The song of heart...เพลงหัวใจ
“กิดาหยัน” ช่างภาพสาวประจำนิตยสารเลิฟลี่โฮมเพิ่งฟื้นตัวจากการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจได้ไม่นาน ก็ต้องมาพบกับเรื่องราวอันแสนน่าเวียนหัวของพี่สาวฝาแฝด “กิดานันท์” ที่ยังคงตัดใจจากอดีตแฟนเก่าอย่าง"โยธิน" ไม่ได้ แถมเจ้าเพื่อนเวร (กิดาหยันเรียกเขาว่าอย่างนั้น) ยังมีชนักติดหลัง พา “กวินภพ” อดีตว่าที่พี่เขยที่แสนจะคุ้มดีคุ้มร้ายเข้ามาเกี่ยวพันกับคนป่วยอย่างกิดาหยันอีก

งานนี้ช่างภาพสาวจะหลุดพ้นจากมลทินที่กวินภพกล่าวหาว่าหล่อนเป็นภรรยาลับได้หรือไม่

**ข้อมูลทั้งหมดในเรื่องเป็นสิ่งที่ผู้เขียนค้นคว้าไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2553**
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 13


บทที่ 13


กฤษณะเลี้ยวรถเข้าจอดใต้อาคารจอดรถของบริษัท พร้อมด้วยสัมภาระมากชิ้นอย่างกล้องถ่ายภาพและเอกสารสำคัญบางส่วนเกี่ยวกับสถานที่ที่เขาต้องไปสัมภาษณ์และเก็บภาพมาลงนิตยสารเลิฟลี่โฮม มือไม้นั้นถือของเต็มไปหมดแต่ยังไม่ลืมหนีบกระเป๋าสะพายสีสันแสบตาใบโปรดลงจากรถมาด้วย

โปรยยิ้มหวานขอบคุณยามรักษาความปลอดภัยที่ช่วยเปิดประตูให้ เห็นอยู่หรอกว่าอีกฝ่ายนั้นทำปากบรื๋อขนลุกขนพองจึงอดยิ้มขันไม่ได้กับอาการเสียวสะท้านนั้น

เดินบิดบั้นท้ายที่ไม่ได้มีเอาเสียเลยผ่านหน้ายามไปไม่กี่ก้าว กลับตัวลีบแทบชิดกำแพงเมื่อมีกลุ่มชายแปลกหน้าขนของขนาดใหญ่ตรงมาทางหล่อน และไม่มีทีท่าจะหลบด้วยถ้า ‘คิตตี้’ ไม่หลบเอง

จะร้องแหวแต่พอเห็นหนุ่มๆ เดินผ่านหน้าไปในระยะใกล้ ปากนี้หุบฉับ มองเสียเคลิ้ม ที่จริงเจ้าหล่อนก็ไม่อยากหลบหรอกนะ เผื่อไม่แน่ชายหนึ่งในนั้นอาจจะเป็นเนื้อคู่ของหล่อนก็ได้ แต่ติดตรงมีของทำมาหากินอยู่เต็มมือเนี่ยสิ ไม่งั้นไม่รอดเงื้อมมือเจ้าหล่อนไปง่ายๆ แบบนี้หรอก

วางของบนเก้าอี้ยาม หันไปถามเมื่อหนุ่มๆ เดินพ้นประตูไปแล้ว “ผู้ชายพวกนั้นมาจากไหนเหรอยามเขียว ขนของออกไปซะเยอะเชียว”

“อ๋อ วันนี้ทางบริษัทมีนัดถ่ายภาพสิ่งประดิษฐ์ของน้องๆ ที่เข้ารอบชิงสิ่งประดิษฐ์ของใช้ในบ้านน่ะครับ นี่ก็ขนเข้าขนออกกันตั้งแต่เช้าแล้ว คงใกล้เสร็จแล้วมั้งครับถึงเริ่มทยอยขนลงกันแล้ว”

“จริงเหรอ ทำไมฉันไม่ยักรู้เลยแฮะ แล้วนี่มีน้องๆ หนุ่มๆ มากันเยอะรึเปล่า ฉันจะได้ไปโฉบดูเสียหน่อย”

“เอาอีกแล้ว เห็นเด็กหนุ่มเป็นไม่ได้ต้องกระโดดเข้าใส่ทุกที น้องเขายังเป็นเยาวชนอยู่นะคุณคิตตี้ ยังมีอนาคตไกลปล่อยเด็กเขาไปเถอะ”

“ต๊าย! ยามเขียว เดี๋ยวนี้พัฒนานะจ๊ะ แต่ก่อนแค่เจอฉันเดินผ่านยามเขียวยังไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าฉันเลย เดี๋ยวนี้ถึงขนาดกล้าแซวฉันเชียวเหรอ แอบแรงนะเนี่ยเรา”

เสียงสูงเสียงต่ำของ ‘คิตตี้’ ทำให้ยามเขียวหัวเราะ ด้วยความที่กฤษณะทำงานอยู่ในบริษัทเลิฟลี่โฮมมานาน พนักงานทุกคนในบริษัทนี้รู้จักเจ้าหล่อนดี รวมถึงเขียว ชายมีอายุในชุดเครื่องแบบยามหน้าประตูที่ ’คิตตี้’ มักแกล้งหว่านเสน่ห์ใส่ประจำ เย้าแหย่ตามประสา

