนนี้เป็นชาวต่างชาติเพื่อนของวิศรุต และพอเห็นหน้าของเขาอีกครั้งกับความบังเอิญในครั้งนี้ ปวุฒิก็มีลางสังหรณ์ว่า เรื่องระหว่างหนุ่มหน้าหยกคนนี้กับขวัญชีวีเห็นจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา ๆ เสียแล้ว...

“ขอบคุณคุณย่ากับคุณหลินฮันหมิงมาก ๆ นะครับที่เป็นธุระจัดการดูแลน้องสาวผม ถ้าไม่ได้เจอคนใจดี น้องผมก็คงต้องแย่แน่ ๆ ขอบคุณมาก ๆ เลยครับ” ปวุฒิกล่าวขอบคุณคนทั้งคู่อย่างเป็นทางการอีกครั้ง...

“อย่าคิดอะไรมาก..การช่วยคนตกทุกข์ได้ยากมันก็ได้บุญ...แล้วอีกอย่างน้องสาวของเธอก็น่ารัก...เธอเองก็น่ารักเหมือนกันนะ...เพื่อนเธอก็น่ารัก”

“คุณย่าก็น่ารักครับ” วุฒินารทแทรกเข้ามา...แล้วเขาก็หันไปหาคนเจ็บที่ยังนอนหมดเรี่ยวแรง

“เข็ดไหมฮึ”....

เพียงออตอบคำถามโดยการย่นหน้าให้วุฒินารท...

“หนูเพียงออน่ารักมาก คุยเก่งมาก คนแบบนี้ใครอยู่ด้วยก็ไม่เหงา” หลินซิ่วอินชม

“แต่ต้องเอาสำลีอดหูไว้บ้างครับ ไม่งั้นหูอื้อหมด” วุฒินารทยังไม่วายหยอกคนเจ็บที่นอนทำตาปริบ ๆ

“ผมว่าเรากลับบ้านกันเถอะครับ พี่น้องเขาจะได้คุยกัน เพียงออเขาจะได้พักผ่อนด้วย” หลินฮันหมิงเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงพูดออกตัว

“ขอบคุณคุณย่ากับคุณหลินฮันหมิงนะคะ” เพียงออยกมือขึ้นพนมไว้ระดับอก

“ไม่เป็นไร ตอนนี้เราเป็นย่าหลานกันแล้ว ต้องช่วยเหลือกัน อ้อ ไม่ต้องเรียกพี่เขาว่า หลินฮันหมิงให้ยืดยาวหรอก เรียกว่า พี่หมิงก็พอแล้ว”

“ค่ะพี่หมิง”

“ก่อนกลับเมืองไทย เดี๋ยวผมจะพาเพียงออไปกราบลาอีกทีนะครับ” กระเป๋าข้าวของเครื่องใช้ของเพียงออนั้นมิราเกลจัดเก็บให้หลินฮันหมิงก็นำมาให้เพียงออที่โรงพยาบาล ก่อนหน้าที่พี่ชายและเพื่อนของเขาจะมาถึง และเพียงออก็ชำระค่าที่พักก่อนเข้าพักหมดแล้วจึงไม่มีหนี้สินผูกพันกับทางโรงแรมอีก

“ยังต้องพักอยู่อีกสองวันสามวัน ย่าก็มาเยี่ยมอีก...แล้วย่าจะทำอาซามลักซา(Asam Laksa)อย่างที่ได้สัญญาไว้มาให้ชิมแล้วจะซื้อขนมอย่างอื่นมาให้ชิมด้วย” เย็นวานนี้หลินซิ่วอินนั้นชวนเพียงออไปเที่ยวที่บ้านของตนเพื่อจะสอนเพียงออทำอาหารพื้นเมืองของปีนังสักอย่างสองอย่าง เพราะเพียงออนั้นบอกกับหลินซิ่วอินว่านอกจากจะยังเรียนหนังสือและท่องเที่ยวเพื่อเขียนหนังสือแล้ว กิจการของทางบ้านของเธอยังมีร้านอาหารเลื่องชื่อด้วย แต่เพียงออไม่ได้บอกกับหลินซิ่วอินหรอกว่าพี่ชายของเธอนั้นเป็นดาราดังในเมืองไทย