โบกปัด เอ่ยแหย่เหมือนเคย “ว่าภรรยาแล้วยังมาหัวเราะอีก นี่เห็นแก่สามีหรอกนะ ละเว้นไม่กินเด็กวันนึงก็ได้”

“ไม่เอาน่าคุณคิตตี้ เรียกแบบนี้บ่อยๆ เดี๋ยวเมียผมมาได้ยินเข้าได้คิดว่าผมเป็นแบบคุณกันพอดี”

“อะไรกันยามเขียว พูดแบบนี้เมียรองน้อยใจนะคะ” ว่าแล้วก็เกาคางเขาอีก

ยามเขียวปัดมือซนให้วุ่น เอ่ยเสียงสั่นตามอายุขัย “โธ่ คุณคิตตี้ ผมแก่แล้วนะครับมาเล่นเป็นเด็กๆ ไปได้”

“พี่กฤษ ! พี่กฤษ !” จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายทักดังมาจากด้านหลัง เล่นเอาคนที่กำลังสนุกกับการได้แหย่ยามมีอายุนิ่งงัน เลิกเกาคางยามแก่ ทำทีเป็นง่วนขนข้าวของของตัวเอง

หันไปเผชิญหน้าแล้วต้องถอนใจดังเฮือก ที่แท้ก็ยงยุทธ...นักศึกษาฝึกงานที่จักรชัยเพิ่งส่งมาให้เมื่อหลายวันก่อนนี่เอง

“มีอะไรยุทธ เรียกซะพี่ตกอกตกใจหมดเลย” ปรับเสียงเป็นแมนทันที

ยงยุทธหอบเล็กน้อยเพราะวิ่งมาหา “ดีจังที่พี่มา ผมโทรศัพท์หาพี่ตั้งหลายครั้งแต่พี่ไม่รับสาย ผมนึกว่าจะต้องมารอพี่ที่ชั้นล่างเก้อเสียแล้ว”

“เราโทร.หาพี่เหรอ” เอ่ยพลางหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกง สามสายไม่ได้รับล้วนเป็นชื่อยงยุทธทั้งสิ้น

แก้ตัวไม่ถูกเลย เห็นๆ อยู่ว่าเวลาที่นักศึกษาหนุ่มโทรศัพท์มาหานั้นเป็นเวลาเดียวกับที่เขากำลังแกล้งยามเขียวพอดี

ยงยุทธค่อนข้างปลาบปลื้มในฝีมือถ่ายภาพของกฤษณะจนเรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของเขาเลยก็ว่าได้ ถ้ากฤษณะจะปล่อยหญิงให้เห็นคงเป็นการทำร้ายจิตใจกันเกินไปหน่อย “เอ่อ...พี่ถือของมาเยอะน่ะเลยไม่มีมือรับ แล้วตกลงเรามีอะไรด่วนเนี่ยถึงได้หน้าตาตื่นลงมาแบบนี้”

“พี่หวานให้ผมมาตามพี่ไปช่วยพูดกับพี่หยันให้หน่อยน่ะครับ”

“ฮื้อ ? ยัยหยันมาทำงานแล้วเหรอ” นิ่วหน้าพึมพำกับตัวเอง ไม่เห็นเพื่อนสาวจะบอกหล่อนสักคำ

“ตอนนี้พี่หยันกำลังถ่ายภาพสิ่งประดิษฐ์ของน้องๆ อยู่ในสตูดิโอครับ”

“อ้าว ก็เขาทำงานอยู่ เอาไว้ทำงานเสร็จพี่ค่อยไปพูดก็ได้ แล้วพี่หวานเขาจะให้พี่ไปช่วยพูดกับพี่หยันเรื่องอะไร”

“นั่นแหละครับคือเหตุผลที่พี่หวานให้ผมมาตามพี่ไป ตั้งแต่เช้ามาพี่หยันก็ง่วนอยู่แต่กับงานในสตูดิโอ พอมีน้องๆ มาโชว์ตัวก็ขอเป็นคนถ่ายภาพเอง แล้วไหนยังจะสิ่งประดิษฐ์ของน้องๆ อีก คนอื่นจะยื่นมือเข้ามาช่วยพี่หยันก็ไม่ยอมท่าเดียว”

จากนิ่วหน้ากลายเป็นหน้ายุ่ง เพื่อนของหล่อนมาแบบไหนอีกเนี่ย คุ้มดีคุ้มร้ายจริงยัยนี่ !