“รบกวนแย่เลยครับ”

“ก็บอกแล้วไงว่าตอนนี้เราเป็นญาติกันแล้ว เดี๋ยวต่อไป ย่าไปเมืองไทย ไปเที่ยวบ้านยายแน่งน้อยของหนูขวัญ ถึงเวลานั้นย่าอาจจะรบกวนเรียกเพียงออมาพาย่าเที่ยวบ้างก็ได้...หรือไม่ก็อาจจะไปรบกวนให้เพียงออทำอะไรเลี้ยงย่าบ้างก็ได้...”

“ยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยครับ” ปวุฒิรีบตกปากรับคำ

“อ้อ ถ้าหนูขวัญมาเยี่ยมหนูก็ให้หนูขวัญโทรหาย่าด้วยนะ หนูมีเบอร์โทรของย่าแล้วนี่”

“ได้ค่ะ...”

“จะฝากของกินไปให้แน่งน้อยสักหน่อย บังเอิญมาเจอกันแล้ว ก็อย่าให้ต้องกลับ
ไปมือเปล่า”

“กลับเถอะครับคุณย่า” หลินฮันหมิงเร่งเร้าก่อนจะก้มลงจับแขนย่าเล็กของตนที่ดูเหมือนว่าอยากจะนั่งคุยอยู่ตรงนี้ทั้งวัน


และเมื่อส่งสองย่าหลานที่หน้าห้องพิเศษแล้วปวุฒิก็หันมาหาน้องสาว ส่วนวุฒินารทก็ล้มตัวลงนอนบนโซฟาพลางหยิบแผนที่เมืองปีนังที่คว้าได้มาจากสนามบินมานอนอ่าน...

“เรื่องเป็นไงมาอย่างไง ทำไม คุณย่าเล็ก กับน้อง ดูสนิทสนมกันจัง แล้ว ยายแน่งน้อยมาเกี่ยวอะไรด้วย”

“เรื่องเกี่ยวกับยายแน่งน้อยของพี่ขวัญ รอถามพี่ขวัญดีกว่าค่ะ...แต่กับย่าเล็กออเจอย่าแกที่สิงคโปร์..แกไปเยี่ยมพี่สาวที่แต่งงานแล้วไปอยู่กับครอบครัวสามีที่นั่น ต้นตระกูลของสองพี่น้องเป็นคนปีนังค่ะ...แล้วย่าเล็กเขาก็ทำโรงแรมเหมือนกัน ดัดแปลงตึกเก่าแก่ในย่านเมืองเก่าเป็นโรงแรมค่ะน่ารักดี ย่าเล็กก็ชวนให้ออมาพักค่ะ ออมาถึงเมื่อวานตอนบ่าย ๆ ยังไม่ทันตระเวนไปไหนเลย ฝนตกซะก่อน แต่ย่าเล็กก็เดินมาคุยด้วย มาดูแลออ แล้วกลางคืนออก็ปวดท้องอย่างรุนแรง พี่ที่โรงแรมก็เลยโทรตามย่าเล็ก ย่าเขาก็มากับหลานเขา...”


“เมื่อคืนขวัญเขาก็เจอกับหลานย่าเล็กด้วยละซิ”

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ตอนนั้นออยังเมายาสลบ ก็คงจะได้เจอกันมั้งค่ะ ถ้าพี่ขวัญมา..”

ปวุฒิถอนหายใจเบา ๆ ความกังวลแล่นเข้าจับความรู้สึกเมื่อโย่งใยได้ว่า หลินฮันหมิงนั้นเป็นเพื่อนกับวิศรุตพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของวรรณรดา ซึ่งวิศรุตนั้นเพียรจีบขวัญชีวีมานานพอสมควร ทำทุกวิถีทางแม้แต่เสนองานผ่านพี่กนกอรมาว่า งานที่จ้างขวัญชีวีไปทำนั้น จะต้องไม่มีแม้เงาของเขา...ห้ามให้กนกอรจัดแพ็กคู่อย่างที่บริษัทออแกไนเซอร์ส่วนใหญ่ต้องการ

...และสายตาของหลินฮันหมิงที่นั่งอยู่กับณิชกานต์เมื่อวันนั้นเขารู้สึกได้ว่าเป็นสายตาของผู้ชายที่ดูสนอกสนใจขวัญชีวีเป็นอย่างมาก...


แม้จะรู้ว่าเรื่องที่ให้ขวัญชีวีโทรไปหาก่อนกลับเมืองไทยเพื่อจะนำของฝากกลับไปให้ย่าแน่งน้อยนั้นเป็นข้ออ้างที่สวยงาม แต่หลินฮันหมิงก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ยอมขับรถให้ย่าเล็กไปย่านไชน่าทาวน์เพื่อซื้อของฝาก..

“ไม่รู้ว่าวันนี้หนูขวัญไปทำงานที่ไหนนะ...อยากไปดูจังเลย”

เมื่อคืนนี้ขวัญชีวีบอกกับเขาว่าจะมีถ่ายแบบที่ชายหาด และเมืองปีนังนี้ก็มีหาดทรายสวยงามอยู่ไม่กี่แห่ง หากจะตระเวนขับรถดูก็คงไม่ยาก เพียงแต่ว่าวันนี้เขารู้สึกว่าท้องฟ้าเมืองปีนังมีเมฆปลกคลุม ดีไม่ดีฝนอาจจะตกก็ได้ และขวัญชีวีก็บอกกับเขาไว้ว่าบางทีแผนอาจจะเปลี่ยน

ดังนั้นเขาจึงทำเป็นไม่ได้ยินว่าย่าเล็กพูดอะไรออกมา...แต่เหมือนว่าย่าเล็กนั้นยังต้องการดึงเรื่องของขวัญชีวีมาอยู่ในความสนใจของเขา...

“อาหมิงแน่ใจนะว่า พี่ของเพียงออเป็นแฟนกับหนูขวัญ”

“แน่ยิ่งกว่าแน่อีกครั้ง เพื่อนผมยืนยัน เมืองไทยใคร ๆ ก็รู้เรื่องนี้ดี แล้วผมก็เคยเห็นเขาไปกินข้าวด้วยกันด้วย”

“เห็นได้อย่างไร...”

“ผมไปเดินห้าง เข้าไปร้านอาหารญี่ปุ่น เจอเขามาด้วยกันครับ...หวานชื่นเลยทีเดียว”

“ไม่น่าเป็นอย่างนั้นเลยเนอะ...”

“แต่มันเป็นไปแล้ว”

“อาหมิงรู้ไหมว่าสมัยเรียนคอนแวนต์นะ...ย่ากับแน่งน้อยและสุวิมลสนิทกันมาก แต่กาลเวลาและระยะทางก็ทำให้ความสนิทสนมของเราค่อย ๆ เลือนหายไป...เรียนจบไปแล้วต่างคนต่างก็มีภาระหน้าที่การงานยุ่งเหยิง กระทั่งจู่ ๆ สุวิมลก็มาเที่ยวปีนังกับลูกหลาน เราบังเอิญเจอกันอีกครั้งที่วัดเก๊กล็อกซี (Kek lok si temple)...แล้วสายสัมพันธ์ของเราก็หวนกลับมาอีกครั้ง แต่สุวิมลก็อายุสั้นเหลือเกิน

...แต่ว่างานศพของสุวิมลก็ทำให้ย่าได้เจอแน่งน้อย ย่าไม่เคยลืมเลยนะ เราเคยสัญญากันว่า เราจะต้องเกี่ยวดองกัน ลูกกับลูกของเราคนใดคนหนึ่ง จะต้องแต่งงานกัน แต่ย่าก็ไม่มีวาสนาจะได้แต่งงาน ทั้งสองคนก็มีแต่ลูกสาวเสียอีก...”