“เห็นพี่หวานบอกว่าพี่สนิทกับพี่หยันไม่ใช่หรือครับ น่าจะช่วยพูดให้พี่หยันพักมือได้บ้าง”

“พี่เข้าใจแล้ว” ว่าแล้วก็ส่งสัมภาระในมือให้คนรายงาน “ช่วยเอาของพี่ไปเก็บที่โต๊ะทีนะ เดี๋ยวเรื่องพี่หยันพี่จัดการเอง”

กฤษณะฝ่ากลุ่มคนที่เดินสวนทางกันไปมาให้วุ่นเข้ามายังภายในสตูดิโอถ่ายภาพของบริษัท วัยรุ่นหนุ่มสาวที่ยืนโพสท่าอยู่ท่ามกลางแสงไฟและหน้ากล้องทำให้กฤษณะหยุดมองเล็กน้อย

เห็นเด็กหนุ่มเป็นไม่ได้ตาประกายทุกที ตั้งสติได้ก็ตอนมีคนแบกของผ่านหน้าเจ้าหล่อนไปนั่นแหละ ก่อนกวาดตามองหาหวานใจ เพื่อนร่วมงานที่เป็นคนสั่งให้ยงยุทธมาตาม ส่วนกิดาหยันนั้นกฤษณะเห็นตั้งแต่ก้าวเข้ามาในสตูดิโอแล้ว ก็ตากล้องที่ถ่ายภาพน้องๆ พวกนั้นอยู่เป็นเพื่อนสาวของเจ้าหล่อนนั่นเอง

ข้าวของที่วางเกลื่อนพื้นสตูดิโอทำให้ต้องเดินหลบอยู่หลายครั้งก่อนจะถึงตัวหวานใจ “เปลี่ยนอาชีพจากตากล้องมาเป็นหัวหน้าคนงานแล้วรึไงจ๊ะยัยหวาน”

“ยัยคิตตี้” หวานใจร้องเรียกด้วยความดีใจอย่างกับถูกลอตเตอรี่ กำกับคนงานชายทั้งหลายให้ยกเฟอร์นิเจอร์ที่เหลือออกไปก่อนหันมาหาคนข้างกาย “แกมาก็ดีแล้ว รู้มั้ยที่ฉันต้องมาเปลี่ยนอาชีพเป็นคนคุมงานแบบนี้ก็เพราะเพื่อนสุดที่เลิฟของแกนั่นแหละ ยัยหยันน่ะ มาทำงานแต่เช้า นี่ปาเข้าไปบ่ายกว่าแล้วยังทำงานไม่หยุดเลย แทนที่ฉันจะได้...”

“พอๆ ยุทธเล่าให้ฉันฟังแล้ว” รีบตัดบทเพราะกลัวสาวเจ้าจะสาธยายไปมากกว่านี้ “แล้วมายืนหน้าบึ้งอยู่ตรงนี้ทำไมจ๊ะแม่คุณ ถ้ายังอยากได้งานคืนก็ไล่ยัยหยันออกไปสิ”

“พูดง่ายนี่ ถ้าไล่ได้ฉันคงไล่ไปนานแล้ว ไม่เห็นรึไงว่ามีแขกอยู่เต็มห้อง จะให้ฉันเข้าไปไล่หยันตรงๆ หยันได้เสียหน้ากันพอดี ฉันเองก็จะพลอยเป็นนางมารในสายตาคนอื่นเขาไปด้วย”

กฤษณะทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ รำคาญความเป็นผู้ดีของเพื่อนเสียจริง

จะว่าไปหวานใจก็มีมารยาทดีอยู่หรอกนะ แต่จะให้หล่อนทำเป็นเฉยยืนมองเพื่อนตัวเองบ้างานอย่างแม่หวานใจ บอกตามตรงว่าทำไม่ลง !

“ถ้าอยากได้งานคืนก็ตามมา” ว่าแล้วก็เดินนำเพื่อนร่วมงานมุ่งตรงไปหาคนที่ง่วนอยู่กับการจัดท่าจัดทางให้นางแบบนายแบบ

เห็นกฤษณะยืนกอดอกมองมาจากด้านหลัง ก็เอ่ยทักหน้าเฉย “ฉันนึกว่าวันนี้แกจะไม่มาทำงานแล้วนะเนี่ย”

“อืม ทีแรกก็ว่าจะไม่มา แต่มีม้าเร็วมารายงานให้ฉันฟังว่ามีใครบางคนกำลังบ้างานอยู่แถวนี้ ก็เลยมาดูเสียหน่อย ไปทานยาม้ามารึไงแม่คุณถึงทำงานได้ตั้งแต่เช้ายันบ่ายเนี่ย”

กิดาหยันเพียงยักไหล่ สนใจงานตรงหน้าต่อทำราวกับเสียงกฤษณะเป็นลมพัดผ่านหู นับสาม สอง หนึ่ง ส่งสัญญาณให้นางแบบนายแบบโพสท่าถ่ายภาพ มิหนำซ้ำยังหันมาใช้เพื่อนหน้าตาเฉย “แกช่วยไปดูรูปที่คอมทีสิว่าภาพสวยยัง ฉันจะได้ถ่ายภาพใหม่สักที”

“หยัน !” กฤษณะขึ้นเสียง เท้าสะเอว และนั่นคงทำให้เพื่อนสาวรู้ตัวถึงได้สั่งพักเสียดื้อๆ

เอ่ยสั่งให้ทีมงานที่เหลือดูแลเสื้อผ้า หน้าผมเหล่าบรรดาน้องๆ ที่เข้ารอบการประกวดสิ่งประดิษฐ์เพื่อเตรียมถ่ายชุดต่อไป ชี้บอกให้คนโน้นคนนี้ทำตามเป็นว่าเล่น ไม่วายเข้าไปช่วยทีมงานจัดโคมไฟหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ของน้องๆ เตรียมถ่ายคู่กับเจ้าของผลงาน