“ครับ..” หลินฮันหมิงขับรถไปเรื่อย ๆ กระทั่งรถติดไฟแดง เขาหันไปมองหน้าย่าเล็กที่มีน้ำเสียงสั่นเครือ แล้วเขาก็ต้องปั้นหน้าลำบากใจเมื่อย่าเล็กถามเขาตรง ๆ ว่า

“ถามจริง ๆ เถอะ อาหมิงชอบหนูขวัญไหม”

ถ้าต้องตอบตามความเป็นจริง หลินฮันหมิงก็จะต้องบอกว่า “ชอบ” ชอบอย่างไม่มีเหตุผล รู้สึกถูกชะตา รู้สึกอยากจะคุยด้วย อยากอยู่ใกล้ ๆ เป็นอารมณ์พิศวาสตามประสาหนุ่ม ๆ ที่เห็นสาวสวย แต่ใช่ว่าเขาไม่เคยพบเจอคนสวย เพียงแต่แววตาของขวัญชีวีนั้นเขารู้สึกว่าเป็นสายตาของคนที่คุ้นเคยกันมาเนิ่นนาน...
เขาชอบเธอ

แต่เขามีมโนธรรมอยู่หนึ่งข้อคือเขาจะไม่ยุ่งกับผู้หญิงของคนอื่นเด็ดขาด...และเขาก็ต้องไม่ให้ความหวังย่าเล็กของเขาด้วยเช่นกัน

และขณะที่คิดหาคำตอบเพื่อให้ย่าเล็กล้มเลิกความตั้งใจที่ยากจะเป็นไปได้... โทรศัพท์ของหลินฮัน หมิงก็ดังขึ้น...แรกทีเดียวเขาคิดว่าน่าจะเป็นเบอร์ของพี่สาวของเขาคนใดคนหนึ่งโทรมาชวนไปกินข้าวนอกบ้านหรือชวนกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านของพี่ชายคนโตที่มีพ่อแม่ของเขาพักอาศัยอยู่ด้วย...แต่พอเห็นเบอร์โทรศัพท์เขาก็นิ่วหน้าแปลกใจเพราะหมายเลขที่โชว์อยู่นั้นบอกว่าเป็นเบอร์ที่โทรมาจากเมืองไทย...

“สวัสดีครับ...ผมหลินฮันหมิงพูดสายครับ”

“สวัสดีค่ะ จำนิดได้ไหมคะ...”

อันที่จริงหลังจากที่กลับมาจากเมืองไทย ณิชกานต์เคยโทรหาเขามาแล้วหนึ่งครั้ง แต่ว่าเขาไม่ได้บันทึกเบอร์ของเธอไว้ เพราะคิดว่าเธอจะไม่โทรมาอีก และเขาเองก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องคุยกับเธอด้วย แต่ว่าครั้งนี้เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับการโทรมาของเธอ

“ณิชกานต์ โทรมาจากเมืองไทยค่ะ”

“อ๋อ..คุณนิด...จำได้ซิครับ”

คุยกันได้สองสามประโยคสัญญาณไฟแดงก็เปลี่ยนเป็นไฟเขียว...

“อยู่ ๆ ก็คิดถึง เลยกดมาหา หวังว่าคงไม่รบกวนเวลานะคะ”

“ไม่รบกวนหรอกครับ แต่คุณนิดครับ ขอโทษนะครับ ตอนนี้ผมกำลังขับรถอยู่ เดี๋ยวสะดวก ๆ ผมโทรกลับนะครับ..”

“ค่ะ ๆ จะรอนะคะ...คิดถึงนะคะ”

วางสายลงแล้วย่าเล็กก็ถามทันทีว่า

“ใครเหรอ คุยภาษาไทยกันเสียด้วย”

“เพื่อนที่เมืองไทยครับ อ้อ เขาเป็นดาราเหมือนคุณขวัญด้วยนะย่าเล็ก สวยน่ารักไม่แพ้กันเลยแหละ”

“อย่างนั้นเหรอ”

“ครับ...ผมไปเมืองไทยครั้งที่แล้ว ผมเจอทั้งคุณขวัญและคุณนิด ผมว่าถ้าย่าเจอคุณนิดย่าจะต้องชอบเธอแน่ ๆ เลยครับ เพราะเธอคุยเก่งเหมือนเพียงออนี่แหละ และที่สำคัญเธอยังไม่มีแฟน” หาทางออกได้แล้วเขาก็รู้สึกโล่งออก แต่ว่าย่าเล็กของเขาก็ยังดึงดันไม่เลิก

“แต่ย่าชอบหนูขวัญไปแล้ว อย่างไรย่าก็ไม่เปลี่ยนใจหรอก”


ขณะที่ยืนรอย่าเล็กเลือกของฝากให้ยายแน่งน้อยของขวัญชีวี โทรศัพท์ของหลินฮันหมิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นเบอร์ของหลินเล่อเจินพี่สาวคนเหนือเขาขึ้นไปหนึ่งคนที่เพิ่งแต่งงานกับวิศวกรในโรงงานไปเมื่อปีก่อน หลังแต่งงานแล้วหลินเล่อเจินก็ย้ายไปอยู่คอนโดมิเนียมกับสามีเพราะต้องการความเป็นส่วนตัวความสะดวกสบายและความทันสมัย

“มีอะไรหรือ”

“เห็นรูปที่ฉันอัพเฟสหรือเปล่า”

“ยังไม่ได้ดูเลย มีอะไร”

“ฉันมาพักผ่อนที่หาดบาตูเฟอริงกิน่ะ เห็นมีคนไทยมาถ่ายแบบก็เลยไปมุงกับเขา...ถ่ายรูปนางแบบคนไทยมาอัพเฟสด้วยนะ...”

“ทำไมเหรอครับ” หลินฮันหมิงมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาด้วยความยินดี นี่ถ้าเขาบอกกับย่าเล็ก ว่าตอนนี้รู้แล้วว่าขวัญชีวีอยู่ที่ไหน ย่าเล็กจะต้องให้เขาขับรถไปดูเธอทำงานแน่ ๆ

“อ้าว...เรื่องที่เธอเสนอที่ประชุมให้ใช้ดาราไทยเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาสินค้าของเรา พี่ว่าคนนี้แหละใช่เลย”

“ขนาดนั้นเลยหรือครับ”

“อืม...เปิดเฟสบุ๊คดูซิ สวยถูกใจพี่จังเลย”

“ครับ ๆ ผมจะรีบเปิดดูเดี๋ยวนี้เลย...” บอกพี่สาวแล้วเขาก็กดสปีคโฟนใช้ปลายนิ้วสัมผัสหน้าหน้าจอเข้าสู่โปรแกรมเฟสบุ๊ค...แล้วภาพของขวัญชีวีก็ปรากฏแก่สายตา...

“เห็นยังล่ะ”

“เห็นแล้ว สวยดีครับ”

“ถ้าจะเอาดาราไทยเป็นพรีเซนเตอร์ก็เอาคนนี้แหละ ฉันเห็นแล้วชอบ แล้วฉันก็ถามชื่อเขามาด้วยนะ เขาชื่อ ควันชีวี...”

“ขวัญครับ ไม่ใช่ควัน”

“อืม ขวัญชีวี จำไว้แล้วกัน คุยกับทางเมืองไทยก็ระบุคนนี้ไปเลย”

“แล้วไม่ต้องเข้าที่ประชุมก่อนหรือครับ”

“ฉันสรุปก็เหมือนเข้าประชุมแล้ว...ตามนี้นะ...”

“ครับ”

“อ้อ ฉันเพิ่งคิดได้นะ ...โฆษณาสินค้าของเราไม่ว่าจะใช้พรีเซนเตอร์คนชาติไหน...เวลาถ่ายทำต้องมาถ่ายทำที่มาเลเซีย เธอว่าไอเดียนี้ดีไหม”

“ดีครับ ดีมาก ๆ เลยผมยกมือให้เต็มที่เลยครับ”


เมื่อรู้ว่าขวัญชีวีทำงานอยู่ที่หาดบาตูฯ ปวุฒิก็นั่งแท็กซี่ไปหาหญิงสาว โดยทิ้งให้วุฒินารทให้เฝ้าน้องสาวอยู่ที่โรงพยาบาลท่ามกลางเสียงบ่นเหมือนหมีกินผึ้ง...
ทีมงานหนังสือเมื่อเห็นหน้าปวุฒิต่างพากันแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่พอรู้ว่าเขาตามขวัญชีวีมาปีนังเพราะน้องสาวของเขาแบกเป้มาเที่ยวแล้วป่วยกะทันหัน ทุกคนก็พูดทำนองว่า นับเป็นความบังเอิญที่ลงตัวเป็นอย่างมาก