คบเป็นเพื่อนกันมาก็นาน หากกฤษณะไม่เคยเห็นกิดาหยันเป็นแบบนี้มาก่อนจึงทำให้เจ้าหล่อนนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ เริ่มไปไม่ถูกเหมือนกันแต่พอมีแรงกระทุ้งมาจากหวานใจ กฤษณะจึงปั้นหน้าขรึม สาวเท้าเข้าไปหากิดาหยันทันที

“มากับฉันเดี๋ยวนี้ยัยหยัน”

ไม่ฟังเสียงค้านก็ลากตัวเพื่อนสาวออกมาจากสตูดิโอ พลางเอ่ยบอกหนึ่งในทีมงานแถวนั้นว่า “ถ้าจะถ่ายเซ็ตต่อไปเมื่อไหร่บอกพี่หวานได้เลย พี่หวานจะเป็นคนประสานงานที่เหลือต่อให้เอง”

“อะไรยัยคิตตี้ อยู่ดีๆ ถึงได้ลากฉันออกมาเนี่ย ไม่เห็นรึไงว่าฉันกำลังทำงานอยู่” กิดาหยันเอ่ยหน้ายุ่งเมื่อถูกลากออกมาไกลจากสตูดิโอ

“ยังมีน่ามาถามอีกนะยัยหยัน ถ้าแกทำงานฉันจะไม่ว่าแกสักคำ แต่นี่เขาไม่เรียกว่าทำงานแล้ว เขาเรียกว่าบ้า !”

“แกนั่นแหละที่บ้า ฉันอยู่ของฉันดีๆ ก็ลากออกมา” กิดาหยันยังคงค้านเสียงแข็ง ทำท่าจะเดินกลับไปทางที่เพิ่งถูกลากออกมา

ร้อนถึงกฤษณะต้องจับแขนไว้หมับ “นั่นมันงานของหวานไม่ใช่งานของแก งานของแกคืออยู่นิ่งๆ รอคำสั่งจากบก.เท่านั้น”

“ก็เพราะแบบนี้ไงฉันถึงต้องไปขโมยงานยัยหวานมาทำ” เอ่ยหัวเสีย ก่อนเดินปึงปังยอมกลับไปที่โต๊ะทำงาน โดยมีกฤษณะเดินตามหลังมาติดๆ “เมื่อไหร่ทุกคนจะเลิกทำเหมือนฉันเป็นคนป่วยใกล้ตายซักทีนะ ฉันบอกว่าฉันหายดีแล้วก็ไม่มีใครเชื่อ ถ้าหมอไม่อนุญาตฉันคงไม่กลับมาทำงานหรอก”

“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันรู้ว่าแกหายดีแล้ว แต่แกก็ควรจะรู้ข้อจำกัดของร่างกายแกบ้าง ถ้าเป็นอะไรไปอีกจะว่าไง”

กิดาหยันเบ้หน้า กระแทกตัวลงนั่งหน้าโต๊ะทำงานตัวเอง เป็นกฤษณะตามเคยที่นั่งลงตามหล่อน

แอบเห็นว่าโต๊ะทำงานของเพื่อนสาวกลับมารกเหมือนเดิม กฤษณะเป็นคนทำความสะอาดและเก็บกวาดของบนโต๊ะทำงานกิดาหยันในช่วงที่เจ้าของโต๊ะไม่อยู่เอง จึงรู้สึกผิดสังเกตได้ตั้งแต่แรกเห็น “นี่แกเอางานจากไหนเยอะแยะมาสุมรวมไว้บนโต๊ะเนี่ย ฉันอุตส่าห์ทำความสะอาดไว้ซะเกลี้ยงนะยะ”

“ฉันเพิ่งไปรับจ๊อบพิเศษมาสองสามแห่ง งานเสร็จแล้วฉันจะเคลียร์โต๊ะให้สะอาดเหมือนเดิมเอง”

“จ๊อบพิเศษ !” กฤษณะร้องเสียงหลง “แกเอาเวลาไหนไปรับงานพิเศษมา เพิ่งหายดีก็โหมงานหนักเลยเหรอ”

กิดาหยันหยิบจับงานบนโต๊ะให้ดูวุ่นไปอย่างนั้น “ก็ฉันเบื่อ ตอนพักฟื้นได้แต่นั่งๆ นอนๆ พอกลับมาทำงาน งานที่บริษัทก็ไม่มีให้ฉันทำอีก ฉันเลยต้องไปหางานพิเศษมาทำเป็นธรรมดา”

“นี่แกเบื่อชีวิตขนาดนี้เลยหรือยัยหยัน...แน่ใจนะว่าแค่เบื่อชีวิต ไม่ได้ประชดชีวิต”

จากที่ทำตัววุ่นกลายเป็นชะงักงัน เอ่ยทั้งที่ไม่มองหน้าเพื่อน “แกมีอะไรทำก็ไปทำเถอะ ฉันเองมีงานต้องสะสางเหมือนกัน ว่างแล้วจะไปคุยด้วย”