และเมื่องานของขวัญชีวีเรียบร้อย เขาก็ขอตัวพาขวัญชีวีออกนอกโปรแกรมทีมงาน จากที่ทางทีมงานจะพาตัวนางแบบไปเลี้ยงฉลองในตอนเย็นก่อนเข้าโรงแรม ปวุฒิก็พาขวัญชีวีไปที่บ้านของคุณย่าหลินซิ่วอินอย่างที่คุณย่าต้องการ เพราะความสนิทสนมกับคุณย่า น่าจะช่วยให้หลานชายของคุณย่าหลินซิ่วอินเข้าใจดีว่า
ขวัญชีวีนั้นเป็นผู้หญิงที่เขาไม่ควรคิดอะไรด้วย

“ถ้าบ้านเราเก็บเอาสายไฟลงใต้ดินได้เหมือนบ้านเค้า บ้านเราก็คงสวยแบบนี้แหละ” ปวุฒิชวนขวัญชีวีคุยขณะใช้บริการรถแท็กซี่ให้ไปส่งยังโรงแรม Green Inn Heritage Guesthouse ขวัญชีวีที่เพลียเพราะพิษไข้กับการพักผ่อนไม่เพียงพอรู้สึกว่าเสียงของปวุฒินั้นแผ่วเบาเหลือเกิน และพอแขนข้างขวาของปวุฒิสัมผัสกับแขนของขวัญชีวีเขาก็สะดุ้ง ก่อนจะหันหน้าไปหาพร้อมกับใช้ฝ่ามือแตะที่หน้าผาก...

“ขวัญตัวร้อนนี่ ไม่สบายใช่ไหม”

“ค่ะ ปวดหัวค่ะ”

“แล้วทำไมไม่บอกพี่ละครับ”

“ยังไหวค่ะ”

“พี่ว่าขวัญกลับโรงแรมดีกว่า หรือว่าจะไปหาหมอดี”

“ไม่เอาค่ะพี่ ขวัญไม่เป็นอะไรมากหรอก”

“พี่ว่าไปส่งขวัญที่โรงแรมแล้วพี่ไปหาคุณย่า รับของฝากแค่คนเดียวก็ได้นะ”

“ใกล้จะถึงแล้วค่ะ ไปหาคุณย่าก่อนดีกว่า แล้วเราก็รีบขอตัวกลับ”

พอไปถึงโรงแรม มิราเกลก็พาสองหนุ่มสาวคนไทยเดินไปยังบ้านของคุณย่าหลินซิ่วอินที่อยู่ไม่ไกลนัก...บ้านหลังนั้นมีรั้วรอบขอบชิดสร้างจากสถาปัตยกรรมจีนผสมยุโรปชวนให้ถ่ายรูปโพสต์ใน Instagram อย่างสมัยนิยมเป็นอย่างมาก แต่ว่าปวุฒิก็ได้แต่คิด เขาประคองขวัญชีวีเดินเข้าบ้าน และคนที่เขาอยากให้มาเห็นว่าเขากับขวัญชีวีนั้นคบหากันแนบแน่นแค่ไหนก็เป็นคนออกมารับหน้า...

“สวัสดีครับ คุณย่าอยู่ในครัวครับ เข้าบ้านกันก่อน” หลินฮันหมิงรู้สึกว่าดวงตาของขวัญชีวีดูอิดโรยใบหน้าแดงริมฝีปากแดงผิดปกติ แต่เขาก็ไม่กล้าทักเพราะจะดูเหมือนว่าเขาใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้นจนกลายเป็นว่าเขาสนใจเธอมากจนเกินไป

และเมื่อคนทั้งคู่พากันไปนั่งยังโซฟาแล้วเขาก็บอกว่า “รอเดี๋ยวนะครับ เดี๋ยวผมยกน้ำมาให้”

ตอนนั้นขวัญชีวีมองบ้านโบราณที่ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนเหมือนหลุดไปยุคเจ็ดสิบปีก่อนแล้วรู้สึกชอบใจเพราะว่าบ้านที่เธออาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้คือบ้านเก่าที่สร้างมาตั้งแต่สมัยคุณตากับคุณยายแต่งงานกันได้ไม่นาน...และที่สะดุดตาในบ้านหลังนี้ก็คือแกรนด์เปียโนซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ขวัญชีวีเคยเรียนเมื่อสมัยมัธยมต้น หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้จับต้องมันอีก.. ใจของขวัญชีวีนึกอยากจะเดินดูรูปถ่ายที่ติดไว้ตามผนังบ้านและตั้งไว้ตามมุมต่าง ๆ แต่ว่าหญิงสาวก็ทำได้เพียงสงบใจนั่งเคียงคู่อยู่กับปวุฒิที่ตอนนี้เขานั่งชิดกับเธอเป็นอย่างมากรอเจ้าบ้านที่อยู่ในชุดกางเกงขาสั้นสีขาวเสื้อยืดคอโปโลสีม่วงเข้มขับให้ผิวของเขาผ่องยิ่งขึ้น

“ขวัญไหวนะ” ปวุฒิแสดงความห่วงใยอย่างจริงใจ

“ไหวค่ะ...”ว่าแล้วขวัญชีวีก็ขยับหนีปวุฒิไปสองคืบ สายตานั้นดูกระตือรือร้นใครรู้กับของในบ้านของเขาเป็นอย่างมาก และอึดใจเขาก็เดินกลับมาอีกครั้ง

“วันนี้คนงานลาหยุดครับ” หลินฮันหมิงถือถาดใส่แก้วน้ำมาสองใบพร้อมกับชุดน้ำชาแล้ววางลงบนโต๊ะหยิบวางให้แขกที่กล่าวขอบคุณเขาอย่างเกรงใจ

“รอคุณย่าหน่อยนะครับ อาหารจะเสร็จแล้ว อ้อ คุณย่าบอกว่า จะให้คุณสองคนอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันนะครับ”

“เอ่อ..คือผมต้องรีบพาขวัญไปส่งโรงแรมนะครับ แล้วต้องไปโรงพยาบาลต่อด้วย เพื่อนผมเขาดูน้องสาวผมอยู่ครับ เกรงใจเขา บอกคุณย่านะครับว่าเราสองคนคง...” ปวุฒิไม่อยากอ้างเรื่องที่ขวัญชีวีป่วยเพราะทางคุณย่าหรือเขาจะต้องแสดงความห่วงใยและเป็นกังวลไปด้วย

“เอ่อ..คุณย่าผมคงจะเสียใจแย่เลย ท่านตั้งใจทำอาหารต้อนรับพวกคุณมากแล้ว อย่าปฏิเสธน้ำใจของท่านเลย ขอเวลาสักครู่นะ เดี๋ยวผมไปช่วยท่านจัดโต๊ะอาหารก่อนนะครับ ทำตัวตามสบายแล้วกัน” ก่อนจะเดินจากไปเขาก็หยิบรีโมทเปิดโทรทัศน์แล้วก็วางรีโมทไว้บนโต๊ะกลาง...

ขวัญชีวีมองร่างสูงที่ดูคล่องแคล่วใส่เสื้อสีม่วงเดินเข้าไปทางหลังบ้าน แล้วรู้สึกว่า อาการครั่นเนื้อครั่นตัวเมื่อก่อนหน้านั้นบรรเทาลงเป็นอย่างมาก





จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ธ.ค. 2555, 14:26:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ธ.ค. 2555, 14:26:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1913





<< 4.2   6. >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 18 ธ.ค. 2555, 14:49:13 น.


คิมหันตุ์ 18 ธ.ค. 2555, 15:37:34 น.
เห้อ...สู้ๆ พี่หมิง


Zephyr 18 ธ.ค. 2555, 21:31:37 น.
ปวุฒิ เริ่มแปลกๆละ หวงก้างใช่มะ
น้องออกะวุฒินารทก็แปลกๆ สองคนนี้คู่กันเหรอคะ หรือแค่สนิทกันเฉยๆน้า
ยายนิดอีกคน ทำบรรยากาศเสียเลยยยยย


loveleklek 21 ธ.ค. 2555, 18:21:43 น.
ตามมาอ่าน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account