“ดูคนเรา พอเถียงไม่ออกก็ไล่กันซะงั้น เอ้อๆ ตามใจแกแล้วกัน” จะแยกตัวออกไปแต่อาการนิ่งไปของเพื่อนสาว กับรอยยิ้มที่เคยประดับดวงหน้าสวยนั้น...เวลานี้เรียบเฉยจนเกือบจะบึ้งตึง ทำให้กฤษณะอดเป็นห่วงเพื่อนไม่ได้

บีบบ่าเพื่อนปลอบ “มีอะไรกลุ้มใจบอกฉันได้นะหยัน ฉันเป็นเพื่อนแกนะ...แกคงไม่ลืมข้อนี้ไปใช่มั้ย”

น้ำเสียงห่วงใยนั้นเรียกรอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นที่มุมปากเพื่อนสาว เขาเองเมื่อเห็นกิดาหยันไม่เอ่ยคำใดอีกนอกจากเปิดคอมพิวเตอร์ตั้งต้นทำงานชิ้นใหม่ จึงเดินกลับไปนั่งทำงานที่โต๊ะและนั่นถือว่าเป็นการจบบทสนทนา





******************************





กฤษณะอาสามาส่งกิดาหยันที่คอนโด ทีแรกเพื่อนสาวโวยวายไม่ยอมให้มาส่งท่าเดียวอ้างว่างานยังไม่เสร็จเลยไม่อยากกลับ แต่กฤษณะเอาเหตุผลเรื่องสุขภาพของหล่อนมาค้านเจ้าตัวจึงเงียบกริบยอมให้พามาส่งโดยดี

รถเทียบจอดหน้าคอนโด กิดาหยันได้ทีถือว่าใช้ประโยชน์เพื่อนเสร็จแล้วเลยไล่กลับหน้าตาเฉย อีกฝ่ายได้แต่บ่นโอดครวญถึงความใจดำของเพื่อน แยกเขี้ยวใส่ก่อนบึ่งรถหายเข้ากลีบเมฆไปในพริบตา เหลือเพียงกิดาหยันที่มองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมืออย่างเซ็งๆ

วันนี้เป็นวันแรกเห็นจะได้ที่หล่อนกลับเร็วกว่าทุกวัน หลายวันมานี้กิดาหยันกลับคอนโดเกือบเที่ยงคืนทุกวัน ส่วนใหญ่จะตะลอนไปถ่ายภาพให้กับงานเล็กๆ ตามแต่คนจะจ้างไป เพิ่งมีโอกาสกลับไปทำงานที่บริษัทจริงจังก็วันนี้เอง

‘แน่ใจนะว่าแค่เบื่อชีวิต ไม่ได้ประชดชีวิต’ คำพูดของกฤษณะยังวนเวียนในหัวสมอง

ใช่...หล่อนคงประชดชีวิตเสียมากกว่ามั้งถึงได้รับงานมาทำท่วมหัวขนาดนี้ ! หล่อนไม่อยากเจอหน้ากิดานันท์ ไม่อยากเจอหน้าโยธิน เป็นไปได้หล่อนไม่อยากเจอหน้าหมอราเมศด้วยอีกคน

แต่รายหลังคงเป็นไปได้ยากเพราะหล่อนยังต้องไปตรวจสุขภาพกับเขาเสมอ และมักจะปั้นหน้าไม่ถูกทุกครั้งที่ต้องเจอหน้า ก็คงเช่นเดียวกับเขาที่มองหน้าหล่อนไม่ติดตั้งแต่วันที่ต้องเล่าความจริงเรื่องกิดานันท์ให้น้องสาวฝาแฝดฟัง เมื่อวันที่หล่อนขอคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวในวันที่กิดานันท์หายไปกับโยธิน

เปิดประตูเข้าไปในห้อง แสงสว่างภายในห้องบ่งบอกได้ดีว่าพี่สาวฝาแฝดกลับมาแล้ว และนั่นทำให้กิดาหยันผ่อนลมหายใจหนักหน่วงออกมา พยายามทำตัวให้เงียบที่สุด ไม่อยากให้พี่สาวรู้ตัว

แต่แล้วต้องชะงักเมื่อกิดานันท์เปิดประตูออกมาจากห้องนอนพอดี

“นันท์...” เผลอเรียกชื่อพี่สาวออกไป

ทำเป็นจะเดินกลับออกไปข้างนอก หากไม่ทันกิดานันท์ที่เข้ามายืนขวางประตูไว้ “เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

กิดาหยันทำเหมือนเสียงพี่สาวเป็นเพียงลมพัดผ่านหู ดึงดันจะเดินกลับออกไปแต่พออีกฝ่ายไม่ยอมถอยหนีจึงยอมเอ่ยเสียงเนือยๆ ว่า “เอาไว้คุยวันหลังแล้วกัน ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ารับงานข้างนอกไว้”

“อย่าทำแบบนี้อีกเลยหยัน เราหลบหน้ากันไปมาแบบนี้มามากพอแล้วนะ ทีแรก...ฉันว่าจะปล่อยให้เรื่องมันผ่านเลยตามเลย แต่ถ้าวันนี้ฉันไม่ไปคาดคั้นเอาความจริงจากหมอราเมศ ฉัน...ฉันก็คงไม่รู้ว่าเธอ...” อยู่ดีๆ เสียง กิดานันท์ก็แหบพร่าและเลือนหายไปดื้อๆ ทำเอาน้องสาวใจหายไปเหมือนกัน

ลอบมองพี่สาวด้วยหางตา ไม่มีคำเอ่ยใดจากปากน้องสาวและนั่นยิ่งทำให้กิดานันท์ร้อนรนเป็นทวีคูณ “ฉันนึกอยู่แล้วเชียวว่าที่โรงพยาบาล เธอต้องรู้อะไรมาถึงได้หนีกลับโดยไม่บอกฉันสักคำ ทำไมหยัน ทำไมเธอไม่รอฟังฉันอธิบายสักคำ ที่ฉันไปกับโยวันนั้น...”

“เลิกพูดเถอะนันท์ ฉันไม่อยากฟังเธอแก้ตัวอีกแล้ว” เห็นอีกฝ่ายสีหน้าไม่สู้ดีกิดาหยันจึงหันหลังกลับจะหนีเข้าห้องนอน รู้ตัวดีว่าถ้าพูดอะไรออกไปมากกว่านี้มีแต่ทำร้ายคนตรงหน้า รวมทั้ง...ทำร้ายตัวหล่อนเองด้วย

“หยัน ฉันกับโย...”

“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น หลายวันมานี้ตั้งแต่ฉันมาอยู่กับเธอ เธอเอาแต่บอกฉันว่าไม่สบายบ้างล่ะ มีเคสด่วนบ้างล่ะ แล้วยังจะมีธุระด่วนอีก เธอพยายามหาเหตุผลสารพัดสารเพมาอ้างกับฉันเพื่ออะไร เพื่อที่เธอจะได้เอาเวลางานของเธอออกไปหาไอ้โยมัน เธอเห็นฉันเป็นตัวอะไรนันท์ เธอเห็นว่าฉันเป็นคนป่วย เอาแต่เป็นไอ้โง่นั่งๆ นอนๆ ดักดาลอยู่ในห้อง ไม่มีวันรู้ทันเธอหรอกใช่มั้ย”

“หยัน”

“แล้วเธอเคยคิดบ้างมั้ยว่าฉันจะรู้สึกยังไง ฉันทั้งรัก ทั้งเป็นห่วงเธอ ไม่อยากให้เธอถูกไอ้โยมันหลอกอีก แล้วดูเธอทำกับฉันสินันท์...” รู้สึกว่าตัวเองเสียงเริ่มสั่นจึงหยุดเอ่ย แต่ก็แค่ชั่วครู่เท่านั้น

สบมองพี่สาวตรงๆ “...เธอคิดว่าฉันยังอยากจะฟังเธอพูดอะไรอีกรึเปล่า”

เอาเข้าจริง พอกิดานันท์ได้รับรู้ความรู้สึกของน้องสาวขึ้นมาหล่อนก็ทำอะไรไม่ถูก ไม่...แม้แต่สบมองตอบ “ฉะ...ฉันขอโทษ”

“ขอโทษ? เธอคิดว่าแค่คำขอโทษมันจะช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาได้เหรอนันท์ ผิดถนัด ฉันกลับรู้สึกว่าเธอหมดหนทางจะแก้ตัวแล้วต่างหาก...เธอไม่ได้รู้สึกผิดจริงๆ หรอกนันท์ พนันได้เลยว่าพรุ่งนี้เช้าพอเธอตื่นขึ้นมา เธอก็ต้องวิ่งโร่ไปหาไอ้โยมันอีก”

“แล้วเธอจะให้ฉันทำยังไง !” กิดานันท์ระเบิดขึ้นมาเหมือนกัน คนเป็นน้องถึงกับนิ่งไปถนัดตา

กิดานันท์ทิ้งตัวลงบนโซฟา เอ่ยทั้งที่มีน้ำใสๆ ระรื้นขึ้นที่ขอบตา “เธอคิดว่าการที่ฉันต้องโกหกเธอแล้วแอบไปกับโยทุกวัน ฉัน...สุขใจมากนักเหรอ”

กิดาหยันกรอกตาขึ้นฟ้า ได้แต่สบถในใจก่อนนั่งลงข้างพี่สาวฝาแฝด ถึงหล่อนจะโกรธกิดานันท์มากเพียงใด แต่ยังไงเสียหล่อนก็เป็นน้องจะทนได้ยังไงเมื่อต้องเห็นพี่สาวตัวเองร้องไห้ตรงหน้า

...หวนนึกถึงเรื่องวันวาน วันที่กิดานันท์ร้องไห้โฮมาหาหล่อนถึงห้องล้างฟิล์มที่มหาวิทยาลัย วันนั้นก็เป็นเพราะโยธินไม่ใช่เหรอที่ทำพี่สาวของหล่อนกลุ้มใจได้ถึงเพียงนั้น...และคราวนี้ก็เป็นไอ้เพื่อนเวรนั่นอีกเช่นกันที่ทำให้ชีวิตของพี่สาวหล่อนต้องป่นปี้ !

“ฉันไม่เข้าใจเธอจริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าไอ้โยมันเลวแล้วทำไมยังทนคบกันมันอีก”

“ก็เพราะเขาเป็นพ่อของลูกในท้องฉันไงหยัน...เขาเป็นพ่อของลูกฉัน”

คำเอ่ยนั้นไม่ได้สร้างความตื่นตระหนกแก่กิดาหยันแต่อย่างใด หล่อนรู้เรื่องนี้แล้วจากหมอราเมศและเป็นเพียงเรื่องเดียวที่เขาบอกหล่อนในวันนั้น คุณหมอรับรู้มาตลอดว่ากิดานันท์ตั้งครรภ์ได้สองเดือน เขารู้แต่แรกว่ายาบำรุงที่กิดาหยันนำมาให้เขาดูเป็นยาบำรุงครรภ์ หากกิดานันท์ขอร้องเขาไว้ว่าให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับ

...แต่จะเพราะเหตุผลใดก็ตาม ที่เขาทำไปก็เพื่อพี่สาวของหล่อนไม่ใช่เหรอ ?

สะดุดตากับจี้รูปหัวใจที่ประกายแสงสีเงินอยู่บนคอขาวเนียนของพี่สาว กิดานันท์ยังคงใส่สร้อยคอที่โยธินซื้อมาให้ ทำให้กิดาหยันจำต้องเบือนหน้าหนีเอ่ยอย่างหมดแรงว่า “เรื่องนี้โยรู้รึยัง”

กิดานันท์ส่ายหน้าช้า เอ่ยปนเสียงสะอื้น “ฉะ...ฉันยังไม่รู้จะบอกโยยังไงเลย”

“ก็บอกไปตรงๆ นั่นแหละ” น้องสาวชักเสียงห้วน รำคาญในความกล้าๆ กลัวๆ ของพี่สาวเต็มทน

กิดานันท์ยังคงนั่งซึม เอามือปาดน้ำตาทิ้งแต่กลับมีน้ำใสๆ ไหลรินลงมาอีก “ฉันว่าอย่าเพิ่งบอกโยตอนนี้เลย บางที...โยอาจจะรับไม่ได้ก็ได้ถ้ารู้ว่าฉัน...ท้อง”

คำแก้ตัวของกิดานันท์เรียกรอยยิ้มแสยะจากน้องสาว “มาถึงป่านนี้แล้วเธอยังกลัวว่าไอ้โยจะทิ้งเธอไปอีกเหรอ ฉันจะบอกอะไรให้นะนันท์ มันทิ้งเธอไปตั้งแต่ตอนที่มันตัดสินใจหมั้นกับผู้หญิงคนอื่นแล้ว !”

“แต่ตอนนี้ฉันกับโยกำลังไปได้ดี”

“ไปได้ดี ! ให้ตายสินันท์ เธอเอาสมองส่วนไหนคิดว่ากำลังไปได้ดี เธอเพิ่งบอกฉันเองว่าไม่มีความสุขสักนิดที่ต้องคอยโกหกฉัน โกหกทุกคน เพื่อออกไปหาไอ้โยมัน ถ้าเธอคิดว่าไอ้การที่ต้องใช้ชีวิตกันหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้คือการไปได้ดีของเธอ ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดกับเธออีก !”

กิดาหยันจะลุกขึ้นเดินหนีหากพี่สาวดึงรั้งไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง “หยัน...เธอต้องช่วยฉันนะ ตอนนี้ฉันมืดแปดด้านไปหมด ฉันรู้ว่าฉันทำตัวเหมือนคนไม่รู้จักคิด แต่ที่ฉันบอกเธอก็เพราะต้องการความช่วยเหลือจากเธอ ไม่ใช่ให้เธอมาด่าซ้ำ”

“แล้วฉันจะช่วยอะไรเธอได้ รู้มั้ยว่าตอนนี้พี่ชายของอดีตคู่หมั้นไอ้โยรู้แล้วว่ามันมีผู้หญิงคนอื่น ทางที่ดีฉันว่าเธอควรจะห่างๆ ไอ้โยมันได้แล้ว ก่อนที่เธอจะเดือดร้อนไปมากกว่านี้”

“พี่ชาย ?” คำพูดแปลกๆ ของอีกฝ่ายทำให้ดวงหน้าที่เปรอะด้วยน้ำตามีรอยฉงนปรากฏให้เห็น “พี่ของผู้หญิงที่ชื่อสโรชินีเหรอ...แล้วเธอไปรู้มาได้ยังไง”

ปกติสองพี่น้องฝาแฝดมักเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงอดีตคู่หมั้นของโยธิน แต่คราวนี้พี่สาวของหล่อนถึงกับเอ่ยชื่อผู้หญิงคนนั้นออกมา...

“เธอรู้จักพี่ชายเขาหรือหยัน”

จากที่ต่อว่าฉอดๆ เงียบกริบ สีหน้าบอกบุญไม่รับของกวินภพวันที่ไล่หล่อนลงจากรถลอยเข้ามาในห้วงคำนึง

กิดาหยันไม่เคยเห็นเขาในอารมณ์แบบนั้นมาก่อน น้ำเสียงเหยียดหยามบวกกับแววตาดุดันที่ชายหนุ่มหยิบยื่นให้หล่อนเป็นครั้งสุดท้าย...ยังฝังใจหญิงสาวไม่จาง

รู้ตัวว่าได้หลุดปากออกไปเลยถอนใจทิ้ง มันยากที่จะอธิบายอะไรไปตอนนี้เพราะหล่อนเองก็ยังไม่มั่นใจว่าเข้าใจถูกรึเปล่า นอกจากกุมมือพี่สาวปลอบ “ฉันว่าเธอเลิกสนใจเรื่องไอ้โยมันเถอะ ตอนนี้คนที่เธอควรสนใจคือลูกในท้องเธอมากกว่า เชื่อฉันนะนันท์ บอกโยมันไปตรงๆ ถ้ามันรับไม่ได้ก็นับว่ามันเป็นผู้ชายที่เลวเกินกว่าที่เธอจะเอาหัวใจไปแลกกับผู้ชายแบบนั้นแล้ว”

“แต่ฉันรักโย เข้าใจมั้ยหยันว่าฉันรักโย และฉันไม่อยากจะสูญเสียโยไปอีก โยเคยบอกฉันว่าอยากจะรอเรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นเสียเงียบไปก่อนแล้วโยจะบอกให้ทางบ้านมาสู่ขอฉันทันที”

“สู่ขอ ?” กิดาหยันอยากจะหัวเราะให้ลั่น “เธอก็รู้ว่าบ้านไอ้โยมันไม่เคยยอมรับเราสองพี่น้องด้วยซ้ำ เรามันก็แค่ลูกสาวชาวสวน ไม่เหมือนผู้หญิงที่ชื่อโรๆ อะไรนั่นเป็นลูกสาวจากตระกูลคนมีเงิน”

หัวเราะหึใส่ความหลงใหลได้ปลื้มของคนบ้านนั้น “อยากได้ลูกสะใภ้มีหน้ามีตามาประดับชาติตระกูลของตัวเอง เป็นไงล่ะ สุดท้าย...ลูกสาวตระกูลกมลากรก็จบลงด้วยการ...”

“พอแล้วหยัน เธอจะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา ยังไงเขาก็เสียไปแล้ว”

“แล้วแบบนี้เธอยังคิดว่าคนบ้านนั้นจะยอมรับเธอเป็นลูกสะใภ้อีกรึไงนันท์ ถ้าเขายอมคงยอมไปนานแล้ว ไม่เที่ยวหาผู้หญิงคนอื่นมาประเคนให้ลูกชายเขาหรอก”

กิดานันท์นิ่งไป เป็นน้องสาวที่เอ่ยต่อหากไม่ได้ต้องการตอกย้ำพี่สาวแต่อย่างใด หล่อนแค่อยากเตือนสติก็เท่านั้น “เลิกวาดวิมานในอากาศได้แล้วนันท์ ยังไงความรักระหว่างเธอกับโยมันไม่มีทางเป็นไปได้ เธอกำลังหลอกตัวเองนันท์”

กิดาหยันพูดได้เท่านั้นก็ผละจากพี่สาวหายเข้าห้องนอนไป ปล่อยให้ กิดานันท์ยังนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์

‘เธอยังคิดว่าคนบ้านนั้นจะยอมรับเธอเป็นลูกสะใภ้อีกเหรอ ถ้าเขายอมคงยอมไปนานแล้ว ไม่เที่ยวหาผู้หญิงคนอื่นมาประเคนให้ลูกชายเขาหรอก’ คำพูดของน้องสาวที่สะท้อนก้องอยู่ในหัวสมองเรียกน้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วเอ่อคลอที่ขอบตาอีกครั้ง

หากทว่า...คราวนี้ไหลรินอย่างยากที่จะควบคุม

ความเงียบปกคลุมทั่วห้อง เมื่อเหลือเพียงตัวหล่อน กิดานันท์จึงเกาะกุมจี้รูปหัวใจที่คอคล้ายต้องการที่พึ่ง...ใบหน้าของโยธินลอยผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง...มีเพียงเสียงสะอื้นไห้ของกิดานันท์กับความเคว้งคว้างที่เข้ามาเกาะกินหัวใจ

ไม่มีใครรู้...ว่าหัวใจดวงนี้มันร้าวรานมามากแล้วนับตั้งแต่โยธินจากหล่อนไป แต่หัวใจดวงนี้...กลับชุ่มชื้นขึ้นมาอีกครั้งก็เพราะผู้ชายคนเดียวกัน ความรักที่โยธินมอบให้เหมือนสายน้ำที่หลั่งรินหัวใจของหญิงสาวคนนี้ให้กลับมามีความหวัง

ทุกวันนี้ที่หล่อนยังคงหายใจ เป็นเพราะความหวังครั้งใหม่...ความหวัง...ที่จะได้รับความรักจากโยธินแต่เพียงผู้เดียว



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ม.ค. 2556, 18:13:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ม.ค. 2556, 18:13:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1297





<< บทที่ 12   บทที่ 14 >>
Auuuu 15 ม.ค. 2556, 19:15:53 น.
เฮ้อออออออออออออออออ


lovemuay 15 ม.ค. 2556, 21:38:10 น.
อื้ม สรุปเรื่องนี้นางเอกฉลาดสุด +55


สรัน 16 ม.ค. 2556, 20:11:29 น.
ขอบคุณ Auuuu กับ lovemuay นะคะที่คอยเม้นให้รันตลอดเลย น่ารักมากมาย >///<


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account